ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ◆ Just A Beat - Part [13]
Pairing : Kai x Baekhyun
ft. LuMin , HunSoo
130811
.. Part 13 ..
หลังจากเลิกงานแล้ว สองขาที่แสนเหนื่อยล้าจึงก้าวลงจากรถบัสเที่ยวสุดท้ายในยามค่ำคืน
แพคฮยอนเดินเรื่อยๆเลียบไปตามถนนใหญ่แล้วเลี้ยวตรงหัวมุมถนนเข้าสู่ทางเดินที่แคบลง ผู้คนรอบกายไม่ได้พลุกพล่านเหมือนตอนอยู่ในเมืองใหญ่ บ้านเรือนหลายหลังปิดประตูกันแล้ว เขาเดินผ่านร้านอาหารเล็กๆที่มักจะมีรถขนปลาจอดอยู่ประจำ ใบหน้าไม่สู้ดีนั้นเมื่อนึกถึงคนไม่เอาไหนที่ขับรถสปอร์ตสุดหรูเฉี่ยวมันในคืนนั้นก็ต้องหลุดยิ้มออกมา ..
“เฮ้อ ...” แพคฮยอนค่อยๆหุบยิ้มลงแล้วเดินต่อไปด้วยความรู้สึกที่ยังฝังลึกอยู่ในหัวใจ
เรื่องที่ผับก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง คิดถึงทีไรก็หวั่นใจทุกที ทั้งที่ตั้งใจจะตัดให้มันขาดไปแล้วแท้ๆ แต่พอได้ใกล้ชิดกันอีกมันก็โอนอ่อนเข้าอีกแล้ว
“ไม่จริงหรอก ไม่จริงน่ะแพคฮยอน แค่แกชอบผู้ชายก็ว่าแย่แล้ว นี่ยังชอบเค้าข้างเดียวอีก .... ทำไงดีวะ ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลย”
แพคฮยอนกำมือแน่นทุกครั้งที่คิด อีกแค่ไม่ไกลก็จะถึงถนนที่เป็นเนินเข้าสู่ทางละแวกบ้านของเขาแล้ว ใบหน้าเล็กเงยขึ้นมองภาพบางอย่างใต้แสงไฟจากหลอดเก่าๆที่ไม่นึกว่าจะได้เห็น
รถคันหรูสีดำปลาบจอดอยู่ที่มุมทางเดินโดยที่เจ้าของมันจะยืนพิงอยู่อีกด้าน
แพคฮยอนชะงักเท้าลงอย่างรวดเร็ว เขามองจงอินที่ยังคงยืนนิ่งและไม่ได้หันมาทางนี้ แล้วการที่จะต้องเดินกลับบ้านมันต้องผ่านตรงนั้นเสียด้วย ตรงที่ๆใครมาที่บ้านของเขาก็ต้องจอดรถตรงนี้ทั้งนั้นเพราะไม่สามารถเข้าไปในทางแคบๆได้
แพคฮยอนรู้สึกถึงแรงสั่นในกระเป๋าจึงรีบหลบไปอีกทาง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูที่หน้าจอ เมื่อเห็นว่าเป็นแม่จึงรับสายอย่างรวดเร็ว
“นี่แกเลิกงานแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ มีอะไรเหรอ”
“เพื่อนแกมาหาที่บ้านน่ะ แต่ฉันจะออกไปทำงานพอดี วันนี้ไปรอบดึกเลยสวนกัน บอกให้เค้ารอที่บ้านก็ไม่เอา บอกจะมารอแกที่ทางเข้า”
“................”
“เฮ้ นี่ฟังที่พูดรึเปล่าแพคฮยอน”
“อืมๆ แล้วแม่ออกไปนานรึยัง”
“นานแล้ว เค้าคงรอแกอยู่นั่นแหละ พ่อหนุ่มคนนี้ดูเป็นคนดี ฉันเลยแค่จะบอกว่าถ้าเจอกันแล้วหาน้ำหาท่าให้เค้าหน่อยล่ะ เพื่อนดีๆแบบนี้หัดรู้จักคบซะบ้างนะไอ้ลูกคนนี้”
แพคฮยอนปล่อยให้แม่วางสายไปโดยไม่ตอบโต้อะไร เขามองจงอินที่ยังไม่ขยับไปไหนก่อนจะตัดสินใจบางอย่างได้
“หวัดดีครับคุณน้า คยองซูนอนรึยังครับ”
แพคฮยอนเดินลอดประตูลูกกรงหน้าร้านขนมเข้ามา เขาทักทายพ่อกับแม่ของเพื่อนตามมารยาท แต่ดึกป่านนี้แล้วคงไม่ได้ช่วยเรื่องมารยาทอะไรหรอก
แม่ของคยองซูที่กำลังเตรียมแป้งมันสำหรับทำขนมแต่เช้าขมวดคิ้วมาให้
“น่าจะยังหรอกมั้งแพคฮยอน ว่าแต่มาค่ำๆแบบนี้มีธุระเหรอจ๊ะ”
“คะ ครับ เรื่องงานนิดหน่อย”
“แหม งานเยอะจังนะหนุ่มๆ นี่ก็เซฮุนคนนึงแล้ว ... ไปๆ ขึ้นไปหาที่ชั้นบนได้เลย คงยังไม่นอนหรอก”
แพคฮยอนพยักหน้าแล้วเดินก้มๆขึ้นบันไดไปพลางคิดในใจกับสิ่งที่ได้ยิน นี่เขาเพิ่งรู้นะว่าไอ้เพื่อนตัวดีอย่างโอเซฮุนจะถือโอกาสมาค้างบ้านคยองซูโดยไม่บอกกล่าวเขาสักคำ
ประตูห้องที่ปกติไม่ได้ล็อคนั้นเมื่อคนเป็นเพื่อนสนิทเอื้อมมือไปบิดมันด้วยความเคยชิน สิ่งที่ไม่เหมือนทุกทีคือมันล็อคจากด้านใน แพคฮยอนชะงักเล็กน้อยเพราะรู้ว่าในนั้นเพื่อนของเขาไม่ได้อยู่คนเดียว
... คิดอะไรวะเรา
แพคฮยอนตะโกนเรียกให้เพื่อนเปิดประตูให้ คนตัวเล็กเปิดออกจากด้านใน
“เฮ้ย .. มาได้ไงวะ แล้วไมไม่เปิดเข้ามาเอง”
“กูมีกุญแจมั้งคยองซู”
“อ้าว .. แต่กูไม่ได้ล็อคนี่ ทุกครั้งมึงก็รู้”
“เออ .. ช่างเหอะ” แพคฮยอนไม่คิดจะหาคำตอบอะไรเพราะเขารู้มันในใจอยู่แล้วว่าเป็นฝีมือใคร ขืนต่อความยาวให้คยองซูได้รู้มีหวังคิดไปไกลอีกแน่ เพื่อนคนนี้ฉลาดเรื่องเรียนที่สุดแล้ว แต่กับเรื่องคนใกล้ตัว ที่ใกล้กว่าเขาเสียอีก เจ้าตัวยังไม่รู้อะไรเลย
เขาเดินผ่านเจ้าของห้องเข้าไปและพบกับใครอีกคนที่นั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ แพคฮยอนมองเซฮุนด้วยแววตาหมั่นไส้ที่รู้กันดี ครั้งนี้เขาจะช่วยไม่พูดอะไรแล้วกัน
“มึงมาทำไมวะ” เซฮุนถามเบาๆเมื่อยืนใกล้กัน
“ขัดจังหวะมึงเหรอ”
“เปล๊า .......” เสียงแปร่งๆดัดสูงขึ้นอย่างจงใจไม่รู้อะไร แพคฮยอนไม่คิดจะเถียงเพราะเขาเองก็ไม่มีอารมณ์
“ขอค้างด้วยได้มั้ย”
“อ้าว ทำไมล่ะ ไม่มีกุญแจเข้าบ้านเหรอ” คยองซูถาม
“มึงก็ปีนดิ” เซฮุนแนะนำ
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“แล้วทำไม”
“ช่างเหอะน่า ค้างก็ค้างนั่นแหละ” ว่าแล้วก็ทิ้งตัวลงที่พื้นข้างเตียง เขาคว้าขวดน้ำของเจ้าของห้องขึ้นมาดื่ม
เพื่อนทั้งสองมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม คยองซูทำท่าจะถามออกไปอีกครั้งกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่เซฮุนกลับส่ายหน้าให้ เพราะถามไปก็เปล่าประโยชน์ พวกเขาจึงได้แต่มองท่าทางที่แปลกไปทุกวันของเพื่อนแทน
ระหว่างที่เซฮุนกำลังอาบน้ำอยู่ คยองซูก็เพิ่งนึกบางอย่างได้ เขาหยิบกระดาษขนาดเอสี่จำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่ใช้เก็บเอกสารการเรียนแล้วยื่นให้คนตรงหน้า
“อะไร”
“จงอินเค้าฝากมาให้มึงน่ะ”
“............”
“เอ้า รับไปสิ” คยองซูยัดมันให้แพคฮยอนรับไป
แพคฮยอนค่อยๆก้มมองกระดาษในมือ ประเด็นต่างๆของแต่ละคลาสเรียน ส่วนสำคัญของแต่ละวิชาที่เขาไม่เคยได้รู้ มือบางเปิดมันไปทีละหน้าช้าๆ จนหน้าสุดท้าย และบรรทัดสุดท้าย ลายมือหวัดๆแบบเดิมเขียนโน๊ตที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียนเอาไว้ด้วย
ไม่ได้ติวให้นายตามสัญญา เลยคิดว่าโน้ตแบบนี้ที่นายเคยบอกอยากได้จะช่วยอะไรได้บ้าง ..เห็นว่าพักนี้ตั้งใจเรียนดี พยามเข้าล่ะ
แพคฮยอนจ้องสิ่งที่อยู่ในมือนิ่ง ก่อนจะเงยขึ้นแล้ววางมันลงข้างกายเหมือนไม่สนใจ
“มึงอย่าทำเหมือนมันไม่มีค่าได้มะ”
“เปล่าหนิ ..” แพคฮยอนพูดจบก็หันหน้าหนี เขาไม่อยากจะสนใจเรื่องที่ทำให้ใจปั่นป่วนไปหมด
พยายามแล้วแท้ๆ ..
เซฮุนเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดลำลองสบายๆโดยยังมีผ้าเช็ดตัวพาดบ่าเอาไว้ เขาเดินผ่านเพื่อนทั้งสองออกไปนอกระเบียงเพื่อจะเอาผ้าไปเช็ดตัวไปตากลมไว้
แพคฮยอนไม่อยากจะตอบคำถามของคยองซูจึงรีบเปลี่ยนเป็นถามเสียเอง
“มันมาค้างห้องมึงทำไม”
“รายงานเรื่องธุรกิจไง พวกมึงได้เกือบเต็มใช่มั้ย พวกกูก็ผ่านอยู่หรอก แต่อาจารย์บอกว่าใครอยากแก้ไขให้รีบทำไปเสนอใหม่ .. เฮอะ มึงนี่ดีชะมัด คู่กับคนเก่งๆอย่างคิมจงอินไม่มีทางไม่รอดหรอก” คยองซูพูดไปตามความจริง และมันก็บังเอิญเหลือเกินที่แพคฮยอนหนีชื่อนี้ไม่พ้นอีกแล้ว
เซฮุนเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วจ้องแพคฮยอนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“กูรู้ละ .. ทำไมมึงไม่กลับบ้าน”
เซฮุนไม่รอให้อีกคนพูดอะไรนอกจากดึงให้ออกไปนอกระเบียงด้วยกัน แพคฮยอนชะงักกับภาพเบื้องล่างที่ห่างออกไปแต่ก็ยังเห็นได้ชัดเจน จงอินยังคงยืนกอดอกอยู่ข้างกับรถคันสีดำ แพคฮยอนยืนเกาะราวระเบียงเอาไว้แล้วพูดเบาๆกับตัวเอง
“ดึกป่านนี้แล้ว ทำไมยังไม่กลับไปอีกนะ......”
“ถ้ามึงห่วงเค้าก็ออกไปหาซะสิ อย่าให้เค้ารอจนแข็งตายซะก่อนล่ะ”
“มะ มึงจะบ้าเหรอเซฮุน ใครห่วงหมอนั่นกันวะ”
“ก็มึงไง ทำหน้าแบบนั้นคิดว่ากูไม่รู้เหรอ”
“................”
“ถึงไม่เล่าให้พวกกูฟัง แต่อย่าทำแบบนี้เลย มึงจะหลบหน้าเค้าทำไมวะ”
“เรื่องของกู กูแค่ไม่อยากเจอ” เขาคิดว่าตัวเองทำหน้าเฉยเมยได้ดี แต่เซฮุนกลับไม่ได้มองแบบนั้นเลย แพคฮยอนรีบเดินกลับเข้าไปในห้องแต่แล้วอีกคนในห้องกลับดึงแขนเขาให้ออกมาอีกครั้ง คยองซูและเซฮุนต่างรั้งอีกคนให้มองภาพเบื้องล่างอยู่อย่างนั้น
“แพคฮยอนอ่า ... มึงดูสิ เค้าอุตส่าห์มารอมึงเลยนะ” คยองซูพูด
“นั่นสิ คิดๆแล้วตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียน เด็กห้องเออย่างคิมจงอิน ไม่คิดเลยว่าจะได้แม้แต่คุยกัน แล้วนี่อะไร ไปกันใหญ่แล้ว เค้าต้องชอบ ....อุ๊บ!”
แพคฮยอนจ้องเซฮุนที่ถูกคยองซูเขย่งเท้าแล้วเอามือปิดปากนั้นไว้แน่น
“อะไรของพวกมึง ถ้าไม่มีอะไรกูเข้าห้องก่อนล่ะ ... ยืมชุดนอนมึงหน่อยนะคยองซู”
ดึกมากแล้ว แพคฮยอนอยากจะโยนทุกอย่างออกจากสมองแล้วล้มลงนอนเสียที เสียงโทรศัพท์ของคยองซูดังขึ้น อีกฝ่ายรับมันแล้วพูดขึ้นซึ่งแน่นอนว่าได้ยินกันหมด
“หวัดดีจงอิน .. อ๋อ แพคฮยอนน่ะเหรอ.....”คยองซูหันมาหาแพคฮยอนตามที่ในสายถามถึง
“ชู่วววว..........”
แพคฮยอนรีบส่ายหน้าแล้วโบกมือไปในอากาศให้รู้ว่าอย่าพูดถึงเขาเด็ดขาด คยองซูอ้าปากค้างเล็กน้อยเหมือนไม่รู้จะตอบคนในสายว่ายังไง แล้วคนข้างกายต้องการให้เขาทำยังไง และระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นในสายก็ตอบกลับมาทันที
“แพคฮยอนอยู่ตรงนั้นใช่มั้ย” จงอินถามเบาๆ
“อะ อ๋อ อืมๆ คือ นายจะคุย.......” คยองซูสบตากับแพคฮยอนที่ยังคงทำหน้าอ้อนวอนว่าอย่าพูดๆ คยองซูไม่อยากจะโกหกให้จงอินต้องเป็นห่วงเลย
“ช่างเถอะคยองซู เค้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร”
“แต่....”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นว่ายังไม่กลับบ้าน ถ้าอยู่กับนายก็ดีแล้ว”
“อืม”
“งั้นแค่นี้นะ”
จงอินวางสายไปแล้ว แพคฮยอนจึงรีบพูดขึ้นทันที
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าพูดถึงกู”
“โอ๊ย ... นี่แพคฮยอน มึงจะเกินไปหน่อยแล้วนะ เค้าอุตส่าห์มารอมึงตั้งหลายชั่วโมง แล้วพอไม่เห็นมึงกลับบ้านเค้าก็เป็นห่วงว่าเป็นอะไรรึเปล่า เค้าเลยโทรมาถามกู แล้วแม่งฉลาดเกินไปมั้ย มึงไม่ได้ออกเสียงซักแอะแต่เค้ารู้อีกว่ามึงอยู่ข้างๆกับกู .. คนอะไร ฉลาดเป็นบ้า”
“ไม่หรอก เป็นเอามากสิไม่ว่า ขนาดไม่ได้เจอหน้า แค่สัญญาณโทรศัพท์ยังจับได้อีก” เซฮุนเอ่ยลอยๆขณะที่นอนหงายอยู่บนเตียง
แพคฮยอนแทบสะอึกเมื่อถูกเพื่อนทั้งสองรุมเขาแบบนี้ คนที่เอาแต่ไม่ยอมบอกอะไรจึงหลุดบางอย่างออกมา
“ก็ จริงๆก่อนมานี่เค้าก็ตามกูไปที่ผับด้วยแหละ” แพคฮยอนนั่งก้มหน้าอยู่กับพื้นห้องโดยไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาของเพื่อนจะพร้อมใจกันจ้องมาด้วยความอยากรู้
“เค้าไปถามกูว่าทำไมถึงอยากเลิกเป็นเพื่อนกับเค้า หลบหน้าเค้าทำไม”
“...........................”
“แต่กูก็ไม่ตอบ กูเดินหนีเค้าตลอด”
“อืม แล้วไงต่อ”
“แล้วก็มีตอนที่กูถูกไอ้พวกในผับแกล้งมาจับก้นอย่างกับกูเป็นผู้หญิง ครั้งแรกเลยนะที่เจอแบบนั้น จริงๆกูโมโหมากแต่ในตอนนั้น บอกตามตรงเลยว่ากูก็กลัวมากเหมือนกัน”
“จะ จริงเหรอวะ”
“อืม .. แต่เค้าก็มาพากูออกไปเพราะไม่อยากให้กูขอโทษพวกที่แกล้งกูตามคำสั่งผู้จัดการ เพราะกูเองก็ไม่ได้ผิดอะไร เค้าไม่อยากให้กูทำงานที่นั่นอีก แต่กูก็ไม่เชื่อ เพราะงานมันหายาก”
แพคฮยอนพูดจบก็เว้นช่วงไปพักใหญ่ เล่นเอาคนฟังที่กำลังลุ้นไปกับความสัมพันธ์ของทั้งสองแทบอยากถามใจจะขาดว่าแล้วยังไงต่อ แต่ก็ไม่เป็นไปตามนั้น ใบหน้าของคนกลุ้มใจเงยขึ้นมองเพื่อนที่ต่างพากันหันมองไปรอบห้องแสร้งทำทีไม่ได้สนใจอะไร
“สรุปว่า กูไม่อยากเป็นเพื่อนกับเค้า กูไม่ชอบ”
แพคฮยอนพูดจบก็ล้มตัวลงนอน ทิ้งให้อีกสองคนค้างกันไปอย่างทำอะไรไม่ได้
ความมืดเข้าปกคลุมห้องนอนทั้งห้อง เหลือเพียงแสงจันทร์ด้านนอกหน้าต่างที่ส่องเข้ามา หลังจากที่เถียงกันอยู่นาน สรุปแล้วเซฮุนก็ไม่ยอมนอนข้างล่าง แพคฮยอนจึงได้นอนคนเดียวที่ฟูกข้างเตียง
“กูบอกมึงแล้วไงว่ามึงตัวยาว น่าจะให้แพคฮยอนมันนอนกับกู ดูดิดึงผ้าห่มกูไปหมดเลย”
“ไหนมึงบอกกูเป็นตุ๊ด บอบบาง น่ารัก ... แล้วจะให้กูนอนพื้นได้ไงคยองซู”
“แต่มึงแย่งผ้าห่มกูนะ”
“งั้นก็ต้องนอนชิดกัน ... เป็นไง อุ่นมั้ยทีนี้”
“อ่ะ อืม ... ก็ดีนะ”
แพคฮยอนนอนหันหลังให้เตียงที่เพื่อนทั้งสองกำลังเถียงกันไปมาอยู่ใต้ผ้าห่มเพราะไม่อยากเสียงดังให้รบกวนเขาที่คิดว่าหลับไปแล้ว
ป่านนี้จงอินคงกลับบ้านไปแล้วล่ะมั้ง
.. หนาวขนาดนั้นยังจะมายืนรอ บ้าชะมัด
แพคฮยอนนอนพลิกไปมาอยู่สักพักเพราะไม่สามารถข่มตาลงได้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะเห็น ร่างเล็กกลัวจะส่งเสียงดังให้เพื่อนตื่นจึงค่อยๆดึงผ้าห่มออกแล้วเดินย่องออกไปยังประตูด้านระเบียง เขาเปิดมันออกอย่างเบามือแล้วเดินออกไป
เป็นอย่างที่คิด จงอินไม่อยู่แล้ว แค่นี้แหละที่อยากเห็น จะได้นอนหลับโดยไม่ต้องกังวลอะไร
“นี่ ... มึงว่าเพื่อนเราก็เป็นเอามากป่าววะเซฮุน” คยองซูกระซิบเบาๆขณะที่มองคนด้านนอกที่ยืนอยู่ระเบียง
“ก็ถ้าไม่เป็นแล้วจะหลบหน้าเค้าทำไมล่ะ”
“เฮ้อ ..”
△▽ △▽ △▽
หลายวันผ่านไปกับการที่จงอินแทบไม่ได้เห็นหน้าแพคฮยอนอีกเลย นอกเสียจากมองอยู่ไกลๆไม่ให้เจ้าตัวรู้ แต่ก่อนนั้นเขาเคยแสดงความโมโหที่อีกฝ่ายดื้อไม่ยอมพูดจากัน แต่พอได้เจอก็อยากพูดดีๆด้วย .. ต่างจากตอนนี้ ที่ไม่คิดจะตามตื๊อให้รำคาญ
ก็คนเค้าไม่อยากเห็นหน้า แล้วจะไปให้เค้าเห็นทำไม ... นายมันไม่ได้เรื่องเลยคิมจงอิน
“เฮ้อ ... เสร็จซักที ทำไมยากแบบนี้วะ”
แพคฮยอนถอนหายใจหลังจากปิดตำราที่เขาแสนจะเกลียดลงไป กว่าจะทำความเข้าใจกับมันได้เล่นเอาเหนื่อยแสนเหนื่อย
“ใกล้เก็บคะแนนวิชานี้แล้ว พยามเข้านะมึง”
“อืม”
คยองซูและเซฮุนแอบมองเห็นแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ที่พวกเขาจำได้ดีสอดอยู่ในแฟ้มของแพคฮยอน บางทีการกระทำมันก็ชวนให้คิดนะว่ากำลังขัดกับคำพูด
ทั้งสองเงยขึ้นมองใบหน้าขาวใสของเพื่อนตัวดีที่เมื่อหุบปากเก็บคำหยาบๆลงไปแล้วก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย อดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนคนนี้บางทีก็ดูน่ารักขึ้นเป็นกองได้เหมือนกันนะ แพคฮยอนหันมองไปรอบๆจนเกือบเป็นชะเง้อเหมือนรออะไร
“มองหาใครวะ”
“หา ... กูเหรอ เปล่าหนิ”
“อ๋อเหรอ”
“อืม”
คยองซูและเซฮุนมองหน้ากันกับท่าทีของเพื่อนรักที่ดูออกง่ายเหลือเกิน
หลังจากที่คยองซูและเซฮุนปรึกษากันแล้วว่าควรจะถามใครดีว่าในงานวันเกิดนั้นมันเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงได้นัดเพื่อนอีกสองคนของคิมจงอินมาเจอกันที่ร้านเค้กหน้าประตูฝั่งตะวันตกของมหาวิทยาลัย
พวกเขาพร้อมใจกันเลือกโต๊ะที่อยู่ด้านในสุดเพื่อเป็นการหลบเลี่ยงเผื่อว่าคนทั้งสองที่เป็นประเด็นอยู่นั้นจะผ่านมาเห็นเข้า
มินซอกเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานปาร์ตี้วันเกิดของจงอิน คยองซูและเซฮุนจึงได้รับรู้เกี่ยวกับคนทั้งสองมากขึ้น
“แต่ว่านะ แล้วทำไมแพคฮยอนมันต้องหลบหน้าจงอินด้วย” เซฮุนถาม
“นั่นสิ มันเป็นปัญหาขึ้นมาตรงไหนนะ” มินซอกก็สงสัยเช่นกัน เขาหันไปถามลู่หานที่นั่งข้างๆแต่อีกฝ่ายก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ถึงจะดูแปลกๆกันไปหน่อยแต่ก็ไม่มีอะไรที่น่าจะทำให้แพคฮยอนไม่พอใจจงอินถึงขนาดตัดเพื่อนแบบนี้”
“แล้วก็นะ .. คืนนั้นจงอินถึงกับมารอแพคฮยอนที่ทางเข้าบ้านด้วย แต่หมอนั่นก็ดันมาขอค้างที่บ้านฉัน ถามก็ไม่ตอบเหมือนเดิม แบบนี้มันยังไงกันนะ”
คยองซูพูดจบทุกคนก็มองหน้ากัน หลายๆอย่างประกอบกับนับวันที่ความสัมพันธ์ของเพื่อนพวกเขาจะน่าเป็นห่วงขึ้นทุกทีนั้น มันทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยจริงๆ
“นี่คิดอย่างอื่นไม่ออกเลยนะ .....”
ในเย็นวันเดียวกันนั้น ร้านอาหารแห่งเดิมใช้เป็นที่ผ่อนคลายของกลุ่มเพื่อนที่คบหากันมานาน
คนทั้งสี่ทานอาหารกันไปเงียบๆ
“ขอสั่งเพิ่มนะ ชอบจานนี้จริงๆ” ลู่หานบอกก่อนจะโบกไม้โบกมือเรียกพนักงานมารับออเดอร์
“ตะกละ” มินซอกพูดเบาๆ
“อ๋า ... แต่กินเท่าไหร่ก็ไม่มีทางอ้วนนะ”
“นี่นายว่าฉันเหรอลู่หาน “
“เอ๊ยไม่ใช่นะมินซอก ฉันหมายถึงว่าฉันก็เป็นแบบนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว นายก็รู้ ไม่เชื่อถามยัยคริสตัลดูสิ .. ใช่มั้ยคริสตัล.........” ชายหนุ่มยิ้มเก้อไปเมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากลูกพี่ลูกน้องคนสวยที่ปกติอาจจะช่วยทับถมเขาแทนไปแล้ว แต่นี่เจ้าหล่อนกลับก้มหน้าเขี่ยอาหารในจานเหมือนไม่ได้ยินอะไร
พวกเขาสังเกตอาการของทั้งสองคนมาหลายวันแล้ว
ลู่หานมองหน้าจงอินบ้าง ฝั่งนี้ก็ไม่ต่างกัน ใบหน้าเฉยเมยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูแล้วก็วางลง
“รอแพคฮยอนโทรมาเหรอ”
“................”
“โทรหาไม่ได้เพราะเค้าไม่รับล่ะสิ เป็นกังวัลเหลือเกินนะจงอิน งั้นทำไมไม่ถามตรงๆไปเลยล่ะ”
“ถามแล้ว เค้าไม่ตอบ เค้าไม่อยากเห็นหน้าฉันแล้วจะให้ถามอะไรอีก”
“งั้นก็บังคับสิ”
“พูดอะไรของนาย”
จงอินเริ่มส่งสายตาบอกให้หยุดพูดมายังลู่หาน แต่ไม่ทันแล้ว คริสตัลหันมาหาเขาก่อนที่เธอจะออกความเห็นบ้าง
“ดูนายแคร์เค้าจังนะจงอิน ฉันไม่เคยเห็นนายจะแคร์เพื่อนคนไหนขนาดนี้มาก่อนเลย” คริสตัลพูดชัดๆด้วยท่าทางอย่างทุกที จงอินนิ่งไปเล็กน้อย เขาไม่ได้โง่นะที่จะไม่รู้สึกถึงสายตาของแฟนตัวเองที่เหมือนกำลังกระทบกันอยู่
“แล้วเธอล่ะ .. ดูเศร้าเหลือเกินนะ เป็นอะไรมากมั้ย หรือเพราะจดหมายแผ่นนั้นทำให้ใจไปอยู่ที่ไหนแล้ว”
“จงอิน ....”
“ฉันพูดผิดอะไร”
“แล้วใจนายล่ะ อยู่ที่ฉันเหมือนเดิมไหม .. เฮอะ” คริสตัลกระแทกมือทั้งสองลงที่โต๊ะแล้วยืนขึ้น ร่างเพรียวบางเดินแทรกผ่านช่องระหว่างเก้าอี้กับโต๊ะอาหารออกไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาของเพื่อนทั้งสองที่ได้แต่มองตามอย่างทำอะไรไม่ถูก
เหมือนความอัดอั้นในใจที่ไม่เคยได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มันจะปะทุออกมาในบทสนทนาไม่กี่ประโยคของคนทั้งสอง
จงอินยังคงนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร ทั้งที่ใบหน้านั้นแสดงออกชัดเจนว่ากำลังกลุ้มใจไม่น้อย
“แรงไปนะจงอิน” ลู่หานพูดสั้นๆ
“แต่ฉันว่าพอกันนั่นแหละลู่หาน” มินซอกแย้งขึ้น
“ตามไปสิจงอิน”
เขาอยากจะทำตามที่ลู่หานบอกแต่กลับไม่มีความมั่นใจอะไรเอาเสียเลย มินซอกสะกิดคนข้างกายให้หยุดทู่ซี้เพื่อนเสียที
“นายไปเหอะลู่หาน เดี๋ยวจงอินมันไปส่งฉันที่บ้านเอง”
“เออ .. ส่งให้ถึงที่นะไอ้บ้านี่ โมโหเว้ย” ลู่หานพูดจบก็รีบวิ่งตามคริสตัลออกไป ทิ้งให้ทั้งสองคนอยู่กันตามลำพัง
มินซอกมองหน้าจงอินที่ไม่คิดจะหลบตาเขา
“ไม่ต้องตามไปน่ะดีแล้ว พวกนายต่างคนต่างคิดกันบ้าง เดี๋ยวได้ทะเลาะกันใหญ่”
“แต่ฉันพูดไม่ดีกับคริสตัลไปแล้ว”
“ใจเย็นๆน่า นายรู้จักยัยนั่นดี เค้าไม่ได้โกรธหรอกเพราะเรื่องแค่นี้หรอก”
“จริงเหรอ.....”
“แต่มันก็น่าโมโหนะ ก็นายเล่นพูดออกไปซะตรงแบบนั้น แต่คริสตัลเองก็........”
“อะไร”
“เค้าเองก็ .. พูดถูกเหมือนกันยังไงล่ะ” มินซอกเน้นประโยคหลังชัดๆ และนั่นก็ทำให้คนฟังต้องก้มหน้าลงเพราะไม่สามารถเถียงอะไรได้กับความผิดของตัวเอง
“นายคิดดูแล้วกันว่ายัยนั่นจะโกรธเพราะอะไร เพราะที่นายพูดแรงไปเมื่อกี้ หรือเพราะว่านายกำลัง ......”
“พอได้แล้วมินซอก”
“อืม คิดดูนะจงอิน”
ใช่แล้ว คริสตัลพูดไม่ผิดหรอก เขาไม่เคยแคร์เพื่อนคนไหนเท่านี้มาก่อน ... งั้นเพราะอะไร เพราะเป็นเพื่อนที่พิเศษกว่าใคร หรือเพราะว่าจริงๆแล้วไม่ได้คิดด้วยแบบเพื่อน
“ฉันไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับนาย”
ประโยคนั้นแล่นวนเข้ามาในหัวอีกครั้ง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อาจคาดเดาได้อยู่ดีว่ามันคืออะไร เพราะฉะนั้นแล้วก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการอยากจะฟังคำอธิบาย แต่ถ้ามันจะต้องเป็นการทำผิดต่อคริสตัลล่ะ แล้วถ้ามันไม่ใช่ล่ะ
จงอินแบกเอาความสับสนและความรู้สึกผิดกับคนที่รักเอาไว้จนว้าวุ่นใจไปหมด
.. ใช่แล้ว ต้องเคลียร์ให้มันจบๆไป
△▽ △▽ △▽
“เฮ้ยจงอิน ไม่ยักรู้ว่าในรถนายมีตุ๊กตาหมีด้วย”
“อืม ....”
“ซื้อมาจากไหนอ่ะ”
“ไม่ได้ซื้อเองหรอก”
“ของขวัญพี่ซองอินเหรอ”
“.............”
“ถามไม่ตอบ”
“เปล่าหรอก รายนั้นให้นาฬิกาเรือนที่สิบแล้วมั้ง แพงกว่าปีก่อนอีก”
“งั้นใครซื้อให้ โกหกนี่ฉันจับได้นะจะบอกให้”
“.......ยุ่งจริงมินซอก”
“ก็ตอบมาสิ”
“........เออ แพคฮยอนน่ะ”
หลังจากที่ไปส่งมินซอกที่บ้านแล้วจงอินก็รีบบึ่งรถไปยังผับที่แพคฮยอนทำงานพิเศษอยู่ เขาไม่คิดจะเข้าไปหาอีกฝ่ายในเวลางานจึงอดทนรออยู่ที่โรงจอดรถซึ่งเป็นลานกว้างเชื่อมออกมาจากตัวตึกเตี้ยๆ เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าที่อีกฝ่ายจะเลิกงาน .. ฝนเม็ดเล็กๆเริ่มตกลงมาแล้ว
แพคฮยอนเดินออกมาพักเบรกด้วยความรู้สึกว้าวุ่น เขาหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาก่อนจะยัดมันลงในกระเป๋าตามเดิม อยากจะตะโกนดังๆแล้วสมองโล่งให้สมกับเป็นตัวเองแต่นี่มันไม่ใช่ มันหมดแรงแล้ว
“แย่ว่ะ ฝนก็ตกอีก ...”
ใบหน้าขาวใสสลดลงเมื่อความสับสนตีกันจนเขาต้องยอมแพ้ แพ้กับความรู้สึกเดิมๆที่สลัดมันไม่หลุด แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าถ้าไม่เจออีกไม่นานก็คงลืมไปเอง ระหว่างนั้นเองที่สายตาบังเอิญต้องสบเข้ากับใครอีกคนที่ยืนอยู่ห่างออกไป แพคฮยอนตัวแข็งทื่อเพราะไม่นึกว่าจงอินจะมาอยู่ที่นี่ได้
สายตานั้นจ้องมาแต่เขากลับรีบหลบมัน แพคฮยอนเกือบจะปล่อยใจให้โลดเต้นไปแล้วที่ได้เจอ แต่มันก็แค่เสี้ยววินาทีเพราะถึงยังไงเขาก็ไม่อยากจะกลับไปเจอให้ต้องฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ร่างเล็กก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วแล้วเดินหายเข้าไปในตึกเพื่อที่จะทำงานต่อ
จงอินทำท่าจะก้าวตามไปแต่ก็หยุดเอาไว้ เขายืนอยู่ใต้หลังคาของที่จอดรถซึ่งเม็ดฝนนับพันกำลังกลิ้งหล่นลงมาอยู่รอบกาย ละอองฝนกระเด็นโดนร่างที่ทำได้แค่ยืนหลบอยู่เท่านั้น
หลายชั่วโมงผ่านไป ฝนได้หยุดตกเว้นช่วงไปบ้างแล้ว ก่อนจะกลับมาตกใหม่อีกครั้ง
ชายหนุ่มในชุดลำลองที่เปลี่ยนกลับมาแล้วนั้นกำลังเดินก้มหน้าออกมาตามทางเดินจากตัวตึกพร้อมกับเป้ใบคู่ใจ แพคฮยอนเงยมองภายนอกที่เปียกฉ่ำไปหมดเพราะฝนยามค่ำคืน
“ยังไม่หยุดตกอีกเหรอ ร่มก็ไม่มี .. เฮ้อ” เขาเดินออกเพื่อจะหาที่นั่งรอจนฝนหยุดตก มือบางหยิบเอาบุหรี่ออกมาติดไฟแล้วนั่งลงที่มุมๆหนึ่งข้างกับโรงจอดรถ
นิ้วที่คีบมวนบุหรี่สีขาวเอาไว้กลับไม่ยกขึ้นมาใกล้ริมฝีปากแม้แต่น้อย เขาปล่อยแขนลงข้างกายปล่อยให้ไฟกลุ่มเล็กๆกัดกินจนลามหายไปครึ่งมวน ดวงตาคู่เรียวเหม่อมองสายฝนยามค่ำสะท้อนกับแสงไฟจากตึก
ผู้คนมากมายที่เดินผ่าน รถหลายคันที่แล่นออกไป ไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงฝน
“มานั่งเหม่ออะไรตรงนี้ คิดว่าฉันกลับไปแล้วล่ะสิ”
เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลังก่อนที่ใบหน้าคุ้นเคยจะปรากฏขึ้นตรงหน้า แพคฮยอนลุกยืนอย่างรวดเร็ว
“ทำไม ตกใจมากเหรอ...” จงอินถามตรงๆ แต่นั่นกลับทำให้อีกคนต้องตีสีหน้าผิดไปจากที่คิด แพคฮยอนเก็บอาการแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะไหวไหล่ให้ราวกับไม่รู้สึกอะไร ปล่อยให้ใจข้างในมันเต้นไม่เป็นจังหวะของมันไป
“เปล่าหนิ .. แค่ไม่นึกว่าคุณหนูจงอินจะมาเถลไถลอะไรแถวนี้อีก”
“หึ พูดได้ดีสมกับเป็นนายเลยนะ”
“ขอบใจ” แพคฮยอนมองมาด้วยสายตาราวกับคนละคน จงอินถอนหายใจก่อนจะอดทนแล้วพูดด้วยดีๆ
“ที่ฝากสรุปจุดสำคัญไปให้น่ะ อ่านเข้าใจรึเปล่า”
“อืม ก็ดี ขอบใจมาก” แพคฮยอนมองด้วยหางตาแล้วคีบบุหรี่มวนเดิมขึ้นมาสูบ ควันสีเทาคลุ้งอยู่รอบกาย
“นี่พูดกันดีๆหน่อยได้รึเปล่า”
“แล้วไม่ดีตรงไหน”
“แล้วหลบหน้าฉันอีกทำไม”
“ใครหลบ ก็ยืนอยู่นี่ไง ไม่เห็นจะหลบตรงไหนเลย”
จงอินเริ่มจะหมดความอดทนเข้าจริงๆ สองขาก้าวเข้าหาคนอวดดีตรงหน้าช้าๆ แพคฮยอนยังไม่หวั่นไหวจนเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเข้ามาใกล้จนจะชิดกันอยู่แล้วเขาจึงต้องถอยหลังมาหนึ่งก้าวโดยที่ปากยังคาบบุหรี่เอาไว้
“เฮ้ย ....”
แพคฮยอนตกใจที่จงอินถือวิสาสะดึงเอาบุหรี่ออกไปจากปากของเขา ใบหน้าคมจ้องมาเขม็งแล้วจับบุหรี่นั้นขึ้นสูบเสียเอง คนที่มองอยู่แทบไม่อยากเชื่อสายตาและคิดว่าอีกฝ่ายที่ไม่เคยคงได้สำลักแน่ๆ แต่ก็ผิดคาด
ควันสีเทาลอยคลุ้งเข้าปะปนกับละอองน้ำฝนจากด้านนอกโรงจอดรถ ริมฝีปากคู่นั้นควบคุมการสูบได้ราวกับชำนาญ จงอินสูดมันจากก้นมวนก่อนจะอ้าปากปล่อยให้ควันบุหรี่ลอยออกมาอีกครั้ง ไฟริบหรี่กัดกร่อนบุหรี่มวนเล็กจนหมดเขาจึงทิ้งมันลงที่พื้นแล้วใช้เท้าบดขยี้ลงไป
จงอินเงยหน้ามองแพคฮยอนที่ยืนอึ้งไปเล็กน้อย
“หึ .. ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“กะ ก็ นายไม่สูบบุหรี่ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่สูบ .. ก็ไม่ได้แปลว่าสูบไม่เป็น”
จงอินยกยิ้มที่มุมปากทั้งที่ใบหน้าไร้ซึ่งอาการใดๆ มีเพียงแววตานั้นที่มองมาให้แพคฮยอนต้องรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจ ร่างเล็กยืนกำมือแน่นก่อนจะตัดสินใจหันกลับ
“เดี๋ยว!” จงอินรีบดึงแขนนั้นเอาไว้ให้หันกลับมา ท่าทางอวดดีของแพคฮยอนหายไปเรียบร้อยแล้ว มีแต่ความไม่เข้าใจที่ฉายอยู่บนใบหน้า
“อะไรอีกเล่า นายมีอะไรก็รีบๆพูดมาได้มั้ย อย่ามาใช้อำนาจแบบนี้”
“ก็พูดแล้วไงล่ะ พูดแล้วไงว่านายหลบหน้าฉันทำไม”
“ก็เคยบอกไปแล้วไงว่า .........” แพคฮยอนชะงักไปทันทีเพราะไม่อยากจะพูดมันอีก เขาสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมนั้นแรงๆ ใบหน้าขาวๆขึ้นสีด้วยความโมโหที่ไม่สามารถเก็บไว้ได้อีก พอๆกับอีกคนที่หมดความอดทนเช่นกัน
“ฉันหมดความอดทนแล้วนะพยอนแพคฮยอน พูดมาดีๆซิว่านายเป็นอะไร”
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่ง”
“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอก นายบอกว่านายไม่ใช่เพื่อนฉัน นายไม่ใช่คริสตัล แล้วฉันเคยบอกเหรอว่านายเป็นเค้า....”
“เออก็ไม่ใช่ไง แล้วยังไงต่อ นายจะเอาอะไร นายเคยบอกว่าฉันมันไม่ได้เรื่องแล้วมายุ่งทำไม!”
“ก็ฉันอยากยุ่ง”
“.............”
“อยากจะให้เรากลับมาเหมือนเดิม”
แพคฮยอนอยากจะตัดความรู้สึกทั้งหมดทิ้งไป แต่คนโง่ๆอย่างเขาก็ทำได้แค่นี้ แค่หนีออกมาอย่างทุกที
จงอินตรงเข้าหาแพคฮยอนอีกครั้งแต่อีกฝ่ายกลับถอยห่าง ใจของคนถูกหนีหน้ามันยิ่งซ้ำหนักกว่าเดิมเมื่อคว้าเท่าไหร่ก็ไม่ถึง
มือหนาเอื้อมไปดึงร่างนั้นเข้ามาให้พูดกันแต่ก็ถูกผลักไส แพคฮยอนดันจงอินออกแรงๆแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ทั้งสองเริ่มยื้อยุดกันอยู่พักใหญ่ คนตัวเล็กกว่ายกเป้ของตัวเองฟาดเข้าที่ร่างนั้นอย่างจังก่อนจะออกแรงผลักให้ชนเข้ากับเสา จงอินยังคิดจะก้าวเข้ามาใกล้อีกแพคฮยอนจึงผลักให้ห่างออกไปเรื่อยๆจนพากันหลุดออกมาจากใต้ชายคาโรงรถ
ฝนเม็ดโตกระทบลงที่ร่างของพวกเขา แพคฮยอนเหมือนคนที่ปล่อยให้หัวใจจมดิ่งลงไปจนสุด น้ำตาที่เอ่อล้นออกมานั้นปนเข้ากันน้ำฝนจนแยกไม่ออก มือเล็กๆไม่หยุดผลักไสอีกฝ่ายเสียที
จงอินล้มลงนั่งกับพื้นเปียกๆแต่ก็ไม่ร้องโวยวายอะไร มีแค่แพคฮยอนเท่านั้นที่เหนื่อยหอบอยู่คนเดียว
“จำเอาไว้นะคิมจงอิน ... ฮึก อย่ามาเข้าใกล้ฉันอีก!”
ร่างเล็กที่เปียกไปทั้งตัวก้าวถอยหลังก่อนจะหันหนีแล้ววิ่งไปอีกทาง แต่อีกคนมีหรือจะปล่อยไป จงอินมองแผ่นหลังนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ฝังแน่นจนถอนไม่ออก
ไม่เคยรู้สึกทรมานเท่านี้มาก่อน
ไม่ไหวแล้ว
ไม่ไหวแล้วจริงๆ
ทนไม่ได้อีกแล้ว
ร่างสูงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว สองขาเหยียบย่ำน้ำฝนที่พื้นกระเซ็นออกไปคนละทาง เขาวิ่งตามคนตรงหน้าที่กำลังจะเดินจากไปอีกครั้ง เมื่อวิ่งตามมาจนใกล้กันจงอินจึงออกแรงรั้งร่างนั้นให้หันมาหา แพคฮยอนไม่ทันจะตั้งตัวก็ต้องพบว่าไม่สามารถทำอะไรได้อีก
.. มือทั้งสองประคองใบหน้าที่เปียกปอนขึ้นแล้วแนบริมฝีปากลงไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางฝนที่ยังตกลงมาไม่ขาดสาย
.
.
Tbc. Part14
สวัสดีค่ะ
ที่มาอัพเร็วถือว่าเป็นการไถ่โทษที่พาร์ทก่อนมันสั้นกุดแล้วกันนะคะ (แปลว่าพาร์ทหน้าจะมาช้าเหมือนเดิมสินะTvT)
พาร์ทนี้ยังคงอยู่ที่เดิม ..แหม่ สไตล์ของเรื่องนี้แหละค่า ~~
จงอินเหมือนจะฉลาดนะแต่ก็ยังไม่สุด แต่คนเขียนคิดว่ามันสุดแล้วนะเพียงแต่มันยังแบบ ...
ลองคิดดูว่าตั้งแต่เริ่มเรื่องคือเป็นคนที่เกิดมาพร้อมความสมบูรณ์แบบแล้วก็เป็นคนที่จะต้องสมบูรณ์แบบเสียด้วย
เลยเหมือนกับว่า เฮ้อ สรุปกว่ามันจะยอมรับ ==
นายเอกของเราก็โง้ยยยยยยยยยยย ไหวมั้ยคะลูก จะเป็นโรคหัวใจวันละหลายรอบเพราะพระเอกคนเดียวเลย
เรื่องไม่เคลียร์เนอะ ไหนจะน้องตัล น้องชาน (?) .. รายหลังนี่ต้องเคลียร์อะไร 555555 =v=
เรื่องนี้ที่บอกจะรวมเล่มคิดว่าเหมาะกับคนที่ต้องการเก็บมากกว่านะคะ เพราะว่ามันก็ใกล้จบแล้ว คงไม่มีอะไรให้รอในเล่มมากมายนัก ใครอยากได้เด๋วเปิดให้จองน่าจะต้นเดือนกันยา หรือแวะไปสอยที่บูธ F5 งานตลาดฟิควันที่ 14 ก.ย.ได้นะคะ แต่พักนี้งานรุมมากมาย
เผื่อรวมไม่ทันก็จะประกาศอีกทีค่ะ (ไม่ฟิตแล้ววววววววว TT)
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ *กอดดดดดดดดดดดดดดดด!!
25ความคิดเห็น