ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
จิวอวงยี้ ตีนแมวเทวดา

ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 15

  • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 49


               จิวอวงยี้พลันหวนนึกถึงอดีต ครั้งที่ลู่ซุนแบกนางขึ้นหลัง หลบหนีโจรร้ายขึ้นหุบเขาสิ้นชีพ ภาพความหลังผลุดขึ้นในห้วงสมอง นางทั้งอบอุ่นทั้งเป็นสุข แทบอดไม่ได้ที่จะบอกต่อลู่ซุน ว่าตนเองคือจิวม่วยม่วยที่ท่านตามหา แต่พอนึกถึงมันยังมีอคติต่อตนจำต้องสะกดจิตใจไม่เอ่ยปาก ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวาย ครุ่นคิดจนเหม่อลอย โอบกระชับสองมือให้แนบแน่นกว่าเดิม ค่อยๆแนบใบหน้าลงกับตนคอของมัน กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบา
"ตั่วกอ ท่านเดินช้าลงได้หรือไม่"
น้ำเสียงของนางฟังดูว้าเหว่วิงวอน ลู่ซุนเข้าใจว่าตนเองก้าวย่ำแรงไปอาจกระทบกระเทือนบาดแผล จึงผ่อนฝีเท้าลง

           อาทิตย์เริ่มคล้อยลับขุนเขา แสงแดดเริ่มอ่อนแรง เกือบเป็นเวลาย่ำค้ำทั้งสองจึงบรรลุถึงศาลเจ้าร้าง ลู่ซุนวางจิวอวงยี้ลง จัดแจงหอบเศษหญ้าฟางกับกิ่งไม้แห้งที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆมาทับถมรวมกันจัดทำเป็นที่รองนอนให้นางพักผ่อน ส่วนมันกลับออกไปหาอาหาร ชั่วขณะหนึ่งจึงกลับเข้ามาพร้อมไก่ป่าสองตัวกับกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำสองกระบอก ส่งน้ำกระบอกหนึ่งให้จิวอวงยี้ดื่มรับประทาน ตนเองแยกไปก่อไฟย่างไก่ที่นำมา
              นางจ่องมองดูมันขมักขะเม่นกับการทำอาหาร ลักษณะที่เคยขึงขังน่าเกรงขามยามนี้กลับไม่มีให้เห็น ดูแล้วเหมือนกับชาวบ้านสามัญ เห็นมันใช้สันมือต่างมีด สับกระแทกท่อนไม้แตกออกเป็นซีกท่อนแล้วโยนเข้ากองไฟ อดหัวร่อไม่ได้ กล่าวทั้งหัวเราะว่า
"ไม่คาดว่ามือปราบวังหลวงนอกจากมีเพลงฝ่ามือกำหราบเสือที่โด่งดังแล้ว ยังมีเพลงฝ่ามือผ่าฟืนอันยอดเยี่ยมอีกด้วย"
ลู่ซุนพอฟังต้องหัวเราะออกมาเช่นกัน
"เซียวโกวเนี้ยล้อเล่นแล้ว คิดจะย่างไก่ให้โอชะ ต้องใช้ฟืนไฟให้ได้ที่ ในที่นี้ไร้มีดดาบข้าพเจ้าจำต้องใช้วิธีนี้"
พลางหยิบไก่ที่คิดว่าได้ที่แล้ว ยื่นส่งให้พร้อมกล่าวว่า
"ท่านดูไก่ตัวนี้หอมหวนชวนรับประทานหรือไม่"
 จิวอวงยี้สูดกลิ่นหอมของไก่จนน้ำลายสอ รู้สึกไก่ตัวนี้หอมชวนรับประทานจริงๆ เอื้อมมือรับไว้ พอฉีกรับประทาน ต้องคาดคิดไม่ถึงว่าลู่ซุนจะทำอาหารอร่อยถึงเพียงนี้ นึกถึงตนเองทอดไข่ยังทอดได้ไม่ดี ผัดหมี่ยังผัดไม่ได้ นึกลอบละอายใจต่อตนเอง ภายหลังไหนเลยเป็นภรรยาที่ดีได้ ลู่ซุนเห็นนางรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย รู้สึกสบายใจหยิบไก่ที่เหลือขึ้นมารับประทานบ้าง ทั้งสองรับประทานพลาง สนทนาพลาง กลับออกรสชาติอย่างยิ่ง 
                จิวอวงยี้ถามถึงเรื่องราวในวัยเด็ก มันก็กล่าวเล่าโดยไม่ปิดบัง ตั้งแต่บิดามารดาเสียชีวิตจากไป ต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยวตามลำพัง หาเลี้ยงชีพด้วยการหาฟืน กระทั้งเผลอเล่าเรื่องที่พบจิวอวงยี้ครั้งแรกในห้องเก็บฟืนออกไป จิวอวงยี้เองก็จดจำออกแย้มยิ้มรับฟังอย่างเพลิดเพลิน พอมันเล่าถึงตอนที่โดนจิวอวงยี้กลั่นแกล้งนำพริกยัดใส่ขนมเปี๊ยะมาให้รับประทาน นางต้องหัวร่อกล่าวออกมาว่า
"ท่านวิ่งหาน้ำเป็นการใหญ่ เดือดร้อนถึงจิวเจเจ้กับพ่อบ้านต้องหาน้ำมาให้ท่านจนวุ่นวาย"
ลู่ซุนนึกถึงในตอนนั้นต้องหัวเราะออกมา พลันต้องชะงักงันฉุกคิดสงสัย ไฉนนางถึงทราบโดยระเอียด จิวอวงยี้เห็นท่าทางของมันทราบว่าตนเองพลั้งปาก ต้องรีบกล่าวกลบเกลื่อน
"เรื่องนี้จิวม่วยม่วยมักเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง นับว่าท่านน่าขบขันอย่างยิ่ง"
ลู่ซุนร้อง อ๋อ อย่างเข้าใจแย้มยิ้มรับ เหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย กล่าวน้ำเสียงเลือนลอย
"ไม่ทราบว่าตอนนี้ นางอยู่สบายหรือไม่"
จิวอวงยี้รับฟังรู้สึกอบอุ่นใจอย่างยิ่ง นิ่งคิดชั่วครู่ก่อนกล่าวขึ้นว่า
"ท่านอย่าได้ห่วงกังวลถึงนาง ตอนนี้นับว่านางอยู่สบายดี หากท่านรับปากทำงานให้ข้าพเจ้าสามข้อ ข้าพเจ้าจะนำพาท่านไปหานาง"
ลู่ซุนต้องครุ่นคิดหันมากล่าวถาม
"ไม่ทราบว่าสามข้อที่ว่านั้นเป็นอะไร"
"ข้อแรก ท่านต้องร่วมมือกับข้าพเจ้า เสาะหาตัวผู้บงการสังหารครอบครัวตระกูลจิวเพื่อทวงถามความเป็นธรรมคืนให้แก่จิวม่วยม่วย"
ลู่ซุนพยักหน้ารับแทนคำตอบ นางจึงกล่าวต่อไปว่า
"ข้อสอง ท่านต้องปกป้องคุ้มครองข้าพเจ้า อย่าให้ข้าพเจ้าเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต มิเช่นนั้นท่านจะไม่มีวันพบจิวม่วยม่วยของท่านไปชั่วชีวิต"
ลู่ซุนนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถาม
"แล้วข้อสามเล่า คืออะไร"
จิวอวงยี้ใช้นิ้วแตะปลายคางเหมือนครุ่นคิด ชั่วครู่จึงแย้มยิ้มตอบออกมา
"ในตอนนี้ข้าพเจ้ายังคงนึกไม่ออก ไว้ข้าพเจ้านึกออกเมื่อไร ค่อยบอกกล่าว"
ลู่ซุนพลันกล่าวว่า
"หากเป็นเช่นนี้ข้าพเจ้าไหนเลยรับปากได้ หากภายหลังท่านให้ข้าพเจ้าทำในสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ หรือเป็นสิ่งผิดศีลธรรมประจำใจ ข้าพเจ้าย่อมไม่สามารถกระทำได้"
จิวอวงยี้กล่าวว่า
"เรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวล ข้าพเจ้าย่อมไม่ให้ท่านทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และไม่ผิดศีลธรรมประจำใจท่าน รอจนล้างแค้นให้จิวม่วยม่วยได้สำเร็จข้าพเจ้าจะนำพาท่านไปหานาง เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านสามารถรับปากได้หรือไม่"
ลู่ซุนชังใจคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนตอบตกลง จิวอวงยี้เบิกบานใจยิ่งกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
"เป็นอันตกลงตามนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามบิดพลิ้ว"
พลางยกมือขึ้นเรียกให้มันตบมือทำสัญญา ลู่ซุนจำต้องยกมือขึ้นตบฝ่ามือกับนางสามครั้ง เป็นการให้สัญญา
 
                       ฉับพลันที่ด้านนอกบังเกิดเสียงหวีดหวิวแว่วลอยมาตามสายลม เสียงนี้ยิ่งมายิ่งใกล้ได้ยินอย่างชัดเจนนี่กลับเป็นเสียงขลุ่ย ท่วงทำนองฟังดูลี้ลับวาบหวิว ในดินแดนตงง้วนนับว่าไม่เคยได้ยินมา ทั้งคู่ต้องประหลาดใจสงสัย ในเวลาเช่นนี้ไฉนจึงมีผู้ใดมาเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงอยู่ด้านนอก ต้องออกไปชมดู เห็นสตรีผู้หนึ่งยืนเป่าขลุ่ยทามกลางสายลมยามค่ำคืน เสื้อผ้าพลิ้วปลิวไสวโบกสะบัดไปตามแรงลม เงาร่างของนางต้องแสงจันทร์กระจ่าง ที่แท้นางคือสตรีชาวเปอร์เซียผมสีดำแดงผู้นั้น เสียงเป่าขลุ่ยของนางยังไม่หยุดยั้งแต่กลับเร่งเร้ามากกว่าเดิม จนจิวอวงยี้และลู่ซุนต่างรู้สึกหัวใจเต้นถี่ ห่วงประสาทเขม่งเกรียวเร้าร้อนใจจ่องมองนางไม่วางตา รอบรอบบริเวณบังเกิดสัตว์มีพิษ ทั้งงูพิษ ตะขาบ คางคก คืบคลานออกมาจากที่ซ่อนตัวท่าทางกราดเกรี้ยวดุร้าย ราวกับว่าเสียงขลุ่ยเป็นเสียงที่เรียกปลุกพวกมันให้ออกมา
 
                           สัตว์พวกนี้ยิ่งมายิ่งมากจนเป็นที่น่าสะพรึงกลัว ทั้งคู่ต้องถอยกายอย่างลืมตัวแต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อพบว่าในตอนนี้รอบกายของพวกตนเต็มไปด้วยสัตว์พิษจำนวนมากรายล้อมอยู่ จิวอวงยี้แม้คุ้นเคยกับสัตว์มีพิษแต่ยังไม่เคยพบเห็นพวกมันมากันมากมายเป็นกองทัพเช่นนี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นงานชุมนุมของบรรดาสัตว์สารพัดพิษก็ว่าได้
เสียงขลุ่ยพลันเงียบหาย ได้ยินซุ่มเสียงหยาดเยิ้มกังวานใสกล่าวขึ้น
"ที่แท้ท่านทั้งสองแอบมาซุ่มซ่อนตัวอยู่ที่นี้ มิน่าศิษย์ของหมู่ตึกขวัญกล้าจึงหาไม่พบเห็น"
จิวอวงยี้กับลู่ซุนกวาดสายตาโดยรอบอย่างระวังตัวมิได้กล่าวคำ ครุ่นคิดว่าสถานการณ์เช่นนี้ยากยิ่งกว่ารับมือศิษย์หมู่ตึกขวัญกล้ามากนัก สัตว์พิษเหล่านี้มีท่าทีมาดร้ายไม่เกรงกลัวมนุษย์ ทั้งงูพิษ ตะขาบแดง คางคกพิษดุล แมงมุมม่ายดำ ต่างมากันคับคลั่ง แต่ล่ะตัวแต่ล่ะชนิดล้วนมีพิษร้ายแรง สตรีผมดำแดงเห็นทั้งสองพะว้าพะวงกับสัตว์พิษทั้งหลายต้องหัวเราะชมชอบ
"ท่านอย่าได้กริ่งเกรงพวกมัน หากท่านทำตามข้าพเจ้าแต่โดยดี รับรองมันจะไม่ทำร้ายพวกท่านเป็นอันขาด"
ลู่ซุนพลันกล่าวถามขึ้น
"ไม่ทราบว่าท่าน ต้องการสิ่งใด"
นางยังไม่ได้ตอบคำพินิจมองลู่ซุนโดยทั่ว แย้มยิ้มอย่างยั่วยวนนัยน์ตาหวานซึ้งกล่าวว่า
"ท่านผู้นี้ ดูองอาจอาจหาญ นำคำก้องกังวานสมเป็นบุรุษ หากท่านตายนับว่าเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง"
จิวอวงยี้เห็นนางจ่องมองลู่ซุนด้วยสายตาพิศวาสมีทีท่ายั่วยวน ตอบก็ยังไม่ตรงคำถาม ต้องบังเกิดความหงุดหงิดใจ กล่าวแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงแดกดัน
"คนผู้นี้ก็ประหลาด มันถามว่าท่านต้องการสิ่งใด มิได้ถามว่ามันสมเป็นบุรุษหรือไม่ มันจะเป็นหรือตายท่านไปเสียดายไยกัน"
สตรีผมดำแดงชม้ายตาไปยังจิวอวงยี้อย่างแช่มช้า แววตาไม่สบอารมณ์ กล่าวเสียงเย็นชา
"หลานศิษย์เอ๋ย ผู้ใดให้เจ้าเสียมารยาทต่อเรา เมื่อพบเราแล้วยังไม่เข้ามากราบเรียก ซือโกว(อาจารย์อาที่เป็นหญิง)สักคำ หรือซือแป๋เจ้าไม่ได้สั่งสอน"
จิวอวงยี้งงงันวูบกล่าวอย่างสงสัย
"ซือโกว ผู้ใดคือซือโกว"
สตรีผมดำแดงคล้ายมีโทสะ แต่แล้วกลับแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย จับจ่องมองนางก่อนเผยอยิ้มเยาะ กล่าวว่า
"ดูท่าเจ้าคงจะไม่ทราบความจริงๆ ซือแป๋เจ้าคงไม่ได้กล่าวเล่าถึงเราให้เจ้าฟังกระมัง"
จิวอวงยี้เห็นนางยิ้มเยาะตนอดบังเกิดโทสะมิได้ กระแทกเสียงกล่าวออกไป
"เฮอะ ซือแป๋ข้าพเจ้ามีสามคน แต่ล่ะคนไม่เคยบอกเล่าว่าข้าพเจ้ามีซือโกวซือเจ็กอันใด หากท่านคิดแอบอ้างยังคงแอบอ้างเป็นซือม่วยข้าพเจ้ายังจะดีกว่า บางที่ข้าพเจ้าอาจจะเชื่อถือ"
สตรีผมดำแดงหน้าแดงวูบบังเกิดโทสะมิอาจข่มกั้น เค้นเสียง ฮึ ในลำคอ ก่อนกล่าวอย่างกราดเกรี้ยว
"เจ้าเมื่อไม่ยอมรับนับถือ เราจะให้เจ้ายอมรับนับถือ"
พลันทะยานร่างแหวกผ่าดงสัตว์พิษเข้าหาจิวอวงยี้ ร่ายรำเพลงฝ่ามือออกจู่โจม จิวอวงยี้พอเห็นนางใช้ฝ่ามือออกต้องอุทานอย่างตื่นเต้นสงสัยวิชาที่นางใช้กลับเป็นฝ่ามืออสรพิษ อีกทั้งท่าร่างของนางยังมีส่วนของวิชาดัดตนอ่อนกายแฝงอยู่ถึงเจ็ดแปดส่วน ยามตะลึงงันต้องถดถอยออกไม่ได้ต้านรับ เท้ากลับเยียบย่ำโดนสัตว์พิษ ต้องรีบยกเท้าหลบหลีกหวุดหวิดโดนงูพิษฉกกัด เพียงสูญเสียสมาธิชั่วครู่พะวงกับสัตว์พิษที่อยู่ใต้เท้า กลับถูกฝ่ามืออสรพิษรวบรัด ปลายขลุ่ยในมือหนึ่งจี้เข้าใส่ลำคอ อีกมือหนึ่งครากุมชีพจรที่ข้อมือไว้
                       สตรีผมดำแดงเพียงลงมือขบวนท่าเดียวก็สามารถสยบจิวอวงยี้ให้อยู่ในการคร่ากุม จิวอวงยี้ต้องแตกตื่นจนหน้าถอดสี วิชาฝ่ามืออสรพิษของนางนับว่าใช้ได้แตกฉานไม่แตกต่างจากซาซือแป๋ของตนเอง ผิดแต่ว่าในมือนางไม่มีเข็มอสรพิษหากแต่เป็นขลุ่ยเลาหนึ่ง ลู่ซุนเห็นนางเพรี้ยงพล้ำคิดเข้าช่วยเหลือยังไม่ทันที่จะก้าวเท้า สัตว์พิษทั้งหลายก็รายล้อมขัดขวาง ขอเพียงลู่ซุนขยับกาย บรรดางูพิษ สัตว์พิษทั้งหลาย ต้องมุ่งร้ายจู่โจมอย่างแน่นอน ต่อให้มันเก่งกล้าสามารถสักปานใดก็ไม่มีทางฝ่าออกไปโดยไม่ถูกฉกกัด สตรีผมดำแดงกดปลายขลุ่ยเข้าที่ลำคอจิวอวงยี้จนต้องเงยหน้าขึ้น ก่อนกล่าวด้วยท่าทีเย้ยหยัน
"ฝ่ามืออสรพิษของเรา เจ้าว่าเราใช้ได้ดีหรือไม่"
จิวอวงยี้นิ่งงันไม่ตอบคำในใจครุ่นคิดสับสน ไฉนนางถึงล่วงรู้วิชาของซาซือแป๋เรา หรือนางเป็นซือโกวของเราจริงๆ สตรีผมดำแดงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดังกังวาน
"ขลุ่ยหยกพิษประกาศิตอยู่ในมือเรา ศิษย์วังพิษเก้าฟ้าทุกคนเมื่อพบเห็นต้องคุกเข่าลงเคารพนบนอบ เจ้าถือดีเช่นไรถึงไม่ยอมคุกเข่า"
พลันพลิกข้อมือบีบกดจุดชีพจรที่ข้อมือจิวอวงยี้โดยแรง ดันร่างนางให้คุกเข่า จิวอวงยี้เจ็บปวดจนไม่อาจแข็งขืนจำต้องคุกเข่าลง ร้องโอยด้วยความเจ็บปวด สมองสับสนมึนงงไม่ทราบว่าที่นางกล่าวเป็นเรื่องราวใด ไฉนตนต้องคุกเข่าให้ขลุ่ยหยกพิษประกาศิต แล้วตนไปเกี่ยวข้องอันใดกับวังพิษเก้าฟ้า
                      ลู่ซุนเห็นสีหน้าจิวอวงยี้เจ็บปวดสาหัสไม่อาจทนนิ่งเฉย รีบถอดเสื้อยาวออกม้วนเป็นเกลียวสะบัดกวัดแกว่งปัดป่ายสัตว์พิษจนปลิวว่อนแตกฮือเป็นทาง พอถึงตัวสตรีชาวเปอร์เซียรีบสะบัดเสื้อใส่ที่ข้อมือของนาง เสื้อนี้ถูกม้วนเป็นเกลียวผนวกกับกำลังภายในของลู่ซุนกลับกลายเป็นแส้ผ้าอันร้ายกาจ ในความอ่อนซ่อนความแข็งในความแข็งมีความอ่อนหยุ่น พอโบกสะบัดก็ซัดใส่อย่างรวดเร็วรุนแรง
              สตรีผมดำแดงต้องแตกตื่นเล็กน้อย ไม่คาดว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะหาวิธีฝ่าสัตว์พิษมาหาตนได้ จำต้องปล่อยมือจากจิวอวงยี้ถดถอยห่างออกมา พลันเป่าขลุ่ยขึ้นอีกคราบรรดาสัตว์พิษงูพิษทั้งหลายต่างคืบคลานเข้ามาอีกครา แต่ครั้งนี้มิเพียงโอบล้อมคนทั้งสองหากแต่มุ่งร้ายจู่โจมใส่ แต่ล่ะตัวคล้ายกับไม่เสียดายชีวิตพุ่งเข้าใส่ราวกับบ้าคลั่ง ลู่ซุนรีบโบกสะบัดเสื้อปัดป่ายเป็นพัลวันต้านทานเป็นสามารถ แต่สถานการณ์กลับล่อแล่คับขันขึ้นทุกขณะ ครุ่นคิดสืบต่อไปคงไม่สามารถต้านทานได้ ต้องลอบร้องย่ำแย่ไม่แน่ว่าครานี้อาจต้องทิ้งชีวิตเป็นอาหารของสัตว์พิษพวกนี้ทั้งสองคน จิวอวงยี้แม้ได้รับการปลดปล่อยจากการคร่ากุมชีพจร แต่เลือดลมภายในยังเดินไม่สะดวกยามกะทันหันยังไม่สามารถใช้กำลังได้มากแม้แต่ยันกายลุกขึ้นยังทำได้ลำบาก พลันเหลือบแลเห็นดงต้นไม้ใหญ่อยู่ห่างไปไม่ไกล ฉุกคิดได้วิธีหนึ่ง รีบร้องกล่าวต่อลู่ซุน
"ไปที่ต้นไม้"
ลู่ซุนพอฟังก็เข้าใจความหมาย ฉุดดึงจิวอวงยี้ขึ้นใช้มือข้างหนึ่งพยุงรอบเอวนางไว้ ทุ่มเทกำลังถึงที่สุดใช้เสื้อยาวต่างแส้ปัดป่ายเบิกทาง พาก้าวทะยานฝ่าบรรดาสัตว์พิษเข้าหาแนวต้นไม้ใหญ่ พอถึงทั้งคู่รีบกระโจนขึ้นบนต้นไม้ ก้าวกระโดดจากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง วิธีนี้กลับได้ผล จะอย่างไรเดรฉานเหล่านี้ก็ไม่มีมันสมองเหนือมนุษย์ สัตว์พิษพวกนี้เนื่องแน่นอยู่บนพื้นดินคิดติดตามขึ้นต้นไม้ยังต้องเสียเวลาปีนไต่ ยังไม่ทันที่จะถึงตัว ลู่ซุนก็กระโจนไปอีกต้นหนึ่งแล้ว

                         ทั้งคู่ก้าวกระโดดไปตามต้นไม้ พอพ้นอาณาบริเวณสัตว์พิษ ก็ก้าววิ่งไปตามพื้นดิน ทิ้งบรรดาสัตว์พิษไว้เบื้องหลังอยู่ไกลโข เสียงขลุ่ยยิ่งฟังยิ่งเบาบางห่างไกล ต้องลอบถอนหายใจอย่างปลอดโปร่ง ฉับพลันลู่ซุนกลับรู้สึกห่วงสมองหนักอึ้ง หูอื้อตาลายพร่าพราย ไม่สามารถประคับประคองร่างได้ล้มลงฟุบร่างลงกับพื้น
                             จิวอวงยี้แตกตื่นยิ่งรีบประคองร่างมันไว้ เห็นมันสะลึมละลือคล้ายคนง่วงนอน เรียกขานอย่างไรก็ไม่ได้สติ ฉุกคิดว่าผิดท่าอาการของมันคล้ายกับคนโดนพิษ รีบตรวจดูตามร่างกายมัน เห็นที่รองเท้าของมันมีรอยของเขี้ยวงูกัดทะลุบริเวณข้อเท้าหลายแห่งต้องรีบถอดออก พบรอยเขี้ยวงูอยู่สองสามแห่ง อีกทั้งยังมีแมงมุมม่ายดำกัดติดผิวหนังบริเวณน่องขาของมันอยู่ต้องรีบดึงออก นางยามนี้นับว่าร้อนรุ่มใจยิ่ง ต่อให้นางเป็นผู้ใช้พิษผู้หนึ่ง แต่มันกลับโดนพิษหลายชนิดเข้าจู่โจมทำให้ไม่ทราบว่าจะต้องใช้ยาขจัดพิษชนิดใดเข้ารักษา อีกทั้งมันยังใช้กำลังอย่างหักโหมทำให้พิษกระจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว หากไม่รีบหาวิธีรักษามันนับว่ามีชีวิตได้ไม่ถึงอีกครึ่งชั่วยาม ยามกะทันหันถึงกับครุ่นคิดหาวิธีมิได้ ร้อนรุ่มใจจนต้องหลั่งน้ำตา แต่หากไม่ทำเช่นไรนับว่าต้องทนดูมันตายไปต่อหน้าต่อตาไหนเลยทานทนได้ พลันก้มลงใช้ริมฝีปากดูดพิษจากปากแผลหวังให้พิษบรรเทาเบาบาง ก่อนจะนำเสื้อของมันมาผูกรัดบริเวณต้นขาเหนือปากแผลไว้ นำยาแก้พิษหลายชนิดในตัว ให้มันรับประทานเพื่อมีชนิดใดสามารถขจัดพิษในตัวมันได้ เห็นมันทำท่าจะหลับใหลนั้นนับว่าอันตรายร้ายแรงยิ่ง หากมันหลับใหลไปไม่แน่ว่าอาจไม่ฟื้นคืนตลอดชีวิต พลางล้วงเข็มอสรพิษขึ้นมาในใจเกิดอาการลังเลชั่วครู่ ก่อนจะทิ่มเข็มเข้าสู่จุดรวมประสาทบริเวณต้นคอของมัน
                    ร่างนั้นสะดุ้งเฮือกแผดร้องคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด ห่วงสมองแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆดีดดิ้นทุรนทุรายสาหัส พิษของเข็มอสรพิษของนางไม่สามารถทำผู้คนถึงกับชีวิตแต่สามารถสร้างความเจ็บปวดสุดทนทาน ยิ่งทิ่มแทงเข้าจุดร่วมประสาทด้วยแล้วนับว่ายากจะทนทานได้ จิวอวงยี้เห็นมันเกลือกกลิ้งทุรนทุรายต้องรีบเข้าไปกอดรัดไว้ กล่าวด้วยน้ำตาเนื่องนองหน้า
"ตั่วกอท่านอดทนไว้ ต่อให้ท่านเจ็บปวดเพียงใดท่านต้องอดทน หากข้าพเจ้าปล่อยให้ท่านหลับไป ชั่วชีวิตนี้ท่านอย่าหมายพบจิวม่วยม่วยของท่านอีก"
มันไหนเลยหลับลงได้ ความเจ็บปวดสาหัสนี้กลับคล้ายทำให้มันมีสติขึ้นมาอีกครา กล่าวกระท่อนกระแท่นว่า
"ข้าพเจ้าต้องไม่หลับ ท่านอย่าได้ให้ข้าพเจ้าหลับไปเป็นอันขาด"
จิวอวงยี้ต้องแย้มยิ้มขึ้นอย่างดีใจ ที่มันมีสติรับรู้กลับคืนมา แต่ไม่ทันที่จะกล่าวกระไร เสียงขลุ่ยกลับแว่วมาให้ได้ยิน บ่งบอกถึงสตรีชาวเปอร์เซียนั้นกำลังติดตามมา ไม่อาจรีรอลังเลรีบโอบประคองลู่ซุนขึ้น ทุ่มเทฝีเท้าหลบหนีอย่างทุลักทุเล
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
เอาไว้มีเวลาจะมาต่อนะครับ ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับกำลังใจครับผม

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

1ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

1ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture