คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : CHAPTER 9 :: เป้านิ่ง (100%)
CHAPTER 9 :: เป้านิ่ง
[Baekhyun]
“เหนื่อยหรือเปล่า?”
สายตาที่ขมขื่นของมินซอกจ้องมาที่ผม เขากำหมัดแน่น มือเขาสั่นเทา ตาแดงก่ำนั้นไม่แม้แต่จะกระพริบ ทำไม? กลัวเหรอที่จะมีคนรู้ความจริง
“นายนั่นแหล่ะ ไม่เหนื่อยเหรอ?”
ผมตะโกนออกไปทั้งๆที่ใจยังหวั่นๆ ถ้าเขาจะฆ่าผมทิ้งตอนนี้ก็คงไม่แปลก เพราะผมรู้ความจริงแล้วว่าเขานั่นแหล่ะหมาป่า!!!
“ถ้าเหนื่อย ฉันเองก็คงหยุดไปแล้วสิ หึหึ”
มินซอกก้าวถอยหลัง ผมวางเท้าให้แนบกับพื้นแล้วโน้มตัวลงไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อเตรียมตัววิ่ง
“มาวิ่งเล่นกันเถอะ”
มินซอกพูดแล้วแสยะยิ้ม เขาหมุนตัวกลับแล้วออกวิ่งทันที ผมรีบก้าววิ่งออกไปเพื่อตามเขา มินซอกวิ่งปราดเปรียวมาก เขาไม่มีการชะลอฝีเท้าเหมือนผมเลยสักนิด
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจชะลอฝีเท้าและค่อยๆหยุดวิ่ง เมื่อมินซอกเริ่มวิ่งเข้าไปในป่าลึก...ผมเริ่มนึกได้ว่าจะต้องรีบกลับในเมื่อมีหมาป่าอีกตัว มินซอกอาจจะล่อผมออกมาแล้วอีกตัวก็จะ....
ผมหันหลังไปทางเดิมเท่าที่จำได้ เท้าที่ถูกทั้งหนามและหินทิ่มเจ็บแปลบจนต้องตะแคงเท้าเดิน ผมเริ่มมองเห็นหาดทราย แสงจันทร์ส่องมาที่หาดทราย พื้นน้ำใสสะท้อนแสงของดวงจันทร์ มันดูสบายตา แต่ร่างหนึ่งที่นอนสงบอยู่ตรงริมหาดนั้นกลับไม่ได้สบายอย่างที่ควรเป็น
ผมเดินเข้าไปใกล้ร่างของจื่อเทา เลย์และคนอื่นๆเริ่มเดินออกมา ผมทรุดตัวลงนั่งข้างๆเขา มือที่กำแน่นของเขามีเพียงนิ้วชี้ที่จรดอยู่กับพื้นทราย เลือดหยุดไหลไปแล้วแต่เลือดที่แห้งกรังบนพื้นทรายกลับน่าสนใจกว่า ...จื่อเทาใช้นิ้วเขียนตัวเลข 88 ลงบนพื้นด้วยเลือดของเขา
เลย์ทรุดเข่าลงนั่งข้างๆจื่อเทา ใช้นิ้วอังตรงจมูกของจื่อเทาแล้วส่ายหน้า เขาย้ายมือไปแตะต้นคออีกแล้วเบะปาก
“เขาตายสนิทแล้ว”
เราเงียบและไม่มีใครพูดอะไรอีก ยังไม่มีใครสงสัยว่ามินซอกหายไปไหน เราย้ายศพจื่อเทาไปไว้ใต้ต้นไม้ที่ใช้ฝังเซฮุน ร่างของเขาแข็งคล้ายกับหุ่นเราขุดหลุมข้างๆเซฮุนอีกครั้งแล้วฝังจื่อเทาลงไป บรรยากาศดำเนินไปด้วยความเงียบสงบ หลังจากที่ฝังจื่อเทาเสร็จท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง เราไม่ได้นอนกันอีก พวกเราออกมานั่งที่หาดทรายหน้าหอพัก
“เลข 88 มันคืออะไร จื่อเทาจะบอกอะไร?”
จงแดถามขึ้นเสียงหลง แต่เขาก็ควบคุมอารมณ์ได้ดี ดูจากสีหน้าแล้วก็เหมือนเขาจะยังไม่กลัวเท่าที่ควร
“แสดงว่าไอ้ตัวเลข 88 นี่หมานั่นไม่ได้เป็นคนเขียนไว้ใช่มั้ย? แต่คนที่ตายต่างหากเป็นคนเขียน ใช่มั้ย?”
ชานยอลพูดขึ้นเสียงสั่น
“ไม่เสมอไปหรอก หมานั่นอาจจะเขียนทิ้งไว้นั่นแหล่ะ แต่คราวนี้เทา...”
เลย์เงียบ เขาเงยหน้าขึ้นมองหน้าผม
“เทาทำไม?”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยที่เลย์พูดค้างไว้ แต่เขากลับไม่พูดอะไรต่อ พวกเรากลับเข้าบ้านด้วยความเงียบ จากนั้นก็เริ่มมีความผิดปกติที่พวกเราสังเกตได้....
“มินซอกหายไป....เขาหายไปตั้งแต่เมื่อไร?”
จุนมยอนตะโกนออกมาหลังจากที่ทุกคนนั่งเงียบและพยายามคิดว่ามีอะไรผิดแปลกไป เขาเดินไปทั่วบ้านเพื่อหามินซอก
“เขาหายไปจริงๆด้วย อย่างที่ฉันบอกไง เขานั่นแหล่ะโกหก เห็นไหมล่ะ ฉะนไม่ได้โกหก!!”
ผมหันไปมองหน้าเลย์ เขาเงียบแล้วพยักหน้าให้จุนมยอน
“โอเค ฉันจะเชื่อก็ได้”
จุนมยอนยิ้มทั้งน้ำตาที่คลออยู่ เขาเดินไปหยิบไดอารี่ขึ้นมาแล้วจดบันทึกอีกครั้ง จงแดเดินไปนั่งข้างๆเขา ชานยอลล้มตัวลงนอนอย่างซังกะตายบนโซฟาตัวยาว แต่ขาของเขาก็ยาวกว่าโซฟาอยู่ดี
“แบคฮยอน ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
เลย์สะกิดแขนผมให้เดินตามออกไปข้างนอกบ้านพัก เขานั่งลงบนม้านั่งหน้าบ้าน ผมทิ้งตัวลงนั่งบ้าง
“นายจำเรื่องที่ฉันเคยเล่าได้หรือเปล่า?”
“เรื่งอะไรเหรอ?”
เลย์ใช้เท้าดุนทรายไปมา เขาก้มหน้าลงจ้องเท้าตัวเองคล้ายหาจุดให้สายตาโฟกัส
“เรื่องที่ฉันเห็นมินซอก กลับมาไงล่ะ...ฉันมีอะไรบางอย่างที่ยังพูดออกมาไม่หมด....”
ผมพยักหน้า เลย์หัวเราะสมเพชตัวเองเบาๆก่อนจะเริ่มเล่า....
----------15%-----------
“ฉันคิดไว้แล้วเชียว...”
“อะไร?”
ผมรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่เลย์พูดอะไรวกไปวนมาและชวนให้สงสัยขนาดนี้ ความจริงเขาน่าจะเล่าให้มันจบๆไปซะ
“มินซอกน่ะ ต้องมีอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ”
“อะไรที่ทำให้นายคิดอย่างนั้น เพราะเรื่องที่เขาโกหกเหรอ?”
เลย์ส่ายหน้าเบาๆ
“วันที่มินซอกกลับมาที่นี่ มีคนอื่นมากับเขาด้วย”
คำบอกเล่าของเลย์เรียกความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี ใจผมเต้นรัว
“ใครมากับเขา?”
เลย์เงยหน้าขึ้นมองไปที่ชายหาด เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“คริสกับลู่หาน...”
ใจของผมหล่นวูบเมื่อนึกภาพที่มินซอก ลู่หานและคริสวางแผนกันว่าจะฆ่าใครก่อนดี...ไม่สิ! ต้องมีเพียงคนเดียวหรือสองคนเท่านั้นที่เป็นหมาป่า ความคิดของผมในตอนนี้มันตีกันยุ่งเหยิงไปหมด ภาพที่มินซอกส่งยิ้มสมเพชให้ผมตอนอยู่ในป่ายังคงติดตาอยู่ ประกอบกับที่ชานยอลเคยเล่าให้ฟังว่าคริสตกใจที่เห็นเขา แล้วหลังจากนั้นหมายความว่าอะไร?
“ดูเหมือนลู่หานจะบาดเจ็บนะ สามคนนั่นเหมือนระแวงตลอดเวลา คงกลัวอะไรสักอย่างเห็น”
“แล้วพวกเขาไปแยกกันตอนไหน?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ผมพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์ ถ้ามินซอกเคยเข้าพวกกับคริสและลู่หานมาก่อนแล้วพวกเขาไปแยกกันตอนไหน แล้วเขาแยกกันเพราะอะไร? หรือว่าทั้งคู่จะรู้แล้วว่ามินซอกเป็นหมาป่า? หรือว่าบางทีทั้งคู่อาจจะถูกมินซอกฆ่าตายไปแล้วก็ได้
“นายเจอพวกเขาประมาณวันไหน?”
เลย์นิ่งคิด ก่อนจะตอบออกมาด้วยความลังเล
“น่าจะหลังจากที่เราหนีหมานั่นกระเจิดกระเจิงวันที่สองตอนสายๆ...พวกเขาหายเข้าไปในบ้านเกือบๆสองชั่วโมง ตอนที่ออกมามินซอกเป็นคนออกมาก่อน เขาดูเคร่งเครียดมาก เขาวิ่งกลับเข้าไปในป่า...”
“น่าแปลก...” เลย์หันมามองผม
“อะไรที่นายว่าแปลก?”
“มินซอกวิ่งออกไปเหมือนเขารู้ว่าควรไปทางไหนอย่างนั้นแหละ ใช่มั้ยล่ะ? วิธีการวิ่งของเขาน่ะ เหมือนคนมีจุดมุ่งหมายอยู่แล้วใช่มั้ย?”
เลย์เงียบไปกับคำพูดของผม ก่อนที่เขาจะแค่นหัวเราะออกมา
“ฮ่ะๆๆ นายที่คิดเก่งจังนะ ใช่แล้วมินซอกน่ะวิ่งเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะต้องวิ่งไปทางไหนแล้วเขาก็ไม่ได้กลับมาอีก”
“แล้วสองคนนั้นล่ะ?”
เลย์ก้มหน้าลง เขาเอามือลูบหน้าแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ
“ทีแรกฉันคิดว่าสองคนนั้นต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่พอหลังจากที่มินซอกวิ่งออกไปคริสก็ออกมายืนอยู่ตรงระเบียง”
“เดี๋ยวนะ นายว่าคริสออกมายืนตรงระเบียงอย่างนั้นเหรอ? ระเบียงตรงชั้นสองนั่นน่ะเหรอ?”
ผมพูดขัดเลย์ก่อนที่เขาจะเล่าจบ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองระเบียงทันที...ระเบียงนี้มองเห็นวิวที่ไกลออกไป แต่มันหันไปทางป่าแทนที่ควรจะเป็นชายหาด
“ใช่ เขาออกมายืนมองสักพักก็กลับเข้าไป หลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาที เขาก็พยุงลู่หานออกมา”
“แล้วนายคิดว่าไง?”
ผมเอ่ยถามความคิดเห็นจากเลย์ที่เป็นคนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เลย์ไม่ตอบผม เขาเงียบคล้ายกำลังเรียบเรียงความคิดในใจสักพักเขาก็เบิกต่โพลงแล้วหันมาทางผมทันที
“ฉันสงสัยลู่หาน ลู่หานแน่นอน”
เลย์เขย่าแขนผมไปมาแรงๆจนตัวผมส่ายไปมา ผมดึงมือเขาออกและยกมือขึ้นปรามเขา
“ใจเย็นๆ โอเคๆ ฉันรู้แล้วๆ”
เลย์หยุดอาการที่ว่า สักพักเขาก็แค่นหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ขอโทษนะ ช่วงนี้ฉันมีอาการวิตกจริตเยอะไปหน่อย”
ผมยิ้มเจื่อนๆให้เขา
“ไหนนายลองเล่ามาสิว่าทำไมนายถึงสงสัยลู่หาน ดูเขาก็ไม่ได้มีพิรุธอะไรเลยนี่”
“ไม่หรอก นายไม่ได้สังเกตเขามากกว่า”
ผมงงกับคำพูดของเลย์ เขาบอกว่าผมไม่ได้สังเกตลู่หาน ไม่จริงหรอก ผมสังเกตทุกคนนั่นแหละ
“ลู่หานน่ะบาดเจ็บ ถ้านายยังจำได้ วันนั้นฉันขว้างอะไรบางอย่างใส่มัน...แล้วลู่หานก็บาดเจ็บ ฉันคิดว่าอาจจะเป็นเขานั่นแหละ”
ผมส่ายหน้ากับความคิดของเลย์
“แล้วมินซอกล่ะ เขาเองก็บาดเจ็บที่ตา วันนั้นฉันเองก็ขว้างแจกันใส่มัน ถูกตาพอดี ฉันว่าหมาป่าในวันนั้นคือมินซอกนั่นแหละถูกแล้ว”
เลย์เองก็ไม่ยอมรับความคิดของผม เขาส่ายหน้าแล้วหัวเราะแห้งๆออกมา
“แล้วนายจะต้องเสียใจที่คิดอย่างนั้น”
“อะไร?” ผมหันไปมองเขา ภาพอะไรบางอย่างซ้อนขึ้นมา ภาพตอนที่หมานั่นเคาะประตูห้องของชานยอล และตอนนี้เลย์ก็กำลังยกมือขึ้นมาเสยผม...
ทั้งคู่ถนัดมือซ้ายเหมือนกัน!!!
ผมรีบถอยหลังกรูดจนสุดเก้าอี้ม้านั่ง ผมยืนด้วยขาทั้งสองข้างอีกครั้ง เลย์ดูจะสงสัยว่าผมเป็นอะไร เขาหันมาทางผมแล้วขมวดคิ้ว
“ฉะ..ฉันคิดว่าเราน่าจะเข้าไปข้างใน”
เลย์พยักหน้า เขาลุกขึ้นแล้วหันหลังกลับเดินเข้าบ้านพักไป ผมรู้สึกขนลุกเกรียวทั้งตัวกับความคิดบ้าๆของตัวเองเมื่อครู่นี้ ก็เลย์เป็นคนขว้างอะไรบางอย่างใส่หมานั่นนี่นา เขาจะเป็นหมาป่าไปได้ยังไง อีกอย่างมินซอกเองก็แสดงตัวแล้ว...นี่ผมคิดอะไรอยู่
ผมเดินตามเลย์เข้าไปในบ้าน แต่ตอนที่ผมเปิดประตูมีลมพัดผ่านหลังวูบหนึ่ง ผมหันไปมองมันก็เหมือนไม่มีอะไร ผมจึงหันหลังกลับมา...
“เชื่อตัวเอง จงเชื่อแต่ตัวเอง เชื่อแค่ตัวนายเอง เชื่อตัวเอง คำพูดของตัวเอง ความคิดของตัวเอง เชื่อตัวเอง....”
ผมมองเห็นเงาสะท้อนจากด้านหลังผ่านประตูบ้านพักที่เป็นกระจกเลื่อน มีผู้หญิงผมยาวใส่ชุดดำคนหนึ่งยืนกระซิบบางอย่างอยู่ข้างๆผม สติของผมกระเจิดกระเจิง มือรีบเลื่อนประตูแล้ววิ่งเข้าไป ทุกคนในบ้านมองผมราวกับว่าผมเป็นตัวตลก ชานยอลหัวเราะออกมา เขาเป็นคนเดียวที่ยังดูอารมณ์ดี
“เอ่อ..คือฉันหนาวน่ะเลย...รีบเข้ามา”
ทุกคนพยักหน้าแล้วกลับไปทำกิจกรรมของตัวเองต่อ จุนมยอนนั่งกอดไดอารี่ ส่วนจงแดก็นอนมองเพดานเฉยๆ ชานยอลนอนหลับอยู่บนพื้น ตัวเขาเก้งก้างจนเลย์เดินเหยียบเขาไปหลายครั้งแล้วแต่เขาก็ไม่ตื่นเลยสักครั้ง เลย์เดินไปทั่วห้อง สักพักเขาก็ไปหยิบช้อนในครัวมาถูกับกระดาษทรายและที่ลับมีด
“ทำอะไรน่ะ?”
เลย์เงยหน้าขึ้นมองผมโดยไม่ตอบ เขาก้มลงลับช้อนต่อ
“ฉันไม่รู้ว่านายทำอะไรและมันเป็นสิ่งที่ถูกหรือเปล่า เพราะงั้นช่วยบอกฉันหน่อยว่านายจะทำอะไร”
เลย์หยุดสิ่งที่ทำตรงหน้า เขาพูดโดยไม่ได้มองหน้าผม
“ฉันเคยได้ยินมาว่าหมาป่าน่ะจะตายถ้าถูกแทงด้วยโลหะหรือเงิน ฉันเลยมานั่งคิดดูว่าอะไรในบ้านบ้างที่ทำมาจากโลหะหรือเงิน”
“แล้วทำไมนายไม่ใช้มีดล่ะ มีดน่าจะคมและแหลมกว่า”
เลย์ส่ายหน้าปฏิเสธความคิดผม
“ไม่หรอก ตอนนี้ที่นี่ไม่มีมีดแล้ว ฉันเดินหาไปทั่วครัว”
อะไรกัน ทำไมที่นี่จะไม่มีมีด เมื่อวานนี้ผมยังใช้อยู่เลย
“นายคงกำลังคิดว่าฉันบ้า แต่มันเป็นเรื่องจริง มีใครบางคนเอามีดออกไปจากบ้านนี่”
ผมเงียบและพูดอะไรไม่ออกเมื่อพอจะเดาได้ว่าใครเป็นคนเอามีดออกไปจากที่นี่ ผมปล่อยให้เลย์ทำธุระของเขาต่อไป ผมกลับเข้ามานั่งในห้องนั่งเล่น ชานยอลและจงแดนอนหลับ ส่วนจุนมยอนนั่งถือไดอารี่อยู่ตรงมุมห้อง ผมกับเขาสบตากันโดยบังเอิญ จุนมยอนเผยอปากขึ้นเหมือนมีอะไรจะพูด แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้าแล้วหันหนี เราอยู่เงียบๆโดยไม่ได้ทำอะไร จนเวลาล่วงเลยมาจนบ่าย...
ผมเองก็เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมตื่นเพราะชานยอลเขย่าผมไปมา ผมขยับแว่นให้เข้าที่แล้วมองเขาด้วยสายตารำคาญ ชานยอลทำหน้าตกใจสุดๆ
“ฉันเห็นผี!”
ตาของผมเบิกโพลง ภาพของผู้หญิงชุดดำที่มากระซิบเตือนผมผุดขึ้นมาในสมอง ผมหันไปรอบๆอย่างอัตโนมัติ แต่จงแดและจุนมยอนก็ยังคงหลับอยู่ทั้งคู่
“ไหนล่ะผีที่ว่า?”
“ทะ..ทีแรกฉันนอนอยู่ตรงนั้นแล้วผีมันก็อำฉัน มันเป็นผีจริงๆนะ มันไปนอนทับจงแดด้วย แล้วจงแดก็ตื่นมา แล้วเราก็สวดมนต์กัน”
ผมหันไปมองจงแดที่ยังคงนอนหลับอยู่แล้วกลับมามองชานยอลอีกครั้ง หน้าของเขามีรอยคราบน้ำลายเต็มแก้มข้างขวาไปหมด
“แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนมีลมพัดผ่านข้างหลัง จากนั้น...จากนั้นฉันก็ตื่น แหะๆ”
ชานยอลเอามือเกาหัว ผมถอนหายใจกับความปัญญาอ่อนของเขา สายตาผมมองหาเลย์ แต่เขาไม่ได้อยู่ในนี้ ผมปล่อยชานยอลนั่งดูดนิ้วอยู่ในบ้านแล้วเดินออกมาข้างนอก เลย์นั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น ที่ม้านั่งที่เราคุยกัน เขากำช้อนที่ถูกฝนให้แหลมแน่น
ผมถอยเข้ามาในบ้านอีกครั้งเมื่อนึกภาพผู้หญิงชุดดำคนนั้น ที่เธอมากระซิบบอกผม บางที...เธออาจจะเป็นนางฟ้าของทะเล หรือเป็นนางเงือกก็ได้ เพราะแม่ของผมเล่าชอบเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟังบ่อยๆ
เวลาเกือบเย็นพวกเราก็ค้นตู้เย้นอีกรอบ เรากินข้าวกับกิมจิดองแพ็คสุดท้ายผมเขี่ยข้าวในจานไปมา ผมคิดถึงคยองซูกับแทมิน...
“เป็นไรอ่ะ?”
ชานยอลเดินมานั่งข้างๆผมเขาชะโงกหน้ากลมๆเข้ามาใกล้ผม ตากลมๆมองด้วยความสงสัย ผมผลักหัวเขาออกไป แล้วส่ายหน้า ชานอลจ้องข้าวกับกิมจิในจานผมเขม็ง ผมเหลือบตาไปมองจานของเขา มัยว่างเปล่า เขาคงกินหมดแล้วและอยากกินอีก
“นายกินไปเหอะ...”
ผมไสจานข้าวให้ชานยอล เขาทำหน้าเกรงใจแต่มือก็หยิบจานข้าวไปกิน ผมยังจำได้ว่าผมเคยไสจานข้าวไปให้คยองซูแบบนี้...
ผมเดินขึ้นมาบนห้อง ผมทิ้งตัวลงนอนคว่ำบนเตียงแล้วปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาอัดกับหมอน ข้างนอกฝนเริ่มตก ผมร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใครเพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ผมอยู่คนเดียว แต่ถ้าคยองซูหรือแทมินอยู่ด้วยพวกเขาจะต้องมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนผม เขาจะลูบหัวผมเหมือนเด็กๆ...คอยบอกให้ผมหยุดร้อง แต่ความตายมันน่ากลัวเกินไป มันพาพวกเขาไปจากผมทั้งหมด....
“แทมิน คยองซูฉันขอโทษ....ฉันขอโทษ” ผมกำหมัดแน่นแล้วทุบลงบนเตียง ฝนข้างนอกที่ตกหนัก แต่ฝนในใจของผมเองก็ตกหนักเหมือนกัน...
“แบคฮยอนนี่อย่าร้อง...”
เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังผม เตียงยุบวูบคล้ายมีคนมานั่งอยู่ข้างๆผม แต่เป็นเพราะผมนอนคว่ำอยู่จึงไม่รู้ว่าเป็นใคร ผมพยายามจะหยุดเสียงร้อง แต่เสียงสะอึกสะอื้นก็โกหกไม่ได้อยู่ดี...
“อย่าร้องนะ...”
เสียงนี้เป็นเสียงชานยอลแน่ๆ มือของเขาโอบผม แก้มเขาแนบลงมาที่ไหล่ผม นั่นมันทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม เสียงร้องของผมดังแข่งกับฝนที่ตกอยู่ข้างนอก และผมก็รู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆซึมบนไหล่ผม...ชานยอลเองก็ร้องไห้
ชานยอลดึงผมให้ลุกขึ้น เขากอดผมไว้อีกครั้ง ชานยอลเองก็หยุดร้องไห้ไปแล้ว แต่ผมก็ยังคงหยุดมันไม่ได้ ยิ่งมีคนปลอบผมก็จะยิ่งร้องหนัก...แต่ผมก็ยังอยากให้มีคนปลอบนะ
“นิ่งซะบยอนคนดี...”
“คยองซูต้องตายแล้วแน่ๆ ที่เขาตายก็เพราะฉันดูแลเขาไม่ดี แทมินตายก็เพราะฉันไม่ไปส่งเขาที่บ้าน ถ้าวันนั้นฉันสละเวลาเดินไปส่งเขาที่บ้านเขาก็จะไม่ถูกฆ่า มันเป็นเพราะฉัน ทุกคนตายก็เพราะฉัน เพราะฉันคนเดียว”
ชานยอลลูบหัวผมเบาๆ เขาโยกตัวไปมา การกระทำแบบนี้มันทำให้ผมคิดถึงคยองซู การกระทำแบบนี้มันทำให้ผมคิดถึงคยองซู มันเป็นกอดแบบที่คยองซูชอบทำ
“นายไม่ได้ผิดหรอก..นายช่วยชีวิตฉันไว้ได้ไม่ใช่เหรอ? ฉันยังไม่ได้ตาย และฉันก็จะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆด้วย”
ตอนที่ออกมาจากห้องผมไม่ได้มองชานยอล เลย์นั่งเฝ้ายามอยู่หน้าบ้าน ตอนนี้ไม่มีใครนอนอีกแล้ว ทุกคนนั่งจิตตกอยู่กลางห้อง ฝนยังคงตกไม่หยุด ตอนนี้ผมกลัวแค่ว่าไฟจะดับและพอไฟดับความรู้สึกปลอดภัยของเราจะเหลือแค่ศูนย์
จงแดนั่งซึม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนพูดมากอย่างเขา จุนมยอนคอยปลอบใจเขาตลอดเวลา แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย จงแดกลับไล่ให้จุนมยอนออกไปไกลๆ
ผมนั่งอยู่ข้างๆเลย์ คอยระวังหมาป่าช่วยเขา ผมถือไม้ถูพื้นแน่นเผื่อมันจะช่วยอะไรได้บ้าง ผมนั่งเรื่อยเปื่อยไปจนเวลาล่วงไปถึงสองทุ่ม ผมก็เห็นตาสีทองของมันจ้องมาจากที่ไกลๆ....
ผมรีบถอดแว่นออกมาเช็ดฝ้าแล้วสวมใหม่ ดูเหมือนเลย์จะยังไม่เห็น ผมกระชับไม้ถูพื้นแน่นแล้วจ้องไปที่มันซึ่งอยู่ไกลมากๆ
“เลย์....” เลย์หันมองผม เขาเหลียวมองตามสายตาผม สักพักเขาก็จับสายตาของมันได้
“มาแล้ว...”
“ใช่...”
เลย์ลุกขึ้นยืนแล้วกระชับอาวุธที่ทำมาจากช้อนโลหะ
“นายต้องจับมันไว้ แล้วฉันจะจัดการที่เหลือเอง...”
“โอเค...”
ผมตอบไปทันทีโดยลืมคิดถึงความยากของมัน ผมจะหาจังหวะไหนจับมันได้ล่ะ แล้วไหนจะขนาดตัวของมันกับผมอีก มันตัวใหญ่ซะอย่างนั้นกับผมที่ตัวเล็กกว่าผู้ชายทั่วไป ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆที่กล้าไปรับปากกับเขา
คนในบ้านเริ่มแตกตื่นเมื่อเห็นผมกับเลย์ตั้งตัว จงแดและจุนมยอนเริ่มหาที่หลบ มีเพียงชานยอลที่ยืนอยู่ข้างหลังผม
“มันจะฆ่าใครอีกมั้ย?”
เสียงสั่นของชานยอลทำผมใจแป้ว ทุกครั้งที่มันโผล่มาจะมีคนตาย แต่ครั้งนี้จะต้องไม่ใช่ มันนั่นแหล่ะที่ต้องตาย!
“ขอให้คนคนนั้นไม่ใช่นายนะ”
ชานยอลพูดเสียงแผ่วแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน ฝนที่ยังตกหนักทำให้ผมมองไม่เห็นตาสีทองของมันอีกแล้ว
“ฉันคิดว่ามันคงจะเปลี่ยนที่”
ผมหวั่นใจมากกว่าเดิม ผมมองเข้าไปในบ้าน จงแดและจุนมยอนกำลังพยายามซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะ ส่วนชานยอลนั่งซึมอยู่บนโซฟาเงียบๆ สายตาเซื่องซึมของเขามองมาที่ผมกับเลย์ตลอดเวลา
“ฉันคิดว่าเราต้องรอดแน่ แต่พวกเขา...ดูเหมือนเขาจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ถ้ามีอะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ” เลย์พูดขึ้นช้าๆ
“นายหมายความว่าไง?”
เลย์สอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณ แล้วพูดขึ้น
“บอกให้เขาล็อกบ้านซะ เราจะต้องปกป้องเขาไว้”
ใจผมหล่นวูบ ผมมองเข้าไปในบ้าน ชานยอลนั่งมองผมและเลย์จากตรงนั้น จงแดผลักจุนมยอนออกมาจากใต้โต๊ะ พวกเขาดูไม่มีสติพอที่จะสู้กับอะไรได้เลยแม้กระทั่งความกลัวของตัวเอง
เลย์ก้าวเข้าไปในบ้านแล้วพูดอะไรบางอย่างกับชานยอล ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าชานยอลปฏิเสธ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้น ชานยอลส่ายหน้าทันทีที่ได้ฟังข้อเสนอ แต่เลย์พูดอะไรกับเขาสักอย่างแล้วชานยอลก็หันไปมองจงแดและจุนมยอน ทั้งสองมองหน้ากันเนิ่นนานก่อนที่เลย์จะเดินออกมา
ชานยอลลุกขึ้นแล้วเดินมาที่ประตู เขาเลื่อนประตูปิดแล้วล็อกมันจากข้างใน ตากลมๆของเขามองมาที่ผม เขาทาบมือกับกระจกแล้วเอาแก้มแนบเหมือนเด็กปัญญาอ่อน ผมเผลอหลุดหัวเราะออกมา พอชานยอลเอาแก้มออกจากกระจก กระจกก็เป็นรอยฝ้า เขาเขียนอะไรบางอย่างลงไป
“มีชีวิต...”
ผมพยายามอ่านมันกลับหลัง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะอ่านมันจบชานยอลก็รีบลบมันแล้วเดินกลับเข้าไปอย่างอ้อยอิ่ง ผมกับเลย์พยายามมองหาไอ้หมานั่น..หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือเรากำลังมองหามินซอกอยู่...
“นายเห็นเขาเหรอ?” เลย์พูดแข่งกับเสียงฝนขึ้นมา
“หมายถึงมินซอกน่ะเหรอ?”
“ใช่ วันที่จื่อเทาตายน่ะนายเห็นเขามั้ย?”
ผมมองสายฝนที่โหมกระหน่ำและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนั้นแน่นิ่ง ภาพมินซอกที่มอบรอยยิ้มขมขื่นนั่นให้ผมยังไม่ลืมเลือน ยิ่งนึกภาพเขาได้ ความโกรธที่อยากฆ่าเขาให้ตายก็มากขึ้น เขาเป็นคนฆ่าแทมินและคนอื่นๆ รวมถึงคยองซู! ใช่! ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่แน่ใจเรื่องคยองซู แต่เขาชวนคยองซูไปที่ห้องวันนั้นและคงจัดการฆ่าคยองซูตั้งแต่ตอนกลางคืนแล้ว และเขานั่นแหละที่เป็นคนล็อกบ้านในวันที่เซฮุนเข้ามา เขาเป็นคนกัดเซฮุนจนเซฮุนกลายเป็นแบบนั้น เขาปล่อยให้เซฮุนฆ่าทุกคนและเขาก็จะพ้นข้อสงสัย...
“ตกลงว่าไง นายเห็นเขามั้ย?”
“ใช่ ฉันเห็นเขา เขาเปลี่ยนจากหมาป่าเป็นคนแล้วก็วิ่งหนีไป...เขาแสดงตัวแล้ว” เลย์ถอนหายใจ เขากกำช้อนในมือแน่น
“แล้วนั่นใช่เขามั้ย...”
ผมมองตามที่เลย์มอง ร่างๆหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น มันไม่ใช่ร่างของหมาตัวใหญ่อย่างที่ผมคิด ร่างของผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ความมืดของวันเดือนดับทำให้ผมมองเห็นเขาไม่ชัด...ใช่มินซอกหรือเปล่านะ
เลย์กำลังจะก้าวเท้าออกไปหาร่างนั้น แต่ผมคว้าแขนเขาไว้ก่อน เลย์พยายามสะบัดมือผมออก
“รอดูให้แน่ก่อนไม่ดีเหรอ? บางทีอาจจะเป็นพวกเราคนอื่นๆก็ได้” เลย์หยุดแล้วรอให้แน่ใจว่าเขาไม่ใช่มินซอก แต่ชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างบนใบหน้านั่น
เขากำลังแสยะยิ้มสมเพชพวกเรา...
“ใช่เขาแน่ๆ! ดูนั่นเขากำลังจะเปลี่ยนแล้ว”
เลย์ตะโกนลั่นแข่งกับเสียงฝน ผมกระพริบตาถี่ๆเพื่อมองภาพตรงหน้าให้ดี...ร่างนั้นหมอบลงกับพื้นแล้วเปลี่ยนสถานะทางร่างกายอย่างรวดเร็ว ผมเผลอปล่อยไม้ถูพื้นร่วงลงกับพื้น ร่างนั่นกลายเป็นหมาป่าอย่างสมบูรณ์แบบ...
ไอ้หมาป่าถอยหลังแล้วหายไปกับความมืด ไม่หรอกมันต้องไม่มาแค่เปลี่ยนร่างให้ดูหรอก มันดูกระจอกเกินไปสำหรับหมาป่าตัวนี้ที่ฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน
“เป็นไปไม่ได้...”
เลย์พูดขึ้นลอยๆ เราพยายามมองหามันในความมืดและฝนที่ตกหนักจนแทบมองอะไรไม่เห็นเลย จู่ๆผมก็รู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าเบาๆจากด้านขวาของผม ผมรีบหันขวับไปอย่างรวดเร็ว ไอ้หมานั่นอยู่ห่างจากผมแค่ระยะสามเมตรเท่านั้น! ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรเลย์ก็คว้าผมให้ถอยหลังหลบจากรัศมีการกระโจนเข้าใส่ของหมานั่น เลย์ก้าวมาข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับหมาป่า เขาชูด้ามช้อนขึ้น เหมือนไอ้หมาป่าจะรู้ทัน มันครางหงิงแล้ววิ่งจากไปอีกครั้ง
“ตั้งสติหน่อยสิ! เกือบโดนมันฆ่าไปอีกรายแล้วเป็นไง”
“ขะ...ขอโทษ มันไปจริงๆแล้วใช่มั้ย?” ผมถามเลย์ตอนที่เขากำลังโกรธ
“น่าจะยังนะ มันไม่ยอมกลับไปแน่ถ้ายังไม่ได้ฆ่าใคร ตอนนี้เราต้องระวังไว้ว่ามันจะมาจากทางไหนอีก”
ผมพยักหน้า แว่นผมขึ้นฝ้าอีกแล้ว ผมถอดแว่นออกมาเช็ดด้วยชายเสื้อด้านใน เสียงหนึ่งดังมาจากข้างๆหูผม...
เสียงผู้หญิงร้องไห้....
ผมยืนตัวแข็งและไม่กล้าหันไปมอง เสียงร้องไห้นั้นน่าสงสารแทนที่จะเย็นยะเยือกอย่างที่น่าจะเป็นเมื่อคนเราเจอผี เสียงร้องไห้นี่คุ้นๆ...เหมือนเสียงผู้หญิงชุดดำคนนั้น
ผมสะดุ้งตอนที่เลย์เรียก เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นหายไป ผมเผลอลมหายใจออกมาหลังจากที่เผลอปล่อยลมหายใจออกมาหลังจากเผลอกลั้นหายใจไปนาน เลย์มองผมด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไร? ไหวมั้ย?” ผมพยักหน้า แล้วหันไปทางต้นเสียงร้องไห้เมื่อครู่นี้ แต่ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นสักคน....
ผมกับเลย์ยืนนิ่งท่ามกลางความหนาวเพื่อรอจัดการกับไอ้หมาป่าที่เลย์มั่นใจนักมั่นใจหนาว่าเราจะทำได้ นานร่วมชั่วโมงก็ไม่มีแม้แต่กระรอกหลงผ่านมา ความเย็นยะเยือกบางอย่างคืบคลานมาจากด้านหลังซึ่งเป็นประตูบ้านพักพอดี สัญชาตญาณบอกให้ผมหันกลับไปมอง ชานยอล จงแด และจุนมยอนไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว!
ผมเผลอเอาหน้าแนบกระจกแล้วมองหาพวกเขา ไม่หรอกน่า บางทีพวกเขาอาจหาที่ซ่อนอยู่ก็ได้ แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเพราะร่างน่าขยะแขยงของมันเดินโผล่มาจากมุมอับของห้อง...มันมองมาที่ผมด้วยสายตากระหยิ่มใจแล้วเดินไปลากอะไรบางอย่างออกมาจากใต้โต๊ะ...อะไรที่ว่านั้นก็คือจงแด
จงแดสะอึกสะอื้น เขาอุทานอะไรออกมามากมาย มือทั้งสองข้างยกขึ้นพนมปากก็ร้องขอชีวิตจากหมาป่า ผมพยายามเขย่าประตูและเหมือนเลย์จะรู้ว่าผมกำลังมองอะไร เขารีบวิ่งเข้ามาหาผม และเมื่อมองเข้าไปข้างใน เขาก็รู้ว่าผมกำลังทำอะไรและทำเพื่ออะไร
“แย่แล้ว มันเป็นความผิดฉันเอง ทำไงดี!!”
เลย์พยายามใช้ช้อนที่ฝนจนแหลมนั่นไขกุญแจ จุนมยอนวิ่งลงมาจากบันไดชั้นบน เขาดูช็อกกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก แต่จงแดเป็นเพื่อนรักของเขา เขาไม่มีวันปล่อยให้จงแดตายหรอก
เลย์วิ่งฝ่าสายฝนออกไปและสักพักเขาก็กลับมาพร้อมหินก้อนใหญ่ เขาลงมือทุ่มมันใส่กระจกประตูหลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะแตกหรือร้าวสักนิด ผมมองเข้าไปในบ้านอีกครั้งแล้วมองหาชานยอลที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหน แต่ก็ไม่เจอเขา ไอ้หมานั่นดมจงแดไปมา เหมือนจงแดกำลังช็อก เขานิ่งเงียบและจ้องตากับไอ้หมานั่นเนิ่นนาน สักพักจงแดก็สะดุ้งเขาร้องโวยวายและพนมมือปะหลกๆ นั่นมันเพราะเขาไม่มีสติ!
“จงแด นายต้องมีสติสิ!”
ผมตะโกนแข่งกับฝนและเสียงฟ้าร้องแม้จะรู้ว่าจงแดไม่มีทางได้ยิน จุนมยอนเหลือบตามองผม เหมือนเขาจะเข้าใจที่ผมพูด เขาวิ่งลงมาแล้วหยิบไม้กวาดขึ้นมาฟาดลงไปที่กลางหลังของมัน แต่ถ้าผมเป็นเขาผมจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก นั่นมันฆ่าตัวตายชัดๆ!
ผมหันกลับมาช่วยเลย์ทุบกระจกประตูที่ตอนนี้มันพึ่งจะร้าวไปได้นิดหน่อยเท่านั้น แต่อีกไม่นานมันคงแตกแน่ แต่เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปข้างในอีกครั้ง ก็มีร่างๆหนึ่งล้มลงนอนกับพื้นพร้อมกับเลือดที่ไหลโชกจากน้ำมือของหมาป่าตัวนั้น....ไอ้มินซอก
ไอ้หมาโหดเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาของชัยชนะและเย้ยหยัน แล้วมันก็วิ่งหายออกไปอีกด้านหนึ่งของบ้าน...มันคงหนีไปแล้ว
ผมทรุดเข่าลงกับพื้น เลย์หยุดทุบประตูเมื่อเห็นผมร้องออกมา เขาเงยหน้าขึ้นมอง...เลย์ทุ่มหินลงกับพื้น เสียงตะโกนอย่างโกรธแค้นของเลย์ดังขึ้นก้องไปทั่วทั้งป่า...มีเสียงฟ้าร้องตอบกลับมาเป็นพยานว่าความตายครั้งนี้ของเขาจะต้องไม่ตายเปล่าแน่นอน....
[Baekhyun]
สวัสดีค่ะ -/\-
มีคนถามมาเยอะมากว่าฟิคนี้จะมีขายที่ งานตลาดฟิค#4 หรือเปล่า
บอกได้เลยว่า “ไม่ได้ไปค่ะ” เพราะแป้งต้องสอบมศววันที่ 21 (งานฟิคมีวันที่ 14)
ซึ่งถ้าแป้งไปก็ต้องขาดเรียนวันศุกร์นั่งรถไป-กลับ โคราช-กทม.ถึง2สัปดาห์ติดกัน
เลยไม่ได้ไปนะคะ แถมบูธก็เต็มหมดแล้ว
เอาเป็นว่าเก็บเงินไว้รอพรีล่ะกันเด้อ
มีอีกเรื่องคือป้าข้างบ้านเปลี่ยนรหัส wifi สุ่มเดาเท่าไรก็ไม่ได้
นี่ยกโน๊ตบุ๊กมาอัพที่ร.ร.นะ T^T
ทำไงดี นี่ใกล้จบแล้วนะ อยากรีบๆอัพให้จบๆแล้ว ฮือๆๆๆๆ
มีคนฝากกลอนมาให้ (ไม่ได้แต่งเองนะคะ
มีคนแต่งมาให้ อย่างฮา ขอบคุณมากนะคะ ^^)
จงอย่าวิ่งหากได้ยินเสียงขู่
ขอให้รู้ว่าอย่าร้องเมื่อผมเห่า
อย่าคิดหนีเมื่อได้ยินเสียงของเรา
โปรดเข้าใจไว้...ไม่รอดแน่
ดวงตาคมสีทองร้องกรรโชก
เกิดเป็นโศกนาฏกรรมที่ย่ำแย่
เขี้ยวแหลมคมพร้อมกลิ่นสาบน่ากลัวแท้
มันขอแค่ได้ฆ่าช่างน่ากลัว
ในตอนแรกแบคฮยอนน่าสงสัย
อ่านอ่านไปคิมจงอินก็หายหัว
หวงจื่อเทาทำสับสนจนคนกลัว
เอ๊ะหมาป่ามีหลายตัวหรืออย่างไร?
ที่ท่านไรท์บอกมาเป็นคำใบ้
ก็ยังงงแปดแปดหมายถึงใคร?
และหมายถึงสิ่งใดใคร่บอกที
ลีแทมินคิมเยจินครูแทยอน
เหยื่อสุดหลอนโดนข่วนฉกอยากหลีกหนี
อยากจะบอกระวังตัวไว้ให้จงดี
วูล์ฟอิสท์มี...โปรดระวังข้างหลังคุณ
หึหึ
แต่งโดย @Kai_SriDOs
เห้ยเราชอบมากเลยนะ โคตรฮาอ่ะ >///<
ใครอยากแต่งก็เม้นส่งมาได้นะ เราชอบๆ 555555555
ไปล่ะ จุ้บๆๆๆๆ
ความคิดเห็น