คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 14 - Happy Alley ปล่อยวาง (Bad memory)
Chapter14
“พี่มิ้นท์นะพี่มิ้นท์ ทำไมต้องมาอยากกินก๋วยเตี๋ยวเจ๊งาอะไรตอนนี้ด้วย”
“หัดเป็นคนขี้บ่นตั้งแต่เมื่อไหร่หละเรา” ร่างสูงที่เดินเคียงข้างกันมาเอ่ยขึ้น สองมือล้วงในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่ง เสื้อยืดสีแดงเข้มที่ทำให้เจ้าของที่ว่าผิวขาวแล้วนั้นดูสว่างขึ้นมาอีกเท่าตัว จนคชาอดคิดไม่ได้ว่าพี่เต๋าจะดูดีไปไหน
“ก็มันไกลอะ ร้านอื่นก็ไม่ได้ พี่เต๋าไม่รู้อะไรก๋วยเตี๋ยวเจ๊งานะ คิวนี่ยาวออกมาจะถึงถนน แล้วกว่าจะมาถึง พี่เต๋าก็เห็นว่ารถติดจะตาย” คชาบ่นยาวยืดจนอีกคนฟังแทบไม่ทัน มือเล็กยกขึ้นมาบังหน้าจากแสงแดดตอนกลางวันที่สาดแสงลงมาที่ดวงตา
ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว พี่มิ้นท์ขอร้องให้น้องชายสุดที่รักช่วยเหลือบางอย่าง ไม่มากอะไร ก็แค่ใช้ให้คชาไปซื้อก๋วยเตี๋ยวหมูมะนาวเจ้าโปรดที่พี่มิ้นท์ชอบนักชอบหนา อันที่จริงคชาก็ชอบเหมือนกันถ้าไม่ต้องมาซื้อเอง
พอสิ้นคำขอร้องแกมคำสั่งของพี่มิ้นท์ คชาก็ได้แต่ก้มหน้า ทำแก้มพองลม อยากจะบ่นแทบตายแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายสองขาก็พาตัวเองมายืนอยู่หน้าบ้านพี่เต๋า เอ่ยปากชวนอีกคนที่กำลังง่วนกับกองงานให้ออกมาเป็นเพื่อน แล้วคนอย่างเต๋าก็คงไม่ขัดใจคชาอยู่แล้ว งานนี้คชาเลยมีคนมาเป็นเพื่อนแต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ คชาไม่อยากมาสักนิดเลยให้ตายสิ
“ก็มันร้อนนนน...”
“เอาน่า พี่ก็มาเป็นเพื่อนแล้วนี่ไง ตัวเองไม่ได้ร้อนคนเดียวสักหน่อยเด็กขี้บ่น” ร่างบางส่งเสียงจิ๊จ๊ะเล็กน้อยเมื่อได้ยินอีกคนบอกว่าเขาเป็นเด็กขี้บ่น เต๋าสังเกตเห็นแล้วยกมือใหญ่ขึ้นลูบศีรษะคชาเบาๆก่อนจะโยกมันด้วยความเอ็นดู
“งืออ...ร้อนนะ” คชาบ่นอุบอิบเมื่อได้รับสัมผัสนั้นก่อนจะหันหน้าไปทางร่างสูง ปากเล็กนั้นยื่นออกมาอย่างน่าหมั่นไส้แต่ยังไงเต๋าก็มองว่ามันน่ารักอยู่ดี นี่ตั้งแต่ออกจากบ้านมาคนตัวเล็กตรงหน้าพูดคำว่าร้อนกี่ครั้งแล้วนะ
“คุณเด็กขี้บ่น” หัวกลมๆหันหน้ามาจ้องอีกคนอย่างเอาเรื่อง แล้วตอบกลับคนเป็นพี่
“คุณผู้ใหญ่คนอดทน” ร่างสูงหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินชื่อใหม่ที่อีกคนสรรหามาเรียก จากนั้นมือหนาก็เอื้อมจับฮู้ดสีขาวให้คลุมศีรษะของคนตัวเล็กไว้เพื่อกันแดด
“โหหห...พี่เต๋าดูนั่นสิแถวยาวเว่อร์...ฮืออ ไม่อยากซื้อแล้ว” คชารั้งแขนเต๋าเอาไว้ก่อนจะโอดครวญเมื่อสายเหลือบไปเห็นผู้คนหลายสิบชีวิตกำลังต่อแถวหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวหมูมะนาวเจ้าดัง ไม่เข้าใจว่าคนจะอยากกินอะไรกันหนักหนา มันก็อร่อยอยู่หรอกแต่ทำไมต้องมาอยากกินกันวันเดียวกับที่คชามาซื้อด้วย
“ไม่ซื้อได้ยังไง นั่งรถเมล์มาเป็นชั่วโมง” เต๋าดุเด็กขี้บ่นข้างกาย มือหนากุมมือบางของอีกคนเอาไว้ มองซ้ายมองขวาเพื่อที่จะพาเด็กขี้บ่นข้ามถนนไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังฝั่งตรงข้าม
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....ตู้ม!!!!!!
หากยังไม่ได้ก้าวขาออกไปก็ต้องตกใจกับเสียงและภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ภาพของรถตู้สีขาวที่สภาพผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชนถูกชนเข้าที่ล้อหน้าฝั่งคนขับโดยรถเบนซ์สีดำสนิทป้ายแดง
“เห้ย!” คชาอุทานออกมาก่อนที่สองมือจะหันไปเกาะแขนของอีกคนไว้ด้วยความตกใจ
ไม่นานชายร่างท้วมคนขับรถตู้สีขาวก็เปิดประตูรถและก้าวลงมาอย่างฉุนเฉียว ก่อนที่จะเดินไปยังรถเบนซ์ป้ายแดง ตะโกนเรียกสองสามครั้งเมื่อไม่เห็นทีท่าว่าอีกฝ่ายจะลงมาเจรจาด้วย ก่อนที่จะออกแรงทุบไปที่กระจกรถเบนซ์คันงามอย่างไม่เกรงกลัว แล้วตะโกนร้องเรียกให้คู่กรณีออกมาจากรถ เรียกให้ผู้คนที่ผ่านไปมาบริเวณนั้นสนอกสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ลงมาคุยกันสิคุณ ลงมา! ”
ดวงตาคู่กลมของคชามองเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนที่จะหันไปเห็นอีกหนึ่งชีวิตที่นั่งอยู่ในรถฝั่งข้างคนขับ เด็กผู้หญิงในเครื่องแบบมัธยมต้นซึ่งเดาไม่ยากว่าคงเป็นลูกสาวของชายร่างท้วม ดวงตาคู่นั้นกำลังมองไปยังพ่อของตนเองที่กำลังจะมีปากมีเสียงกับคู่กรณีรถเบนซ์ป้ายแดงด้วยสายตาเป็นห่วง
ไม่นานนักคู่กรณีคนขับรถเบนซ์ป้ายแดงสีดำก็เปิดประตูออกมาก่อนจะปรากฏให้เห็นร่างของชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้ายี่ห้อดังอีกทั้งแว่นตาสีดำราคาแพงที่สวมใส่ก็บ่งบอกฐานะของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
“ขับรถประสาอะไรของคุณ ไม่มองถนนหรือไง ผมขับมาทางตรงนะ ถ้าคุณจะเลี้ยวออกมาคุณก็ต้องมองก่อนสิ”
“นี่มีใบขับขี่หรือเปล่า หน้าก็ยังเด็กอยู่เลย รถแพงซะเปล่าแต่ขับรถไม่มีมารยาทแบบนี้ก็ไม่ไหวนะคุณ ” หากสิ่งที่ได้รับตอบกลับมาเป็นเพียงแค่สีหน้าที่แสดงออกถึงความเบื่อหน่ายของชายหนุ่มคู่กรณี ใบหน้าเสมองไปมาอย่างไม่สนใจชายหนุ่มร่างท้วมที่กำลังบ่นด่าเขาอยู่
“นี่คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือไง คุณเป็นคนผิดนะ คนแถวนี้เป็นพยานได้”
เมื่อคชาได้ยินสิ่งที่ชายร่างท้วมเอ่ยขึ้น ก็นึกในใจว่าถ้าหากเรื่องนี้ถึงขั้นต้องขึ้นโรงขึ้นศาลจริงๆ คชาคนนึงนี่แหละจะแสดงตนเป็นพลเมืองดีไปเป็นพยานให้คุณลุงคนขับรถตู้ และคชาก็มั่นใจว่าไม่ได้มีเขาคนเดียวแน่ๆที่พร้อมจะไปเป็นพยานเพราะมีคนมากมายแถวนี้ที่เห็นเหตุการณ์และมั่นใจว่าเจ้าของรถเบนซ์ป้ายแดงคนนั้นเป็นคนผิด อย่างน้อยก็พี่เต๋าคนหนึ่งแหละที่เห็นเพราะคชาจำได้แม่นเลยว่าตอนที่รถชนกันพี่เต๋าบีบมือคชาแน่นแค่ไหน
“ได้ๆ เดี๋ยวรับผิดชอบเอง โอเคไหม? ทีนี้ผมไปได้แล้วยัง” ชายหนุ่มคนขับรถเบนซ์เอ่ยออกมาในที่สุดก่อนที่แว่นสีดำจะถูกถอดออกแล้วเหน็บไว้ที่เสื้อเชิ้ตราคาแพง
“ยังไปไม่ได้ คุณยังไม่ขอโทษผมเลยนะ”
“ก็บอกว่าจะรับผิดชอบแล้วนี้ไง จะเอาอะไรอีก”
“ที่จริงผมไม่ได้ต้องการให้คุณมารับผิดชอบอะไรมากมาย รถพังแค่นี้ผมซ่อมเองได้ แต่คุณทำผิดคุณควรจะขอโทษ”
คชายังคงจ้องมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่ไหวติง กระทั่งเต๋าสะกิดเรียก “คชา ไปเลยไหม คงไม่มีอะไรแล้วหละ” คชาพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะก้าวขาเตรียมข้ามถนนไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊งา แต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปก็เหลือบมองเห็นชายสูงวัยคนหนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากร้านขายพรมนำเข้าของอีกฟากถนนคล้ายกับว่ากำลังมุ่งไปยังที่เกิดเหตุ ใบหน้าที่เรียบเฉยเย็นชาเกินคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเรียกความสนใจของคชาให้มองไปยังชายแก่คนนั้นอย่างไม่วางตา แต่ก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจไม่น้อยเมื่อมองไปเห็นปืนกระบอกเล็กสีดำในมือขวาของชายแก่ ก่อนที่ร่างเล็กจะเขย่าแขนคนข้างกายให้หันไปมอง เต๋าเองดูจะตกใจไม่น้อยเหมือนกัน และเหมือนสัญชาติญาณบางอย่างบอกว่าต้องมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น ก่อนที่ร่างสูงจะเอ่ยตะโกนอะไรออกไปแต่ก็เหมือนว่าไม่ทันเสียแล้ว
“ปัง!”
เสียงปืนที่ดังสนั่นก้องไปทั่วทั้งบริเวณทางสามแพร่ง ตามมาด้วยเสียงร้องตกใจของผู้คนในบริเวณนั้น ไม่ต่างอะไรจากคชาที่ตกใจจนสะดุ้ง เผลอเอาหัวกลมๆนั้นซุกไปที่อกของใครอีกคน มือเล็กดึงชายเสื้อของเต๋าเอาไว้ด้วยความผวาก่อนที่มือหนาของเต๋าจะยกขึ้นกอดร่างเล็กแล้วลูบปลอบประโลมที่หลังเบาๆ
คชาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแค่นาทีเดียว ไม่ใช่สิไม่ถึงนาทีเลยด้วยซ้ำไป ภาพใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาไร้ความปราณีของชายแก่ที่เดินไปยังคนสองคนที่มีปากเสียงเคลียร์ปัญหาเรื่องอุบัติเหตุตรงหน้า ภาพที่เจ้าของใบหน้าเย็นชายกแขนขวาขึ้นจ่อวัตถุสีดำไปที่อกด้านซ้ายของชายร่างท่วมแล้วลั่นไกออกไปโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรด้วยซ้ำ ยังไม่มีคำกล่าวคำสุดท้ายเอ่ยออกมาจากปากของคนคนนั้นเลยแม้แต่คำเดียว
คชากำชายเชื้อเต๋าแน่นขึ้น ใบหน้าเล็กยังคงซุกอยู่ที่อกของร่างสูง หลับตาแน่นราวกับว่าอยากจะลบภาพเหล่านั้นทั้งหมดออกไปจากความทรงจำ
“พ่อ !!!!!!!!!!!!!!” เด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมกระโดดลงมาจากรถตู้สีขาวด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะทรุดตัวนั่งลงกับร่างของผู้เป็นพ่อ น้ำตาไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างห้ามไม่อยู่
“คะ คุณ มายิงพ่อหนูทำไม” ประโยคคำถามถูกส่งออกไปยังชายแก่ตรงหน้า ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องไห้โหยหวนของเด็กหญิง สองมือเล็กโอบอุ้มร่างของผู้เป็นพ่อที่นอนแน่นิ่งหลับตาสนิท นิ้วชี้ถูกส่งไปยังปลายจมูกของผู้เป็นพ่อ ก่อนที่ลมหายจะสะดุดราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน เด็กหญิงกรีดร้องคร่ำครวญด้วยความตกใจ
“ฮือออออ...ใครก็ได้ช่วยพ่อหนูด้วย” หากแต่ไม่มีใครก้าวออกไปยังที่เกิดเหตุสักคน ผู้คนหลายคนยังคงตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า และอีกหลายคนรู้สึกไม่ปลอดภัยหากนำตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้
“เข้าบ้าน! วันนี้ไม่ต้องออกไปไหน” น้ำเสียงเย็นของชายชราถูกเปล่งออกไปเพื่อบอกชายหนุ่มคนเจ้าของรถเบนซ์ป้ายแดง ก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบก้าวขึ้นไปยังรถเบนซ์สีดำสตาร์ทเครื่องและเคลื่อนตัวรถออกไป ชายชราที่ในมือขวายังคงถือปืนสีดำมองภาพตรงหน้าก่อนที่จะหันหลังเดินกลับเข้าไปยังร้านขายพรมส่งออกแล้วสั่งลูกน้องในร้านให้ปิดร้าน
ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา ทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยเสียงร้องไห้โหยหวนของเด็กหญิงที่โอบกอดประครองร่างของพ่อตนเองไว้ มือเล็กเขย่าจนสุดแรงหวังให้ผู้เป็นพ่อลืมตาขึ้นมามองตนเองแต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล เมื่อลมหายใจเฮือกสุดท้ายของพ่อเธอนั้นได้หมดลงไปแล้ว
ผู้คนที่ผ่านไปมามองภาพนั้นอย่างเศร้าสลด ก่อนที่จะมีใครสักคนในบริเวณนั้นติดต่อไปยังสถานีตำรวจและโรงพยาบาล คนที่ผ่านไปมาเดินเข้าไปหาเด็กหญิงกับร่างที่ไร้วิญญาณของชายร่างท้วม โอบกอดปลอบประโลมเด็กน้อยผู้น่าสงสาร แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเมื่อเด็กหญิงยังคงคร่ำครวญกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของผู้เป็นพ่อ
-----------------------------------------------------------------------
รถพยาบาล รถหน่วยกู้ภัยรวมไปถึงรถตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุได้ชั่วโมงแล้ว ร่างไร้วิญญาณของชายร่างท้วมได้รับการเคลื่อนย้ายไปยังโรงพยาบาลในละแวกนี้ รวมไปถึงลูกสาวที่ติดตามขึ้นรถพยาบาลไปกับพ่อของตนด้วย ตำรวจสามนายเข้ามาเคลียร์สถานการณ์ ซักถามผู้คนในบริเวณนั้นที่หลายคนยังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ รวมไปถึงร่างเล็กของคชาที่ตอนนี้นั่งลงกับฟุตบาทข้างถนน ไหล่บางถูกโอบไว้ด้วยมือของร่างสูง ดวงตาคู่กลมยังคงเหม่อลอยและเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆ คชาตกใจถึงขั้นตกใจมาก ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่รถชนกันจนถึงภาพที่ผู้ชายคนนั้นโดนยิงยังคงติดตาไม่จางหาย
“ไปนั่งที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเถอะนะ ให้เจ้าหน้าที่เขาเคลียร์ตรงนี้ก่อน คชาไหวไหม?” เป็นเต๋าที่เอ่ยออกมาเมื่อเฝ้ามองร่างเล็กตรงหน้าที่ยังคงเหม่อลอย เต๋ารู้ว่าคชาตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก ขนาดเขาที่ว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมามากยังตกใจจนแทบช็อค แล้วนับประสาอะไรกับเด็กมัธยมอย่างคชา เกิดมาใครจะไปนึกไปฝันว่าจะเจอคนยิงกันตายต่อหน้าแบบนี้
คชาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงแต่พยักหน้าลงเบาๆ ร่างสูงของเต๋าลุกขึ้นก่อนที่จะส่งมือหนาไปยังคนตัวเล็ก ฉุดให้อีกคนลุกขึ้นตาม แล้วเดินไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวที่แม้คนจะบางตาลงเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หากยังคงมีลูกค้าต่อแถวอยู่ ตาคมของเต๋ามองไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจสามคนที่เดินไปยังร้านขายพรมส่งออกฝั่งตรงข้าม กำลังยืนคุยกับคนในร้านสองสามคน เห็นพยักหน้าเออออกันสักพักแล้วตำรวจสามคนก็เดินเข้าไปในตัวร้านของชายชราคนนั้น
“พี่เต๋า เราต้องไปเป็นพยานให้เขาใช่ไหม?” เสียงเล็กๆของคชาเอ่ยถามเต๋า เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยว
“ก็คงต้องไป เราคงพอจะช่วยเขาได้บ้าง” เต๋าตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้ร่างเล็กเมื่อสังเกตว่าใบหน้าน่ารักนั้นยังคงซีดและผวาอยู่ไม่น้อย ก่อนจะเดินไปยังแม่ค้าเพื่อส่งรายการเมนูอาหารให้แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะกับคชา
คชากำลังเหม่อลอยและคิดประท้วงบางอย่างกับตัวเองในใจ คชาเพียงแค่คิดว่าหากเขาคิดได้เร็วกว่านี้ หรือถ้าหากมีสติมากกว่านี้คชาคงเอ่ยปากร้องออกไปบอกชายร่างท้วมให้ระวังตัว ชายคนนั้นอาจจะไม่ตาย เด็กผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่เสียพ่อผู้ซึ่งอาจจะเป็นที่พึ่งเดียวในชีวิตของเธอก็ได้
“คิดอะไรอยู่เด็ก คิ้วขมวดใหญ่แล้วนะ”
“เปล่า...ไม่ได้คิดอะไร”
“อีกครั้ง” เต๋าดูออกว่าคชากำลังคิดมาก น้ำเสียงเลื่อนลอยเหมือนจิตใจคนพูดไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั่นแสดงออกอย่างชัดเจน
“แค่คิดว่า...พี่เต๋านั่นตำรวจออกมาแล้ว” หากเมื่อกำลังจะเอ่ยบอก ดวงตาคู่กลมก็เหลือบมองไปเห็นตำรวจสามคนที่เดินลงออกมาจากร้านขายพรม และกำลังเดินมุ่งมายังร้านก๋วยเตี๋ยวที่คชานั่งอยู่
“เมื่อสักครู่มีใครเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้างครับ” ร่างเล็กเมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ยถามก็กำลังจะยกมือขึ้น หากเป็นมือหนาของใครอีกคนที่เอื้อมฉุดห้ามไว้ก่อนและกุมมือเล็กนั้นไว้หลวมๆ คชาหันไปมองเต๋าก่อนจะส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยให้ร่างสูง
“ถ้ามีใครเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้เข้าไปคุยกันในร้าน” หากครั้งนี้กลับเป็นน้ำเสียงเย็นๆ และแววตาดุดันที่สอดส่ายไปทั่วบริเวณ จนผู้ฟังที่ได้ยินประโยคนั้นรับรู้ได้ถึงความหมายบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในข้อวามธรรมดานั่น
เหมือนคชาจะเข้าใจเหตุผลที่พี่เต๋าห้ามตัวเองไม่ให้ยกมือขึ้นแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนั้นเหนือกว่าคนอื่นยังไง ถึงมีสิทธิ์มาตัดสินปลิดลมหายใจของใครคนหนึ่งได้ตามใจชอบแบบนั้น
-----------------------------------------------------------------------
ตลอดระยะทางกลับบ้านที่ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง คชาแทบจะไม่ปริปากพูดเลยสักคำอีกทั้งดวงตากลมโตที่เคยฉายแววสดใสก็หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ใช่ว่าเต๋าจะไม่ชวนคุยแต่เมื่อถามอะไรไปร่างเล็กก็เพียงแค่พยักหน้าอือออถามคำตอบคำเพียงเท่านั้น
“กลับมาแล้วหรอ ไหนๆก๋วยเตี๋ยวพี่” มิ้นท์เอ่ยทักเต๋าและคชา ตามองหารายการอาหารที่สั่ง ก่อนที่เต๋าจะเป็นคนยื่นถุงพลาสติกที่บรรจุก๋วยเตี๋ยวหมูมะนาวให้
“ว้าวว เยี่ยมมาก มากินด้วยกันเลยมา เต๋าด้วยนะ เดี๋ยวกินเลย พี่อยากมาก” มิ้นท์พูดขึ้นแล้วหันหลังเดินไปที่เคาท์เตอร์ในห้องครัว จัดแจงภาชนะสำหรับสามที่ทันที
“ชายังไม่หิว พี่มิ้นท์กินก่อนเถอะ” หากมิ้นท์ก็ต้องหันหลังกลับมามองน้องชายตัวแสบด้วยความแปลกใจ นี่อย่าบอกนะว่างอนที่ใช้ให้ไปซื้อก๋วยเตี๋ยว แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรร่างเล็กๆนั่นก็เดินขึ้นบันไดไปเสียแล้ว
“เป็นอะไรอีกหละเต๋า”
“มีเรื่องนิดหน่อยครับพี่มิ้นท์” แล้วเต๋าก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เขาและคชาพบเจอมาในวันนี้ให้มิ้นท์ฟัง
-----------------------------------------------------------------------
เวลาล่วงเลยจวนสองชั่วโมงแล้วแต่คชายังคงไม่ออกจากห้องนอน เต๋ากังวลหากไม่รู้เหมือนกันว่ากังวลในเรื่องอะไร ...ความเงียบที่คชามอบให้ทำให้เต๋าไม่กล้าถามอะไร ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทั้งที่เป็นห่วงขนาดนี้แต่แค่เอ่ยปากถามอีกครั้งกลับไม่กล้า
“เด็ก...เปิดประตูให้พี่หน่อย”
“เด็ก เด็กครับ” ไร้สัญญาณตอบกลับ ท้ายที่สุดเต๋าจำต้องตัดสินใจเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อคเพื่อเข้าไปหาเจ้าของห้อง แต่เด็กน้อยก็ได้เปิดประตูออกมาพอดี คชาวางแมวน้อยแสนรักลงกับพื้นให้ไปวิ่งเล่นตามประสา แล้วหันมาสนใจคนตรงหน้า
“พี่มาตามไปกินข้าว นอนอยู่หรอ?” เต๋าเอ่ยถามเจ้าของสีหน้างัวเงียตรงหน้าทันที มือหนายกขึ้นทาบหน้าผากมนทันทีเมื่อเห็นสีหน้าผิดปกติของคชา อุ่นใจขึ้นมาหน่อยเมื่ออุณหภูมิของคนตัวเล็กเป็นปกติ
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เด็กน้อยส่ายหัวสองสามทีแทนคำตอบ
“ล้างหน้าก่อนแล้วจะตามไป” สิ้นประโยคคชาก็หันหลังเตรียมตัวเดินไปยังห้องน้ำ แต่มือของเต๋าได้ฉุดรั้งไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวพี่รอ...ลงไปพร้อมกัน” เต๋าปล่อยมือคชาให้คนตัวเล็กไปเข้าห้องน้ำแล้วนั่งแน่นิ่งลงกับเตียงนุ่มจดจ้องมองแผ่นหลังบาง จิตใจยังคงพะวงกับอาการและท่าทีของเจ้าตัว ...คชาเงียบลงไปมาก รอยยิ้มสดใสหายไปไม่มีให้เห็น
หลังจากจัดการกับมื้อค่ำครบทุกคน เต๋าก็กลับไปยังบ้านของตนเอง อาบน้ำแล้วหอบหิ้วไอแพดกับเอกสารงานสองสามชิ้นมานั่งเป็นเพื่อนเด็กเหม่อลอยที่ตอนนี้กำลังพยายามตั้งสมาธิอยู่กับหนังสือตรงหน้า หากดูเหมือนไม่ได้ผลเลยสักนิด...คชายังคงคิดถึงภาพเหตุการณ์ในวันนี้ คำถามมากมายกำลังวิ่งวนเวียนอยู่ในหัวสมองกลมๆ
“ถ้าไม่ไหวก็ไปนอน ไว้ค่อยอ่านต่อพรุ่งก็ได้” เต๋าเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบที่ปกคลุมมานานร่วมชั่วโมง แต่คนถูกถามเพียงแต่ตอบสั้นๆเสียงเบา
“ยังไม่ง่วง...”
“ตาจะปิดแล้วครับเด็ก เก็บของขึ้นห้องเดี๋ยวพี่ขึ้นไปส่ง” เต๋าบอกอีกครั้งแล้วเริ่มลงมือเก็บข้าวของทั้งของตนเองและของคนตัวเล็ก แต่ตอนนี้คชาไม่อยากนอน คชาไม่อยากหลับตา คชาไม่อยากอยู่ภายใต้ความเงียบ...ความเงียบที่ได้ยินเสียงปืนดังสนั่นแบบนั้น คชาไม่ต้องการ
เดินก้มหน้าก้มตาตามหลังพี่ชายตัวสูงมาถึงหน้าประตูห้องนอน ล่ำลาอีกฝ่ายจนอีกคนกำลังจะเดินออกจากห้องไป
“พี่เต๋า...” ขาที่กำลังจะก้าวหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงเบาเอ่ยเรียกอีกทั้งยังมีแรงดึงที่ปลายเสื้อนอน พอหันหลังกลับก็โดนอีกคนโผเข้าหาเสียเต็มแรง
“เป็นอะไรครับ” ไม่มีคำตอบใดหลุดออกจากปาก มีเพียงอาการส่ายหน้าบนอกเขาเท่านั้น มือหนาลูบปลอบประโลมกลุ่มผมนุ่มเบามือ เด็กน้อยกำลังหลับตาปี๋ซุกซบอยู่บนแผ่นอกของเขาหวังให้ความอบอุ่นช่วยเจือจางภาพความทรงจำในวันนี้ลงไปได้บ้าง...และก็เป็นเช่นนั้น...ตอนนี้คชาแค่ไม่อยากอยู่คนเดียว...คชาแค่อยากให้พี่เต๋าอยู่ข้างๆ
“ให้พี่นอนเป็นเพื่อนไหม?” เสียงทุ้มนุ่มก้มกระซิบถามข้างใบหูของคนในอ้อมแขน คชาพยักหน้ารัวทันทีที่เต๋าพูดจบ
นิ้วโป้งปาดน้ำตาบนแก้มเนียนเบามือก่อนจะดึงร่างเล็กมากอดอีกครั้ง...น่าสงสาร...ตอนนี้เต๋ารู้สึกเพียงแค่นั้น ช่วงเวลานี้เขาไม่ควรปล่อยให้เด็กน้อยต้องอยู่คนเดียว ถึงแม้คชาจะไม่พูดอะไรออกมาขอแค่ได้อยู่ข้างๆแบบนี้ก็พอ เขาจะรอ...
เต๋ายังคงไม่หลับ ยังคงเป็นห่วงเจ้าของแผ่นหลังบางที่ตนเองกำลังจดจ้องอยู่ เขารู้ว่าคชายังคงกลัวกับภาพเหตุการณ์ในวันนี้แต่บางอย่างบอกเขาว่ามีสิ่งอื่นมากกว่านั้น แต่เพียงไม่รู้ว่าคืออะไร อยากให้คชาพูดอะไรออกมาบ้าง อยากให้คชาบอกตนเองในสิ่งที่กำลังรู้สึก อยากเป็นคนที่คชาสามารถบอกเล่าได้ทุกเรื่องราว
มือหนาเอื้อมลูบศีรษะกลมคล้ายจะกล่อมให้น้องหลับฝันดี แต่นั่นทำให้คชาพลิกตัวกลับมาทางด้านเขา ทำให้เต๋ารู้ว่าเจ้าของดวงตาสดใสนั่นยังคงไม่หลับ เต๋าถามแล้วเขยิบเข้าหาคนตัวเล็ก มือหนายังคงลูบผมนิ่มแล้วเอ่ยถามขึ้นในความมืดมิด
“นอนไม่หลับหรอ” คชาส่ายหน้าแล้วก้มหน้าลง ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะโดนโอบกอดให้ชิดกับแผ่นอกอบอุ่นอีกครั้ง
“กำลังพยายาม...” เสียงเล็กตอบอู้อี้ซุกหน้าลงกับอกของเต๋า
“พี่เต๋าเคยเป็นไหม...รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังฝันร้ายทั้งที่ยังลืมตา” เสียงสะอื้นติดขัดกับประโยคที่ทำเอาคนฟังถึงกับลืมหายใจ เรียกให้เต๋าโอบกระชับอ้อมแขนให้แน่นมากขึ้น เด็กน้อยตรงหน้าเขากำลังกลัวและยังคงผวากับเหตุการณ์ในวันนี้เป็นอย่างมาก
“พี่ไม่เคยเป็น...แต่ถ้าตอนนี้คชากำลังรู้สึกแบบนั้นอยู่ พี่จะไม่ปล่อยให้คชาต้องอยู่กับมันคนเดียว”
“บอกพี่หน่อยได้ไหมว่าตอนนี้รู้สึกยังไง” เต๋าถามขึ้นท่ามกลางความมืดมิด นิ้วชี้เกลี่ยบางเบาที่แก้มนุ่มนิ่ม ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่นานกว่าคชาจะตอบกลับ
“...คชากลัว” คชาเงยหน้ามองคนเป็นพี่ ตากลมใสที่ฉาบเคลือบด้วยหยาดน้ำตากำลังสั่นไหวเหมือนกำลังกลั้นมันเอาไว้ แต่เต๋ากลับอยากให้คชาปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นไว้ออกมา เขาเชื่อว่าคชาจะดีขึ้นถ้าได้พูดอะไรออกมาบ้าง
“มากไหม”
“มาก” เต๋าไม่ขอให้คนตัวเล็กในอ้อมกอดหลับฝันดี ขอเพียงคืนนี้ให้คชานอนหลับได้เป็นพอ เสียงทุ้มนุ่มกระซิบประโยคสุดท้ายแล้วเลื่อนผ้าห่มให้คลุมกายทั้งเขาและคชา ก่อนจะกอดน้องเอาไว้ หวังให้อ้อมกอดของตัวเองช่วยกล่อมให้คชาหลับสนิทได้บ้าง
“อยู่กับพี่นะคนดี”
-----------------------------------------------------------------------
มือหนาควานหาร่างนุ่มนิ่มที่นอนกอดเอาไว้ทั้งคืนหากความว่างเปล่าที่พบทำให้ต้องลืมตาขึ้นทันที คชาหายไป...ตาคมกวาดมองไปรอบห้องนอนสี่เหลี่ยมไม่พบใคร มีเพียงแสงสว่างจากจอคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่เขาพบ เต๋าเดินไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ คิ้วขมวดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นหน้าจอที่เปิดค้างทิ้งไว้
“ตื่นเช้าจัง” เต๋าถามในขณะที่ตัวเองกำลังเดินลงมาจากบันได มองเห็นคชากำลังนั่งกอดเข่าจ้องมองโทรทัศน์จอใหญ่อยู่กลางห้องรับแขก
“พี่เต๋าตื่นสาย” ตอบไปแบบนั้นไม่ได้สนใจมองคนถามเลยสักนิด
“ไม่ได้นอนมากกว่ามั้ง” นิ้วโป้งปาดเข้าที่บริเวณใต้ดวงตาบวมตุ่ยก่อนจะนั่งลงข้างกายเด็กน้อย
“ไม่เห็นมีข่าวเรื่องเมื่อวานเลย” คชาว่าก่อนจะเอนหัวให้พิงซบกับไหล่กว้าง “ในเวบก็ไม่มี”
“ยังอยากรู้เรื่องนั้นอยู่หรอ” ความเงียบคือคำตอบ
“นอนนะครับ”
“คชาไม่ง่วง” บอกทั้งๆที่หลับตา ใช่ว่าคชาจะไม่ง่วง ใช่ว่าคชาจะไม่อยากนอนแต่พอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะหลับก็กลับต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ...
เต๋าถอนหายใจมองเด็กน้อยที่กำลังนอนหลับไหลที่บ่า ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าคชาหลับลงไปแล้ว ไม่นานเต๋าก็ย้ายร่างเล็กให้มานอนหนุนตักเขาแทน รู้สึกอุ่นใจขึ้นมามากที่เห็นคนตัวเล็กหลับได้ หวังไว้ในใจว่าคงจะไม่สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกเหมือนเมื่อคืนอีก
-----------------------------------------------------------------------
จวนจะครบอาทิตย์สำหรับเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น และเป็นอีกหนึ่งอาทิตย์สุดโหดของเต๋าที่ต้องเผชิญกับภาระงานต่างๆมากมาย สารพัดงานที่รุมเร้าตอนนี้เหมือนเป็นสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตของเขา
คชายังคงซึมเศร้าและเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่คนในครอบครัวแต่เพื่อนฝูงคนสนิทก็รับรู้ได้... คชาพูดน้อยลง เหม่อลอย ยิ้มน้อย และนับตั้งแต่วันนั้นคชาก็ย้ายมานอนกับพี่สาวทุกคืน หลายครั้งที่คนตัวเล็กสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วไม่สามารถข่มตาตัวเองให้หลับลงได้อีก
‘คชายังไม่ดีขึ้น’ นี่เป็นสิ่งที่เต๋าได้รับรู้จากพี่มิ้นท์ผ่านสายโทรศัพท์ หลายวันที่ผ่านมาเต๋าเจอหน้าคนตัวเล็กแทบจะนับครั้งได้ งานที่มีมากมายทำให้ต้องเริ่มเช้าและกลับค่ำ ถอนหายใจและปลอบตัวเองหลายครั้งว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่ยังได้กลับมานอนบ้านทุกคืน
‘ฝากคชาด้วย’ อีกหนึ่งประโยคจากพี่มิ้นท์ที่ทำให้เต๋ารู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด ถ้อยคำที่เหมือนฝากฝังให้เต๋าดูแลน้องชายสุดรักสุดหวง...ถ้อยคำที่แสดงถึงความไว้ใจ
“เด็ก..ถึงแล้วนะ” เต๋ากระซิบบอกข้างใบหูคนตัวเล็กทันที เมื่อใกล้ถึงที่หมาย เช้านี้เต๋าตั้งใจพาคชามาทำบุญ หวังให้อะไรหลายๆอย่างดีขึ้น สักนิดก็ยังดี
หลังจากถวายสังฆทานเสร็จเรียบร้อย แต่เมื่อจะลุกขึ้นออกจากตัวโบสถ์เสียงของเจ้าอาวาสก็ฉุดทั้งเต๋าและคชาไว้เสียก่อน
“มันเป็นเรื่องของเวรกรรม ไม่มีใครหลีกหนีได้พ้น” แปลกใจอยู่เหมือนกันที่พระอาจารย์รับรู้ทุกข์ในใจของตนเอง คนตัวเล็กลงไปนั่งพับเพียบที่เดิมก่อนจะพนมมือรับฟังในสิ่งที่พระบอกอย่างตั้งใจ
“ผมแค่รู้สึกผิด...” คชาถอนหายใจก่อนจะบอกสิ่งที่ตนเองรู้สึกออกมา
“ผมแค่คิดว่าถ้าบอกเขาทัน ถ้าได้ตะโกนบอกผู้ชายคนนั้นว่ากำลังจะโดนยิงเขาอาจจะไม่ตาย...” แล้วเต๋าก็ได้รู้ในสิ่งที่สงสัย คชากำลังโทษตัวเอง.. “เด็กคนนั้นคงไม่เสียพ่อไป...ทำไมแค่ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่เราตกใจขาดสติทำให้คนอื่นต้องเสียคนที่รักไปตลอดชีวิต”
“มันเป็นกรรมของใครของมัน ใครทำสิ่งใดไว้ย่อมได้รับสิ่งนั้น เราเข้าไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกนะโยม”
“ปล่อยวาง มองเห็นเหตุแห่งกรรม อะไรจะเกิดก็ต้องคิดว่า กรรมใครกรรมมัน รู้สันตติของกฎแห่งกรรมว่ามันเป็นอย่างนี้ ถ้าเขาไม่ทำกรรมกันมาก่อน กรรมนี้ก็จะไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้”
“ผู้ชายคนนั้นทำผิดกลับไม่ได้รับโทษ โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลยนะครับ”
“อย่ามองว่าใครผิดใครถูก กรรมถ้าไม่ใช่เขาก่อขึ้นเอง มันก็เกิดขึ้นเองไม่ได้หรอกโยม” ทั้งเต๋าและคชาพนมมือรับฟังและคิดทบทวนสิ่งที่พระบอกอย่างตั้งใจ ปล่อยวาง..แค่เพียงปล่อยวาง
...ขอให้วิญญาณไปสู่สุขคตินะครับ...
-----------------------------------------------------------------------
หลังจากทำบุญ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลเรียบร้อยแล้ว เต๋าก็เดินโอบไหล่เล็กออกมาตามทางเดินของวัด สีของท้องฟ้ายามสายกับสีเขียวสดใสของต้นไม้และใบหญ้าทำให้จิตใจสบายขึ้นไม่น้อย
“ท้องฟ้าสวยจัง”
“ดีขึ้นแล้วยังครับ” คชาพยักหน้าแทนคำตอบ สีหน้าอารมณ์ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด “ยิ้มให้พี่หน่อยสิ” คชามองหน้าร่างสูงก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเหมือนประชดคนเป็นพี่ เริ่มรู้สึกเขินขึ้นมาเมื่ออีกคนจ้องมองและยิ้มตามไม่ต่างกัน “เด็กคนเดิมกลับมาแล้วยังน้า?” เต๋าถามอีกครั้งแล้วลูบผมนิ่มบางเบา
“กลับมาแล้ว” คชาตอบเสียงใส ตอนนี้คชารู้สึกดีขึ้นมากอาจยังไม่เต็มร้อยแต่ถือว่ามากกว่าเดิมไม่น้อย
“ชัวร์?”
“ชัวร์!” คชาตอบเสียงหนักแน่นเพิ่มความมั่นใจ ทำให้เต๋าหลุดหัวเราะออกมา
“ขอบคุณนะฮะ” ... เด็กน้อยบอกเสียงใสก่อนจะยิ้มหวานให้เต๋าอีกครั้ง ...รอยยิ้มที่รอ...
ขอบคุณที่ทำให้ยิ้มได้อีกครั้ง
.......
...
..
ขอบคุณสำหรับรอยยิ้ม
:)
-----------------------------------------------------------------------
เมื่อคืนเต๋ายังนอนได้ไม่ทันครบสองชั่วโมงเลยด้วยซ้ำไป หลังจากพาคชาไปทำบุญเสร็จก็อยู่คุยกับคนตัวเล็กจนถึงค่ำ พอกลับมาห้องนอนก็ต้องเคลียร์งานที่ค้างไว้ให้เสร็จ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี ตั้งใจจะตื่นมาทำอีกทีในรุ่งเช้าวันอาทิตย์ แต่ก็ดันมีเด็กป่วนมานอนกลิ้งเล่นบนเตียงเขาเสียก่อน
เหมือนเต๋าจะได้เด็กคนเดิมกลับคืนมา อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นก็เถอะแต่ก็เกือบๆแล้วหละ ... คชาตื่นมาเคาะประตูห้องนอนเขาตั้งแต่เช้า ทั้งยังหอบหมอนใบโปรดกับแมวตัวน้อยมาด้วย
ถ้าอยากรู้ว่าเด็กคนเดิมกลับมาแล้วหรือยังต้องพิสูจน์
“พี่เต๋า รีโมทแอร์อยู่ไหนหรอ ..หนาว” คนตัวเล็กว่าขึ้น ตากลมพยายามสาดส่องมองหาเจ้ารีโมทเครื่องปรับอากาศ ปีนขึ้นบนเตียงนุ่ม ทั้งรื้อผ้าห่ม ทั้งค้นใต้หมอนจนเหมือนจะหมดแรงแต่ก็ไม่พบ เลยต้องมานั่งพักอยู่กลางเตียง ทันใดนั้นเอง...
“อุ่นขึ้นยัง” เต๋าแนบใบหน้าให้ชิดกับเด็กน้อยก่อนเสียงนุ่มจะกระซิบถามชิดใบหู เต๋าใช้ผ้าห่มผืนหนาคลุมตนเองเอาไว้แล้วโอบกอดคนตัวเล็กจากด้านหลังไว้ทั้งตัว กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแล้วโยกเด็กตัวเล็กไปมา
“ไม่” ทำเป็นตอบเสียงแข็งแต่ก็แอบยิ้มขำ ตอนแรกก็อยากจะขัดขืนอยู่หรอกแต่ไม่ดีกว่าเนาะ
“หึหึ” เต๋าหัวเราะในลำคอก่อนจะนำพาร่างของตนเองและคชาลงไปนอนกับเตียงนุ่ม เต๋าสวมกอดคนตัวเล็กจากด้านหลัง ซุกหน้าลงบนแผ่นหลังบอบบาง ก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า
“เมื่อคืนพี่ยังไม่ได้นอนเลย ขอนอนก่อนนะครับ”
“แต่คชานอนหลับฝันดีมาทั้งคืนแล้วนะ” คชาเถียงเมื่อรู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะโดนเอาเปรียบ ก่อนจะพลิกตัวหันหน้ามามองคนเป็นพี่ เพียงเท่านั้นก็แทบอยากจะหันหลังกลับทันที...ถ้าหน้าจะใกล้กันขนาดนี้
“นอนเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะครับ นะครับ” ร่างสูงว่าเสียงอ้อน ก่อนจะเริ่มไถหน้าของตัวเองไปยังใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูของคชาให้จักจี้เล่น
“ไม่” คชาหัวเราะคิกคักก่อนจะตอบปฏิเสธ พยายามใช้มือปัดหัวร่างสูงเอาไว้ เต๋าหัวเราะออกมาน้อยๆก่อนจะเงยหน้ามาขยี้หัวกลมๆของเด็กดื้อ สายตาแสนอบอุ่นที่กำลังจดจ้องมองมาทำให้คชาต้องก้มหน้างุดหนีไปซุกอกอุ่นของเจ้าของแววตา
คชาหลับไปแล้ว ... เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของเด็กน้อยที่บอกว่าตัวเองนอนหลับฝันดีมาทั้งคืนกับแขนเล็กที่เอื้อมโอบกอดเขาเอาไว้ตอนนี้ทำให้เต๋ายิ้ม ยิ้มมากไปจนเขาก็นึกว่าตัวเองบ้า...เขาอาจจะบ้าขึ้นมาจริงๆ
จ้องมองเด็กน้อยที่นอนหลับตาพริ้มในอ้อมกอดให้เพลิน ก่อนจะหลับตาลงช้าๆเมื่ออาการเหนื่อยล้าเริ่มเข้าครอบงำ ทิ้งเรื่องงานไว้ข้างหลังให้หมด เวลานี้อ้อมกอดจากแขนเล็กมันอบอุ่นมากจนขยับไปไหนไม่ได้จริงๆ ...
...นอกจากตัวจะขยับไปไหนไม่ได้ หัวใจก็ยังไปไหนไม่รอดด้วย...
-----------------------------------------------------------------------
ออกมาข้างนอกกันบ้าง มันจะแปลกไหมหรือมันจะไม่แปลก 5555...แต่ตอนนี้แต่งนานมาก ลบๆแก้ๆมากกว่าปกติ... ปูไว้ให้ตอนอื่นด้วย ฝากด้วยนะคะ T^T
ความคิดเห็น