ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Part 12 เรื่องไม่คาดฝัน 100%
Part 12 เรื่องไม่คาดฝัน
“ทำไมวันนี้ถึงง่วงนอนนักนะ” ซองมินพึมพำเบาๆ พลางอ้าปากหาว ทั้งที่ตอนนี้เพิ่งจะหัวค่ำแท้ๆ ปกติกว่าเขาจะนอนอย่างไวสุดก็หลังละครจบโน่นล่ะ แต่น่าแปลกที่วันนี้กลับหนังตาหนักอึ้งพิกล บางทีอาจเพราะไม่มีเด็กน้อยทั้งสองคนคอยชวนคุยให้หายเบื่อด้วยล่ะกระมัง
ทั้งบารอมและอึนจูต่างก็ไม่อยู่ทั้งคู่ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติของอึนจูที่จะหายไปในเวลานี้ เพราะซองมินไม่เคยเจออึนจูหลังพระอาทิตย์ตกดินเลยสักครั้ง เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมวิญญาณเด็กหญิงถึงหายไปในเวลานี้เสมอ แต่สำหรับบารอมที่ปกติต้องนั่งดูละครด้วยกันกับเขานี่สิแปลก ใช่ว่าไม่เคยไม่อยู่ แต่นานๆ ทีจะหายไปสักที ซองมินจึงอดแปลกใจไม่ได้
“ช่างเขาเถอะ” ชายหนุ่มตัดใจเลิกคิดถึงวิญญาณเด็กชาย ล้มตัวลงนอน ไม่ลืมเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียง ก่อนจะหลับตาลงและปล่อยให้ความง่วงงุนเข้าครอบงำ นิ้วเรียวก็ลูบหัวแหวนที่กำลังสวมอยู่แผ่วเบาพร้อมทั้งอธิษฐานให้คืนนี้ไม่มีสิ่งใดรบกวนการนอนที่เคยสงบสุขอีก
แต่น่าแปลกที่ถึงขอพรกับอัญมณีศักดิ์สิทธิซึ่งเคยเป็นที่พึ่งได้เสมอไปแล้ว แต่คืนนี้ซองมินกลับไม่ได้มีโอกาสได้นอนหลับสนิทอย่างเป็นสุขตามที่ต้องการ...
ฝัน....
ฝันอีกแล้ว...
ได้โปรดเถอะ....ปล่อยผมไปซักที
ซองมินสะบัดศีรษะ พยายามดิ้นรนให้ลืมตาตื่น เขารู้ตัวว่ากำลังจะฝันอีก ไม่ใช่ความฝันแบบไร้สาระที่ไม่มีความหมาย แต่เป็นความฝันในแบบที่เขากลัวว่ามันจะเกิดขึ้น
ฝันเพราะมีวิญญาณเข้ามารบกวน...
บางทีเขาอาจจะฟุ้งซ่านไปเอง บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ได้
ซองมินบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกประหลาดที่กำลังโอบล้อมทั้งกายได้ คราวนี้ไม่ใช่ความดำมืดที่เคยเจอแต่เป็นหมอกควันสีขุ่นจนมองแทบไม่เห็นอะไรเลย
“นั่นใครน่ะ”” ซองมินร้องถามออกไปเสียงสั่นเมื่อเห็นบางสิ่งคล้ายจะเป็นมนุษย์อยู่ในกลุ่มหมอกที่ค่อยๆ บางตาลงแล้ว ชั่ววูบหนึ่งซองมินคิดว่าจะเป็นหญิงสาวคนนั้น ผู้หญิงที่ซองมินเรียกในใจว่าเป็นผู้หญิงของคยูฮยอน แต่ร่างบอบบางที่กำลังนั่งคุดคู้อยู่นั้นดูตัวเล็กเกินกว่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้น
“ใคร...” ซองมินถามซ้ำอย่างกล้าๆ กลัวๆ ใจหนึ่งก็ไม่กล้าเดินเข้าไป แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าเป็นใครกันแน่
ซองมินเบิกตากว้าง คนๆ นั้นกำลังจะลุกขึ้นมา เขาเผลอก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพราะความหวาดกลัว ประสบการณ์อันไม่น่ารื่นรมย์เกี่ยวกับความฝันตั้งแต่ยังเด็กทำให้เขาไม่ไว้ใจ แต่เมื่อร่างนั้นลุกขึ้นเต็มความสูง ซองมินก็ชะงักเท้าที่กำลังจะถอยไปอีก ตาก็เพ่งมองด้านหลังของเด็กคนนั้นชัดๆ
ใช่...เด็กผู้หญิง เป็นเด็กผู้หญิงไม่ผิดแน่ ร่างนั้นเล็กเกินกว่าจะเป็นหญิงสาว ความจริงข้อนี้ทำให้ซองมินสบายใจขึ้นมาบ้างว่าเขาไม่ได้เผชิญกับผีสาวตนนั้นจริงๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วางใจเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มาดีหรือมาร้าย แต่ว่าตอนนี้เขานึกรำคาญไอ้หมอกควันบ้าๆ ที่กำลังปกคลุมไปทั่วที่แห่งนี้เหลือเกิน เพราะมันเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เขาเห็นเด็กคนนั้นชัดๆ
“ใคร....นั่นใคร” ซองมินทำใจกล้าถามไปอีกครั้ง คราวนี้เด็กหญิงคนนั้นค่อยๆ เอี้ยวตัวหันมาตามเสียงเรียก และเมื่อเห็นว่าเป็นใครซองมินก็อ้าปากกว้างด้วยความตกใจเพราะเด็กคนนั้นเป็นคนที่เขารู้จักดี
อึนจู!!
ใช่แล้ว เด็กคนนั้นคืออึนจูจริงๆ ซองมินมั่นใจ แต่เธอกำลังร้องไห้ เขาเห็นน้ำตาไหลอาบเต็มสองแก้มของเด็กหญิง หัวใจชายหนุ่มหล่นวูบ ทั้งเป็นห่วงทั้งไม่สบายใจที่เห็นเด็กหญิงคนสนิทที่ร่าเริงอยู่เสมอเป็นแบบนี้
ซองมินกำลังจะวิ่งไปหาวิญญาณเด็กหญิงแต่น่าแปลกที่คราวนี้เขากลับไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
“บันไดหนีไฟ รีบไปที่บันไดหนีไฟ” เสียงของเด็กหญิงสะท้อนก้องเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ ก่อนที่หมอกควันที่เหมือนจะบางลงนั้นกลับหนาทึบและโอบล้อมกลืนร่างของเด็กหญิงจนเขามองไม่เห็นเธออีก
“อึนจู!!!” ซองมินตะโกนออกมาสุดเสียง รู้สึกใจหายวาบอย่างบอกไม่ถูก ในสายตาตอนนี้เห็นเพียงแต่หมอกสีขุ่นทึบเต็มไปหมด เป็นภาพสุดท้ายก่อนที่ภาพของเพดานห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาลจะปรากฏขึ้นมาแทนที่
ซองมินลืมตาโพลง จดจำใจความของประโยคเดียวที่ได้ยินในฝันได้ขึ้นใจ แม้กระทั่งตอนตื่นก็รู้สึกราวกับยังได้ยินเสียงนั้นดังอยู่ข้างหู
“บันไดหนีไฟ รีบไปที่บันไดหนีไฟ”
ร่างเล็กลุกขึ้นมาเอนกายพิงหัวเตียง ปาดเหงื่อที่ผุดอยู่บนหน้าผากไวๆ ขณะที่คิดถึงคำพูดของวิญญาณเด็กน้อย
บันไดหนีไฟ ทำไมต้องไปที่บันไดหนีไฟ
ซองมินไม่เข้าใจว่าหากอึนจูต้องการจะบอกเรื่องนี้กับเขาทำไมถึงไม่ปรากฏตัวให้เห็น ทำไมต้องบอกผ่านความฝัน ซ้ำยังเป็นฝันที่ไม่ชัดเจน มีแต่บรรยากาศขุ่นมัวของหมอกควันปกคลุมอีกต่างหาก
แต่สุดท้ายซองมินก็ตัดสินใจลุกออกจากเตียงเพื่อไปยังสถานที่ที่อึนจูบอกในความฝัน ที่บันไดหนีไฟคงจะมีอะไรสักอย่าง อะไรที่อึนจูอยากให้เขาไปเห็น เขาตัดสินใจจะทำตามความต้องการของเด็กน้อยแม้อีกใจหนึ่งจะกลัวว่าความฝันครั้งนี้อาจจะเป็นภาพลวงที่หลอกล่อให้เขาเข้าไปติดกับดักก็ได้
แต่โซ่ตรวนหนาหนักที่พันธนาการที่ข้อเท้าเล็กๆ ของวิญญาณเด็กหญิงที่เขาเห็นผ่านในความฝันนั้นก็มีอำนาจมากพอให้ซองมินละทิ้งความกลัวและความลังเลทั้งหมด
บางทีการไปที่บันไดหนีไฟอาจจะช่วยปลดสิ่งที่ทำให้วิญญาณเด็กน้อยทรมานก็ได้ บางทีการไปที่นั่นอาจจะเป็นหนทางที่จะทำให้วิญญาณตนนั้นเป็นอิสระและพ้นจากความทุกข์ แม้ว่าวิญญาณที่เขาเห็นจะเป็นอึนจูจริงๆ หรือไม่ก็ตาม
-------------------------------------------------10%-------------------------------------------------
ในเวลานี้โรงพยาบาลที่เคยคึกคักและมีผู้คนเดินขวักไขว่กลับเงียบสงบ เงียบมาก เงียบจนเกินไป แม้ว่าชั้น 7 แผนกผู้ป่วยในจิตเวชนั้นจะไม่ได้มีคนมากมายพลุกพล่านเหมือนชั้น 1 ที่เป็นส่วนต้อนรับหรือชั้นอื่นๆ ที่มักจะมีญาติคนไข้หรือคนไข้ออกมาเดินข้างนอกให้เห็น แต่ในเวลากลางวันของชั้นนี้ก็ยังไม่เงียบขนาดนี้ และบรรยากาศก็เป็นมิตรมากกว่านี้
ซองมินกอดอกเดินห่อไหล่ก้มหน้ามองเท้าตัวเองขณะที่มุ่งหน้าไปยังบันไดหนีไฟ สถานที่ที่วิญญาณเด็กหญิงนามอึนจูบอกในความฝัน เขานึกเสียใจที่ไม่หยิบอะไรที่พอจะห่อหุ้มกายช่วยคลายหนาวและให้ความอบอุ่นติดมือมาด้วย เขาพอจะมีเสื้อกันหนาวที่ทางบ้านส่งมาให้ใส่ในหน้าหนาวอยู่ในตู้เสื้อผ้า อย่างน้อยฮาฮีราก็ไม่ได้เป็นคนใจไม้ไส้ระกำปล่อยให้เขาเผชิญหน้ากับความหนาวเหน็บของฤดูหนาวในเกาหลีที่เย็นจัดจนอุณหภูมิติดลบ และด้วยเหตุนี้ทำให้ซองมินพอจะมองแม่เลี้ยงของตนในแง่ดีบ้าง
แต่ในตอนนี้ไม่ใช่ฤดูหนาว และอากาศปกติตอนนี้ในความรู้สึกของคนทั่วไปคือกำลังเย็นสบาย แต่ในความรู้สึกของซองมินคือเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ เป็นความเย็นจนทำให้ขนลุกตั้งชัน ซองมินรู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นเพราะสภาพอากาศ
ซองมินพยายามคิดถึงเสื้อโค้ตสีน้ำตาลตัวโปรดที่ยังแขวนอย่างสงบในตู้เสื้อผ้าของโรงพยาบาลขณะที่เดินไปยังจุดหมายปลายทาง เผื่อว่าภาพในจินตนาการจะทำให้ร่างกายเขาอบอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่นอกจากมันจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังไม่สามารถขับไล่บางอย่างที่มารบกวนจิตใจทั้งที่พยายามใช้มโนภาพเป็นตัวทำให้ไขว้เขวจากสิ่งนั้นแล้วแท้ๆ
ซองมินจำต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองทางทั้งที่ยังอยากก้มมองพื้นเพื่อไม่ให้เห็นอะไรบางอย่าง ภาพที่ซองมินเห็นตอนนี้ทั้งที่พยายามหลีกเลี่ยงคือชายชราคนหนึ่งเดินกระย่องกระแย่งผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทิ้งความเย็นเยือกจับใจผ่านตัวซองมินจนต้องห่อกายแน่นขึ้นและก้มมองพื้นต่อทำเป็นมองไม่เห็นเช่นคนปกติทั่วไป อย่างน้อยคุณตาคนนี้คงเสียชีวิตตามอายุขัยหรือไม่ก็จากไปอย่างสงบ ซองมินคิดในใจว่าเขาโชคดีที่วิญญาณที่เผลอเงยหน้าขึ้นมองนั้นไม่ได้มีสภาพน่าประหวั่นพรั่นพรึงเหมือนคนก่อนหน้าที่เดินผ่านซึ่งถูกยิงจนพรุนไปทั้งร่าง ไม่นับอีกรายที่ร่างกายแทบจะเรียกได้ว่าแหลกเละ เลือดอาบไปทั้งตัว หน้าท้องเปิดจนเห็นตับไตไส้พุงเครื่องในโชว์หรา ซองมินเดาว่าคนๆ นั้นคงจะถูกรถทับ แต่เขาก็ไม่ได้นึกอยากจะหาสาเหตุที่แท้จริง
คนไข้ (ซึ่งปกติไม่ค่อยเห็นออกมาเดินตอนกลางวัน) ที่ออกมาเดินให้เขาเห็นอยู่คนเดียวนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่คนไข้แผนกจิตเวช คงจะมาจากแผนกอื่นที่มาเยี่ยมชมโรงพยาบาลรอเวลาไปในที่ๆ สมควรต้องไป แต่ซองมินไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาย่างกรายที่ชั้น 7 นี้ ในเวลานี้ด้วย แม้เวลากลางวันซองมินก็มองเห็นสิ่งลี้ลับเหล่านี้เช่นกัน แต่ในเวลากลางคืนพลังนี้กลับทวีความรุนแรงขึ้นมากกว่าเก่า ภาพวิญญาณที่มองเห็นชัดเจนขึ้น อีกทั้งความรู้สึกที่ได้รับก็แย่กว่า แล้วเขาก็ยังกลัวมากกว่าเดิมด้วย
พระเจ้า! ได้โปรดเถอะ! ทำไมบันไดหนีไฟมันอยู่ไกลนักนะ!
ซองมินกลั้นใจหลับตาปี๋เดินเฉียดหญิงสาวในชุดคนไข้หน้าตาซีดเซียว ขณะที่ใจก็นึกหวังให้ตัวเองกำลังนอนหลับสนิทบนเตียง
อีกนิดเดียว....
อีกนิดเดียวเท่านั้น สิ่งที่หวังเอาไว้ก็จะเป็นจริงแล้ว
ดวงตาแดงฉานจ้องเขม็งไปที่ร่างสูงใหญ่ที่กำลังพาดขาข้ามรั้วกั้นของราวบันได ตัวของชายหนุ่มผู้นั้นโงนเงนไปมาอย่างน่าหวาดเสียว แต่ก็ยังไม่ยอมตกลงไปเสียที ทั้งที่เพ่งพลังไปมากขนาดนั้นแล้ว แต่ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ทนทายาดนัก
อาจจะเพราะพลังที่มีอยู่ยังอ่อนแรงมีไม่เพียงพอ หรือไม่ก็เพราะผู้ชายคนนั้นจิตแข็งออกแรงฝืนต่อต้าน วิญญาณที่ยังส่งพลังบังคับให้ชายหนุ่มกระทำอัตวินิบาตกรรมจึงเพิ่มแรงบังคับ
และมันก็กำลังจะได้ผลเมื่อรับรู้ได้ถึงกระแสจิตต่อต้านที่ค่อยๆ อ่อนแรงลง และร่างกายของชายหนุ่มก็กำลังโน้มเอนไปยังอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้า
แต่ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้น ประตูบันไดหนีไฟก็เปิดออกอย่างแผ่วเบาและนั่นทำให้วิญญาณตนนั้นเสียสมาธิ ในขณะที่คยูฮยอนนิ่งค้างแข็งอยู่ในท่าพยายามจะปีนข้ามรั้วกั้น
ซองมินมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง สิ่งที่เขาเห็นอย่างแรกคือคยูฮยอนที่กำลังจะทำเรื่องอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต กับวิญญาณตนหนึ่งลอยคว้างอยู่เบื้องหลัง แต่เขาไม่มีเวลาให้หยุดจ้องมองแล้ว ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปข้างใน ลืมความรู้สึกหนาวเหน็บที่เผชิญระหว่างทางมาบันไดหนีไฟ ไม่รับรู้ถึงลมแรงที่บาดผิวกายให้ยิ่งเย็นเฉียบ ไม่สนใจวิญญาณที่เขากลัวซึ่งยังคงอยู่ที่เดิม ใจนึกแต่ต้องหยุดเรื่องราวร้ายแรงตรงหน้าที่มีชีวิตของคยูฮยอนเป็นเดิมพันก่อน ซองมินตรงไปยังคยูฮยอนที่อยู่ๆ ก็ค้างนิ่งราวกับเป็นรูปปั้น
ร่างของคยูฮยอนถูกซองมินดึงกระชากให้พ้นจากราวกั้นบันไดหนีไฟ คุณหมอหนุ่มล้มกลิ้งลงนอนแน่นิ่งกับพื้น แต่ก่อนที่ร่างกายจะทันได้สัมผัสพื้น ซองมินได้ยินเสียงเหมือนของแข็งกระแทกเหล็ก แต่เขาไม่มีเวลาคิดใส่ใจว่ามันเป็นเสียงอะไร ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่า ณ ที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงเขาและคยูฮยอนแค่ 2 คน แต่ยังมีวิญญาณอีกตนที่ลอยเหนือหัวจ้องมองอยู่
ซองมินพลิกกายคยูฮยอนที่ล้มลงไปในท่าตะแคงให้นอนหงาย คุณหมอหนุ่มหมดสติไปแล้ว ซองมินใช้มือตบหน้าเขาเบาๆ เพื่อปลุกให้ตื่น แต่คยูฮยอนก็ยังคงนอนนิ่ง เลือดที่ไหลจากขมับขวาทำให้ซองมินรู้ว่าเสียงเหมือนของแข็งกระแทกกันนั้นคือเสียงอะไร มันคือเสียงของศีรษะของคยูฮยอนที่ปะทะเข้ากับราวบันไดตอนที่ถูกเขาดึงตัวอย่างแรงจนล้มนั่นเอง
พอเห็นเลือด...คนไข้หนุ่มหน้าหวานก็ใจหายวาบ
แต่ซองมินก็ไม่ทันได้คิดเป็นห่วงความปลอดภัยของคยูฮยอนได้นาน เมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแปลกๆ ที่รายล้อมกาย ความรู้สึกที่เขามองข้ามไปเมื่อครู่เพราะมีเรื่องของคยูฮยอนเข้ามาหันเหความสนใจ
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อสบสายตากับวิญญาณสาวผู้มีความอาฆาตเปี่ยมล้น ซองมินก็พยายามจะหาหนทางเอาตัวรอด ในใจนึกถึงวิญญาณเด็กน้อยที่เคยช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากอันตรายได้ทุกครั้งไป
แต่เมื่อหันมอง ภาพที่ซองมินเห็นกลับทำให้เลือดในกายจับกันเป็นน้ำแข็ง มันหนาวเย็นเสียยิ่งกว่าต้องเดินผ่านวิญญาณเป็นร้อยๆ ตัวเสียอีก
วิญญาณที่เกือบจะพรากชีวิตของคุณหมอนามโจวคยูฮยอนไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นอย่างที่ซองมินคิด ร่างนั้นเล็กกว่ามากและไม่ได้เป็นผู้หญิง
“บ...บารอม” ซองมินเอ่ยชื่อของวิญญาณตนนั้นเสียงแผ่วด้วยริมฝีปากสั่นระริก
ทันทีที่ได้สบตากันตรงๆ วิญญาณเด็กน้อยที่ซองมินรู้จักดีก็หายวับไปกับตา แต่ก่อนจะหายไป ซองมินทันได้เห็นหยาดน้ำตาที่อาบเต็มสองแก้มของวิญญาณตนนั้น
“ทำไม...ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย” ซองมินถามเสียงสั่นด้วยความไม่เข้าใจ น้ำตาของเขาก็กำลังไหลเช่นกัน
โจวคยูฮยอนนอนนิ่งสงบไม่เคลื่อนไหวเสียจนซองมินใจไม่ดี ตอนนี้ทั้งเขาและคุณหมอผู้นั้นรวมถึงพยาบาลสาวที่อยู่เวรคืนนี้อยู่ในห้องพักคนไข้ในชั้น 7 คยูฮยอนนั้นยังนอนอยู่บนเตียง และถึงแม้จะผ่านมาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่มีนายแพทย์ท่านหนึ่งเข้ามาตรวจแล้วบอกว่าไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงนอกจากหัวแตกนิดหน่อย ให้พยาบาลทำแผลก็หาย และคุณหมอท่านนั้นยังสั่งให้น้ำเกลือแก่คยูฮยอนเพราะคิดว่าชายหนุ่มคงร่างกายอ่อนเพลียหลังจากทราบจากซองมินว่าพบเขาเป็นลมหมดสติอยู่ ซึ่งซองมินรู้สาเหตุที่แท้จริงดีว่าไม่ได้เป็นเพราะคยูฮยอนขาดการพักผ่อนหรือทำงานหนักจนร่างกายล้าอย่างที่คุณหมอท่านนั้นวินิจฉัย แต่เขาก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบ เพราะขืนพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ คงจะเป็นเขาเองที่ถูกรักษาโดยการจับฉีดยาระงับประสาท
“เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ซองมินถามขึ้นมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่พยาบาลที่อยู่ในห้องซึ่งกำลังเจาะน้ำเกลือที่แขนซ้ายของคยูฮยอนหลังจากที่ทำแผลที่ศีรษะเสร็จหันมาตอบแบบเดิม น่าจะเป็นรอบที่ 3 หรือ 4 แล้วว่า
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ คุณหมอยุนท่านก็บอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
“แต่ทำไมเขายังไม่ฟื้นซักทีล่ะครับ” ซองมินถาม น้ำเสียงร้อนรนกระวนกระวาย
ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ แม้จะมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับมากมาย ทั้งที่ดีและไม่ดี แต่ซองมินยังไม่เคยเห็นคนถูกอำนาจวิญญาณเข้าครอบงำสักครั้ง เขาไม่รู้ว่ามันจะมีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า สิ่งที่ซองมินกลัวที่สุดคือคยูฮยอนอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก หรือไม่ก็อาจจะความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้เลย แต่นั่นก็เป็นเพียงความคาดเดาลอยๆ ของตนเองเท่านั้น
“คุณหมอโจวอาจจะฟื้นตอนพรุ่งนี้เช้าค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ” พยาบาลทวนซ้ำประโยคเดิมแทบจะลอกมาจากปากของนายแพทย์ที่เข้ามาตรวจ ใช่ว่าทั้งเธอและคุณหมอผู้นั้นจะไม่เป็นห่วงคยูฮยอนเพราะถ้าชายหนุ่มคนนี้เป็นอะไรไป ทั้งเธอและคุณหมอคนนั้นต้องหัวหลุดจากบ่าเป็นแน่ เพราะชายหนุ่มที่กำลังนอนนิ่งให้เธอทิ่มเข็มน้ำเกลือนี้เป็นถึงบุตรชายคนเดียวของเจ้าของโรงพยาบาล แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรมากกว่านี้ เพราะคยูฮยอนไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไรเลยนอกจากที่แจ้งกับซองมิน สิ่งเดียวที่ทำได้จึงต้องรอให้คยูฮยอนฟื้นขึ้นมาเท่านั้น
“ขอบคุณมากครับ” ซองมินพูดพลางโค้งตัวให้พยาบาลสาวที่ออกจากห้องไปหลังจากทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จ
ซองมินเดินมาหยุดอยู่ที่ริมเตียง เพ่งมองใบหน้าขาวจนซีดของคยูฮยอนด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกผิด
“ขอโทษนะครับ” คำขอโทษหลุดออกมาจากปาก ซองมินถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเขาที่เด็กในความดูแลของตนเองทำเรื่องแบบนี้ แม้ตอนนี้ซองมินก็ยังไม่ทราบเหตุผลของบารอม ทั้งที่เด็กคนนั้นอาจจะดื้อและซนบ้างแต่ก็ไม่เคยคิดร้ายกับใครจนถึงขั้นจะฆ่าให้ตายแบบนี้ แน่นอนว่าซองมินไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรแน่ อย่างน้อยเขาต้องคาดคั้นจากปากของบารอมให้ได้ว่าทำแบบนี้ไปทำไม
มือบางดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้คยูฮยอนจนถึงอกก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ชายหนุ่มหันไปมองเสื้อผ้ารวมถึงข้าวของของคยูฮยอนที่ถูกถอดออกเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบคนป่วยของโรงพยาบาล ร่างเล็กเดินอ้อมมาอีกด้านของเตียงซึ่งมีโต๊ะวางของพวกนั้นอยู่แล้วหยิบสร้อยห้อยจี้ไม้กางเขนเงินที่ตนเคยบังคับนักบังคับหนาให้คยูฮยอนสวม อมยิ้มบางๆ เมื่อพบว่ามันห้อยอยู่ที่คอของคยูฮยอนระหว่างที่เขาแบกชายหนุ่มมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่มีบุคลากรของโรงพยาบาลอยู่ก่อนจะถูกถอดออกเมื่อครู่ตอนเปลี่ยนชุดนี่เอง
เมื่อประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ทั้งที่ยังช็อคไม่หายที่เห็นว่าบารอมทำเรื่องเลวร้ายขนาดนี้ลงไป แต่ซองมินก็กลั้นใจกลั้นน้ำตากัดฟันแบกคยูฮยอนขึ้นหลังพามาถึงมือหมอจนได้ ทั้งที่คยูฮยอนนั้นทั้งตัวใหญ่และตัวสูงกว่า พอพยาบาลที่เข้าเวรอยู่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็เกิดเรื่องโกลาหลย่อมๆ ขึ้นในโรงพยาบาลทันที บุรุษพยาบาลรีบเข็นเตียงมารับแทบไม่ทัน พยาบาลวิ่งวุ่นตามหมอ แล้วเตียงที่มีร่างของคยูฮยอนก็ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินอย่างด่วนจี๋ แต่ก็อย่างที่ทั้งหมอและพยาบาลบอก อาการภายนอกของคยูฮยอนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ชายหนุ่มจึงถูกพามาที่ห้องพักฟื้นท่ามกลางความโล่งใจของเจ้าหน้าที่ทุกคน เว้นแต่ตัวเขาที่ยังกระวนกระวายร้อนใจอยู่
รอยยิ้มบางๆ ที่ฉายบนใบหน้านั้นอยู่ได้เพียงชั่วครู่ สีหน้าของซองมินก็เปลี่ยนเป็นครุ่นคิด คิ้วขมวดมุ่นขณะที่มือก็ใส่ตะขอสร้อยเข้ากับคอของคยูฮยอน
เรื่องที่ยังติดค้างในใจซองมิน นอกจากเรื่องของบารอมแล้ว ยังมีเรื่องของอำนาจในการคุ้มครองเจ้าของของสร้อยเส้นนี้ด้วย มันแปลกตรงที่ว่าทั้งที่คยูฮยอนสวมสร้อยอยู่แต่ทำไมยังถูกวิญญาณปองร้ายเอาได้
หรือเพราะจิตของบารอมตอนทำร้ายคยูฮยอนไม่ได้เป็นเพราะความอาฆาตหรือโกรธแค้น….
ซองมินยังจำคำพูดของคุณตาที่เคยบอกเขาตอนยังเป็นเด็กได้ เครื่องรางบางประเภทมีอำนาจในการช่วยปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่จากวิญญาณร้ายและวิญญาณที่มีความอาฆาต และแน่นอนว่าเขาเองก็มีเครื่องรางที่ว่านั่นด้วย ชายหนุ่มก้มลงมองแหวนที่นิ้วนางข้างขวา คุณตาบอกเขาเรื่องนี้ในวันที่แม่ให้แหวนวงนี้ แหวนที่เคยเป็นของแม่มาก่อนแต่เพราะความจำเป็นต้องใช้ แหวนวงที่ว่าจึงตกทอดมาถึงซองมินตอนเขาอายุได้ไม่ถึง 10 ขวบเท่านั้น มันช่วยให้ซองมินไม่ฝันร้าย แต่ถึงอย่างนั้น ความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นก็ไม่ได้หายไป จนถึงตอนนี้มันก็ยังอยู่ คงจะเป็นไปตามคำพูดของคุณตา เครื่องรางประเภทนี้ใช้กันแต่วิญญาณที่มีความอาฆาตแค้นเท่านั้น
และสร้อยที่คยูฮยอนกำลังสวมอยู่ก็คงจะเหมือนกัน
แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ซองมินยังไม่รู้ ถึงแม้ว่าสร้อยห้อยจี้ไม้กางเขนนี้จะไม่ช่วยป้องกันคยูฮยอนจากบารอม แต่ถ้าไม่มีมัน ตอนที่ซองมินไปถึงที่บันไดหนีไฟ คยูฮยอนคงจะร่างเละอยู่ที่พื้นชั้น 1 แล้ว อย่างน้อยมันก็ยังพอทำให้คยูฮยอนมีพลังต่อต้านขัดขืนอำนาจของวิญญาณแม้ว่าเจ้าตัวจะทราบหรือไม่ทราบก็ตาม
ซองมินไม่ได้คิดมากเรื่องความสามารถในการป้องกันภูตผีวิญญาณของเครื่องรางนัก สิ่งที่เขาอยากรู้มากกว่าคือวิญญาณที่ไม่มีความแค้นเคืองต่อคยูฮยอนอย่างบารอม เหตุใดจึงทำแบบนี้ และซองมินมั่นใจว่าเด็กชายไม่ได้เต็มใจที่จะทำแน่นอน
ยังไงพรุ่งนี้เขาต้องรู้เรื่องให้ได้!!
เปลือกตาสีอ่อนขยับช้าๆ ก่อนที่จะค่อยๆ เปิดมารับแสงอรุณของเช้าวันใหม่ นอกจากภาพของห้องที่นอนอยู่จะดูคลับคล้ายคลับคลาแต่ไม่ใช่ห้องของเขาแล้ว สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจอีกเรื่องคือความรู้สึกหนักอึ้งและปวดตุบๆ ที่ขมับจนต้องยกมือขึ้นมากุม และชายหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อพบว่ามือของตนสัมผัสเข้ากับบางสิ่งที่ไม่ใช่ผิวเนื้อของตนเอง มันคือผ้าปิดแผลนั่นเอง
โจวคยูฮยอนลุกขึ้นนั่งพรวดเมื่อเริ่มคิดออกว่าสถานที่ที่คุ้นตานี้คือห้องพักคนไข้ของโรงพยาบาลที่อนาคตจะอยู่ในความดูแลของเขา ห้องพักแบบนี้ที่ทุกเช้าต้องเห็น ต้องเหยียบย่างเข้ามาเพราะหน้าที่ที่รับผิดชอบ แต่เขากลับลืมไปชั่วขณะ สมองของเขาคงจะเบลอจริงๆ
ชายหนุ่มยกสันมือขึ้นกระแทกศีรษะแรงๆ เพื่อเรียกคืนสติและความทรงจำที่ขาดหายไป วิธีนี้ใช้ได้ผลเสมอเวลาที่ต้องการกระตุ้นตัวเองให้ตื่นตอนอ่านหนังสือเตรียมสอบดึกๆ แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงจำอะไรไม่ได้เลยนะว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แถมยังสวมเสื้อผ้าของแผนกจิตเวชเหมือนตัวเองเป็นผู้ป่วยทางจิตด้วยแล้วไหนยังจะสายน้ำเกลือที่เจาะติดอยู่ที่แขนนี่อีกล่ะ
ความทรงจำสุดท้ายที่พอนึกออกคือเขากำลังจะเดินเข้าไปในลิฟต์ อืม…. แล้วยังไงต่อกันนะ…
“เฮ้ยๆๆๆ! นั่นคุณจะทำอะไรน่ะ” ซองมินที่เพิ่งจะออกมาจากห้องน้ำรีบเร่งรุดเข้าไปประชิดเตียงของคนป่วยนามคยูฮยอนที่ตอนนี้ในสายตาของเขาคยูฮยอนกำลังทำร้ายตัวเอง มือเล็กยื้อยุดรวบเอาข้อมือที่ใหญ่กว่ามือตัวเองจับหมับไว้ทั้งสองข้าง ตากลมโตฉายแววทั้งวิตกกังวลและเป็นห่วง
นี่ต้องเป็น…ผลข้างเคียงจากการถูกควบคุมจิตใจแน่ๆ ตายล่ะ! จะทำยังไงดี คยูฮยอนกลายเป็นคนวิกลจริตเสียสติทำร้ายตัวเองไปแล้ว
“อะไรของคุณเนี่ย! อยู่ๆ มาจับผมไว้ทำไม” คยูฮยอนร้องโวยวายขณะพยายามดิ้นให้หลุด
อีซองมินที่แน่ใจในความคิดของตนเองว่าคยูฮยอนกลายเป็นคนจิตผิดปกติไปแล้วนอกจากจะไม่ยอมปล่อยคยูฮยอนให้เป็นอิสระตามที่เจ้าตัวต้องการยังพยายามกดมือชายหนุ่มลงกับเตียงด้วยมือข้างเดียวแล้วใช้มืออีกข้างกดออดเรียกพยาบาล
“ปล่อยผมนะคุณซองมิน!” คยูฮยอนร้องออกมา ให้ตายเถอะ นี่ตกลงว่าซองมินเป็นคนหรือตุ๊กแกกันแน่นะถึงได้เกาะติดหนึบแน่นสะบัดหลุดยากขนาดนี้
“ไม่!! ผมไม่ยอมให้คุณทำร้ายตัวเองหรอก คุณไม่รู้ตัวหรอกว่าคุณทำอะไรอยู่คุณหมอ เอ๊ะ! หรือว่า…จะเป็นแบบเมื่อคืน” ซองมินนึกขึ้นได้ว่าบางทีที่คยูฮยอนฟื้นขึ้นมาแล้วก็ทำอันตรายตัวเองอาจจะเป็นเพราะตกอยู่ในอำนาจของบารอมอีกจึงรีบมองหาวิญญาณเด็กน้อยที่อาจจะแอบซ่อนตัวอยู่ในห้องทันที โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าคยูฮยอนนั้นหยุดดิ้นไปแล้วและกำลังเลิกคิ้วมองซองมินด้วยความสงสัย
เป็นแบบเมื่อคืนงั้นเหรอ ตกลงว่าเมื่อคืนมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“คุณซองมิน ถ้าคุณยังไม่หยุดผมจะจับคุณฉีดยา” คำขู่นี้ได้ผลเสมอเมื่อซองมินไม่ได้หันซ้ายหันขวาทำท่าเหมือนจะหาอะไรอยู่แบบเมื่อครู่อีก แต่กลับมองคยูฮยอนด้วยสายตาหวาดๆ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นอย่างใช้ความคิด
ตาหมอนี่กำลังจะใช้อำนาจมืดกับเขาอีกแล้ว ทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาปจริงๆ อีซองมินเอ๊ย!!
“แต่คุณต้องไม่ทำอะไรบ้าๆ อีกนะ” ซองมินยังไม่วายถามด้วยความลังเล แต่มือที่เกาะกุมเอาไว้ก็คลายลงมากจนคยูฮยอนสะบัดหลุดได้ง่ายๆ ซองมินขยับมือทำท่าว่าจะเข้าไปจับอีก แต่เมื่อเห็นสายตาดุๆ ของคยูฮยอน ชายหนุ่มก็ชักมือกลับ
“เอาล่ะ ทีนี้ก็อธิบายมาได้ละว่าผมอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ผมต้องการคำอธิบายที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ด้วย” คยูฮยอนเสิรมประโยคหลังเมื่อเห็นซองมินอ้าปากทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง
“คุณ…” ซองมินหลุดพูดออกมาได้คำเดียวก็นิ่งไปเพราะชั่งใจคิดว่าควรจะพูดความจริงแต่ขัดกับความต้องการของคยูฮยอนดีหรือไม่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหมอหนุ่มเมื่อคืนนั้นมันห่างไกลจากคำว่า ‘พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์’ หลายเท่า “คุณเป็นลม ผมเจอเลยพามาที่นี่” ซองมินตัดสินใจใช้คำอธิบายเดียวกับที่ใช้บอกหมอและพยาบาลเมื่อคืน ถ้าจะมีใครสักคนที่จะจับเขาขึงเตียงฉีดยาระงับประสาททันทีที่พูดเรื่องผีสางนางไม้ เขาก็แน่ใจว่าต้องเป็นคยูฮยอนนี่ล่ะ เขาไม่อยากเสี่ยงตอนที่คยูฮยอนอารมณ์ไม่ค่อยดีแบบนี้หรอก
“ก็แค่นั้น…ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้” คยูฮยอนบ่นเบาๆ แล้วส่ายหน้าด้วยความระอา แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะให้ซองมินเดินกระแทกส้นปังๆ ไปที่ประตูด้วยความไม่พอใจ
อ้อ! ใช่สิ เรื่องแค่นี้เอง ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเมื่อคืนเขาไม่ไปเจอคยูฮยอนเข้าซะก่อนจะเกิดอะไรขึ้น คุณหมอคนนี้คงจะปักใจเชื่อเรื่องวิญญาณที่เจ้าตัวพร่ำบอกว่าไร้สาระว่าเป็นเรื่องจริงแน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้งตอนที่ได้กลายเป็นวิญญาณเองจริงๆ แล้วนั่นล่ะ
รู้อย่างนี้ไม่น่าลุกจากเตียงไปช่วยเลย ปล่อยให้กลายเป็นผีเฝ้าโรงพยาบาลซะยังจะดีกว่า!
ซองมินไม่สนใจฟังคำร้องเรียกไล่หลังให้อยู่คุยกับตนให้รู้เรื่องก่อนของคยูฮยอน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ออกจากห้องอย่างที่ต้องการทั้งที่เดินไปถึงประตูแล้ว เพราะทันทีที่หมุนลูกบิดประตู ประตูก็ถูกเปิดออกจากอีกด้านหนึ่งด้วยคนข้างนอก
พยาบาลที่เขากดออดตามและหมอที่เข้ามาตรวจคยูฮยอนเมื่อคืนนั่นเอง
แล้วซองมินก็ต้องเดินปึงปังทำหน้าบูดกลับเข้าไปในห้องก่อนจะล้มตัวลงนั่งบนโซฟาแรงเกินจำเป็นเมื่อคุณหมอที่ตรวจคยูฮยอนขอร้องให้เขาอยู่ต่อเพื่อช่วยอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้คยูฮยอนฟังอย่างละเอียดแม้ว่าเขาจะบอกว่าได้เล่าสิ่งที่คยูฮยอนควรรู้ไปแล้ว แต่ทางฝ่ายคนไข้กลับแย้งขึ้นมาหน้าตาเฉย
“ผมยังไม่ทราบเรื่องอะไรเลยครับ แล้วสรุปมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
และนั่นก็ทำให้ซองมินต้องมานั่งอมลมจนแก้มป่องกอดอกทำตาขวางรอหมอตรวจคยูฮยอนให้เรียบร้อยก่อนเพื่อที่ตนจะได้อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งที่ก็ได้พูดไปแล้วและเขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะอยู่ต่อในเมื่อทั้งหมอและพยาบาลต่างก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้คยูฮยอนฟังแล้ว ซ้ำยังละเอียดกว่าที่เขาบอกคยูฮยอนในตอนแรกอีกต่างหาก
“โชคดีมากเลยนะครับที่คุณอีไปพบคุณหมอโจวเข้า เห็นว่าเจอแถวบันไดหนีไฟ คุณหมอคงจะพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะครับ ร่างกายเลยอ่อนเพลีย”
“ครับๆ” คยูฮยอนตอบรับยิ้มๆ แต่ก็แอบลอบมองซองมินที่นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับด้วยสายตาคลางแคลง
เจอแถวๆ บันไดหนีไฟอย่างนั้นหรือ แต่เขาจำได้ว่าตนเองไม่เคยไปแถวนั้นเลยตั้งแต่ทำงานที่โรงพยาบาลนี่ เขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้บันไดหนีไฟเพราะมีลิฟต์อยู่แล้ว แล้วซองมินไปเจอเขาที่นั่นได้อย่างไร
“ใช่ค่ะ เมื่อคืนเลยวุ่นวายกันใหญ่เลย ตกใจกันแทบแย่แหน่ะค่ะว่าคุณหมอเป็นอะไร ทุกคนเป็นห่วงคุณหมอกันมากเลยนะคะ” พยาบาลสาวเสริม ยิ้มหวานให้คยูฮยอนที่เพียงแต่ยิ้มรับจางๆ ในหัวก็คิดถึงหลายเรื่องที่อยากจะรู้จากปากของซองมิน แทบจะไม่ฟังว่าทั้งหมอและพยาบาลบอกอะไรตนบ้างด้วยซ้ำจนหมอและพยาบาลบอกลาและออกจากห้องไปแล้วนั่นล่ะ
“ถ้างั้นผมก็ขอตัวนะครับ” ซองมินจะถือโอกาสที่หมอและพยาบาลออกจากห้องออกตามไปด้วย แต่ก็ไม่ไวเท่าคยูฮยอนที่รอจังหวะอยู่แล้วเช่นกัน
“จะไปไหนครับคุณอีซองมิน คุณกับผมมีอะไรต้องคุยกันอีกยาว” คยูฮยอนพูดเสียงนิ่งแต่ในความคิดของซองมินนั้นดูจะออกไปทางเหี้ยมมากกว่า
สรุปว่าเขาทำอะไรผิดเนี่ย! คนอุตส่าห์ช่วยแท้ๆ
“เรายังต้องคุยอะไรอีกล่ะครับ ในเมื่อคุณก็รู้เรื่องทุกอย่างจากคุณหมอกับคุณพยาบาลแล้ว”
“ผมอยากรู้จากปากคุณมากกว่า”
“ผมก็บอกคุณได้เหมือนเดิมนั่นแหละว่าผมเจอคุณเป็นลมเลยพามาที่นี่” ซองมินพูด พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เผลอขึ้นเสียง
“ที่บันไดหนีไฟน่ะเหรอครับ แต่ผมจำไม่ได้เลยนะว่าเคยไปที่นั่น”
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าคุณไปที่นั่นได้ยังไง จะจำได้หรือไม่ได้มันก็เรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวกับผมซักหน่อย” และเส้นความอดทนก็ขาดผึงเมื่อซองมินใส่อารมณ์เหวี่ยงเข้าไปเต็มที่
สงสัยจะโกรธมาก หน้าแดง คอแดงหมดแล้ว…แต่มีหรือที่คยูฮยอนจะสะทกสะท้าน
“แล้วคุณออกมาทำอะไรข้างนอกดึกๆ ดื่นๆ ครับ ผมจำได้ว่าออกเวรตั้งเกือบเที่ยงคืนแล้ว คุณออกมาเจอผมได้ยังไง”
“ทำไมล่ะครับ ผมจะออกมาเดินเล่นตอนกลางคืนไม่ได้รึไง” ก็ไม่ได้อยากออกมานักหรอก กลัวจะตายอยู่แล้ว แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา
“ตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะ”
“ถ้าการที่ผมช่วยคุณแล้วทำให้ต้องโดนคุณซักไซ้สอบสวนอย่างกับไปฆ่าใครตายแบบนี้ ผมน่าจะปล่อยให้คุณ…” ซองมินหยุดคำพูดของตัวเองไว้แค่นั้น แล้วเปลี่ยนประโยคใหม่แทน รู้สึกใจวูบโหวงบอกไม่ถูกที่จะใช้คำว่าตายเติมลงไปในประโยคที่ขาดหายนั้น “ผมน่าจะไม่ช่วยคุณตั้งแต่แรก ขอโทษนะครับที่ ‘บังเอิญ’ ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา คนบ้าอย่างผมยังไงมันก็เป็นคนบ้าอยู่วันยังค่ำ ถ้าเป็นคนอื่นมาช่วยคุณคงจะดีใจมากกว่านี้” ไม่ต้องรอให้คยูฮยอนรั้งต่อ ซองมินก็ก้าวยาวๆ ไปที่ประตู
กว่าคยูฮยอนจะรู้ตัวก็ตอนได้ยินเสียงประตูปิดดังปังใหญ่พร้อมกับร่างของซองมินที่หายไปแล้ว
เขาพลาด…พลาดอย่างมหันต์เลยล่ะ เขาไม่ได้อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้ ไอ้เรื่องสงสัยน่ะมันก็สงสัยอยู่บ้างที่อะไรๆ มันดูจะเหมาะเจาะเกินไป ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง ซองมินกับเขาต้องพบกันเสมอ ไหนยังจะเรื่องบันไดหนีไฟที่เขายังไม่เคยจะย่างกรายเข้าไปนั่นอีกล่ะ แต่เขาก็ไม่ได้อยากรู้มากถึงขนาดต้องการคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้
ก็แค่อยากรั้ง อยากแกล้งถ่วงเวลาให้คนไข้หนุ่มหน้าตาน่ารักคนนั้นอยู่ต่ออีกสักนิด คยูฮยอนแหงนหน้าขึ้นมองถุงน้ำเกลือที่มีน้ำเกลือเหลืออีกประมาณ 1 ใน 4 ของถุง อย่างน้อยก็อยู่ต่อจนน้ำเกลือหมดถุงก็ยังดี
แต่ใครล่ะจะคิดว่าแค่ไปเจอเขานอนเป็นลมแล้วโดนแกล้งซักนิดๆ หน่อยๆ ซองมินจะถือเอาจริงเอาจังขนาดนั้น
อาการแบบนี้เขาเรียกว่าน้อยใจหรือเปล่านะ…
แน่นอนที่คยูฮยอนไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเรื่องเล็กน้อยที่เขาพูดถึงนั่นเป็นเรื่องใหญ่หลวงสำหรับซองมิน
ทั้งที่พยายามช่วยชีวิตแท้ๆ ทั้งที่เป็นห่วงมากขนาดนั้นแท้ๆ แต่ผู้ชายคนนั้นยัง….
ซองมินกัดริมฝีปากแน่นขณะกลืนก้อนแข็งๆ ที่ขึ้นมาจุกที่คอ เจ็บใจตัวเองทำไมถึงได้อยากร้องไห้เพราะผู้ชายที่มีดีแค่เปลือกนอกอย่างคยูฮยอนด้วยนะ
คำขอบคุณไม่มีซักคำ ตื่นมาก็ขู่เขาทำเหมือนกับว่าเขาเป็นคนไข้โรคจิตที่กำลังอาละวาด แล้วยังจะมาสอบสวนเขาอย่างกับเขาทำความผิดมา….
นี่หรือคือผลตอบแทนที่ได้จากการช่วยชีวิตผู้ชายที่ชื่อโจวคยูฮยอน
อีซองมินคนนี้ขอสาบานว่าต่อให้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นตายร้ายดี จะถูกผีจับหักคอ หรือจะต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน เขาก็จะไม่เหลียวแลเลย คอยดูสิ! แล้วเขาเนี่ยแหละจะเป็นคนซ้ำเติม หัวเราะสมน้ำหน้าวันที่เห็นคยูฮยอนในรูปวิญญาณ ไม่ใช่อยู่ในร่างมนุษย์ที่ทำเป็นปากเก่งอวดดีแบบนี้
อย่าให้วันนั้นมันมาถึงก็แล้วกัน!
มือบางหมุนลูกบิดประตูห้องพักของตัวเองออกก่อนจะกระชากประตูเปิดอย่างแรงตามอารมณ์ที่เดือดพล่านของตัวเอง
ประตูยังห้องยังไม่ทันปิดด้วยซ้ำ ความโกรธที่มีต่อคยูฮยอนก็ถูกลืมไปชั่วคราว ใบหน้าหวานที่งอง้ำเพราะอารมณ์คุระอุแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึม ราวกับเปลวไฟที่กลายสภาพเป็นน้ำแข็งเย็นเฉียบ นั่นก็เพราะซองมินเห็นวิญญาณนามว่าบารอมที่นั่งอยู่บนเตียงนอนของเขา
เด็กชายมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านตื่นกลัว
ซองมินรู้ว่าบารอมกำลังรอเขาอยู่
--------------------------------100%-----------------------------------
ปล. ซับรายการ (ที่แอบอู้จากการแต่งนิยาย) ที่ทำเป็นไงบ้างคะ สนุกกันไหม ตอนนี้ไรท์เตอร์กำลังเร่งปั่น Foresight อัพถึงตอนที่ 8 แล้ว ใครอยากชมก็คลิกเข้าไปในแชนแนลตามลิงค์ตอนหน้าได้เลยค่ะ ^ ^
ความคิดเห็น