ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 14
จิวอวงยี้ผละจากลู่ซุนด้วยความสุขสำราญ ความสุขใจเช่นนี้ไม่สามารถกักเก็บอยู่ พลันระบายความในใจออกด้วยการร่ายรำวิชาฝีมือ ใช้วิชาตัวเบาก้าวทะยานฝ่าสายฝนที่สาดโปรย ร่างกายแม้เปียกปอนแต่หัวใจกลับอบอุ่นเบิกบาน ยามนี้จิตใจปลอดโปรงไร้เรื่องกังวล บังเกิดสมาธิ เร่งเร้าพลังโคจรทั่วร่างทบทวนวิชาที่เคยฝึกปรืออยู่เป็นประจำ มือขวาร่ายรำเพลงฝ่ามือยมทูต มือซ้ายร่ายรำเพลงฝ่ามืออสรพิษสองเท้าก้าวทะยานท่ามกลางสายฝน กำลังภายในพอแผ่ออกจากร่าง หยาดเม็ดฝนที่เคยสาดกระทบต้องร่าง ในตอนนี้กลับไม่สามารถกระทบถูกร่างกาย ราวกลับว่าร่างกายของนาง มีเกราะอ่อนที่มองไม่เห็นปรกคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง เสื้อผ้าที่เปียกชื้นพลันมีไอระเหยของไอน้ำ ระเหยเป็นหมอกจางๆออกมา เพียงไม่นานเสื้อผ้าก็แห้งสนิททั้งที่หยาดฝนยังคงโปรยปราย นับตั้งแต่ลงเขามา จิวอวงยี้ยังไม่มีเวลาสมาธิทบทวนความก้าวหน้าของวิชาฝีมือ
ยามนี้กลับพบว่าวิชาพลังฝีมือของตนได้ก้าวหน้าขึ้นอีกระดับหนึ่ง ในใจครุ่นคิด นี้อาจเป็นเพราะในช่วงเวลาที่ลงจากเขามาได้ปะมือกับยอดฝีมือหลายคน ทำให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น รู้สึกปลาบปลื้มยินดี พอร่ายรำกระบวนท่าจบ จึงหลับตาลงทรุดกายลงนั่งรวบร่วมสมาธิโคจรพลังฟื้นฟู่อย่างช้าๆ ทบทวนการต่อสู้ที่แล้วมาโดยเฉพาะกับลู่ตั่วกอ พอรู้สึกผ่อนคลายร่างกายกระชุมกระชวยจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมา พบว่าแสงอาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้าแล้ว ฝนที่เคยโปรยปรายไม่ทราบว่าหยุดตกไปตั้งแต่ยามใด พลันนึกถึงเรื่องใดได้มีสีหน้าร้อนใจ ลอบร้องย่ำแย่ครุ่นคิดขึ้น 'นี้นับว่าเช้าแล้ว หากซังม่วยตื่นขึ้นมาไม่พบเรา เมื่อพบหน้าคงต้องซักไซ้ไล่เรียงเป็นการใหญ่ ทางที่ดีรีบกลับแต่เนิ่น ไม่แน่ว่านางอาจยังไม่ตื่นนอน' ครุ่นคิดแล้ว รีบดึงกายลุกขึ้นเดินทางกลับสู่หมู่ตึกขวัญกล้า พอถึงลอบเข้าไปยังห้องของตนเองผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นบุรุษก่อนออกจากห้องคิดไปหาฮ้วมเล้งซังที่พักอยู่ห้องใกล้ๆกัน เคาะประตูสงเสียงเรียกไปคราหนึ่งแต่กลับไม่มีเสียงขานตอบ จิวอวงยี้มีสีหน้าครุ่นคิด 'หรือซังม่วยยังไม่ตื่นนอน' ก่อนจะเคาะประตูส่งเสียงเรียกไปอีกคราหนึ่ง แต่ก็เงียบเชียบไร้เสียงขานรับ จิวอวงยี้ครุ่นคิดแล้วไม่ถูกต้อง 'ซังม่วยไม่น่าจะนอนขี้เซาปานนี้ หรือนางไม่ได้อยู่ในห้องนี้อาจเป็นไปได้'
พลันยกมือผลักประตูออก ปรากฏว่าประตูถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย ประตูกลับไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ พอเข้าไปภายในเห็นเตียงนอนว่างเปล่าไม่พบเห็นฮ้วมเล้งซังแต่อย่างใด อีกทั้งผ้าห่มยังไม่มีการจัดพับ ถ้วยชาก็ล้มกลิ้งอยู่บนโต๊ะ จิวอวงยี้ใช้นิ้วมือลูบคราบน้ำชาที่หกจากถ้วยมีสีหน้าครุ่นคิดสงสัย 'ซังม่วยรีบร้อนออกไปที่ใดแต่เช้า กระทั้งทำน้ำชาหกก็ไม่เหลือบแล หรือออกไปตามหาเรา' พอก้าวออกจากห้องคิดเดินตามหาภายในหมู่ตึก พบบ่าวทาสในหมู่ตึกจึงเอ่ยปากถามแต่ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่ทราบ แม้แต่พ่อบ้านที่นำทางมาส่งที่ห้องพักเมื่อคืนเองก็มีสีหน้าแปลกใจไม่ทราบเรื่องราว จิวอวงยี้รู้สึกไม่ชอบมาพากลอดเป็นห่วงไม่ได้ พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนซังม่วยไปดูแลอาการของผู้แซ่ล้อ ไม่แน่ว่ามันอาจทราบเรื่องราวอันใด รีบไต่ถามทางไปห้องของล้ออันเพ็กให้พ่อบ้านหมู่ตึกนำไป พอไปถึงภายในห้องกลับไร้เงาผู้คนเช่นกันแม้แต่ล้ออันเพ็กก็อันตรธารหายไป ภายในห้องยังมีชามตกแตกอยู่สองใบเห็นในชามยังมีของเหลวหลงเหลืออยู่ จึงใช้นิ้วมือปาดมาขยี้ดมดู ทราบได้ทันทีว่ายาในชามนี้มียาพิษปะปนอยู่ ฉุกคิดว่าผิดท่า หรือเอ็กเป่งไจ๋ยังคงติดใจเอาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ฉกฉวยโอกาสที่เราไม่อยู่ลงมือต่อสองคนนี้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เอื้อมมือคว้าตะปบคอของพ่อบ้านอย่างรวดเร็ว กล่าวเสียงกรรโชคขึ้น
"ชั่วช้านัก กลับกล้าวางยาพิษพวกเรา ตอนนี้สองคนนั้นอยู่ที่ใดให้รีบบอกมา หาไม่จะบิดคอเจ้าให้หักลงมาในบัดดล"
จิวอวงยี้พอลงมือก็คว้าจับชีพจรสำคัญตรงก้านคอทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถเกร็งกำลังดิ้นร้นขัดขืน ขอเพียงออกแรงขยับข้อมือคอพ่อบ้านต้องหักสะบั้นอย่างแน่นอน
พ่อบ้านทั้งแตกตื่นทั้งลนลาน พยายามดิ้นร้นให้หลุดจากการคร่ากุม แต่ไม่ทราบว่าเรี่ยวแรงสูญหายไปยังที่ใด ไม่สามารถดิ้นร้นให้หลุดรอดได้ รีบกล่าวระล่ำระลัก
"ละ..ลู่เซียงกง (คำยกย่องบุรุษรุ่นเยาว์แซ่ลู่) ประ..โปรดยั้งมือไว้ไมตรี ท่านกล่าวเรื่องยาพิษอันใด ลอบวางยาอันใด ไหนเลยมีเรื่องเช่นนี้"
"เฮอะ...ยังแสร้งทำเป็นไขสือ หลักฐานอยู่ตรงหน้านี้ยังกล้าปฏิเสธ คิดว่าใช้พิษชนิดไร้สีไร้กลิ่นจะตบตาเราได้หรือ ซาซือแป๋(อาจารย์ที่สาม)เรา ฉายาบุบผาร้อยพิษ หรือฉายานี้ให้เรียกกล่าวขานกันเล่นๆ สองคนนั้นอยู่ที่ใดยังไม่รีบบอกมา"
จิวอวงยี้ออกแรงข้อมือกดชีพจรคาดครั้นขึ้นสร้างความเจ็บปวดสุดทนทาน พ่อบ้านเจ็บปวดจนไม่อาจทนได้ แต่ไม่ทราบเรื่องราวเป็นเรื่องราวใดไม่สามารถหาคำตอบออกมาได้ พยายามฝืนเปล่งเสียงออกมา
"ละ..ลู่เซียงกง ผู้ต่ำต้อยไม่ทราบจริงๆ ดะ..ได้โปรดละเว้นผู้ต่ำต้อยด้วยเถิด"
จิวอวงยี้ดูท่าทีของพ่อบ้านไม่เหมือนเสแสร้ง เข้าใจว่าคงไม่ทราบเรื่องจริงๆ ครุ่นคิดขึ้นก่อนกระชากเสียงกราดเกรี้ยวตวาดใส่
"ท่านเมื่อไม่ทราบ แต่มีผู้หนึ่งย่อมต้องทราบ"
พลางฉุดลากพ่อบ้านให้นำพาไปหาเอ็กเป่งไจ๋ พ่อบ้านไม่อาจขัดขืน ได้แต่ยอมโดยดีนำพาจิวอวงยี้ไปยังห้องโถงของตัวตึก เห็นเอ็กเป่งไจ๋กำลังนั่งสนทนากับคนอีกสองคน คนผู้หนึ่งจิวอวงยี้เคยเห็นหน้ามาแล้วนั้น คือเล็กเลี้ยงอัน ส่วนอีกผู้หนึ่งเป็นสตรีวัยสามสิบเศษ มีความงามพริ้มพราย นัยน์ตาคมโตสันจมูกโด่ง ผมสีออกดำแดง คล้ายกับไม่ใช่ชาวฮั้น แต่เหมือนกับหญิงสาวชาวเปอร์เซียทางตอนเหนือ จิวอวงยี้ไม่มีเวลาแย่แสสนใจนางว่าเป็นผู้ใด ยิ่งเห็นเล็กเลี้ยงอันหรือเล่าสี่เอี้ย ผู้มีส่วนเข่นฆ่าสังหารครอบครัวของตนอยู่ร่วมกับเอ็กเป่งไจ๋ ยิ่งเข้าใจว่าเป็นพวกพร้องเดียวกันสมคบคิด พลันผลักร่างของพ่อบ้านพุ่งชนโต๊ะที่ทั้งสามนั่งสนทนาอยู่โดยแรง พ่อบ้านร้องเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับโต๊ะที่ทั้งสามนั่งจิบน้ำชาล้มระเนระนาดลง
เอ็กเป่งไจ๋ลุกขึ้นด้วยโทสะไม่ทราบว่าพ่อบ้านนี้ไฉนถึงได้ซุ่มซ่ามถึงเพียงนี้ ยังไม่ทันที่จะตวาดดุด่าเห็นพ่อบ้านชี้นิ้วไปยังหน้าประตูห้องโถงทั้งที่ยังนอนร้องครวญคราง พอเหลือบแลดูเห็นบุรุษหนุ่มแซ่ลู่ศิษย์สามภูติกวนตั๋งมีสีหน้าขึงขังท่าทางเอาเรื่องสองมือไพร่หลังก้าวเท้ายาวๆเข้ามา ทราบได้ว่าพ่อบ้านผู้นี้คงไม่ได้สะดุดหกล้มมาชนโต๊ะอย่างแน่นอน รู้สึกสงสัยว่าเหตุใดพ่อบ้านผู้นี้ถึงถูกจับโยนมาในลักษณะนี้ จึงกล่าวถาม
"ที่แท้เป็นลู่เสียวเฮียบท่านนี้ ไม่ทราบว่าพ่อบ้านเราไปล่วงเกินท่านที่ใด ถึงได้มีโทสะ"
จิวอวงยี้แสยะหน้า สองมือกอดอก กล่าวเสียงเย้ยหยันขึ้น
"เรื่องนี้ท่านย่อมทราบ อย่าแสร้งทำเป็นไม่รู้ความ เฮอะ เอ็กเป่งไจ๋ที่เหล่าชาวยุทธ์นับถือกลับทำตัวเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เรื่องราวเมื่อยุติแล้ว ไฉนจึงลงมือลอบทำร้ายคน"
เอ็กเป่งไจ๋มีสีหน้าฉงน กล่าวว่า
"ที่ท่านกล่าวเป็นเรื่องราวใด"
จิวอวงยี้เค้นเสียง เฮอะ กระชากเสียงกล่าวว่า
"เป็นเรื่องราวใดกลับกล้ากล่าว เรื่องนี้ท่านย่อมทราบอยู่แก่ใจ ซังม่วยเราอยู่ที่ใดให้รีบมอบคนมา"
เอ็กเป่งไจ๋งุนงงประหลาดใจ ไม่ทราบเกิดเรื่องอันใดกับเด็กสาวแซ่ฮ่วม
"นางไม่ได้อยู่ที่ห้องหรือ หรือไปยังที่ใดแล้ว"
กล่าวถามพลางขยับกายเดินออกจากห้องโถงคิดไปตรวจสอบดู จิวอวงยี้อยู่ในอารมณ์รุ่มร้อนใคร่ทราบชะตาชีวิตของซังม่วย เห็นเอ็กเป่งไจ๋ขยับกายคิดออกจากห้องโถง รีบกล่าวตะคอกขึ้นว่า
"ยังเจรจาไม่ทราบความ ไหนเลยอนุญาตให้ท่านจากไป"
พลางซัดเข็มอสรพิษเข้าหาเอ็กเป่งไจ๋ขวางกั้น เอ็กเป่งไจ๋ยังไม่ทันก้าวถึงสองก้าวต้องพลิ้วกายหมุนตัวถอยหลัง สะบัดแขนเสื้อปัดวัตถุโลหะแหลมเล็กสองอันที่พุ่งใส่ใบหน้าตนออกเบี่ยงเบนปักตรึงกับเสาไม้ เกิดบันดาลโทสะ จู่ๆบุรุษผู้นี้กลับลงมือทำร้ายตน ร้อง เฮอะ ออกมา กล่าวกระชากเสียงดัง
"ผู้แซ่ลู่ นี้กลับมากไปแล้ว เห็นแก่ท่านเป็นอาคันตุกะ เราจึงอ่อนข้อให้ หาไม่แล้วศิษย์สามภูติกวนตั๋งไหนเลยสามารถเหยียบย่ำในหมูตึกขวัญกล้าได้"
จิวอวงยี้เค้นเสียงกล่าว
"ผู้ใดสนว่าเป็นหมู่ตึกขวัญกล้าขวัญอ่อนอันใด ลูกผู้ชายกล้าทำย่อมต้องกล้ารับ ซังม่วยเราตอนนี้อยู่หรือตายให้ท่านบอกมา"
พลางเตรียมเข็มอสรพิษในมือพรักพร้อม เอ็กเป่งไจ๋จะอย่างไรก็เป็นชนชั้นอาวุโสอีกทั้งเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวยุทธ์ ให้เด็กรุ่นเยาว์มายืนชีหน้าคาดครั้นไหนเลยทานทนได้ จึงไม่ตอบคำครุ่นคิดว่าต้องสยบดับความอหังการของบุรุษผู้นี้ก่อนค่อยเจรจาอธิบาย เพียงเค้นเสียงเฮอะไม่ตอบคำ จิวอวงยี้เห็นเอ็กเป่งไจ๋ไม่ตอบคำเข้าใจว่าซังม่วยถูกลอบประทุษเสียชีวิตแล้ว ยิ่งเพิ่มเพลิงโทสะพลุพล่าน สองตาแดงกร่ำ
นางกับฮ่วมเล้งซังแม้พบกันไม่นานแต่กลับรู้สึกรักใคร่ฮ่วมเล้งซังประดุจน้องร่วมสายเลือด ยามนี้เมื่อเข้าใจว่าซังม่วยเสียชีวิตแล้ว จึงคิดเสี่ยงชีวิตกับเฒ่าแซ่เอ็กดูซักครา เค้นเสียงด้วยความคับแค้น
"ประเสริฐ ท่านเมื่อไม่พูด เราจะทำให้ท่านพูด"
พลางขยับร่างจู่โจมเข้าหา เพียงใช้ออกก็ทุ่มเทเสี่ยงชีวิตใช้สองวิชาสองฝ่ามือ มือหนึ่งใช้เพลงฝ่ามือยมทูติ อีกมือหนึ่งใช่ฝ่ามืออสรพิษซุกซ่อนเข็มบนฝ่ามือ กระบวนท่าที่ใช้ล้วนแล้วแต่อำมหิตจู่โจมจุดตายแทบทั้งสิ้น ทั้งรวดเร็วทั้งพิสดาร เอ็กเป่งไจ๋แม้เตรียมตัวพรักพร้อมอยู่แล้ว แต่วิชาที่นางใช้ยังเหนือความคาดหมายอยู่มาก ต้องตระหนกเล็กน้อยรีบใช้วิชาแขนเสื้อเหล็กเข้าต้านทาน วิชาแขนเสื้อเหล็กโดดเด่นที่กำลังภายในแฝงในแขนเสื้อ จิวอวงยี้เคยปะมือกับลู่ซุนที่มีกำลังภายในแฝงหมัดเท้าหนักแน่นมาแล้ว ทราบวิธีต้านปะทะต่อผู้มีกำลังภายในเหนือตน อาศัยไม่ปะทะโดยตรงชักนำพลังผ่อนหนักเป็นเบา พอปะมือก็ทราบว่าเอ็กเป่งไจ๋มีกำลังภายในไม่เทียบเท่าลู่ซุน ยิ่งทำให้นางมีความมั่นใจมากขึ้น
เอ็กเป่งไจ๋ถึงกลับหน้าแปรเปลี่ยนเมื่อพบกับความพิสดารของวิชาฝีมือของบุรุษแซ่ลู่ผู้นี้ คิดจะสยบมันคงไม่ง่ายดายแล้ว อดคิดนับถือสามภูติกวนตั๋งไม่ได้ ที่อบรมศิษย์ผู้เดียวแต่สามารถนำจุดเด่นของวิชาของคนทั้งสามมาร่วมประสานกันลบล้างปมด้อยสร้างจุดเด่นของวิชาขึ้นมาใหม่ใช้ออกได้ในคนคนเดียว เช่นนี้ใยไม่ใช่เหมือนกับรับมือสามภูติกวนตั๋งทั้งสามคน อีกทั้งบุรุษผู้นี้ยังมีอัฉริยะภาพสามารถพลิกแพลงตามสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม คิดแล้วถึงกลับอิจฉาที่คนชั่วช้าแบบนั้นกลับได้ศิษย์ประเสริฐแบบนี้ หากวันนี้ไม่สามารถสยบศิษย์สามภูติกวนตั๋งได้ ภายหน้าไม่ทราบว่าจะเอาหน้าไปไว้ยังที่ได้ คงต้องถูกสามภูติกวนตั๋งหัวเราะเยาะจนตาย คิดแล้วถึงกลับทุ่มเทยอดวิชาจนสุดกำลัง พลังแขนเสื้อโบกสะบัดพัดเสียงดังหวืดหวือ จนเล็กเลี้ยงอันกับ สตรีผมดำแดงต้องถอยฉากออกมาจากรัศมีที่ทั้งสองต่อสู้พัวพันกัน สตรีผมดำแดงเพ่งพินิจดูท่าร่างของจิวอวงยี้มีหลายลักษณะคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง กล่าวถามเล็กเลี้ยงอันขึ้น
"คนผู้นั้นเป็นศิษย์ของสามภูติกวนตั๋งหรือ"
น้ำเสียงของนางกลับหยาดเยิ้มนุ่มนวลชวนหลุมหลง บุคลิกชะมดชะม้ายยั่วยวน ท่าทางดูแล้วคล้ายคังหมิ่นในสามภูติกวนตั๋งเสียแปดเก้าส่วน เล็กเลี้ยงอันสังเกตุสายตาของสตรีผมดำแดงชะม้ายตามอง บุรุษหนุ่มผู้นี้อย่างไม่วางสายตา มีสีหน้าไม่ใคร่พอใจ บังเกิดจิตหึงหวงกล่าวเหน็บแนมตอบ
"ดูท่านจะสนใจมันเป็นพิเศษ เป็นไรเพียงเห็นเด็กหนุ่มหน้าอ่อน ท่านก็คิดจะทอดสะพานแล้วหรือ หรือในใจท่านไม่มีเราผู้แซ่เล็กแล้ว"
สตรีผมดำแดงหันมาทางเล็กเลี้ยงอันดวงตาหยาดเยิ้มยั่วยวนยิ้มขึ้นกล่าวว่า
"ท่านผู้นี้ก็ประหลาด กระทั้งสตรียังหึงหวงเรา"
เล็กเลี้ยงอันฉงนสงสัยไม่ทราบที่นางกล่าวว่าสตรีนั้นหมายถึงผู้ใด สตรีผมดำแดงเห็นสีหน้าเล็กเลี้ยงอัน ก็หัวเราะร่วนเบาๆไม่รอให้มันเอ่ยปากถาม ชิงตอบออกมาก่อน
"นี้ไม่อาจโทษว่ากล่าวท่านที่ท่านไม่ทราบ เราที่แรกก็เข้าใจว่านางเป็นบุรุษ การปลอมตัวของนางนั้นแนบเนียนยิ่ง หากไม่ใช่วิชาท่าร่างของนางเราคงดูไม่ออก วิชาดัดตนอ่อนกายไหนเลยอนุญาติให้บุรุษร่ำเรียนได้"
เล็กเลี้ยงอันมีสีหน้าเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่งไม่ทราบว่าจิตเจตนาที่แท้จริงของสตรีผมดำแดงมีเจตนาใด แต่ก็ไม่อาจไม่ตอบคำถามนาง
"ถูกแล้วคนผู้นั้นเป็นศิษย์สามภูติกวนตั๋ง"
สตรีผมดำแดงปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่ใบหน้าเป็นยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาออก เล็กเลี้ยงอันเองก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม จิวอวงยี้กับเอ็กเป่งไจ๋ต่อสู้กันกว่าสามร้อยกระบวนท่ายังไม่อาจตัดสินแพ้ชนะ จนเสียงการต่อสู้ของคนทั้งสองเรียกศิษย์ในหมู่ตึกขวัญกล้าระดมกำลังมาห้อมล้อมรอบห้องโถง ทุกคนต่างถือกระบี่พรักพร้อมเตรียมจะกรุ่มรุมจับตัวจิวอวงยี้ไว้ จิวอวงยี้รับมือกับเอ็กเป่งไจ๋ผู้เดียวนับว่าตึงมือแล้วหากมีผู้อื่นสอดแทรกแบ่งแยกสมาธินับว่าย่ำแย่ยิ่ง รีบชิงกล่าวเย้ยหยันเสียงดังขึ้น
"เฒ่าแซ่เอ็ก บริวารท่านมาแล้วยังไม่รีบสั่งให้เข้ามาคร่ากุมเราตามถนัด หาไม่ท่านต้องเสียชีวิตใต้เงื้อมือเราอย่างแน่นอน"
เอ็กเป่งไจ๋โกรธจนหน้าแดงฉาด การป่าวประกาศเช่นนี้ย่อมหมายถึงเราเฒ่าแซ่เอ็กผู้เดียวไม่มีน้ำยาจัดการกับเด็กหนุ่มผู้เดียว ต้องอาศัยพวกมากกรุ่มรุม เหลือบแลเห็นศิษย์ผู้หนึ่งกำลังจะเข้าร่วมวงต่อสู้รีบตวาดห้าม
"ผู้ใดให้เจ้าสอดมือยังไม่รีบถอยไป"
ศิษย์ผู้นั้นรีบหดกระบี่ถอยกายออกมา พร้อมกับร่างสายหนึ่งกระโจนข้ามหัวเหล่าศิษย์หมู่ตึกขวัญกล้าเข้ามา ปากร้องตะโกนกังวาน
"ทั้งสองโปรดหยุดมือ"
ร่างที่ทะยานเข้ามาใช้สองเท้าเตะใส่ท่อนแขนของคนทั้งสองที่รบเร้าพัวพันกัน จิวอวงยี้กับเอ็กเป่งไจ๋ทราบถึงกำลังที่จู่โจมมามีกำลังแฝงน่าหวาดหวั่นรีบชักท่อนแขนกลับหลบหลีก ทั้งสองฝ่ายต่างพริ้วกายถอยห่างออกไปคนล่ะเจ็ดแปดก้าว ผู้ที่ก้าวทะยานจู่โจมแยกทั้งสองออกจากกันยืนอยู่ระหว่างกลางกลับเป็นลู่ซุน จิวอวงยี้ที่แรกยังแค้นผู้ที่จู่โจมมาเกือบแผดด่า แต่พอเห็นเป็นลู่ซุนปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนหน้านับว่าตนได้ผู้ช่วยเข้มแข็งแล้ว ลู่ซุนประสานมือขึ้นเป็นเชิงคาราวะกล่าวถาม
"ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองไฉนจึงปะมือกัน"
เอ็กเป่งไจ๋พอเห็นลู่ซุนก้รู้สึกยินดี คนผู้นี้มีเหตุมีผล คงพออธิบายให้เข้าใจได้ กำลังจะเอ่ยปากบอก จิวอวงยี้พลันสะอึกกายเข้าหาชิงบอกต่อลู่ซุนก่อน
"ตั่วกอท่านมาก็ดี เราท่านร่วมมือกัน สังหารเฒ่าชั่วช้าผู้นี้ มันกลับทำร้ายซังม่วยข้าพเจ้า"
เอ็กเป่งไจ๋ต้องชะงักงัน พอฟังบุรุษแซ่ลู่เรียกหาลู่ซุนอย่างสนิทสนม ชักลังเลไม่แน่ใจ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนได้แต่เค้นเสียง เฮอะ ในคำปรักปรำของจิวอวงยี้ นางพอกล่าวจบก็คิดราวี ขยับร่างเข้าหาเอ็กเป่งไจ๋ ลู่ซุนต้องรีบฉุดดึงไว้กล่าวห้ามปราบ
"ท่านอย่าได้วู่วาม เกิดเรื่องราวใดกับเด็กสาวแซ่ฮ่วมให้บอกกล่าวโดยละเอียดก่อน"
จิวอวงยี้หยุดชะงักลง ชี้นิ้วไปทางเอ็กเป่งไจ๋ หันมากล่าวว่า
"มันผู้นี้เสียทีมีผู้คนนับถือเลื่อมใส ยกย่องให้เป็นจอมยุทธ์คุณธรรม เรื่องราวของบุตรชายมันนับว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลฮ่วมแล้ว คนทั่วไปต่างทราบ ชาวยุทธ์ทั่วไปต่างทราบ แต่มันกลับไม่ทราบ กลับยึดถือความแค้นโดยไม่ฟังเหตุผล ต่อหน้าชาวยุทธ์มากมายมันไม่กล้าลงมือ แต่พอลับหลัง กลับใช้ยาพิษลอบทำร้ายผู้แซ่ล้อกับซังม่วยของข้าพเจ้า ทั้งสองคนนี้ตอนนี้ไม่ทราบเป็นหรือตาย ยังคงต้องคาดคั้นจากมัน"
ลู่ซุนรับฟังจนสีหน้าประหลาดใจ รีบหันไปทางเอ็กเป่งไจ๋คิดสอบถาม แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เอ็กเป่งไจ๋พลันหัวเราะฮ่าฮ่า ดังก้อง
"เราเอ็กเป่งไจ๋แม้ไม่ใช่คนดีที่เที่ยงแท้ แต่ก็เป็นลูกผู้ชายหาญกล้า สามภูติกวนตั๋งคิดชำระแค้นเมื่อเก่าก่อนไฉนจึงไม่มาเผชิญกันซึ่งๆหน้า ต่อให้เราสู้ไม่ได้ก็ไม่เคยเกรงกลัวตาย แต่กลับใช่แผนโฉดส่งศิษย์มาสร้างมลทิณแก่เรา ต่อให้เราตายก็อย่าหมายได้รับการยอมรับนับถือ ศิษย์สุนัขยังจะกล่าวมากความไปไย คิดเข่นฆ่าเราก็เข้ามาเถอะ"
จิวอวงยี้เดือดดาลยิ่งคำว่าศิษย์สุนัขไยไม่ใช่ด่าตนและบรรดาซือแป๋เป็นสุนัขทั้งสิ้น ม้วนฝ่ามือขึ้นคีบเข็มอสรพิษติดปลายนิ้วใช้ฝ่ามืออสรพิษจู่โจมเข้าหา ทั้งสองกลับเปิดฉากราวีกันใหม่ ลู่ซุนแม้กล่าววาจาห้ามปราม แต่ทั้งคู่อยู่ในอารมณ์เดือดดาลไหนเลยรับฟัง จำต้องกระโจนเข้าวงต่อสู้อีกผู้หนึ่งขวางกั้นไม่ให้ทั้งสองทำอันตรายกัน กลับกลายเป็นว่าทั้งสามต่อสู้พัวพันยุ่งเหยิงไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดรับมือผู้ใด บางครั้งลู่ซุนปะมือกับจิวอวงยี้ปัดป้องให้เอ็กเป่งไจ๋ บางคราปะมือกับเอ็กเล่าเอ็งฮงต้านรับแทนจิวอวงยี้
"ตั่วกอ ท่านไฉนจึงขัดขวางข้าพเจ้า หากท่านไม่คิดช่วยเหลือก็อย่าได้ขวางทาง" เสียงขุ่นของจิวอวงยี้ตวาดขึ้นอย่างหงุดหงิดใจเมื่อถูกลู่ซุนขวางต้านทานผ่ามืออสรพิษไว้ ลู่ซุนยังไม่ทันตอบคำต้องรีบใช้ท่อนแขนอีกข้างหนึ่งต้านรับฝ่ามือของเอ็กเป่งไจ๋ที่จู่โจมเข้าหานาง เอ็กเป่งไจ๋เองก็หงุดหงิดไม่น้อยตวาดว่า
"น้องแซ่ลู่ หากเรื่องนี้ท่านไม่เกี่ยวข้องก็ให้ถ่อยไป"
ยามนี้ลู่ซุนนับว่าปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่ง ห้ามปรามก็ไม่มีผู้ใดรับฟัง ขัดขวางก็ไม่มีผู้ใดยอมหยุด
เล็กเลี้ยงอันยืนชมดูทั้งสามชุลมุนวุ่นวายอยู่ด้านข้าง หันไปสบยิ้มกับสตรีผมดำแดงอย่างมีเลศนัย ก่อนจะตวัดกระบี่ขึ้นมาถือในมือ กล่าวต่อเอ็กเป่งไจ๋เสียงดัง
"เอ็กเล่าเอ็งฮง คนพวกนี้คิดให้ร้ายปรักปรำท่าน อย่าได้คิดถึงมารยาทอันใด ให้ข้าพเจ้าช่วยเหลืออีกแรงเถอะ" พลันสะบัดกระบี่เข้าหาจิวอวงยี้จากด้านหลัง ปลายกระบี่ปาดตามขวางเข้าหาศรีษะ ลู่ซุนเหลือบแลเห็นรีบร้องเตือน นางพลันไหวตัวสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยียบกรำกรายถึงศรีษะ รีบแยกขาทั้งสองข้างออกกว้างทิ้งตัวลงวูบจนท่อนขาขนานนาบกับพื้น ปลายกระบี่จึงเฉียดผ่านศรีษะ แต่กลับถุกหมวกที่นางสวมใส่อยู่ขาดหลุดออก พอพ้นกระบี่ รีบเตะตวัดเท้าม้วนเป็นวงกลมขึ้นด้านบน สองมือคำยันพื้นต่างเท้า ดีดตัวตีลังกาหลบออกจากรัศมีกระบี่ที่ตามติดทำร้ายไม่ให้ถึงตัว ไม่คาดว่าเอ็กเป่งไจ๋เห็นนางหลบกระบี่มาทางตน รีบซัดฝ่ามือออกใส่ จิวอวงยี้เท้ายังไม่ทันสัมผัสพื้นฝ่ามือนี้ก็ถึงตัวแล้ว ลู่ซุนแตกตื่นยิ่งคาดว่านางไม่สามารถหลบรอดได้ รีบวกตัวกลับหลัง ฉุดดึงจิวอวงยี้เข้ามาในอ้อมแขน ฟาดฝ่ามือออกต้านรับแทน ยามแตกตื่นลนลานลืมชั่งหนักเบา ฝ่ามือนี้ใช้ออกโดยสุดแรง พลังเทพสาดส่องมีความลึกล้ำไพศาล เอ็กเป่งไจ๋ไหนเลยต้านทานได้ พอฝ่ามือทั้งสองกระทบถูกกัน ร่างของเอ็กเป่งไจ๋คล้ายถูกเหวี่ยงลอยออกไปจนแผ่นหลังกระแทกข้างฝาเสียงดังลั่น บรรดาศิษย์หมู่ตึกขวัญกล้าเห็นผู้เป็นซือแป๋ถูกทำร้ายต่างตกตะลึงพึงเพลิด รีบเข้าไปพยุงผู้เป็นซือแป๋ไต่ถามอาการอย่างเป็นห่วงจนเสียงเซ็งแซ่ เอ็กเป่งไจ๋ไม่สามารถกล่าวคำ ถูกพลังเทพสาดส่องกระแทกจนภาวะภายในปั่นป่วน ปรากฏโลหิตไหลซึมออกทางมุมปาก ต้องรีบโคจรพลังปรับสภาวะกำลังภายในให้คงสภาพ จนไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
จิวอวงยี้อยู่ในอ้อมแขนของลู่ซุน รู้สึกสบอารมณ์ยิ่งที่เห็นเอ็กเป่งไจ๋ได้รับบาดเจ็บเพราะลู่ซุนเข้าช่วยเหลือตน ส่งยิ้มให้กลับลู่ซุนกล่าวปนยิ้มว่า
"เช่นนี้จึงถูกต้อง ท่านต้องคอยปกป้องข้าพเจ้า"
ยามนี้หมวกที่นางสวมใส่อยู่ได้หลุดออก เส้นผมที่ยาวสลวยปรกลงบนบ่าทั้งสอง ขับเน้นใบหน้าจนเห็นเด่นชัด จากที่เคยเห็นเป็นบุรุษหน้ามนหล่อเหลา ตอนนี้กลับเห็นว่านางมีความเป็นสตรีมากกว่าอีกทั้งเป็นสตรีที่งดงาม
ลู่ซุนไม่ได้ยิ้มตอบ ดันร่างจิวอวงยี้ออกจากอ้อมแขน ส่งสายตาตำหนิติเตียน สีหน้าไม่สบายใจอย่างยิ่ง ครานี้พลั้งมือทำร้ายเอ็กเล่าเอ็งฮงโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่แน่ว่าเรื่องราวอาจยิ่งบานปลาย หากเป็นเช่นนั้นนับว่าย่ำแย่ยิ่ง คิดเข้าไปขอขมาถามไถ่อาการของเอ็กเป่งไจ๋ บรรดาศิษย์ของหมู่ตึกขวัญกล้าเข้าใจว่าลู่ซุนจะเข้ามาทำร้ายต่างกรูกันเข้ามาขวางกั้นไว้ ลู่ซุนต้องชะงักเท้าลงยังไม่ทันเอ่ยปาก ได้ยินเสียงของเล็กเลี้ยงอันกล่าวว่า
"พี่น้องทั้งหลาย คนพวกนี้ร่วมมือกันให้ร้ายปรักปรำเอ็กเล่าเอ็งฮง ทั้งยังทำร้ายท่านผู้เฒ่า พวกเราช่วยกันคร่ากุมตัวไว้"
เหล่าศิษย์หมู่ตึกขวัญกล้าพอได้รับการกล่าวกระตุ้นต่างพากันถาโถมกระบี่จู่โจมอย่างพร้อมเพียง เงากระบี่นับสิบเล่นก็ฟาดฟันเข้าหาลู่ซุน ต้องรีบใช้เพลงฝ่ามือกำหราบเสือยื้อแย่งฉุดอาวุธต้านรับปัดป้อง มันยังไม่ทราบเรื่องราวกระจ่างชัดจึงไม่อาจลงมือทำร้ายผู้ใด ยังออมมือไว้ไมตรีเพียงปลดอาวุธ กับจู่โจมรุกไล่ให้ถอยออกไปเพียงเท่านั้น
ผิดกับจิวอวงยี้ สองมือของนางประดุจอสรพิษร้ายพอลงมือคราใดต้องมีผู้คนล้มลงไปนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เล็กเลี้ยงอันจับสังเกตุจิวอวงยี้ตลอดเวลา ยามนี้จึงเห็นถนัดชัดตา แม้นางไม่ได้ผลัดแต่งใบหน้ายังมีความงดงามตามธรรมชาติ พินิจแล้วนางกลับเป็นสาวงามที่หาได้อยาก ยิ่งลักษณะวิทยายุทธ์ของนางด้วยแล้ว คล้ายกับการร่ายระบำ ดูอ่อนช้อยแต่ไม่เชื่องช้า ทั้งงดงามทั้งน่าพิศวง แววตาที่เย่อหยิ่งถือดี นับว่ามีส่วนยั่วยวนบุรุษไม่น้อย เห็นนางโค่นศิษย์หมู่ตึกขวัญกล้าลงหลายคน ยิ่งกระตุ้นจิตใจให้ฮึกเหิม ขึ้นชื่อว่าม้าพยศชายใดก็หมายกำหราบ พลันขยับกระบี่จู่โจมใส่
จิวอวงยี้เหลือบเห็นเงากระบี่พุ่งเข้าหา ปรานกระบี่มีความมั่นคงหนักแน่น ทราบว่าเจ้าของกระบี่นี้มีเพลงกระบี่ไม่ต่ำทราม รีบพลิ้วตัวหลบออกด้านข้างฉุดดึงมือของศิษย์หมู่ตึกขวัญกล้าผู้หนึ่ง ใช้กระบี่ในมือมันเข้าต้านรับ พอเห็นว่าเป็นผู้ใดจู่โจมมาต้องร้อง อ้อ อย่างเสียมิได้ กล่าวเหน็บแนมว่า
"ที่แท้เล็กไต้เฮียบ ฉกฉวยโอกาส ท่านไฉนไม่รอให้ข้าพเจ้าอ่อนแรงกว่านี้ จึงค่อยลงมือ ยังจะประสบผลกว่า"
เล็กเลี้ยงอันแสร้งไม่ได้ยินที่นางกล่าว ยิ้มประจบกล่าวว่า
"ที่แท้มิใช่กงจื้อ(คุณชาย)หากแต่เป็นเสียวเจี๊ยะ(คุณหนู) ทั้งยังเป็นเสียวเจี๊ยะที่งดงาม"
จิวอวงยี้แสยะยิ้มกล่าวว่า
"มิเพียงเป็นเสียวเจี๊ยะที่งดงาม ยังเป็นมารดาท่าน ลูกเอ๋ยยังไม่รีบคุกเข่ากราบเรียกมารดา"
เล็กเลี้ยงอันต้องหน้าแดงซ่านครุ่นคิดขุ่นเคือง สตรีผู้นี้วาจาร้ายกาจยิ่ง ตนเองอายุนับว่าแก่กว่านางถึงสิบกว่าปีแต่กลับให้เราเรียกหาเป็นมารดา พลันพลิกข้อมือตวัดกระบี่ปาดเป็นวง ใช้ออกด้วยกระบวนท่า ปาดน้ำค้างบนยอดหญ้า แทงปลาในลำธาร และซ่อนกระบี่ใต้แขนเสื้อ สามกระบวนท่าติดต่อกัน
จิวอวงยี้ พอเห็นกระบวนท่าแรกที่มันใช้ออกก็ทราบได้ว่านี้คือท่าปาดน้ำค้างบนยอดหญ้าของสำนักเตียมชังท่านี้นับว่าร้ายกาจแต่ก็ไม่ได้หวั่นเกรง ด้วยท่าร่างที่รวดเร็วของนางเพียงพลิ้วตัวออกด้านข้างก็หลบพ้น พอเห็นมัน ตามติดด้วยกระบวนท่าแทงปลาในลำธารของสำนักห้ากระบี่ กระบวนท่านี้กับท่าแรกนับว่าทิศทางกระบี่ขาดความต่อเนื่องสัมพันธ์ ทำให้เปิดช่องโหว่มากมาย ต้องนึกหัวร่อเยาะหยัน ที่แท้ความสามารถของเล็กไต้เฮียบมีเพียงเท่านี้ พลันสะบัดปลายนิ้วแทงเข็มอสรพิษในฝ่ามือเข้าโต้ตอบใส่ช่องโหว่ที่เผยให้เห็น ไม่คาดว่ากระบี่พลันหมุนวนรวดเร็วฟันเข้าหาที่ข้อมือนางจนต้องรีบหดมือกลับ เงากระบี่พลันหายวูบเห็นเป็นชายเสื้อโบกผ่านม่านตา พริบตาพอจางหายประกายกระบี่กลับแผ่พุ่งเข้าสู่ลำคอในทิศทางที่คาดไม่ถึง กระบวนท่านี้กลับเป็นกระบวนท่าซ่อนกระบี่ใต้แขนเสื้อ สามกระบวนท่านี้นับว่าขาดความสัมพันธ์ต่อเนื่อง แต่มันกลับนำมาพลิกแพลงใช้ออกอย่างแยบยล
จิวอวงยี้ต้องใจหายวูบ รีบแอ่นกายไปด้านหลัง ทรงตัวด้วยปลายเท้าทั้งสอง ลำตัวท่อนบนเอนหงายขนานกับพื้น ปลายกระบี่เฉียดผ่านลำคอค่อมบนใบหน้าห่างเพียงนิ้วเศษ หากไม่ใช่นางฝึกวิชาดัดตนอ่อนกายของคังหมิ่นกระบี่นี้คงไม่สามารถหลบพ้น (วิชาดัดตนอ่อนกาย เป็นวิชายืดหยุ่นกล้ามเนื้อให้อ่อนเนื้อคนธรรมดาแต่มีความแข็งแรงมั่นคงและทรงตัวได้ดี คล้ายวิชายิมนาสติกในปัจจุบัน) ลำตัวของนางอ่อนแทบไร้กระดูกแต่ยังมั่นคงแข็งแรง พอกระบี่ผ่านพ้นรีบใช้ปลายเท้าเตะตวัดใส่ท่อนแขนของเล็กเลี้ยงอันจนทิศทางกระบี่เบี่ยงเบน ก่อนจะพลิกตัวถอยห่างออกมา
ท่วงท่าของนางทั้งว่องไว ทั้งอ่อนช้อยงดงาม แม้บรรดาศิษย์หมู่ตึกขวัญกล้ายังยืนชื่นชมตะลึงลานจนลืมลงมือ พอได้สติต่างเข้าสมทบกับเล็กเลี้ยงอันรุกไล่จนจิวอวงยี้ไม่มีเวลาตั้งหลักหายใจ ต้องลอบร้องย่ำแย่ ครุ่นคิด ลำพังเล็กเลี้ยงอันผู้เดียวนับว่ารับมือได้ยากลำบากแล้ว นี่กลับมีบรรดาลิ่วล้อคอยสอดแทรกก่อกวนนับว่ายากลำบากยิ่ง พลันเหลือบเห็นคานไม้บนหลังคาห้องกลับคิดได้วิธีหนึ่ง รีบดีดเท้าลอยตัวขึ้นไปยืนบนคานหลังคา คานไม้นี้หน้าแคบกว้างไม่ถึงครึ่งหน้าเท้าข้างเดียวเหยียบย่ำ การเคลื่อนไหวตัวนับว่าจำกัดอย่างยิ่ง แต่จิวอวงยี้เคลื่อนไหวตัวได้ราวกับอยู่บนเป็นพื้นดิน ผู้คนที่ติดตามนางขึ้นไป ต่างถูกนางทุบตีสะบัดเหวี่ยงจนตกลงมาหมดสิ้น
เล็กเลี้ยงอันคราแรกเห็นนางหลบวิถีกระบี่ของตนอย่างหมดจดงดงามครั้งนี้ยังสรรหาสมรภูมิอย่างชาญฉลาด นับว่านางมีไหวพริบปฏิภาณยอดเยี่ยม ครุ่นคิดไม่อาจออมมือ ก้าวทะยานขึ้นบนคานหลังคายืนประจันหน้า กล่าวคำว่า เสียดาย เสียดาย สองครั้ง ก่อนขยับตั้งท่าเข้าจู่โจม
จิวอวงยี้เห็นประกายกระบี่เผ็ดร้อนรวดเร็วคุกคามมา เพียงขยับกระบี่ก็มุ่งทำร้ายจุดสำคัญของร่างกายหลายจุด ดังนั้นไม่อาจชะร่าใจ เร่งเร้ากำลังภายในทุ่มเทวิชาตัวเบาก้าวเท้าหลบหลีก เห็นเป็นเงาเคลื่อนไหวพลิ้วพรายต่อสู้พัวพันกับเล็กเลี้ยงอันบนคานหลังคา ในตอนนี้หากนับเรื่องอาวุธจิวอวงยี้ยังตกเป็นรองขั้นหนึ่ง เข็มอสรพิษในมือนางไม่อาจใช้ต้านกระบี่ อาศัยวิชาฝ่ามือยมทูติในหลักมือเปล่าชิงอาวุธที่ถนัดจัดเจนกับการเคลื่อนไหวที่ปราดเปรียวบนคานไม้คับแคบ ยังสามารถสู้ได้ไม่เหลื่อมล้ำ
ในขณะต่อสู้ชุลมุนวุ่นวาย สตรีผมดำแดงพลันเยื้อย่างไปทางด้านหลังของเอ็กเป่งไจ๋ พ่นวัตถุแข็งใสออกจากปากใส่ทายทอยของมัน วัตถุนั้นพอกระทบถูกพลันละลายกลายเป็นน้ำซึมซับเข้าผิวหนัง เอ็กเป่งไจ๋กำลังปรับลมปราณสภาวะภายใน รู้สึกมีกระแสไอเย็นแทรกซึมไปตามสายลมปราณกระจายไปทั่วร่าง ยิ่งมายิ่งเย็นยะเยียบ พบว่าตนเองถูกลอบทำร้ายกลับสายเกินไป ร่ายกายพลันกระตุกเฮือกหนึ่งกระอักโลหิตออกมาคำโตก่อนจะสิ้นสติลง ศิษย์สองคนที่คุ้มครองอยู่ด้านข้างต่างตื่นตระหนกรีบพยุงร่างเอ็กเป่งไจ๋ไม่ให้ล้มลงร้องเรียก ซือแป๋ อย่างตกใจ แต่ไม่ว่าจะร้องเรียกเช่นไร เอ็กเป่งไจ๋ก็หาได้มีสติขึ้นมาไม่ พอใช้นิ้วชี้อังที่ปลายจมูกสังเกตุลมหายใจ ต้องร้องออกมาอย่างแตกตื่นลนลาน
"ซือแป๋ เสียชีวิตแล้ว"
สิ้นเสียงร้องบรรดาผู้คนต่างชะงักงัน เหล่าศิษย์หมู่ตึกขวัญกล้าพากันเข้าไปห้อมล้อมร่างที่ไร้วิญญาณของเอ็กเป่งไจ๋ พอทราบว่าเสียชีวิตจริงต่างก้มลงคุกเข่าหลั่งน้ำตาเนื่องนองหน้าร่ำไห้ร้องเรียกหาซือแป๋อย่างโศกเศร้า ทุกคนต่างเข้าใจว่าที่ซือแป๋ตนเสียชีวิตต้องสืบเนื่องจากถูกลู่ซุนทำร้ายกลับไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นการลงมือของสตรีผมดำแดง แต่จิวอวงยี้ที่รับมืออยู่กับเล็กเลี้ยงอันบนคานหลังคากลับสังเกตเห็น นางอยู่ในต่ำแหน่งสูงอีกทั้งยังมีสายตาที่ปราดเปรียวจึงพบเห็นโดยบังเอิญ ครุ่นคิดไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนสตรีชาวเปอร์เซียผู้นั้นถึงได้ลอบทำร้ายเอ็กเป่งไจ๋ เล็กเลี้ยงอันอาศัยที่จิวอวงยี้แบ่งแยกสมาธิ ชะงักงันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วกกระบี่กรีดผ่านถูกข้อเท้าของนางบังเกิดเป็นบาดแผล จิวอวงยี้ต้องรีบปลุกปลอบสมาธิ ไม่สนใจกับเหตุการณ์ด้านล่าง ต้านรับกระบี่ของเล็กเลี้ยงอันอย่างจดจอ
ศิษย์หมู่ตึกขวัญกล้าผู้หนึ่งเรียกว่า อ้วนซ้ง ผลุดลุกขึ้นชี้กระบี่ไปที่ลู่ซุนกล่าวด้วยความคับแค้น
"ซือเฮียซือตี๋ทั้งหลาย มันผู้นี้ทำร้ายซือแป๋เราจนถึงแก่ชีวิต วันนี้ต่อให้เราแหลกเป็นผุยผงก็ไม่อาจให้มันหนีรอดไปได้"
ลู่ซุนทั้งแตกตื่นทั้งสงสัย เมื่อครู่ที่ปะมือกับเอ็กเป่งไจ๋เป็นเพียงประทะฝ่ามือมิได้ฟาดถูกจุดสำคัญ พลังเทพสาดส่องแม้ลึกล้ำไพศาล แต่ลำพังตนเองก็ไม่สามารถฟาดเอ็กเป่งไจ๋ให้ตายได้ในฝ่ามือเดียว ครั้นจะอ้าปากอธิบายกลับถูกกรุ่มรุมจู่โจมเป็นการใหญ่ ต้องต้านรับเป็นพัลวัน อ้วนซ้งเห็นว่าทั้งสองคนนี้มีวิชาฝีมือร้ายกาจยากยิ่งจะกำหราบลงได้ ต้องร้องสั่งการออกไป
"เตรียมเกาทัณฑ์"
ลู่ซุนพอได้ยินต้องลอบร้องย่ำแย่ หนึ่งในอาวุธที่ร้ายกาจนั้นคือเกาทัณฑ์ ภายในห้องโถงคับแคบเช่นนี้หากถูกระดมเกาทัณฑ์ยิงใส่ ไหนเลยสามารถหลบพ้น เพียงไม่นานเห็นชายฉกรรจ์สิบกว่าคนวิ่งกรูกันมาตั้งแถวหน้าห้องโถง ในมือถือคันธนูพรักพร้อม ต้องครุ่นคิดตัดสินใจ พลันพลิกข้อมือใช้ฝ่ามือกำหราบเสือช่วงชิงกระบี่สองเล่มมาถือในมือ ใช้กระบี่ต่างดาบ ฟาดฟันเพลงดาบอสูรโลหิตกระแทกกระบี่ผู้คนที่รายล้อมจู่โจมจนหักสะบันล่าถอยออกไป ฉกฉวยโอกาสนี้โจนทะยานขึ้นบนคานหลังคา ซัดกระบี่ทั้งสองเล่มคุกคามเล็กเลี้ยงอันให้ถดถอยออกห่างจิวอวงยี้ กล่าวคำว่า หนี ก่อนโอบอุ้มนางขึ้น พุ่งร่างทะลวงหลังคาออกไป เกาทัณฑ์หลายสิบดอกถูกยิงติดตามไล่หลัง แต่นับว่าช้ากว่าลู่ซุนไปก้าวหนึ่ง ทั้งสองก้าวล้ำออกไปไกลโข
ลู่ซุนโอบอุ้มจิวอวงยี้วิ่งตะบึงลัดเลาะไปตามตรอกแคบ ก่อนจะออกนอกเขตเมืองไปตามชายป่า เห็นว่าไม่มีผู้ใดติดตามมาจึงหยุดฝีเท้าลงสังเกตุภูมิประเทศรอบด้าน พอดีสายตาไปสบกับจิวอวงยี้ที่อยู่ในอ้อมแขนตน เห็นนางแย้มยิ้มไม่มีท่าทีจะขยับร่างหยั่งกายยืนแต่อย่างใด ต้องเอ่ยปากขึ้น
"เซียวโกวเนี้ย ข้าพเจ้าจะว่างท่านลงแล้ว"
"อย่าเพิ่งวาง" จิวอวงยี้ร้องห้าม กล่าวต่อไปว่า "เมื่อครู่ข้าพเจ้าต่อสู้ ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า เดินเหินไม่ค่อยสะดวก ทางที่ดีท่านควรนำพาข้าพเจ้าไปหาที่พัก รักษาให้หายก่อน"
ลู่ซุนมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายไม่ใคร่เชื่อถือ เข้าใจว่านางล้อเล่นกลั่นแกล้ง พลันปล่อยมือทั้งสองข้างออก จิวอวงยี้คาดคิดไม่ถึงไม่ทันระวังตัว ร่างร่วงหล่นกระแทกพื้น ร้อง โอ้ย ออกมา ใบหน้านิ่งสลด ใช้มือเกาะกุมข้อเท้าน้ำตาคลอเบ้า เห็นที่ข้อเท้ามีโลหิตไหลซึมออกมา ที่แท้ตอนนางต่อสู้กับเล็กเลี้ยงอันพลาดพลั้งถูกกระบี่ของมันกรีดโดนที่ข้อเท้าก่อนที่ลู่ซุนจะพานางหนีออกมา ความเจ็บปวดจากบาดแผลไม่สามารถทำให้นางหลั่งน้ำตาได้ แต่ความน้อยเนื้อต่ำใจที่ลู่ซุนไม่เชื่อถือนางกลับทำให้นางหลั่งน้ำตา ลู่ซุนทำสีหน้าไม่ถูก ครุ่นคิดกระอักกระอวย ที่แท้นางได้รับบาดเจ็บจริงๆ รู้สึกสำนึกผิด นึกตำหนิตนเองไม่ทราบว่าจะกล่าวคำเช่นไร เห็นนางนั่งชันเข่าฟุบหน้ากับท่อนแขนแน่นิ่งเงียบงัน ต้องกล่าวคำขออภัย ก่อนก้มลงคว้าข้อเท้าของนางมาดูบาดแผล จิวอวงยี้กลับไม่ยินยอมหดข้อเท้าหนี ใช้มือทั้งสองทุบตีลู่ซุนเป็นการใหญ่ ทุบตีจนร่ำไห้ ปากร่ำร้องว่า ท่านทำร้ายข้าพเจ้า ท่านทำร้ายข้าพเจ้า อยู่ซ้ำๆกัน ภายหลังกล่าวปนสะอื้นว่า
"ผู้อื่นทำร้ายข้าพเจ้าได้ แต่ท่านห้ามทำร้ายข้าพเจ้า"
ลู่ซุนหน้าสลดลง ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ได้แต่ยอมให้นางทุบตี ปากกล่าวว่า
"หากท่านไม่หลอกหลวงคน ข้าพเจ้าไหนเลยทำกับท่านถึงเพียงนี้"
จิวอวงยี้ขอบตาแดงกร่ำ กล่าวน้ำเสียงตัดพ้อแย้งขึ้น
"ข้าพเจ้าหลอกหลวงคน หลอกลวงผู้ใด"
ลู่ซุนสูดลมหายใจลึกคล้ายสะกดอารมณ์ ก่อนกล่าวเสียงราบเรียบว่า
"ท่านให้ร้ายปรักปรำเอ็กเล่าเอ็งฮงเพื่อล้างแค้นแทนซือแป๋ท่าน ทั้งยังดึงข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้อง ท่านทราบว่าจะอย่างไรข้าพเจ้าก็ต้องช่วยเหลือท่าน นั้นเพราะสืบเนื่องจากจิวม่วยม่วยของข้าพเจ้า ตอนนี้เอ็กเล่าเอ็งฮงเสียชีวิตแล้ว คงสมเจตนารมณ์ท่านไม่น้อย"
จิวอวงยี้จ่องมองลู่ซุนเขม็ง เหมือนจะมองให้ทะลุร่างนั้นก็ไม่ปาน แววตาทั้งขมขื่นทั้งผิดหวัง สายศีรษะน้อยๆ ครุ่นคิดเวทนาตนเอง ที่แท้ตั่วกอไม่เคยเชื่อถือเรา หัวเราะเบาๆกล่าวเยาะเย้ยว่า
" มือปราบวังหลวง ความจริงก็ไม่ได้เก่งกาจสมคำร่ำลือ ที่แท้ก็ตีความตามเนื้อผ้า ท่านยังไม่ได้สืบสวนก็ตีความว่าข้าพเจ้าให้ร้ายปรักปรำ ท่านพลั้งมือฆ่าเอ็กเป่งไจ๋ก็มากล่าวโทษข้าพเจ้า เอาเถอะท่านเมื่อไม่เชื่อถือข้าพเจ้าก็อย่าได้มาแยแสสนใจ ทิ้งข้าพเจ้าไว้ในที่นี้เถอะ"
ลู่ซุนครุ่นคิดตามที่นางกล่าวนับว่ามีเหตุผล เรายังไม่ทันสืบสวนหาความจริงไม่อาจด่วนสรุปได้ นี้อาจเป็นเพราะเรามีอคติกับนางจนเกินไป ไม่แน่ว่าเรื่องเด็กสาวแซ่ฮ่วมถูกลอบทำร้ายอาจเป็นความจริง เห็นนางนั่งเงียบงันซึมเศร้า ไม่ทราบจะกล่าวขอขมาเช่นไร ได้แต่ยืนเงียบงันตามไปด้วย บรรยากาศโดยรอบจึงเงียบลงได้ยินแต่เสียงเสียดสีของใบไม้ตามแรงลมกรรโชกเป็นบางครั้งคราว
เนิ่นนานแล้ว ลู่ซุนยังหาคำกล่าวเริ่มมิได้ สร้างความอึดอัดใจอย่างยิ่ง หากเป็นเช่นนี้คงต้องแยกทางในลักษณะนี้ก่อน ภายหลังหากมีโอกาสค่อยกล่าวคำขอขมา จำต้องประสานมือเอ่ยลาขึ้นเบาๆ จิวอวงยี้เห็นมันกำลังก้าวเท้าจะจากไป พลันฟุบหน้าลงร่ำไห้สะอึกสะอื้น ร่ำร้องขึ้นว่า
"ข้าพเจ้าเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีผู้ใดสนใจไยดี ถูกโจรเลี้ยงดูแต่เล็ก เมื่อเป็นโจรเอ่ยคำใดก็ไม่มีผู้ใดเชื่อถือ ถูกคนทำร้าย ถูกข้าราชการกลั่นแกล้ง คำขอขมาสักคำก็หามีไม่"
ลู่ซุนต้องชะงักเท้าหันกลับมา คำว่าถูกคนทำร้ายถูกข้าราชการกลั่นแกล้งไยไม่ใช่หมายถึงตน ได้ยินนางพร่ำกล่าวต่อไปว่า
"จิวม่วยม่วย ไหนท่านว่าตั่วกอท่านเป็นคนดี เป็นบุรุษผู้กล้า แต่ตอนนี้กลับทำร้ายสตรีทั้งยังไม่แยแสสนใจ"
กล่าวถึงตอนนี้ลู่ซุนไม่อาจหักใจได้ก้าวเท้ากลับมากล่าวว่า
"เอาเถอะ เป็นข้าพเจ้าขอขมาต่อท่านก็แล้วกัน"
จิวอวงยี้เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า
"แค่นี้ไหนเลยเพียงพอ"
ลู่ซุนทอดถอนใจ ครุ่นคิดว่านางคงต้องการให้ตนคุกเข่าโขกศีรษะขอขมาเช่นกาลก่อน เรื่องนี้นับว่าตนเองเป็นผู้ผิด หากให้คุกเข่าโขกศีรษะ ก็พร้อมยินยอม จึงคุกเข่าลงทำท่าจะโขกศีรษะขอขมา จิวอวงยี้ใจหาบวูบรีบผลักร่างของมันกล่าวว่า
"ผู้ใดต้องการให้ท่านคุกเข่าขอขมา"
ลู่ซุนครุ่นคิดสงสัย กล่าวถาม
"เช่นนั้นท่านต้องการให้ข้าพเจ้ากระทำกระไร"
จิวอวงยี้ครุ่นคิดไม่ออก จ่องใบหน้ามันเขม่ง เห็นสีหน้ามัน กระอักกระอวยแฝงแววสำนึกผิด ไม่มีท่าทีขึงขังเหมือนกาลก่อน อดไม่ได้ที่จะค่อยๆแย้มยิ้มหัวเราะเบาๆออกมา กล่าวว่า
"เช่นนี้เถอะ ตอนนี้ข้าพเจ้าเจ็บเท้าเดินไม่สะดวก ท่านแบกข้าพเจ้าไปหาที่พักรักษาก็แล้วกัน"
ลู่ซุนทราบว่าจิวอวงยี้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยไม่ถึงกับเดินเหินไม่ได้ ยามนี้พินิจดูกลับคล้ายทารกเอาแต่ใจ แย้มยิ้มทอดถอนใจก่อนฉีกชายเสื้อตนเองพันบาดแผลที่ข้อเท้าของนาง ก้มลงให้ขึ้นขี่หลัง กล่าวว่า
"ข้างหน้านี้ออกไปไม่ไกล มีศาลเจ้าร้างหลังหนึ่ง ข้าพเจ้าจะนำพาท่านไปหลบพักยังที่นั้น"
จิวอวงยี้เห็นมันยอมทำตามอย่างว่าง่ายต้องหัวเราะคิกคักชอบใจ ใช้มือทั้งสองโอบรอบคออย่างแผ่วเบา ทิ้งตัวลงบนแผ่นหลังของมัน เนินหน้าอกพอทาบทับกับแผ่นหลังทั้งสองต่างอดหวาบหวิวใจมิได้ ลู่ซุนต้องข่มจิตใจไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน พยุงร่างลุกขึ้นแบกจิวอวงยี้ก้าวเดินไปยังทิศทางที่หมายไว้
1ความคิดเห็น