ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter13 : เชลย
Chapter13 : เชลย
ความจริงทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ อึนฮยอกขับรถมุ่งหน้ากลับบ้านพร้อมกับเรื่องวุ่นวายที่ผุดขึ้นมาเต็มสมอง พรุ่งนี้เขาถูกสั่งให้ไปดูแลบ่อนแทนเยซอง เพราะอีทึกติดต่อเยซองไม่ได้เลยจึงสั่งให้เขาดูแลแทนไปก่อน ส่วนเรื่องของทงแฮนั้นอีทึกก็ไม่ได้ว่าอะไร
ระหว่างที่อึนฮยอกกำลังจะเลี้ยวรถเข้าซอยซึ่งตอนนี้ก็ดึกมากแล้วทำให้ไม่มีรถมากนัก อยู่ๆก็มีรถสองคันมาตัดหน้าทำให้เจ้าตัวต้องเหยียบเบรกกะทันหันก่อนจะสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อมองดูรถพวกนั้นดีๆแล้วทำให้คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันที
“พวกไอ้ซึงฮยอนนี่หว่า” พึมพำขึ้นกับตัวเอง ชักรู้สึกถึงลางไม่ดีตงิดๆ และเหตุผลที่พวกมันออกมาปรากฏตัวแบบนี้ก็เดาได้ไม่ยากเช่นกัน ลูกพี่ของมัน ไม่ตายก็คงสาหัสล่ะสินะ
“ไอ้อึนฮยอก!! มึงลงมาจากรถเดี๋ยวนี้!!” คนของซึงฮยอนเดินลงมาจากรถด้วยท่าทางที่เอาเรื่อง ก่อนจะตะโกนเสียงดัง แต่ก็ใช่ว่าคนโดนเรียกนั้นจะกลัว อึนฮยอกเหยียดยิ้มก่อนจะลงจากรถไปพร้อมกับปืนกระบอกเก่งที่เหน็บไว้ที่ขอบกางเกง
“อยากตายตามหัวหน้ามึงหรือไงถึงมาหากูถึงที่” ท้าทายกลับไปอย่างไม่มีความเกรงกลัวเลยซักนิด ถึงแม้ว่าตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามจะมีจำนวนมากกว่าก็ตาม
“เงาหัวจะไม่มีแล้วยังปากดีอีกนะมึง! ลูกพี่กูไม่มีวันตายด้วยลูกปืนห่วยๆของมึงหรอก!” พูดจบก็ชักปืนออกมาเล็งไปที่อึนฮยอกทันที พร้อมกับลูกน้องอีกสี่คนที่ทำเช่นเดียวกัน
“คิดว่ากูจะยอมให้มึงฆ่าง่ายๆหรือไง” ปืนที่เหน็บไว้ถูกชักออกมา แต่จำนวนห้าต่อหนึ่งไม่บอกก็รู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง แน่นอนว่าไม่มีทางรอดอยู่แล้วถ้าปะทะกันตรงๆ เพราะที่มันไม่ใช่ในหนังหรือละครที่เขาจะยิงคนห้าคนได้ในชั่วพริบตาโดยไม่โดนโต้กลับมาและไม่บาดเจ็บอะไรเลย
“กูก็อยากรู้ว่ามึงจะตายยากแค่ไหนเหมือนกัน” จบคำพูดเสียงปืนก็ดังตามขึ้นมาติดๆ ลูกกระสุนพุ่งเข้าที่หัวไหล่ของอึนฮยอกไปก่อนที่จะไหวตัวหลบได้ทัน
“แม่งเอ้ย!” สบถออกมาอย่างโมโหก่อนจะก้มตัวหลบหลังรถ อึนฮยอกก้มลงมองบาดแผลของตนเองก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับพวกของซึงฮยอนต่อ เขาโดนยิงซ้ำรอยแผลเดิม แผลจากมีดที่สลักรูปตัว L แผลจากบุคคลที่เขาเพิ่งจะได้รู้เองว่ามันเป็นใคร
เสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัดจากการปะทะกัน ลูกน้องของซึงฮยอนโดนยิงเข้าที่ท้องหนึ่งราย และที่ขาอีกหนึ่งราย กระสุนปืนที่ถูกยิงรัวมาทางเขาทำให้อึนฮยอกต้องวิ่งไปหลับที่เสาไฟใกล้ๆ แต่การยิงปะทะก็ดูเหมือนจะไม่จบลงง่ายๆ แผลที่โดนยิงตอนแรกก็เหมือนลึกไม่ใช่น้อยเลย เพราะแขนขาวๆตอนนี้ถูกเลือดไหลอาบจนเต็มแขน
อึนฮยอกหันไปยิงใส่พวกซึงฮยอนอีกครั้งแต่ก็ทำอะไรพวกมันไม่ได้มาก และเสียงปืนก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงกระสุนที่ดังขึ้นนั้นไม่มีกระสุนลูกไหนที่พุ่งมาทางเขาเลยแม้แต่ลูกเดียว แต่ถึงอย่างนั้นอึนฮยอกก็เลือกที่จะไม่โผล่หน้าออกไปดูเพราะไม่รู้ว่าพวกมันจะเล่นตุกติกอะไรกับเขาหรือเปล่า ถ้าไม่ระวังคงได้กลายเป็นศพแน่
“มาทางนี้!” ขณะที่กำลังตั้งสติอยู่นั้น มือที่ถือปืนอยู่ของอึนฮยอกก็ถูกกระชากอย่างแรงพร้อมกับพาวิ่งออกไปจากที่หลบ ดวงตาที่หลับสนิทอยู่เมื่อครู่เบิกว้างด้วยความตกใจแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา หากไม่ติดว่ามือที่ถือปืนถูกจับอยู่ด้วยมือของใครบางคนเขาคงลั่นไกใส่ไปแล้ว
“นั่งลง” อึนฮยอกถูกพามาที่รถคันหนึ่งก่อนจะถูกกดให้นั่งลงข้างตัวรถ สายตาที่เย็นชาได้แต่มองบุคคลที่เข้ามาช่วยเขาด้วยความเกลียดชัง เสียงปืนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการยิงสกัดจากบุคคลที่โผล่มาช่วยเขาซะมากกว่า
“เข้าไปในรถเร็ว!” ประตูรถถูกเปิดออกก่อนที่อึนฮยอกจะถูกดันให้เข้าไปในรถ และอีกคนก็ตามเข้ามาติดๆก่อนจะออกรถทันที โดยมีเสียงปืนหลายนัดดังไล่หลังมา
“คงหนีพ้นแล้วล่ะมั้ง” นายตำรวจหนุ่มที่โผล่เข้ามาช่วยอึนฮยอกได้อย่างเฉียดฉิวพูดขึ้นพลางมองกระจกหลังไปด้วย
“ยุ่งจริงๆ” อึนฮยอกสบถขึ้นเบาๆ มือข้างหนึ่งกุมแผลของตัวเองเอาไว้พลางหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างเพราะไม่อยากเห็นหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คนมีเป็นหมื่นเป็นล้านคนทำไมต้องเป็นฮันคยองด้วยนะที่โผล่มาช่วยเขา
“ไปโรงพยาบาลก่อนดีมั้ย เลือดไหลเยอะขนาดนั้น” ฮันคยองเสนอเมื่อเห็นเลือดจากแผลที่ไหลอาบแขนจนดูน่ากลัว ถึงอยากจะถามถึงสาเหตุที่เกิดเหตุการณ์ยิงกันแบบนั้นแต่ตอนนี้เขากลับห่วงเรื่องแผลของมือปืนเลือดเย็นคนนี้ซะมากกว่า อีกอย่างเขามาช่วยชีวิตไว้แบบนี้คงจะไม่โดนเอาปืนจ่อยิงเหมือนคราวก่อนๆอีก
“ไม่! จอดรถ ฉันจะลง” บอกเสียงแข็งพร้อมออกคำสั่งโดยไม่ดูสังขารของตัวเอง ทำเอาฮันคยองต้องขมวดคิ้วมุ่น ทำหน้าเหนื่อยใจ
“สารรูปแบบนี้ฉันยังปล่อยนายลงไปไม่ได้หรอก ขืนพวกนั้นมันยังตามมานายก็แย่น่ะสิ”
“มันก็เรื่องของฉัน! ฉันบอกให้จอดรถไงเล่า!!” อึนฮยอกยังคงดื้อดึงตะคอกเสียงดังกลับไป
“อย่ามาทำตัวเหมือนเด็กตอนนี้น่ะคุณมือปืนเท้าเหม็น” ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“จะจอดไม่จอด!” พูดจบก็ชักปืนขึ้นมาขู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฮันคยองกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ยิงเลยสิจะได้ตายพร้อมกันไปเลย” ท้าทายกลับไปอีกฝ่ายเลยเก็บปืนลงด้วยความหงุดหงิด ฮันคยองหันไปมองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ไม่รู้จงเกลียดจงชังเขาเรื่องอะไรนักหนา เจอหน้าไม่ได้ตั้งท่าจะยิงกันอย่างเดียว
“จะไปไหน” เงียบไปซักพักอึนฮยอกก็ถามออกมาด้วยเสียวห้วนๆ อารมณ์หงุดหงิดยังไม่จางหายออกไป แต่เพราะคราวนี้ฮันคยองช่วยเขาไว้คงต้องยอมไปก่อน แต่โดนคนที่เกลียดมาช่วยไว้แบบนี้มันเป็นอะไรที่น่าเจ็บใจที่สุด
“ไปที่ปลอดภัย” บอกเพียงแค่นั้นฮันคยองก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก ทั้งรถเลยตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
อึนฮยอกฉีกชายเสื้อตัวเองออกมาพันแผลเอาไว้ ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกหมดแรงลงไปทีละนิดคงเพราะเสียเลือดไปมาก
ฮันคยองเองก็ได้แต่เหล่มองเป็นพักๆ จนกระทั่งถึงที่หมาย และดูเหมือนว่าอึนฮยอกจะสลบไปเสียแล้ว เลยทำการช้อนตัวอุ้มอึนฮยอกพาขึ้นห้องไป ที่นี่เป็นที่พักของตำรวจระดับสูงซึ่งเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยเป็นอย่างมากมาย
เมื่อมาถึงห้องพักฮันคยองก็วางอึนฮยอกไว้บนเตียงก่อนจะรีบลงไปซื้อยาเพื่อขึ้นมาทำแผลให้ จากนั้นจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้และเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่เพราะเลือดของอึนฮยอกมันไหลเปรอะเปื้อนเต็มที่นอน ส่วนตัวฮันคยองเองนอนที่โซฟาตรงมุมห้อง
เยซองที่ถูกจับตัวมาเมื่อวานนั้นตอนนี้ถูกขังไว้ในห้องเก็บของที่ชั้นล่างของบ้าน ขาและแขนทั้งสองข้างถูกล่ามโซ่เอาไว้ แขนนั้นยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระยกเว้นขาเท่านั้นที่ถูกล่ามไว้กับที่ ตรงหน้ามีข้าวกับน้ำที่เรียวอุกเอามาให้โดยที่คนตัวเล็กก็ยังคงนั่งจ้องมองอยู่ไม่ไปไหนตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ก็เกือบจะได้เวลาเรียนของคนตัวเล็กแล้วแต่เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหนซักที
“กินหน่อยนะครับพี่เยซอง พี่ไม่ยอมกินอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ” อาการนิ่งเฉยของเยซองทำให้เรียวอุกต้องออกปากขอร้อง เพราะเยซองไม่ยอมขยับตัวหรือพูดเลยตังแต่ที่ฮีชอลจับมาขังไว้ในนี้เมื่อวาน แถมยังโดนฮีชอลทำร้ายอีก จนตอนนี้ใบหน้ามีแต่รอยช้ำ
เยซองปรายตามองคนตัวเล็กเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรียวอุกเลยได้แต่ถอนหายใจพลางเดินเข้าไปใกล้ ตักข้าวในจานไปจ่อปากที่บวมเจ่อนั้นแต่ก็ถูกปัดออกอย่างไม่ใยดี
“มันไม่กินก็ปล่อยมันไปสิเรียวอุกจะไปแคร์มันทำไม แล้วทำไมยังไม่ไปเรียนอีก” ฮีชอลที่ยืนมองดูได้ซักพักพูดขึ้นอย่างอดไม่ไหว ไม่รู้ว่าเรียวอุกจะไปทำดีกับมันทำไม
เจอแบบนี้เรียวอุกเลยได้แต่เงียบเพราะไม่มีเหตุผลอะไรเหมาะสมพอที่จะเถียงออกไปได้ จะบอกไปว่าเป็นห่วงเพราะเยซองไม่ยอมกินอะไรเลยกลัวจะตายไปซะก่อน คงจะฮีชอลโดนด่ากลับมาได้
“ฉันจะถามแกอีกครั้งนะ ตอนนี้พวกโจกรุ๊ปกำลังคิดจะทำอะไรกันอยู่ถึงให้แกมาตามน้องชายฉันแบบนี้” ฮีชอลเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าเยซอง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ และปฏิกิริยาที่ได้กลับมานั้นก็ไม่ต่างจากน้ำเสียงที่ถามไปซักนิด
เยซองจ้องหน้าฮีชอลด้วยสายตาว่างเปล่าไม่แม้แต่จะขยับปากพูดอะไรออกมา เพราะคนอย่างเขาไม่มีวันทรยศพวงพ้องของตนเองได้หรอก
“หยิ่งจองหองนักนะ ปากหนักแบบนี้อยากจะโดนอีกใช่มั้ย” มือเรียวเล็กแต่ทว่ากำลังกลับเยอะเหลือหลายพุ่งตรงบีบเข้าที่คางของเยซองจนอีกฝ่ายเผลอทำหน้าตาเหยเกด้วยความเจ็บปวดออกมา เพราะจากบาดแผลเมื่อวานก็สร้างความเจ็บปวดให้เยซองอย่างมากมาย
เรียวอุกที่เห็นภาพเบื้องหน้าได้แต่ก้มหน้านิ่งก่อนจะเดินไปหลบอยู่ที่มุมห้อง นึกโทษตัวเองที่แอบไปติดต่อกับเยซองตั้งแต่แรก หากเขาไม่รู้จักเยซองคงไม่ต้องมารู้สึกผิดแบบนี้ การที่ได้คบหาพูดคุยกันทำให้เขาได้รู้ว่าคนบางคนมองเพียงแค่ภายนอกไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นศัตรูกันแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนเลวเสมอไป หากเขาไม่ขัดคำสั่งซองมินตั้งแต่แรก เขาคงไม่ต้องมีความรู้สึกดีๆกับศัตรูแบบนี้
ถึงจะพยายามเค้นยังไงเยซองก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา แม้แต่เสียงร้องที่แสดงถึงความเจ็บปวดยังไม่มีเล็ดรอดออกมาเลยซักนิด
“ข้าวเอามาให้ก็ยอมกินใช่มั้ย สงสัยฉันคงดูแลแกดีเกินไปล่ะมั้ง” พูดจบก็หยิบข้าวกับน้ำที่วางอยู่สาดใส่หน้าเยซอง ก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างสะใจ
คนที่มองดูอยู่อย่างเรียวอุกได้แต่เบิกตากว้างอย่างตกใจ อยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถึงจะโดนทำร้ายหนักขนาดไหนเยซองก็ยังคงมีท่าทีเหมือนเดิม จนฮีชอลเริ่มจะเกิดอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
“จริงสิ ตอนนี้ฉันได้ข่าวมาว่าตอนนี้ลีทงแฮหนีกลับไปบ้านเกิด แถมไอ้มือปืนเลือดเย็นอึนฮยอกนั่นก็โดนตามเก็บเพราะดันไปยิงไอ้ซึงฮยอนเข้าไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง ตอนนี้โจกรุ๊ปคงจะเหลือพวกมือฝีมือแค่ไม่กี่คนเองสินะ แถมแกยังมาหายหัวมาอยู่ที่นี่แบบนี้อีก” อ๊ชอลพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนือกว่า ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่แม้จะพูดยั่วออกไปยังไงเยซองก็ยังคงนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง ถึงผายในใจตอนนี้มันจะร้อนลุ่มมากก็ตามที
“ฉันขอเตือนแกอีกครั้งนะ ถ้าแกไม่พูดฉันจะสั่งคนให้ไปจัดการกับอีทึกซะ ดูท่าหมอนั่นจะรู้เรื่องมากที่สุดสินะ ใช่มั้ย” ประโยคนี้ทำเอาเยซองถึงกับต้องกัดฟันข่มอารมณ์เกลียดชังและเคียดแค้น เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าเพราะอะไรครอบครัวลีถึงต้องทำแบบนี้
“ไม่ตอบอะไรฉันจะถือว่าแกอนุญาตให้ฉันทำก็แล้วกันนะ ปากหนักให้มันได้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน” ฮีชอลพูดจบก็ลุกขึ้นยืน ขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องไปนั้นก็เหลือบมองน้องเล็กของบ้านที่ดูท่าจะใจอ่อนสงสารเยซองเข้าซะแล้ว
“นายก็ไปเรียนได้แล้วนะเรียวอุก” บอกน้องชายเสร็จก็เดินออกจากห้องไป
สายตาของคนตัวเล็กนั้นจ้องมองไปยังบุคคลที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ อยากจะถามว่าเป็นอะไรมั้ย เจ็บมากหรือเปล่า แต่ก็คงไม่ได้เสียงตอบรับกลับมา เขาทำกับเยซองไว้เยอะคงยากที่คนๆนี้จะทำดีกับเขาเหมือนแต่ก่อน
ก่อนจะออกจากห้องไปเรียวอุกก็หันกลับมามองเยซองอีกครั้ง จากนั้นจึงปิดประตูลงเบาๆ เยซองที่ได้ยินเสียงเงยหน้าขึ้นมามอง แต่สุดท้ายแล้วดวงตาที่พยายามข่มไม่ให้หลับกลับต้องปิดลงอย่างช้าๆ เพราะไม่อาจทนความเหนื่อยเมื่อล้าตั้งแต่เมื่อวันได้ ตลอดทั้งคืนก็เอาแต่หาทางหนีแต่มันก็เปล่าประโยชน์ มีโซ่พันธนาการไว้ทั้งแขนและขาแบบนี้เขาคงไม่มีทางหนีออกไปได้แน่ๆ
“โอ้ย!” เสียงร้องที่แสดงถึงความเจ็บปวดดังออกมาเบาๆจากริมฝีปากบางที่ดูซีดเซียว สามารถดึงความสนใจจากคนที่กำลังวุ่นอยู่กับงานตรงหน้าได้เป็นอย่างมาก
“ค่อยๆลุกสิคุณ” ฮันคยองละจากงานเดินมาหาอึนฮยอกที่ล้มตัวลงไปนอนอีกครั้งด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียและอาการมึนหัว บาดแผลที่หัวไหล่พอขยับตัวมันก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันทีจนไม่อยากขยับตัวไปไหน
“ที่นี่ที่ไหน” เอ่ยถามออกมาเสียงแหบพร่า สายตากวาดมองไปรอบห้องที่ไม่คุ้นเคย ถ้าให้เขาเดาต้องเป็นบ้านของฮันคยองแน่ๆ
“ห้องพักผมเอง รับรองปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็น ว่าแต่คุณเถอะเจ็บแผลมากมั้ย เมื่อวานผมผ่าเอากระสุนออกให้ ยังดีที่ไม่ลึกมากนัก เอาเป็นว่าคุณทานข้าวเช้าก่อนแล้วกันนะแล้วผมจะล้างแผลให้” ปากพูดไปขาก็ก้าวเดินไปที่ส่วนของห้องครัวหยิบชามข้าวต้มที่ลงไปซื้อมาเมื่อเช้ามาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงคนป่วย
“ฉันจะกลับ” อึนฮยอกบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ทว่ามันกลับเบาหวิวพลางพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งอย่างช้า
“อย่าดื้อนักเลยคุณ ให้อาการดีกว่านี้ก่อนแล้วค่อยกลับไป” ฮันคยองดันไหล่ข้างที่ไม่เจ็บของอึนฮยอกไว้ในนั่งอยู่กับที่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆคนป่วย
เมื่อโดนกดไหล่เอาไว้อึนฮยอกเลยได้แต่นั่งอยู่นิ่งๆเพราะไม่มีแรงจะขัดขืน สายเรียบนิ่งเสมองออกไปทางอื่นเพราะไม่อยากสบตากับคนที่เกลียดแสนเกลียดตรงๆ ทำยังไงเขาจะหลุดพ้นจากคนๆนี้เสียที คงจะต้องมีใครตายกันไปข้างสินะ
“ทานก่อนคุณผมจะได้ทำแผลให้ใหม่” ฮันคยองยกชามข้าวต้มขึ้นมาคนเล็กน้อยก่อนจะตักขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากของอึนฮยอก คนป่วยเห็นแบบนี้เลยได้แต่มองกลับด้วยสายตาเย็นชา
“มาช่วยฉันทำไม” อยู่ๆอึนฮยอกก็ถามขึ้น คำถามนี้ทำเอาอันคยองต้องวางชามข้าวต้มลงทันทีก่อนจะทำหน้าเหนื่อยใจอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนกำลังดูแลเด็กยังชอบกล
“เห็นคนกำลังจะโดนฆ่าไม่ให้ผมเข้าไปช่วยได้ยังไงล่ะคุณ”
“หึ” เสียงหัวเราะอย่างน่าสมเพชดังออกมาเบาๆเมื่อได้ฟังคำตอบ อึนฮยอนเมินหน้าหนีก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ฆ่าพ่อแต่ช่วยลูก”
“คุณว่าอะไรนะ” ฮันคยองถามซ้ำด้วยใบหน้าที่ดูจริงจังขึ้น อึนฮยอกกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน
“แกฆ่าพ่อฉันฮันคยอง แกยิงลูกน้องของโจกรุ๊ปตายเมื่อสามปีก่อน แกฆ่าเขาทำไม” อึนฮยอกโผลงออกมาเสียงดัง ใบหน้าที่ดูซีดเซียวตอนนี้แสดงออกถึงความโกรธแค้นที่อัดแน่นมานานกำลังจะปะทุออก
“ใจเย็นสิคุณ ผมไม่ได้คิดจะฆ่าเขาซักหน่อย มันเป็นหน้าที่” ฮันคยองนิ่งไปซักพักก่อนจะพูดออกมา ภาพเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนที่เขาวสามันลูกน้องของโจกรุ๊ปคนหนึ่งตายผุดเข้ามาในหัวเข้าอีกครั้ง คนๆนั้นเป็นพ่อของอึนฮยอนงั้นเหรอ
“หน้าที่!! มันก็แค่คำแก้ตัว!” พูดจบก็เบือนหน้าหนี ขอบตาเริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาซะเฉยๆ เมื่อนึกถึงตอนที่พ่อเขาล้มลงไปต่อหน้าต่อตา การที่ต้องมาเผชิญหน้ากันแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกแย่จริงๆ ตอนนี้เขากลายอึนฮยอกที่อ่อนแอไปซะแล้ว
“เขาเป็นผู้ร้ายแต่ผมคือตำรวจคุณจะให้ผมปล่อยเขาไปได้ยังไงกัน ถ้าตอนนั้นเขายอมมอบตัวแต่โดยดีผมก็คงไม่ต้องยิงเขาแบบนั้น” ฮันคยองพูดด้วยเศร้าที่อ่อนลงมาก ฆ่าคนตายใช่ว่าเขาจะรู้สึกดีซะเมื่อไหร่ แต่เพราะมันเป็นหน้าที่
อึนฮยอกนิ่งเงียบไป ใบหน้ายังคงเสมองไปทางอื่น ดวงตาเริ่มแดงก่ำ ที่ขอบตามีหยดน้ำใสๆคลออยู่ เจ้าตัวเลยยกมือขึ้นปาดมันออกลวกๆ มาร้องไห้ให้คนอย่างฮันคยองเห็นมันน่าสมเพชจริงๆ
“เพราะแบบนี้ใช่มั้ยคุณถึงตั้งท่าจะยิ่งผมตลอด ในเมื่อมีโอกาสแล้วทำไมคุณไม่ฆ่าผมซะเลยล่ะถ้าแค้นผมขนาดนี้”
ประโยคนี้ทำให้อึนฮยอกหันกลับมามองฮันคยองทันทีด้วยสายตาเกลียดชัง แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา ยังไงผู้ร้ายก็ผิดวันยันค่ำใช่มั้ย
“คุณรู้มั้ยการเป็นตำรวจมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย โดยเฉพาะตำรวจดีๆสมัยนี้หายากมาก” เมื่อเห็นว่าอึนฮยอกยังคงนิ่งเงียบฮันคยองจึงเริ่มพูดบ้าง อึนฮยอกก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจเท่าไหร่นัก แต่เขาก็เลือกที่จะพูดมันต่อ
“พ่อผมเองก็เป็นตำรวจและกำลังทำคดีสำคัญคดีหนึ่งอยู่ แต่เพราะค่าของเงินทำให้พ่อผมไม่สามารถสืบคดีนั้นได้สำเร็จ พวกคนใหญ่คนโตต่างพากันยัดเงินเพื่อปิดคดีนี้ไปซะ จนพ่อผมทนไม่ได้ลาออกจากตำรวจไป แต่ท่านอยากให้ผมสืบคดีนี้ให้สำเร็จ ผมจึงต้องทำคดีต่อจากพ่อ แต่นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้วผมก็ยังสืบอะไรไม่ได้มากนัก ถ้าจะนับตามจริงล่ะก็ คดีนี้เกินเวลามากว่าห้าปีแล้วก็ยังสืบหาตัวคนร้ายอีกคนไม่ได้”
“พร่ำจบหรือยัง” ฟังมาถึงตอนนี้อึนฮยอกจึงแทรกขึ้น ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงมาเล่าเรื่องคดีบ้าบออะไรนั่นให้เขาฟัง ทั้งที่รู้แล้วว่าตังเองนั้นฆ่าพ่อของเขาตาย
“คุณรู้มั้ยคนร้ายอีกคนที่ผมพูดถึงน่ะ ผมสงสัยโจฮยอนจินเจ้านายของคุณไง” ฮันคยองพูดต่อโดยไม่ได้สนใจคำพูดของอึนฮยอกเท่าไหร่นัก อึนฮยอกเองก็ดูมีท่าทีจะเริ่มสนใจเรื่องที่เขาพูดขึ้นมาบ้างแล้ว
เสียงออดที่ดังขึ้นอยู่หน้าห้องเบี่ยงเบนความสนใจของคนภายในได้เป็นอย่างดี ฮันคยองลุกไปดูว่าใครมาและก็พบว่าเป็นชินดงเพื่อนรักของตนนี่เอง
“ได้เวลาประชุมแล้วฮัน อ้าว! นั่น!” เดินเข้ามาในห้องได้เพียงไม่กี่ก้าวชินดงก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจพลางชี้นิ้วไปยังคนที่นั่งอยู่บนเตียงของเพื่อนรัก อึนฮยอกมือปืนของโจกรุ๊ปมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน อย่าบอกนะว่าสองคนนี้จะแอบกิ๊กกัน เฮ้ย! แต่คราวนั้นอึนฮยอกยังจะยิงฮันคยองอยู่เลยไม่ใช่เหรอ
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยฉันเลยให้เขามาพักที่นี่ก่อน แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง ส่วนตอนนี้เราก็ไปกันได้แล้ว” ก่อนที่ชินดงจะคิดอะไรเลยเถิดไปมากกว่านี้ฮันคยองก็พูดขึ้นขัดขึ้น พลางหันไปมองหน้านาฬิกา เขาเองก็ลืมไปซะสนิทว่ามีประชุม
“งั้นฉันออกไปรอข้างนอกนะ” พูดจบชินดงก็เดินออกไปรออยู่หน้าห้อง แต่ก็ไม่วายมองอึนฮยอกไม่วางตาด้วยความแปลกใจปนสงสัย
“คุณก็พักอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ ข้าวต้มวางอยู่บนโต๊ะทานให้หมดแล้วทานยาด้วย ผมประชุมเสร็จแล้วจะกลับมาทำแผลให้” พูดจบก็เดินออกจากห้องไป ไม่ลืมที่จะล็อกประตูจากด้านนอกเอาไว้เพื่อกันอึนฮยอกหนีออกไป ยังเจ็บอยู่แบบนั้นเขาอยากให้พักผ่อนมากกว่า อีกอย่างพวกที่มันยิงอึนฮยอกเมื่อวานไม่รู้ว่ามันยังตามตัวอึนฮยอกอยู่มั้ย ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าแก้
กว่าสามวันแล้วที่อีทึกติดต่อเยซองไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าน้องชายคนนี้หายไปไหน อึนฮยอกเองก็หายไปตั้งแต่วานก่อนยังติดต่อไม่ได้เช่นกัน ทงแฮก็ยังคงอยู่ที่มอกโพและดูเหมือนจะยังไม่มีกำหนดกลับที่แน่นอน ส่วนเหตุการณ์หลังจากที่ทุกคนได้รู้ความจริงเหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยดี คยูฮยอนกลับมาทำตัวอยู่ในโอวาทไม่ดื้อไม่รั้นอีก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือคยูฮยอนกลับเป็นเด็กเงียบขรึมยิ่งกว่าเดิม ไม่พูดคุยกับใครแม้กระทั่งตัวอีทึกเองหรือโจฮยอนจินก็ตาม
โทรศัพท์มือถือถูกทิ้งลงบนโซฟาอีกครั้งเพราะว่าจะกดโทรหาเยซองกับอึนฮยอกกี่ครั้งก็ไม่มีใครสามารถติดต่อได้เลย ถามใครก็ไม่มีใครเห็น จะมีก็แต่ลูกน้องที่ไปทวงหนี้กับอึนฮยอกเล่าให้ฟังว่าอึนฮยอกยิงซึงฮยอนและไม่รู้ว่าจะตายหรือบาดเจ็บขนาดไหน บางทีอาจจะโดนตามล่าอยู่ก็เป็นได้ ยิ่งได้ฟังแบบนี้อีทึกยิ่งรู้สึกเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก
ในเมื่อหาทางติดต่อกับน้องๆไม่ได้อีทึกเลยตัดสินใจจะไปหาซีวอน เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้เจอซีวอนมานานมากแล้ว ไม่รู้ว่าลูกชายคนโตของโจกรุ๊ปคนนี้จะรู้ความเป็นไปของครอบครัวบ้างไหม ไม่ใช่เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆเท่านั้น
อีทึกขับรถไปหาซีวอนที่คอนโดแต่ระหว่างทางที่กำลังเลี้ยวเข้าซอยรถของซีวอนก็ขับสวนออกมาซะก่อน อีทึกได้แต่มองตามอย่างแปลกใจก่อนจะตัดสินใจขับตามออกไป ที่มาวันนี้เขาไม่ได้โทรบอกซีวอนไว้ล่วงหน้า แต่ปกติแล้วซีวอนมักจะอยู่คอนโดช่วงเวลากลางวันแบบนี้ แต่นี่จะออกไปไหนกัน
รถยนต์สีดำอีกคันที่ขับตามอีทึกตั้งแต่ออกมาจากที่พักก็ขับตามไปเช่นกัน คังอินขยับแว่นดำที่สวมอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นว่ารถที่อีทึกขับตามไปนั้นเป็นของซีวอน วันนี้เขาได้รับคำสั่งจากฮีชอลให้มาจับตาดูอีทึกไว้ เพราะเยซองไม่ยอมปริปากพูดเรื่องเกี่ยวกับโจกรุ๊ปเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเลยต้องลงมือเอง
ซีวอนมาถึงที่นัดหมายในเวลาไม่นานนักซึ่งมันเป็นภัตตาคารอาหารอิตาลีแห่งหนึ่งที่เขานัดทานข้าวกับฮีชอลไว้ พักหลังมานี้เขาออกไปไหนมาไหนกับฮีชอลค่อนข้างบ่อยและสามารถบอกได้เลยว่าเขาจริงจังกับคนๆนี้จริงๆ
อีทึกที่ขับรถตามมาจอดรถห่างจากซีวอนไม่มากนักและคอยนั่งสังเกตการณ์อยู่บนรถ แต่เมื่อเห็นซีวอนเดินอยู่กับผู้ชายอีกคนมันยิ่งสร้างความสงสัยให้อีทึกเป็นอย่างมาก ผู้ชายร่างบางคนนั้นเป็นใครกัน แล้วไปรู้จักกันตอนไหน
ไม่ปล่อยเวลาให้มันผ่านเลยไปมากกว่านี้ อีทึกลงจากรถเดินตามซีวอนเข้าไปในภัตตาคารทันทีแต่กลับชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งซะก่อน
“ขอโทษครับ อ้าว! คุณจองซู” คังอินที่ทำทีเดินเข้ามาชนอีทึกทักขึ้นด้วยท่าทางที่ดูแปลกใจ เมื่อซักครู่เขาเองก็เห็นซีวอนเดินเข้าไปด้านในกับซีวอน เมื่อเห็นว่าอีทึกจะตามเข้าไปเลยรีบออกมาขวางไว้ซะก่อน และเรื่องนี้ก็ค่อนข้างสร้างความสงสัยให้เขาพอสมควร เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าฮีชอลติดต่อกับซีวอนเป้นการส่วนตัวแบบนี้ด้วย
“อ๊ะ! ไม่เป็นไรครับคุณคังอิน ผมขอตัวก่อนนะครับ” อีทึกไม่ได้มีความสนใจในตัวคังอินเลยแม้แต่น้อย พยายามมองตามซีวอนที่เดินเข้าไปด้านในเพื่อไม่ให้คลาดสายตา เขาอยากจะรู้จริงๆว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร
“เดี๋ยวสิครับ ว่าแต่คุณมาคนเดียวเหรอครับ” ถึงคนที่คุยอยู่ด้วยนั้นจะมีท่าทางรีบร้อนขนาดไหนแต่คังอินกลับทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมัน รั้งข้อมือของอีทึกเอาไว้แล้วถามหน้าตาระรื่น ส่วนสายตาก็แอบเหลือบไปมองฮีชอลกับซีวอนว่าเดินจบลับสายตาไปแล้ว
“เปล่าครับ ผมมากับเพื่อน และตอนนี้ผมก็กำลังรีบมากๆ ขอตัวนะครับ” อีทึกแกะมือของคังอินที่จับข้อมือของตัวเองออกพลางชะเง้อมองซีวอนที่เดินหายเข้าไปด้านในแล้วตอนนี้
“แล้วไหนล่ะครับเพื่อนคุณ” พออีทึกจะเดินไปกลับรั้งไหล่บางเอาไว้อีก ทำเอาคนที่กำลังรีบต้องเม้มปากแน่นเพื่อข่มอารมณ์ไม่ให้อาละวาดใส่คังอินเข้าซะก่อน
“ผมบอกว่าผมกำลังรีบไม่ขะ...” หันมากะจะตวาดใส่คนที่ทักไม่รู้จักเวล่ำเวลา แต่พูดยังไม่ทันจบประโยคสติที่เคยมีเต็มร้อยกลับหายไปหมดสิ้น ร่างของอีทึกล้มลงเข้าสู่อ้อมกอดของคังอินที่รอรับอยู่แล้ว
คังอินกระตุกยิ้มเบาๆเมื่ออีทึกสิ้นฤทธิ์แล้วตอนนี้ ยาสลบที่ฮีชอลให้เขามานี่แรงสมที่บอกมาจริงๆ เพียงป้ายผ่านจมูกเบาๆเท่านั้นก็ออกฤทธิ์ทันที แต่ยาตัวนี้จะทำให้สลบเพียงสองถึงสามชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนั้นคังอินก็จัดการอุ้มอีทึกไปที่รถและขับออกไปทันที
-------------------------------
42ความคิดเห็น