คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ ๒/๓ - เพลงที่ไม่อาจจดจำ
ข้านั่งบนพื้นทรายเพียงลำพัง ในที่ที่เคยพบชายผู้นั้น
เพิ่งผ่านไปสองคืน ข้าทราบว่าเขาคงยังไม่กลับมาในคืนนี้ แต่ก็ไม่อาจอยู่เฉยในถ้ำยามราตรีได้ อย่างน้อย การออกมาดูดาวในแต่ละคืนก็ทำให้รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็วขึ้น ข้าเพิ่งตระหนักเช่นนี้ได้เมื่ออามอนชี้ภาพที่ดวงดาววาดออกมาให้ดูเท่านั้นเอง
เพอร์เซอุสอยู่ตรงนั้น คืนนี้ดวงตาของเมโดซามืดมนจนแทบมองไม่เห็น อันโดรเมเดยังคงอยู่ที่เดิม คาสสิโอเปดูคล้ายค้างคาวที่กำลังโบยบิน ข้าจำไม่ใคร่ได้ว่าอสูรเคโทสอยู่ที่ใด แต่ไม่นานคงหาพบ
อัศจรรย์นัก ข้าไม่เคยคิดเลย...ว่าการมองดวงดาวหมุนเปลี่ยนในแต่ละคืนจะทำให้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเพียงนี้ กลุ่มดาวต่างๆ ที่อามอนสอนให้ข้าค่อยๆ ลับขอบฟ้าและถูกแทนที่ด้วยดาวกลุ่มใหม่ ถ้าเพียงแต่...เขาอยู่ข้างๆ คอยเล่าเรื่องของดวงดาวชุดใหม่นี้ให้ฟัง แต่ละค่ำคืนจะน่าเพลิดเพลินเพียงไร
สองวันก่อน เมื่อทราบว่าอามอนต้องจากไปกะทันหัน ข้ารู้สึกเหมือนหัวใจจะร่วงหล่นลงสู่พื้น ไม่สิ...สู่หุบเหวลึกไร้ก้นบึ้ง รวดเร็วกว่ายามข้าทิ้งร่างจากยอดผา ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องจากกันเพียงชั่วคราว...เพื่อช่วยเหลือข้าเอง ทว่าไกลแสนไกลถึงปรโลก ซ้ำยังไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะรอดชีวิตกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ ข้ากลัวเขาจะไม่กลับมาอีก กลัวว่าเขาจะจากข้าไป...เหมือนชายสวมผ้าคลุมที่เคยพยายามมาช่วยข้า กลัวว่าจะไม่ได้พบมนุษย์ที่สามารถมองเห็นและพูดคุยกับข้าได้อีก ไม่ว่าจะนานกี่สิบปี...ร้อยปี...หรือชั่วนิรันดร์ก็ตามที
ข้ามาตระหนักได้เมื่อกลับถึงถ้ำของตนเมื่อสองคืนก่อน ว่าสิ่งที่ตนกลัวที่สุดคงเป็น...’การลาจาก’ กระมัง ยามนั้น...ถ้อยคำหนึ่งผุดในห้วงสำนึกโดยไม่คาดฝัน ราวกับได้ยินมาจากสถานที่และเวลาไกลแสน
"การลาจาก...ไม่ใช่การสิ้นสุดหรอกนะ สิมูน"
ข้าไม่ทราบว่าผู้พูดเป็นใคร ใช่คนเดียวกับชายสวมผ้าคลุมหรือไม่ ทว่ามันเป็นความจริงที่เจ็บปวดเหลือแสน การลาจากมิใช่จุดสิ้นสุดสำหรับข้า...แต่ก็มิใช่จุดเริ่มต้นเช่นกัน การลาจากเป็นเพียงรอยหนามในช่วงเวลาอันยาวนานไร้จุดสิ้นสุดของข้า ทว่ายังเป็นรอยหนามที่เสียดแทงลึกและปักคาไม่อาจถอนออก คอยเตือนให้เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมอยู่เรื่อยไป หากจะมีสิ่งใดที่ข้าต้องการให้สิ้นสุดลงอย่างแท้จริง...ก็คือตัวตนอันว่างเปล่ายาวนานของข้านี่เอง ลางที...หากได้ความทรงจำคืนมา ความว่างเปล่านี้อาจหายไป และตัวข้าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็จะสิ้นสุดลง
...หากอยากให้เป็นเช่นนั้นจริง ก็คงมีแต่จะต้องรอ แม้ไม่อยากให้อามอนต้องจากไปไกล แต่เขาทำเพื่อข้า และข้าก็อยากให้เขานำน้ำแห่งความทรงจำกลับมาได้เหลือเกิน กระนั้น ข้ากลับพบว่าตนมีสิ่งที่ต้องการมากกว่านั้น...มากกว่าการทราบความทรงจำหรือลบความว่างเปล่าของตน
...ข้าอยากให้เขากลับมาหาข้าโดยปลอดภัย...แม้สิ่งที่เขาตั้งใจทำเพื่อช่วยข้าจะไม่สำเร็จก็ตาม...
...ถึงอย่างนั้น...
...ยามเราจากกัน...โปรดอย่าหลั่งน้ำตาร่ำไห้...
ข้ารู้สึกเหมือนเคยฟังคำคำนี้มาก่อน ไม่สิ ไม่เพียงถ้อยคำ ยังมีท่วงทำนองซ่อนอยู่ในนั้น ท่วงทำนองที่ถูกถ่ายทอดสู่ข้าด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยน
...ไม่ใช่จากไกล...จนลับลาชั่วนิรันดร์...
...ใช่ว่าอยู่ในร่างนิทราเงียบงัน...
...ในสุสานอันฝังชีพมลาย...
...แต่กลายเป็น...
.......................
...กลายเป็นสิ่งใด
เหตุใดข้าจึงนึกไม่ออก ทั้งทำนองและถ้อยคำต่อไป ไม่มีอยู่ในห้วงความคิดเลยแม้แต่น้อย
ข้าลองกลั่นพวกมันออกมาเป็นเสียงของตนเอง เผื่อจะได้พบถ้อยคำต่อไปนั้น
ไม่ใช่จากไกล...จนลับลาชั่วนิรันดร์
ใช่ว่าอยู่ในร่างนิทราเงียบงัน
ในสุสานอันฝังชีพมลาย
แต่กลายเป็น...
เสียงของข้าเหือดหายในคอ ยังไม่พบคำตอบ
แต่กลายเป็น...สิ่งใด
ยิ่งนึกยิ่งอึดอัดในศีรษะ มีคนเคยร้องเพลงนี้ให้ข้า และข้าก็ร้องให้เขาฟัง แต่เขาเป็นใคร เราร้องเพลงนี้กันที่ใด เมื่อไร และในโอกาสใด...ข้าพยายามเอาชนะม่านที่ปิดกั้นความทรงจำ ทว่ากลับเจ็บแปลบเหมือนมีเหล็กแหลมทิ่มแทงในศีรษะ ไม่อาจกลั้นเสียงร้องได้
“พอเถอะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลังโดยไม่คาดฝัน
ข้าหันกลับไปพบชายร่างสูงใหญ่ สวมผ้าคลุมแบบชาวทะเลทราย ไม่อาจเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน...และไม่อาจจดจำได้ ทว่าเสียงของเขาคุ้นหูอย่างประหลาด
“ท่านเป็นใคร”
“เป็นผู้ที่อยากช่วยเหลือเจ้า” เขาตอบพลางโคลงศีรษะ “แต่ไม่อาจทำให้สำเร็จได้...แม้เพียงครั้งเดียว”
“หมายความว่า...” ข้าหรี่ตาลง พยายามเค้นหาความทรงจำ...ถึงร่างที่เคยคลุมผ้าสีดำคล้ายคลึงกัน “ท่านคือผู้ที่พยายามพาข้าออกไปในตอนนั้นใช่ไหม ท่านคือเอนลิลหรือ”
“นามของข้าเป็นอะไร ไม่สำคัญ” เขาพูดอีกอย่าง “สิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้าต่อไปนี้ต่างหากที่สำคัญ สิมูน หากไม่อยากเป็นทุกข์ยิ่งกว่านี้...ก็อย่าพบชายคนนั้นอีกเลย เขาไม่เพียงแต่ช่วยเจ้าไม่ได้ แต่จะทำให้เจ้ายิ่งทุกข์ทรมานกว่าที่เป็นอยู่เสียอีก”
“ชายคนนั้น...ท่านหมายถึงอามอนหรือ”
เขาพยักหน้า
“เพราะอะไร ท่านช่วยบอกข้าให้ชัดเจนกว่านี้ไม่ได้หรือ”
“ข้าบอกได้เพียง...เจ้าจะทุกข์ทรมานกว่านี้เป็นร้อยเป็นพันเท่า หรืออาจมากกว่านั้น”
ข้าลุกขึ้นยืนในทันใด
“ท่านทราบหรือว่าข้าทุกข์ทรมานเท่าไร ความทุกข์ของข้าเป็นสิ่งที่วัดได้ด้วยหรือ! ข้าไม่ทราบว่าความทุกข์ที่มากกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่าเป็นอย่างไร แต่ข้าไม่อยากอยู่ในสภาพนี้อีกต่อไปแล้ว! ข้าไม่อยากไร้ตัวตน! ไม่อยากอยู่เพียงลำพังในทะเลทราย...ไม่มีวันสิ้นสุด!”
ชายตรงหน้าข้าถอนใจ
“ถึงอย่างนั้น...เจ้าก็ยังมีที่พักพิง มีน้ำและอาหาร ยังมีผู้ต้องโทษทัณฑ์มากมายที่ไม่มีกระทั่งสิ่งเหล่านี้ และเจ็บปวดทุกข์ทรมานกว่าที่เจ้าเป็นอยู่ ฉะนั้น จงพอใจกับสิ่งที่เจ้าเป็นอยู่เถิด อามอนช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ดอก ถึงดิ้นรนพยายามก็มีแต่ต้องจบชีวิตของเขาเอง และทำให้เจ้าเจ็บปวดไปกว่าเดิม”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ผู้ที่รู้คือผู้ที่เจ็บปวดที่สุด สิมูน” เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจ้าคิดว่าเจ้าเจ็บปวดที่ไม่รู้สิ่งใดเลย ทว่าบางสิ่ง...เป็นสิ่งที่รู้แล้วเจ็บปวดยิ่งกว่า นี่คือสิ่งที่อามอนจะนำมาบอกเจ้าโดยแลกกับชีวิตของเขา หากไม่อยากให้เขาตาย ก็จงอย่าไปพบเขาอีก อยู่แต่ในถ้ำของเจ้าต่อไปราวสี่สิบห้าสิบปี จนกว่าเขาจะถึงแก่อายุขัย แล้วก็จงพอใจกับความทุกข์ที่ตัวเจ้าเองเลือกจะไม่รับเสียดีกว่า”
ข้าไม่อาจห้ามตนเองให้หวั่นไหว อามอนจะต้องตาย...หากนำความทรงจำมาคืนให้ข้าอย่างนั้นหรือ แต่ชายคนนั้นพูดเหมือนเขาจะรอดปลอดภัยจากปรโลก ทว่าตายหากบอกเรื่องบางอย่างต่อข้ามากกว่า
“ข้าไม่เข้าใจ” กระนั้น ข้ายังคงย้ำ “และคิดว่าคงยอมทำตามไม่ได้ หากท่านไม่ยอมบอกข้าให้กระจ่างกว่านี้”
ชายผู้นั้นเงียบไป ข้าพยายามสบตากับเขา แต่เขาก็กลับก้มหน้าหลบ
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าทำไม่ได้” เขาถอนใจ เลิกแขนเสื้อยาวขึ้นให้เห็นรอยสีเข้มบนแขน
ข้าจ้องมองเขม็ง ผิวหน้าร้อนผ่าว เมื่อพบว่านั่นคืออักขระที่ตนมีเช่นกัน
...ถ้อยคำว่า ‘ต้องห้าม’...
“ข้ามีความทุกข์และโทษทัณฑ์ของข้าเช่นกัน สิมูน” ชายผู้นั้นสรุป พร้อมกับดึงแขนเสื้อลงอีกครั้ง
“ท่านเป็นใคร” ข้ายิ่งต้องการถาม
“ข้าบอกไม่ได้”
“พระองค์ เป็นใคร”
“เรื่องนั้น...ข้าก็บอกไม่ได้” เขาสั่นศีรษะ “อามอนบอกเจ้าได้ แต่เขาจะต้องตาย เจ้าจะยอมให้เขาตายเพื่อรู้หรือ”
ข้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าอยากรู้ แต่ไม่อยากให้อามอนตาย ข้าอยากเป็นอิสระจากที่นี่ แต่ก็ไม่อยากให้ใครต้องตายเช่นกัน ถึงอย่างนั้น...สิ่งที่เราทำได้ย่อมไม่ได้มีเพียงแค่นี้ไม่ใช่หรือ หากมัวแต่คิดว่ามีทางเลือกเพียงทางเดียว จะพบทางออกจากปัญหาได้อย่างไร”
ข้าอยากเชื่อตามที่อามอนเชื่อ ว่าบัดนี้เราสองคนกำลังหาทางอุดรูรั่วของหม้อน้ำ ซึ่งข้าได้แต่ปล่อยให้รั่วซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเนิ่นนานเหลือเกิน
“แต่บางครั้ง ทางเลือกก็มีจำกัดอยู่เท่านั้นจริงๆ” อีกฝ่ายยังคงแย้ง “มีผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าอามอน เหนือกว่าเจ้า และเหนือกว่าข้าอย่างเปรียบไม่ได้ ซึ่งบังคับทุกสิ่งให้เป็นไปเช่นนี้ ไม่มีสิ่งใดจะผิดจากความต้องการของผู้นั้นไปได้”
“เขาผู้นั้นคือ พระองค์ หรือ”
เขาไม่ตอบ เพียงกลับหลังหันและพึมพำ
“ไม่ว่าข้าจะพูดสิ่งใด สุดท้ายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ดอก”
“ได้โปรด...บอกข้ามาเถอะ! บอกเท่าที่ท่านจะบอกได้ก็เพียงพอแล้ว!” ข้าปราดเข้าไปหมายยุดมือของเขา แต่ชั่วแวบก่อนต้องเพียงนิ้วมือ...ก็ปวดแสบร้อนไปทั่วทั้งร่างจนทรุดลง
ชายผู้นั้นเดินจากไป โดยเหลียวมองข้าที่ล้มฟุบบนพื้นทรายเพียงแวบเดียวเท่านั้น
* * * * *
ผมชอบตำนานของไซคี/ซิวเค (แต่ชอบชื่อแรกมากกว่าแฮะ ^^a ) เสียดายที่พ่อม่อนไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมทางของเธอ ไม่อย่างนั้นชะตาคงโสภากว่าจ้างไกด์ผี (จริงๆ นะ) แบบนี้เยอะ ^^a
ช่วงบทที่สองเนื้อหาแต่ละตอนสั้นเยอะ เพราะเปลี่ยนมุมมองระหว่างตัวละครบ่อย (ไม่อยากให้มุมมองของม่อนกับสิมูนอยู่ในตอนเดียวกัน เดี๋ยวสับสนยิ่งกว่าเดิม ^^;;; ) ดังนั้นอาจรวบสองตอนลงเป็นตอนเดียวบ่อยอยู่ครับ
ชื่อ
ทันทาโลส - Tantalos/Tantalus (กษัตริย์ที่ต้องโทษให้ไม่อาจดื่มกินชั่วนิรันดร์ในตำนานกรีก)
ซิวเค - Psyche (ชายาของกามเทพ เอรอส)
เอรอส - Eros (กามเทพของกรีก โรมันเรียกคิวปิด)
อโฟรดีเต - Aphrodite (เทพีแห่งความรักและความงาม แม่ของเอรอส)
สติวซ์ - Styx (แม่น้ำแห่งคำสัตย์ในปรภพ เชื่อกันว่าทั้งเทพและมนุษย์ที่สาบานต่อแม่น้ำนี้ต้องทำตามคำพูดทุกประการ)
ความคิดเห็น