ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สาวน้อยผู้มั่งคั่ง (จบแล้ว) มี E-BOOK

    ลำดับตอนที่ #14 : มิติ

    • อัปเดตล่าสุด 24 ธ.ค. 66


    ตอนที่ 14 มิติ

    หลังจากปล่อยเวลาทิ้งไปอยู่นาน มนตราก็พลันนึกคิดถึงคำถามของใต้เท้าฉู่ เธอเพิ่งมาอยู่ในร่างฉินฉินได้ไม่นานย่อมไม่รู้จักมักคุ้นกับใครอื่นอีก

    ยามนี้จึงคิดออกเพียงคนเดียวคือบุตรชายของลุงหวัง อีกทั้งครอบครัวของชายชรายังเป็นคนดี มักยื่นมือมาช่วยพวกตนสองพี่น้องอยู่เสมอ

    "ข้าขอแนะนำพี่หวังม่านอวี้เจ้าค่ะ เขาเป็นคนดีข้ามั่นใจว่าเขาต้องดูแลทุกคนได้อย่างเท่าเทียมแน่นอนเจ้าค่ะ"

    "เหตุใดเจ้าไม่เรียกข้าว่าพี่บ้างเล่า"

    ..ใต้เท้าฉู่บ่นพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว

    "เอาตามที่เจ้าต้องการ ข้าคงต้องขอตัวกลับไปรายงานท่านเจ้าเมืองก่อน แล้วพรุ่งนี้จะกลับมาหาเจ้าใหม่"

    อี้เทียนกอดอกหนวดกระดิก เขาเดินมายืนบังบุตรสาวเอาไว้ด้านหลัง

    "เรื่องก็จบไปแล้ว ท่านจะมาทำไมอีก"

    ใต้เท้าฉู่ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อยเขากลับยิ้มสู้

    "ข้ายังต้องจัดการเรื่องที่ดินให้แม่นางฉินฉินให้เรียบร้อย ทั้งยังต้องแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านคนใหม่อีก เรื่องทั้งหมดยังไม่จบง่าย ๆ แน่"

    อี้เทียนคิ้วกระตุก...ใต้เท้าเด็กหน้าละอ่อนนี่กล้าพูดเล่นลิ้นกับข้าหรือ

    "นี่ก็เย็นมากแล้ว ภรรยาของท่านคงจะรอกินข้าวเย็นอยู่ ท่านรีบกลับไปเถิดให้ ปล่อยให้สตรีคอยนาน ๆ เห็นทีจะดูไม่ดี"

    ใต้เท้าฉู่สะอึกที่โดนทักเช่นนั้น เขาอดใจไม่ไหวแอบมองคนด้านหลังของอี้เทียน อยากเห็นสีหน้าของหญิงสาวนัก หากนางรู้ว่าเขามีภรรยาแล้วนางจะเสียใจหรือไม่

    ฝ่ายมนตราในร่างฉินฉินรู้ว่าอีกฝ่ายมีภรรยาแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ความจริงแล้วในโลกเดิมเธอเป็นพวกรสนิยมสูง ไม่นิยมชมชอบบุรุษบอบบาง คนที่จะมาเป็นสามีเธอได้ต้องกล้ามแน่น ๆ แข็งแรงจนอุ้มหมูตัวใหญ่ด้วยมือเดียวได้ แบบนั้นสิถึงจะเร้าใจ

    บ้า ๆ ๆ คิดอะไรของเธอกันเนี่ย ร่างนี้อายุสิบสามเองนะ

    "ท่านพ่อพูดถูก ใต้เท้าฉู่ท่านรีบกลับไปเถิด หากฟ้ามืดแล้วมันจะอันตราย"

    นางไม่เกลียดข้า..นางยังเป็นห่วงความปลอดภัยของข้าด้วย ดีจริง ๆ

    "ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน"

    ชาวบ้านที่ถูกมัดมือถูกปล่อยตัว เหล่าทหารยังคงอยู่อารักขาหญิงสาว มีบางกลุ่มปลีกตัวออกไปตั้งแต่ยังไม่ตัดสินโทษ ด้วยได้รับมอบหมายให้ไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ตามที่ฉินฉินต้องการมาให้ โดยไม่คิดเงินแม้แต่อีแปะเดียว

    พวกเขาบอกหญิงสาวเพียงว่า ท่านเจ้าเมืองรู้สึกผิดที่เกิดเหตุเช่นนี้ต่อคนใต้ปกครอง จึงใช้เงินส่วนตัวซื้อของเหล่านี้มอบให้สองพี่น้องแทนคำขอโทษ

    มนตราเห็นมีคนอยู่เยอะ เธอไม่รู้ว่าจะหาอะไรให้พวกเขากินดี จึงหันไปปรึกษาบิดาที่เป็นถึงเจ้าของร้านอาหาร

    "ท่านพ่อมื้อเย็นเราจะกินอะไรกันดีเจ้าคะ..คนเยอะเช่นนี้ในหมู่บ้านมีของสดไม่เพียงพอให้ทำอาหารแน่"

    "เด็กน้อยเจ้าวางใจเถิด พวกข้าซื้อวัตถุดิบมาพร้อมแล้ว หวังจะได้ลิ้มรสฝีมือพ่อครัวอันดับหนึ่งของเมืองหลิงหลงสักครา"

    ใช่แล้ว บิดาบุญธรรมนามว่าอี้เทียนผู้นี้ เป็นถึงพ่อครัวใหญ่อันดับหนึ่งในอดีต อาหารทุกจานที่เขาทำมักมีราคาสูงลิ่ว มีเพียงคนมีเงินเท่านั้นที่ได้ลิ้มรส

    แต่เมื่อภรรยาของเขาเสีย อี้เทียนก็ปลีกตัวจากความวุ่นวาย มาเปิดร้านบะหมี่เล็ก ๆ ในเมืองให้พอกินพอใช้ไปวัน ๆ เงินเก็บเขามีมากพอแล้วไม่ทำให้ลำบากอะไร อีกทั้งเวลายังล่วงเลยมาหลายปีจนทุกคนลืมชื่อเขาไปแล้ว

    อี้เทียนหัวเราะเสียงดังหันมาลูบหัวบุตรสาวบุญธรรมอย่างเอ็นดู

    "ได้! วันนี้ข้าจะลงมือทำอาหารให้พวกเจ้ากิน ฉินฉินเจ้าไปนอนพักกับอาเยี่ยนเถิด ให้พี่ชายของเจ้ามาช่วยพ่อในครัวแทน"

    "เจ้าค่ะ"

    หญิงสาวรอโอกาสนี้มานาน เธอรู้สึกปวดแสบปวดร้อนตรงข้อมือ จึงเหลือบตามองดู ก็เห็นมีปานรูปดอกบัวบนนั้น เป็นปานที่สวยมากต่างจากปานทั่ว ๆ ไป หากเป็นโลกปัจจุบันคงเหมือนเป็นรอยสักเสียมากกว่า

    รอยปานนี้มันต้องมีอะไรแน่ ๆ

    หญิงสาวขอตัวกลับเข้าเรือน เธอเคาะประตูห้องที่น้องชายใช้พักผ่อน ก่อนเปิดเข้าไปบอกให้พี่ชายไปช่วยบิดาในครัว เธอจะดูแลอาเยี่ยนต่อเอง

    "ได้ ๆ ๆ เจ้าคงเหนื่อยมามาก พี่ใหญ่จะไปช่วยท่านพ่อเอง เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด มีอะไรก็เรียกพี่ใหญ่ไม่ต้องเกรงใจ"

    "เจ้าค่ะ"

    ..หูต้าลู่ส่งยิ้มให้น้องสาวก่อนจะปลีกตัวออกไป

    เรียวขาเล็กในร่างเด็กสาววัยสิบสามปีเดินไปแง้มประตูดูด้านนอก ก็เห็นมีทหารหญิงนั่งคุยกันอยู่ชานระเบียงหน้าเรือน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ภายในห้องอีกจึงปิดประตูให้สนิท แล้วมาหามุมเหมาะ ๆ นั่งจ้องข้อมือของตนเอง

    สักพักก็มีแสงสีทองส่องออกมาจากปานดอกบัว มนตราหลับตาปี๋เพราะสู้แสงไม่ไหว พอสัมผัสได้ว่าแสงหายไปแล้ว จึงลืมตาขึ้นมองดูก็เห็นภาพหน้าจอบางอย่างปรากฏขึ้นเหนือข้อมือ ภาพนั้นเป็นห้องเก็บของที่มีชั้นไว้สำหรับเก็บของทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา

    หญิงสาวนึกสงสัยเพราะโลกเดิมเธอเป็นนักธุรกิจที่ยุ่งมาก จนไม่มีเวลาว่างไปทำอย่างอื่น รวมถึงการอ่านนิยายยามว่างด้วยเช่นกัน จึงไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนมีมันเรียกว่า “มิติ”

    หลังจากนั่งจ้องอยู่นานเธอก็ยื่นมือเข้าไปในนั้น และพบว่ามือของตนสามารถทะลุเข้าไปได้จริง ๆ

    "มันเป็นห้องไว้ใช้เก็บของสินะ"

    ใช่แล้ว...ในรูปปานดอกบัวมีมิติซ่อนไว้ มันเป็นมิติที่ใช้สำหรับเก็บของซ่อนอยู่ นอกจากชั้นที่ไว้ใช้สำหรับเก็บของโดยเฉพาะแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นให้อีกเลยแม้แต่น้ำสักขวดยังไม่มี

    มนตราตื่นเต้นมาก เธอลองหยิบถุงเงินโยนเข้าไปก็พบว่ามันถูกจัดเรียงอยู่ในชั้นเรียบร้อยแล้ว

    "ลองเอาออกมาดูดีกว่า แล้วต้องเอาออกมาอย่างไรกันละเนี่ย"

    ถึงจะงุนงงแต่เธอก็ยื่นมือเข้าไปหยิบถุงเงินออกมา และแม้ว่ามันจะดูเหมือนอยู่ไกลมาก แต่มือน้อย ๆ นี้ก็เอื้อมสามารถหยิบถึงได้

    หญิงสาวเริ่มตื่นเต้นแล้ว ทว่าเธอหารู้ไม่ว่าผู้อื่นที่ทะลุมิติไปต่างโลก ได้รับของมากกว่านี้เสียอีก

    เป็นอย่างไรเล่า...ชาติที่แล้วมัวแต่ทำงาน หากซื้อนิยายต่างโลกมาอ่านสักเล่มคงไม่เสียเปรียบเช่นนี้หรอก

    มนตราตื่นเต้นมาก เธอหยิบของในห้องโยนเข้าหยิบออกอยู่อย่างนั้น หญิงสาวตื่นเต้นเกินไปจนเผลอเสียงดัง ทำให้น้องชายตื่นจากนิทรา

    หญิงสาวต้องรีบหยุดสิ่งที่กำลังทำ แล้วเดินไปอุ้มน้องชายขึ้นมานอนบนตัก อาเยี่ยนน้อยยกมือขยี้ตา พอเขาลืมตาเห็นพี่สาวก็ส่งยิ้มให้

    "พี่ใหญ่..อาเยี่ยนหิวอีกแล้ว"

    เสียงใสหัวเราะออกมาเบา ๆ เธอยกมือบีบจมูกน้องชายก่อนจะจับเขานั่งมัดผมให้ใหม่

    "อาเยี่ยนรอก่อนนะ ท่านพ่อและท่านพี่กำลังทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเรา อาเยี่ยนน้อยเจ้ารอได้หรือไม่"

    "รอได้ขอรับ"

    สองพี่พากันเดินออกมาด้านนอก เหล่าทหารต่างพากันตั้งกระโจมนั่งรอบกองไฟกินข้าวกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยมีอี้เทียนยืนถือตะหลิวมองด้วยความภาคภูมิใจ

    พอเห็นสองพี่น้องจูงมือพากันเดินออกมา อี้เทียนก็รีบตะโกนให้บุตรชายยกสำรับมาให้น้อง ๆ ได้กินทันที

    "ต้าลู่เจ้าเอาข้าวไปให้น้องกินสิ ตรงนี้ไม่มีอะไรให้ทำแล้วที่เหลือพ่อจัดการเอง"

    มนตราให้อาเยี่ยนน้อยนั่งรออยู่ชานเรือนแล้วเดินมาหาบิดาบุญธรรม

    "ท่านพ่อไม่กินด้วยกันหรือ..อย่าปล่อยให้ท้องหิวนะเจ้าคะ"

    อี้เทียนเห็นบุตรสาวบุญธรรมเป็นห่วง ก็จับร่างเล็กหันหลังให้ไปร่วมวงกินข้าวกับพี่ชายน้องชายที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว

    "พ่อกินจนอิ่มแล้วเจ้าไม่ต้องห่วง รีบไปกินข้าวให้อิ่มแล้วอาบน้ำนอนเสีย พรุ่งนี้มีเรื่องต้องจัดการต่อ คืนนี้ต้องพักผ่อนเอาแรงให้เต็มที่เถิด"

    "เจ้าค่ะท่านพ่อ..ท่านดูแลตนเองด้วยนะเจ้าคะ"

    มนตรากินข้าวร่วมสำรับกับพี่ชายเป็นครั้งแรก เขาดูแลสองพี่น้องอย่างดี คอยตักเนื้อให้พวกตนจนพูนจาน ส่วนตนเองเลือกกินแต่ผัก

    หญิงสาวซึ้งใจกับการกระทำนี้มาก สักวันหนึ่งเธอต้องตอบแทนพวกเขาให้ดีที่สุดให้สมกับเป็นครอบครัวที่มีอยู่ของตน

    คืนวันนั้นหลังจากอาบน้ำชำระกายเสร็จแล้ว หญิงสาวก็มานอนห้องเดียวกับน้องชาย เธอเหนื่อยมาทั้งวันบวกกับร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป ทำให้เผลอหลับไปตั้งแต่ยามซวี

    ส่วนเหล่าทหารด้านนอกยังไม่นอน พากันกินเหล้าพูดคุยเสียงดัง โดยมีสองพ่อลูกร้านบะหมี่เข้าร่วมวงด้วย กว่าทุกอย่างจะสงบเวลาก็ล่วงเลยเข้าวันใหม่แล้ว ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนเอาแรง

    กลางดึกคืนนั้นมนตราก็ฝันถึงเรื่องราวในโลกเดิมของเธอ หลังจากร่างไร้วิญญาณของมนตราถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล บิดามารดาที่ทราบเรื่องก็รีบวิ่งมายังห้องดับจิตด้วยสภาพน้ำตานองหน้า

    พวกเขารู้สึกผิดที่เอาใจใส่บุตรสาวบุญธรรมมากเกินไป จนทำให้ไม่มีเวลาอยู่กับลูกสาวเพียงคนเดียวมากนัก

    ทางด้านน้องสาวบุญธรรมทำหลังจากเปิดพินัยกรรมของพี่สาวแล้ว ก็เกิดรับไม่ได้ที่ตนและพ่อแม่ไม่ได้อะไรมาเลย หลังจากวันนั้นหญิงสาวก็เอาแต่เที่ยวกลางคืนผลาญเงินไปวัน ๆ สุดท้ายก็เมาจนถูกคู่อริวางยาพิษจนกระอักเลือดตายด้วยอีกคน

    ทามไทที่ได้หุ้นบริษัทไปครึ่งหนึ่ง เขาไม่เคยลืมบุญคุณของเพื่อนสาวเลยแม้แต่วันเดียว เขาหมั่นทำบุญสร้างกุศลให้มนตราอยู่เป็นประจำ ทั้งยังคอยแวะเวียนมาดูแลพ่อแม่ของเพื่อนสนิทจนพวกท่านจากไปอย่างสงบด้วยโรคชรา

    มนตราลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึก ด้วยสภาพน้ำตานองหน้า มันทั้งรู้สึกเศร้าใจซึ้งใจที่ตนเลือกคบคนไม่ผิด และดีใจที่พ่อแม่ยังไม่ลืมมนตราคนนี้

    จากนี้ไปเธอจะได้ใช้ชีวิตที่โลกนี้อย่างวางใจได้เสียที

    "ทามเราขอให้แกพบเจอแต่ความสุขนะ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกสักชาติภพหนึ่ง เราจะไม่ลืมแกเลย..ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่แกทำให้เรานะ"

    กลางกรุงเซี่ยงไฮ้

    ทามไทที่นอนหลับอยู่ในห้องสวีตของโรงแรมหรูใจกลางเมือง กำลังนอนหลับฝันเห็นเพื่อนสนิทมาบอกลาพร้อมกับบิดามารดาของเพื่อนสาว

    ชายหนุ่มร้องไห้เช่นเดียวกัน เขารู้สึกผิดมาตลอด หากวันนั้นเขาดึงเพื่อนสาวเข้าลิฟต์ไปด้วย โศกนาฏกรรมครั้งนั้นคงจะไม่เกิดขึ้น นักธุรกิจสาวผู้เก่งกาจในภาคพื้นเอเชียก็ยังคงเดินเฉิดฉายเคียงข้างเขาจนแก่จนเฒ่า

    "ยายตาฉันคิดถึงแก...ชาติหน้าขอให้เราเกิดเป็นเพื่อนกันอีกนะ"

    ใจของเพื่อนสนิททั้งสองคนที่อยู่ต่างภพเชื่อมถึงกันด้วยความคิดถึง คืนวันนั้นชายหญิงทั้งสองต่างสัมผัสได้ว่า เพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันยังคงอยู่เคียงข้างกันไม่ห่างไปไหน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×