ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันเหนืออสงไขย ภาคลบล้างคำสาปต้นตระกูล

    ลำดับตอนที่ #14 : ช่วงเวลาตอบคำถามของเด็กหญิงตะวันเรื่องทำมาหากิน(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ค. 66


    “ลูกยังอะไรสงสัยอีกไหม หากมีก็ถามออกมาเถอะ” หาญถามลูกสาวที่นั่งนิ่งด้วยความเป็นห่วง

    “ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่มักทำอะไรเลี้ยงชีพกันหรือจ๊ะ” ตะวันเอ่ยถามเรื่องสำคัญ

    “ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะปลูกผัก ปลูกข้าวไว้กินเอง หรือไม่ก็รับจ้างทั่ว ๆ ไปตามบ้านเศรษฐีในตลาดหรือไม่ก็ไปรับจ้างแบกข้าว แบกเกลือ” หาญตอบผู้เป็นลูก

    “แล้วที่นี่ไม่ปลูกข้าวขายกันหรือจ๊ะ” ตะวันถามขึ้นอย่างสงสัย

    “ไม่ใช่เขาไม่อยากปลูก แต่ปลูกกันไม่ได้นะสิลูกเวลาน้ำฝนน้ำมากจนท่วมพอเข้าหน้าแล้งน้ำก็แห้งขอดดังนั้นบ้านไหนปลูกได้เขาก็จะเก็บเอาไว้กินหากบ้านไหนปลูกไม่ได้ก็ต้องซื้อ

    เรื่องนี้หนูก็ลืมอย่างนั้นหรือ ตอนช่วงหน้าแล้งอรุณกับเกลอยังพากันลงไปจับปลาในคลองหน้าบ้านได้เลยน้ำแห้งมีแต่โคลน” หาญถอนใจอย่างหนักอก

    “ที่นี่ไม่มีการสร้างเขื่อนหรือขุดลอกคลองเพื่อเก็บน้ำหรือจ๊ะ” เด็กหญิงถามขึ้นอย่างสงสัย

    “เขื่อนคืออะไรหรือลูก คลองจะขุดอีกทำไมในเมื่อคลองก็มีผ่านหน้าบ้านอยู่แล้ว พอน้ำแห้งผู้ใหญ่ก็ให้ชาวบ้านมาทำสะพานไม้เป็นการเดินข้าม พอหน้าน้ำมาก็ใช้เรือเหมือนอย่างตอนนี้” หินเอ่ยถามหลานสีหน้างุนงงเขาแก่จนอายุปูนนี้ยังไม่เคยได้ยินคำแปลกที่หลานสาวพูดออกมาเลย

    “เขื่อนก็เอาไว้สำหรับกักเก็บน้ำช่วงหน้าแล้งยังไงละจ๊ะ เวลาฝนไม่ตกจะได้ไม่ขาดน้ำ ส่วนการขุดลอกคลองก็เพื่อสำหรับเก็บน้ำเหมือนกันหรือไม่ก็ขุดบ่อภายในที่ดินของตนเอาไว้ทำการเกษตรหรือเลี้ยงปลา

    การลอกคลองยังแก้ปัญหาน้ำท่วมได้อีกด้วยเพื่อเป็นการระบายน้ำไปทางอื่น ว่าแต่คลองบ้านเราไปสุดที่ไหนอย่างนั้นเหรอจ๊ะ” เด็กหญิงตอบคำถามปู่ตามที่ตนรู้ก่อนที่จะถามออกมาอีก

    “จะไปยังคลองเล็กอีกทีจากนั้นก็ไปลงแม่น้ำใหญ่” เสือเป็นคนตอบคำถามหลานสาวเพราะเขาสนใจสิ่งที่หลานตัวน้อยพูด

    เด็กหญิงครุ่นคิดหากว่าน้ำท่วมตามที่เธอมีลางสังหรณ์ก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคลองเล็กที่อาเสือบอก

    เพราะมีความเป็นไปได้ว่าน้ำน่าจะไหลไม่ทันพอน้ำป่าหลากมาก็ทำให้น้ำท่วมได้โดยเฉพาะเวิ้งบ้านของปู่ที่เป็นแอ่งกระทะ

    เด็กหญิงทดเรื่องนี้ไว้ในใจก่อนจะเปลี่ยนคำถามเป็นเรื่องช่องทางทำมาหากินแทน “แล้วคนที่มีฐานะส่วนใหญ่เขาทำอาชีพอะไรกันหรือจ๊ะ” หากอยากมีเงินจะต้องรู้ว่าคนมีฐานะของยุคนี้เขาทำอะไร

    “เรื่องนี้อาตอบได้ ตัวอย่างเช่นเศรษฐีโกมลเพราะอาเคยไปรับจ้างทำงานกับท่าน ที่เรือนของท่านมีเรือสำปั้นสวน ท่านก็เอาไว้ใช้รับซื้อพืชผลจากเมืองอื่นที่บ้านเมืองเราไม่มีนำมาขาย

    และก็รับซื้อสิ่งของจากเมืองเราที่มีไปขายยังเมืองอื่น อีกทั้งท่านยังมีโรงค้าข้าวที่ตลาดท่าน้ำด้วย แต่ที่ท่านมีเงินขึ้นมาได้ก็น่าจะเป็นจากการค้าเกลือราคาเกลือหนึ่งไหเล็กก็ราคาหนึ่งสลึงเข้าไปแล้ว” เสือตอบหลานสาวตามที่รู้ออกมาอย่างละเอียด

    “อย่างนี้แสดงว่าเกลือเป็นสินค้าหายากใช่ไหมจ๊ะ แล้วถ้าเราสามารถทำเองได้จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แล้วยังมีสินค้าอะไรอีกที่มีราคาแพง” เด็กหญิงถามพร้อมกับนั่งฟังด้วยความสนใจเพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอยังไม่เคยออกไปไหนเลย

    “ตะวัน! หลาน / ลูกทำเกลือได้อย่างนั้นเหรอ” คนในครอบครัวต่างประสานเสียงเรียกชื่อเด็กหญิงผมจุกเสียงดัง แม้แต่เหล่าวิญญาณก็หันหน้ามองมาทางเด็กหญิงอย่างพร้อมเพียง

    “ใช่จ้ะ แต่ว่าหนูจะต้องไปลองสำรวจดูก่อนว่าสถานที่ตรงไหนบ้างที่มีดินเค็ม” เด็กหญิงรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่ทุกคนส่งเสียงเรียกชื่อของเธอพร้อมกัน

    ผู้ใหญ่ภายในบ้านรวมถึงเหล่าวิญญาณที่มีลูกหลานอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ต่างรู้สึกมีความหวังกันมากขึ้นหากสิ่งที่ ลูก / หลาน /เด็กผมจุกกล่าวออกมาแล้วทำได้จริงต่อไปคนในหมู่บ้านก็คงจะได้ลืมตาอ้าปากกันบ้าง

    “เรื่องเกลือไม่ได้เป็นสินค้าหวงห้ามอะไร ใครจะนำมาขายก็ได้ แต่เนื่องจากเมืองที่ผลิตเกลืออยู่ห่างออกไปไกล การเดินทางก็ลำบาก และยังต้องใช้เรือที่สามารถรับน้ำหนักได้ดี เนื่องจากจะได้ขนมาได้คราวละมากได้ ดังนั้นส่วนใหญ่คนที่ทำจึงเป็นพวกเศรษฐีมีเงิน ส่วนของที่มีราคาแพงอีกก็จะมีน้ำตาล

    น้ำมัน เนื้อสัตว์ หมากพร้าว เท่าที่แม่นึกออกก็มีเท่านี้แหละ เพราะเป็นสินค้าราคาแพงจะทำขนมทีต้องใช้เงินหลายบาท” สร้อยตอบลูกหลังจากที่ตนหายตกใจแล้ว

    คนเป็นลูกนิ่งคิดหมากพร้าวนี่น่าจะคือมะพร้าว จะว่าไปรอบบริเวณนี้เธอก็ยังไม่เห็นสักต้นแต่ถ้าจะลองปลูกดูก็คงไม่เสียหาย

    น้ำมันด้วยอย่างนั้นเหรอ หากสามารถปลูกถั่วลิสงได้เราก็ทำน้ำมันจากถั่วลิสงได้นี่ลองถามดูดีกว่าไม่รู้ว่าคนที่นี่จะรู้จักไหม

    “แม่จ๋าที่หมู่บ้านเรามีการปลูกถั่วลิสงไหม” เด็กหญิงถามผู้เป็นแม่

    “ถั่วลิ..อะไรของเอ็งไม่มีหรอกลูกมีแต่ถั่วดิน หลังจากที่เขาทำนากันก็มีคนเคยปลูกตอนนั้นเคยมีคนมารับซื้ออยู่ช่วงหนึ่ง

    จากนั้นก็หายไป เขาเอาเมล็ดมาแจก พอพวกเราปลูกกันมากราคาถูกลงก็เลยไม่มีใครปลูกอีก

    แต่พ่อเห็นว่ามันทำให้ดินดี พ่อก็เลยปลูกต่อ ดีกว่าที่จะทิ้งเมล็ดมันไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะอย่างน้อยเอามาต้มกินก็อร่อยดีว่าแต่หนูถามทำไมเหรอ” คนเป็นพ่อตอบก่อนที่จะถามออกมาหรือว่าลูกเขาสามารถนำเจ้าถั่วนี่มาทำอะไรได้อีก

    “ถั่วดินที่ว่ามีเมล็ดเรียงอยู่ในฝักสีน้ำตาลหรือเปล่าจ๊ะ” ตะวันถามถึงลักษณะของถั่วที่พ่อพูดออกมาซึ่งเธอคิดว่าน่าจะเป็นถั่วลิสง

    “ใช่แล้วล่ะ ไม่รู้ว่าที่นี่มีไหม ไม่อย่างนั้นพ่อจะหยิบมาให้ดู” หาญตอบรับก่อนเปรยออกมา

    “มี อยู่ในยุ้งเอ็งขึ้นไปหยิบมาให้หลานข้าดู” คงส่งเสียงออกไปท่ามกลางความว่างเปล่า

    “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ” หาญสะดุ้งก่อนรับคำ จากนั้นชายหนุ่มก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ ไปทางบันไดเรือนเก็บข้าวเปลือกทันที

    คนในครอบครัวที่รอหาญต่างพากันมองหน้ากันไปมาเพื่อหาต้นเสียงว่ามาจากทางไหนด้วยความหวาดกลัวที่มีอยู่ แม้พวกเขาจะรู้ดีว่าเจ้าของเรือนไม่ทำอะไรพวกเขาก็ตาม

    สร้อยเองก็มองหาผู้เป็นพ่อเช่นเดียวกัน ด้วยความคิดถึง แต่ก็จนใจเมื่อหล่อนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความว่างเปล่า จนกระทั่งหาญวิ่งกลับมา

    “ตะวันนี่คือเมล็ดถั่วดินที่พ่อว่า” หาญแบมือออกให้ลูกสาวเห็นสิ่งที่อยู่ในมือ

    ทำให้ตะวันฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ “ถั่วชนิดนี้เราสามารถนำมาทำน้ำมันได้” เด็กหญิงพูดขึ้นอย่างยินดี

    “เรื่องจริงหรือลูก มันทำได้จริงอย่างนั้นเหรอ” หินถามหลานออกมาอย่างตื่นเต้น เขาอยู่มาจนจะลงโลงอยู่แล้วยังมีความรู้ไม่เท่าหลานสาวเลยนี่แสดงว่าท่านผู้นั้นคงจะเมตตาหลานสาวของตนมากเป็นแน่ถึงได้ให้ความรู้มามากมาย

    “พ่อใจเย็นอย่าตื่นเต้นเกินไปนัก หากเป็นลมล้มพับขึ้นมาจะแย่เอา ดูแม่ยังนั่งนิ่งอยู่เลย อ้าวแม่..แม่ขอรับ” เสือหยอกพ่อก่อนจะหันหน้าไปมองทางแม่ ก็เห็นแม่นั่งนิ่งจนผิดสังเกตจึงได้เรียกแม่ของตนเสียงดัง

    แม่ผู้ชราที่รู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝันหลังได้ยินคำกล่าวของผู้เป็นหลาน หล่อนจึงนั่งนิ่งเงียบจนกระทั่งลูกชายคนเล็กส่งเสียงเรียก หญิงชราจึงหลุดออกจากภวังค์

    “ยายชีแหก เจ้าเสือเอ็งจะเรียกแม่เสียงดังทำไม หูข้ายังไม่หนวกตกใจหมด” คนเป็นแม่เอ็ดลูกชายพลางเอามือลูบอกตนปรอย ๆ 

    “แม่จ๋าฉันเรียกแม่ตั้งนาน แม่ก็ไม่ตอบฉันก็เลยเรียกเสียงดัง ฉันขอขมาที่ทำให้แม่ตกใจจ้ะ” ลูกชายคนเล็กรู้สึกผิดตามที่พูดยกมือไหว้แม่อย่างลุแก่โทษ

    “เอ่อ แม่ไม่เป็นอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าเหมือนจะฝันว่าเจ้าตะวันบอกว่าทำน้ำมันได้มันจะจริงได้ยังไง หากบ้านเราทำได้พวกเราไม่กลายเป็นเศรษฐีหรอกหรือ” นิดคิดว่าตนฝันไปกล่าวขึ้น พลางยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำหมากมุมปากของตน

    “หนูทำได้จริงนะย่า เอาไว้พวกเราค่อยมาลงมือสร้างความร่ำรวยกัน ตอนนี้คงจะต้องช่วยกันหักร้างถางพงไปก่อน” หลานสาวยืนยัน

    “ตะวัน อาจะเป็นลมหนูรู้ไหมน้ำมันราคาแพงมากพอกับเกลือเลยหากเป็นอย่างที่หนูว่า เมื่อไหร่คลอดลูกอาสะใภ้จะขอทำงานกับหนูด้วยนะ” กระถินหล่อนเชื่อสิ่งที่หลานสาวของสามีพูดหมดหัวใจ

    เหตุใดเธอจึงเชื่อก็ไม่รู้ แต่การที่พวกเธอมาอยู่เรือนหลังนี้ได้ก็เป็นการพิสูจน์อะไรได้หลายอย่างว่าหลานสาวตัวน้อยไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

    “ได้สิจ้ะ หนูรับรองว่าจะพาครอบครัวของเราให้ร่ำรวยไปด้วยกัน” เด็กสาวยิ้มให้อาสะใภ้สาว

    หากไม่รวยน้องชายในท้องของอาจะกลายเป็นโจรกับอรุณนะสิไม่ได้เด็ดขาด เราต้องสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นเพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ของครอบครัว

    “ส่วนเรื่องน้ำตาลปู่เชื่อแล้วว่าหลานก็ต้องทำได้เหมือนกัน จะเหลือก็แต่หมากพร้าวที่หลานไม่น่าจะมีหรอกใช่ไหม” ปู่กล่าวออกมาพร้อมถามหยั่งเชิงหลานสาวคนโต

    “คือหมากพร้าวหนูก็มีจ้ะ แต่ถ้าอยากมีกินตลอดเราต้องลองปลูกซึ่งหนูก็รู้วิธีปลูกเหมือนกันและยังมีพันธุ์มะพร้าวด้วย” หลานสาวตอบออกมาอย่างเขินอาย

    ทางด้านวิญญาณเฒ่าที่อาศัยอยู่ต้นไทรหลังบ้านมองตาคงสลับกับใบหน้าเด็กผมจุกไปมาด้วยความสงสัย

    “เอ็งเป็นอะไรเฒ่าไทรมองหน้าข้าสลับกับนังหนูแบบนี้หมายความว่ายังไงฮะ” อดีตหมอผีถามวิญญาณที่อยู่ภายในที่ดินอย่างไม่สบอารมณ์

    “ข้าแค่แปลกใจว่าทำไมเอ็งมีหลานสาวที่เป็นที่รักของเหล่าเทพได้ก็เพียงเท่านั้น” วิญญาณเฒ่าไทรพูดจบก่อนจะหายตัวไปยังที่อยู่ของตน

    “...” วิญญาณหมอผีคงก็ไม่รู้จะตอบคำถามแสนยากนี้ยังไงเหมือนกันจึงได้หายตัวตามไปติด ๆ ซึ่งตอนนี้คงเหลือไว้แค่รัก ยม และแม่ตานีที่ยังคงฟังการสนทนาของมนุษย์เหล่านี้ต่อไปด้วยความอยากรู้ว่าเด็กหญิงคนนี้จะมีอะไรให้พวกเขาแปลกใจได้อีก

    เด็กชายอรุณที่เดินหายไปหลังจากที่ผู้ใหญ่สนทนากันตอนนี้เด็กชายผมแกละได้เดินกลับมายังที่พวกผู้ใหญ่นั่งอยู่

    โดยในมือก็ถือสิ่งที่พี่สาวเคยให้เขาเคยลองกินมาก่อนกลับมาด้วยซึ่งเด็กชายตัวน้อยลากเจ้าสิ่งนี้มาตลอดทาง

    “พี่สาว หนูไปเจอเจ้านี่มาด้วยกว่าจะหักมันลงได้เหนื่อยแทบแย่” น้องชายยิ้มอวดฟันหลอด้านหน้ากล่าวเมื่อเดินมาถึงบริเวณที่คนในครอบครัวนั่งอยู่

    “อรุณ ลูกไปที่ไหนมาแล้วเอาต้นหญ้ายักษ์มาทำไม” สร้อยหันไปตามเสียงของลูกชายก่อนจะถามเด็กน้อยจอมซนที่ตอนนี้ทั้งตัวมอมแมมมีแต่โคลน

    “แม่จ๋าที่น้องเอามาไม่ใช่หญ้าเจ้าสิ่งนี้เขาเรียกว่าต้นอ้อย เอาไว้ทำน้ำตาลได้ ว่าแต่อรุณน้องได้รับบาดเจ็บไหมใบมันคมเอาเรื่องอยู่นะ” คนเป็นพี่สาวพูดก่อนจะถามน้องชายที่แม้จะอายุน้อยกว่าเธอสองปีแต่รูปร่างใกล้เคียงกันด้วยความเป็นห่วง

    “ไม่เจ็บจ้ะ หนูเห็นมันล้มก็เลยเอาเท้าเหยียบ ๆ ให้มันหัก” เด็กชายกล่าวอย่างสุภาพตามที่พี่สาวเคยสอน

    ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้วยกันจึงได้พากันลุกมาจากแคร่ไม้ไผ่เพื่อมามุงดูเด็กชายกับต้นอ้อยที่อยู่ในมือ

    ตะวันก็ไม่ปล่อยให้คนในครอบครัวสงสัยอยู่นาน เด็กหญิงจึงได้นำมีดขนาดพอดีมือตัดไปที่ลำต้นของอ้อยเป็นท่อนเล็กเท่าฝามือก่อนจะปอกเปลือกออก

    จากนั้นเธอก็ส่งอ้อยที่ปอกเปลือกให้กับน้องชาย อรุณเองก็ไม่รอช้าเขารีบส่งอ้อยเข้าปากก่อนที่จะเคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปากตุ้ย ๆ ท่ามกลางการจ้องมองของพ่อ แม่ ปู่ ย่าและอาทั้งสอง

    เด็กน้อยเคี้ยวจนน้ำหวานของอ้อยหมดก็คลายเอาซากอ้อยในปากทิ้งลงพื้นดิน เขาทำซ้ำ ๆ จนกระทั่งอ้อยในมือหมดลง

    “รสชาติเป็นยังไงบ้างลูก” หาญถามลูกชายคนเล็ก

    “หวานอร่อยขอรับ” เด็กชายตอบตามจริงเนื่องจากเขายังติดใจในรสชาติของมันอยู่

    ตะวันที่กำลังเคี้ยวอ้อยอยู่ในปากก็พยักหน้ายืนยันเห็นด้วยกับคำกล่าวของน้องชายดังนั้นคนในครอบครัวจึงได้พากันลองทำตามเด็กหญิงบ้าง

    “อากระถินอย่ากินเยอะนะจ๊ะกินแค่อันนี้หมดก็พอ เพราะอาตั้งท้องน้องชายอยู่กินมากเกินไปไม่เป็นผลดี แต่กินแค่นี้ได้ไม่เป็นไร” เด็กหญิงยื่นอ้อยที่อยู่ในมือของตนให้กับอาสาว

    ตุ๊บ! เสียงต้นอ้อยที่กำลังจะถูกตัดในมือของเสือหล่นลงไปกับพื้นอย่างน่าสงสาร หลังจากที่เสือได้ยินถ้อยคำของหลานสาวตัวน้อยที่วันนี้มีแต่เรื่องทำให้ตกใจ

    “ตะวันหลานรัก อาจะได้ลูกชายอย่างนั้นเหรอ” ชายหนุ่มถามหลานสาวตัวน้อยที่กำลังเคี้ยวอ้อยอยู่ในปากอย่างเอร็ดอร่อย

    “ใช่จ้ะอีกไม่นานก็คลอดแล้ว” ตะวันตอบก็จากที่ปู่เคยบอกเอาไว้ว่าลูกชายของอาเสือจะเกิดภายใต้โจโรฤกษ์หลังจากที่เธอศึกษามาก็เหลือเวลาอีกไม่มากนัก

    แต่เด็กหญิงไม่ได้บอกกล่าวอะไรเพิ่มเติมเพราะเธอไม่รู้ว่าคนที่นี่มีความเชื่อเรื่องดวงดาวมากน้อยขนาดไหน

    แต่สำหรับเด็กหญิงตะวันผู้มาจากโลกอนาคตคิดว่าการที่คนมาเกิดภายใต้ดวงดาวนี้ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นโจรเสมอไป

    อย่างน้อยในอนาคตเธอรับรองได้ว่าน้องชายทั้งสองจะต้องเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญและมีแต่คนนับหน้าถือตาแทนคำสาปแช่งอย่างแน่นอน

    เพราะพี่สาวคนนี้จะเปลี่ยนชะตาให้น้องเอง เด็กหญิงคิดอย่างมุ่งมั่น

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×