NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『Whisper of LOVE • Short Fanfiction』

    ลำดับตอนที่ #22 : ▲ [D.Gray man] White & Dark lord (Tyki x Allen) - Part 1 **[Update 25/5/22]

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 65


    ** ฟิคเรื่องนี้แต่งโดยยึดเค้าโครงบางส่วนมาจาก D.gray-man แม้จะมีการปรับแต่งแต่
    อาจเป็นการสปอล์ยเนื้อเรื่องได้ (เรื่องราวจะยึดจากเล่ม 22 เป็นต้นไปนะคะ) **

    ** มีฉากทำร้ายร่างกาย เลือด และความรุนแรงในตอน เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ**



    แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)










            เพราะโลกที่เราอาศัยอยู่ไม่ได้มีเพียงมิติเดียว การแย่งชิงเพื่อขึ้นเป็นผู้นำจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง มีเรื่องราวเล่าขานถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่กินเวลามาหลายศตวรรษ หน้ากระดาษบันทึกเรื่องราวความขัดแย้งของตระกูลโนอาผู้มีสายเลือดปีศาจและศาสนจักรที่เป็นมนุษย์

     

            ทั้งสองขั้วอำนาจก่อสงครามที่ทำให้เกิดการสูญเสียผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของความรุนแรงกลับจบลงที่การไม่ทราบผลแพ้ชนะอย่างชัดเจน มีเพียงการเสียกำลังคนไปอย่างเปล่าประโยชน์เท่านั้น

     

            พระเจ้าได้เล็งเห็นถึงความเสียหายเหล่านั้น เขาเข้ามาแทรกแซงโชคชะตาระหว่างคนทั้งสองโลก ทำให้ตระกูลโนอาต้องคำสาปที่ไม่อาจควบคุมพลังได้ชั่วนิจนิรันดร์ แม้มีพลังมากมายแต่มันจะเป็นดาบสองคมคอยแว้งทำร้ายตน 

     

              ส่วนศาสนจักรเองก็สูญเสียพลังที่เคยไหลเวียนในกายไปจนหมดสิ้น พวกเขากลายเป็นมนุษย์ไร้พลังที่เหลือเพียงศรัทธาต่อพระเจ้าเท่านั้น

     

            ทั้งสองขั้วอำนาจได้แต่ยอมรับชะตาอันน่าอดสู สงครามศักดิ์สิทธิ์จึงไม่มีวี่แววว่าจะดำเนินต่อไป ความเกลียดชังระหว่างสองเผ่าพันธุ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ผู้มีสิทธิ์เขียนประวัติศาสตร์ต่างก็บันทึกเรื่องราวให้อีกฝ่ายกลายเป็นตัวร้ายของเรื่อง

     

    แต่ไม่มีใครได้รับรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการลงโทษจากพระเจ้าเลยแม้แต่นิด

     

     

     

      

     

            แม้นั่นจะเป็นเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา แต่อเลนเชื่อว่าคงมีหลายสิ่งที่ถูกบิดเบือนตามกาลเวลา เขาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เกิดมาใต้ดวงดาวแห่งความโชคร้าย ตั้งแต่จำความได้ก็ใช้ชีวิตมาในคณะละครสัตว์ร่วมกับมาน่า ตัวตลกในแถบชานเมืองอันหนาวเหน็บที่มีสถานะเป็นผู้ปกครองเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบเขา

     

            มาน่าบอกว่าอเลนเกิดมาพร้อมพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ปัจจุบันไม่มีมนุษย์คนใดถือครองพลังนั้นได้อีกแล้วตั้งแต่สงครามศักดิ์สิทธิ์จบลง เด็กน้อยสามารถมองเห็นพลังชีวิตของคนรอบตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่มันก็ทำได้เพียงเท่านั้น

     

            อาจเพราะโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงมิติเดียว บางครั้งอาจมีปีศาจอยู่ปะปนใกล้ตัวกว่าที่พวกเขาคิด เพราะสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในกายของเด็กน้อยมันส่งกลิ่นหอมหวานหลอกล่อให้ปีศาจเข้ามาครอบครอง หลายต่อหลายครั้งที่อเลนต้องเอาชีวิตรอดจากสิ่งน่ากลัวเหล่านั้นอย่างไม่อาจเลี่ยง

     

            น่าตกใจที่ผู้หวังครอบครองพลังกลับไม่ได้มีเพียงปีศาจอย่างเดียว ครั้งแรกที่อเลนได้พบกับสิ่งนั้น มันปรากฏกายมาในรูปลักษณ์ของบาทหลวงในหมู่บ้าน ด้วยดวงตาทั้งสองข้าง เขาสามารถมองออกตั้งแต่แรกว่าบาทหลวงผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์แต่ก็ไม่ใช่ปีศาจเช่นกัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่

     

            มันพยายามจะเข้ามาครอบครองสติ และบ่งบอกจุดประสงค์ว่าต้องการเป็นหนึ่งเดียวกัน’ พลังที่มากมายทำให้เด็กน้อยหวาดกลัวเกินกว่าจะเผชิญหน้า ชายคนนั้นเหมือนกับยมทูตมากกว่าบาทหลวงเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่าถ้าเข้าใกล้มันจะริบลมหายใจเขาจนหมดสิ้น

     

            ความทรงจำอันเลวร้ายเกิดขึ้นในวันเดียวกัน บาทหลวงที่ควรจะสวมชุดสีดำกลับปรากฏกายพร้อมร่างอันเปลือยเปล่า ผิวหนังทั้งตัวของมันเป็นสีขาวซีดเหมือนไม่มีเลือดไปเลี้ยง ดวงตาคู่ที่เบิกโพลงเป็นสีเขียวสว่างน่าขนลุก แม้จะหนีอย่างไรก็ไม่อาจพ้น ลำคอเล็กของเด็กชายวัยสิบขวบถูกครอบครองโดยสิ่งที่ไม่รู้จัก มันกำลังพยายามดูดพลังชีวิตของเขาไปทีละนิด ขนสีขาวเหมือนขนนกปรากฏตามร่างกายซีกซ้ายอย่างน่าประหลาด อเลนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อสิ่งนั้นลามขึ้นตามผิวหนัง เจ็บราวกับมีคนกำลังเอามีดเป็นสิบๆ เล่มมากรีดบนใบหน้าและแขนด้านซ้าย

     

    วันนั้นมาน่าที่พยายามเข้ามาปกป้องกลับโดนมันสังหารอย่างง่ายดายเพียงเสี้ยววินาที

     

            ในช่วงเวลาที่หัวใจดวงน้อยโดนทำลายจนแตกละเอียด ลมหายใจของเขากำลังรวยรินเมื่อร่างสีขาวตรงหน้าสูบพลังชีวิตจวนเจียนจะหมด ขณะนั้นผู้ช่วยเหลือที่ปรากฏกายคือชายผมแดงคนหนึ่งที่ขับไล่ตัวประหลาดนั้นไปได้ทันก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปจริงๆ นับแต่นั้นครอส มาเรียนก็เป็นเหมือนผู้ปกครองคนที่สองที่พาเขาเข้าสู่ศาสนจักรเพื่อรับใช้พระเจ้า

     

            อเลน วอล์คเกอร์เติบโตมาในฐานะเอ็กโซซิสต์ของศาสนจักรแห่งความมืด นับตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อตอนนั้น สิ่งนั้นได้ทิ้งรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ไว้บนใบหน้า และแขนซ้ายของเขาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับโลหิต ทุกครั้งที่มองมันผ่านหน้ากระจก ภาพเหล่านั้นเหมือนกับกำลังตอกย้ำสิ่งที่เกิดขึ้นกับมาน่าซ้ำๆ เขาเกลียดร่างกายซีกซ้ายของตนจนอยากทำลายมันทิ้ง

     

            แม้จะมีพลังของพระเจ้า แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อาจนำมันมาใช้เป็นกำลังแก่ตัวเองได้ แม้สถานะจะเป็นเอ็กโซซิสต์ แต่เขากลับใช้เพียงวิชาผนึกในการต่อสู้เท่านั้น ภารกิจของศาสนจักรคือการกำจัดปีศาจที่เข้ามาก่อความวุ่นวายในโลกมนุษย์

     

            อเลนเคยมองว่าศาสนจักรแห่งนี้เป็นเหมือนบ้าน… จนกระทั่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

     

    สิ่งนั้นมีชื่อว่าอโพคริฟอส สุดท้ายมันก็วกกลับมาทำร้ายครอสที่รู้จักตัวตนของมันดี

     

            ห้องของครอสที่มีตำแหน่งเป็นเสนาธิการ ณ ขณะนั้นปรากฏรอยเลือดสาดกระจายเต็มพื้นห้อง หน้าต่างบานใหญ่แตกละเอียดราวกับมีร่องรอยการถูกทำลาย แต่กลับไม่พบร่างของชายผมแดงเลยแม้แต่นิด ทิ้งไว้เพียงปืนพกและหน้ากากสีขาวที่เป็นของเจ้าตัววางกระจัดกระจายอยู่ ภายหลังอเลนได้ทราบว่ารอยเลือดจำนวนมากเป็นของเสนาธิการครอสเพียงผู้เดียว

     

            มันกำลังจะวกกลับมาฆ่าคนใกล้ตัวของเขาทีละคน จนกว่าการเป็นหนึ่งเดียวกันจะทำได้สำเร็จ

     

            น้อยคนนักจะรู้ว่าต้นเหตุของการลอบสังหารมาจากเจ้านั่น อเลนไม่เคยเล่าเรื่องราวในอดีตของเขากับใครทั้งนั้น สิ่งที่ยึดเขาไว้กับศาสนจักรตลอดหนึ่งปีมีเพียงการหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเท่านั้น

     

    ไม่ใช่ว่าเพื่อนๆ ที่ศาสนจักรจะเป็นคนไม่ดี แต่การอยู่ที่นี่ต่อไปก็รั้งแต่จะทำให้การสูญเสียเกิดขึ้นอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

     

    เด็กหนุ่มจะอยู่ที่นี่อีกไม่นาน และตั้งใจจะย้ายออกไปโดยไม่บอกใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

     

    ครืด…

     

    เสียงลากปลายเท้าหนักๆ อย่างเชื่องช้าเป็นตัวปลุกให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์หลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองมาเนิ่นนาน ร่างบอบบางของเขาอยู่ในชุดเอ็กโซซิสต์ และกำลังอยู่ระหว่างทางกลับไปศาสนจักรหลังปฏิบัติภารกิจเสร็จ

     

    กลิ่นอายปีศาจคละคลุ้งไปทั่วโพรงจมูกจนมือเรียวรีบคว้าเอากระดาษยันต์ในกระเป๋าออกมาแทบจะทันที

     

    ทัศนวิสัยโดยรอบเป็นช่วงเวลากลางคืนที่ค่อนข้างมืด ทั้งยังมีตึกสูงที่เรียงเบียดกันทำให้เกิดตรอกมืดที่เป็นมุมอับสายตา ดวงตาสีขี้เถ้าเหลือบไปเห็นร่างของเด็กหญิงผมสั้นคนหนึ่งตรงหน้า อายุไม่เกินไปกว่าสิบสามปี ดวงตากลมโตของเธอดูแปลกใจไม่น้อยที่ได้พบกับเขา อย่างไรก็ตามไอปีศาจที่โอบล้อมร่างตรงหน้ามันกำลังมีเป้าหมายเป็นเด็กคนนี้

     

    “ระวังครับ! ตรงนี้ไม่ปลอดภัย” เขาเอื้อมมือไปดึงแขนของคนในชุดกระโปรงได้ทันเวลา ก่อนจะมีแรงปะทะบางอย่างชนเข้ากับผนังตึกจนอิฐที่เป็นโครงสร้างหล่นกระจัดกระจายลงมาที่พื้น

     

            ลำตัวสูงใหญ่ค่อยๆ ยืดตัวเต็มความสูง ทั้งร่างของมันเป็นสีดำทะมึน ใบหน้าน่ากลัวกำลังเหยียดยิ้มที่ประดับไปด้วยฟันแหลมคม อเลนรีบผลักร่างของเด็กหญิงไปไว้ข้างหลังตนแทบจะทันที

     

    “หลบข้างหลังผมไว้ก่อนนะครับ”

     

    “เป็นมนุษย์ที่หอมชะมัด เธอน่ากินกว่าเด็กนั่นซะอีก” มันเปลี่ยนสายตามามองที่เขา เด็กหนุ่มไม่ได้อยากเกิดมามีกลิ่นหอมหวานต่อสิ่งมีชีวิตต่างมิติเสียหน่อย

     

    ปีศาจปะปนอยู่กับมนุษย์อยู่เต็มไปหมด

     

            อาจเพราะมีภาระต้องคอยปกป้อง การต่อสู้ในตรอกแคบๆจึงไม่ได้คล่องตัวนัก เผลอแป๊บเดียวปีศาจตรงหน้าก็คลาดสายตาไปจากอเลนเสียแล้ว เด็กหญิงคนเดิมมองหน้าเขาด้วยความงุนงง กลิ่นอายของปีศาจที่คละคลุ้งที่ปลายจมูกทำให้เอ็กโซซิสต์หนุ่มรู้ว่ามันคงซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล

     

    “อั่ก” แม้จะพยายามดึงตัวเด็กคนนั้นออกมานอกตรอกแล้ว ทั้งร่างก็ลอยหวือกลับไปชนกับกำแพงด้านหลังจนรู้สึกจุกไปหมด ลำคอของอเลนถูกมือที่มีเล็บแหลมยาวครอบครองเอาไว้ โลหิตที่ไหลจากบาดแผลที่ปีศาจตนนั้นพยายามจิกเล็บเข้าไปในผิวนุ่มทำให้มันยกยิ้มพอใจ

     

            มือบางควานหายันต์กระดาษที่เหน็บไว้ตามชุดของตนอย่างทุลักทุเล บางส่วนมันตกลงไประหว่างทางเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่  แรงบีบที่มากขึ้นทำให้หายใจลำบาก

     

    ตู้ม!

     

            แต่แล้วเขาก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระอย่างง่ายดาย ตรงหน้าของอเลนปรากฏร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งที่สวมชุดสูทสีดำทั้งชุด กลิ่นอายที่เหมือนมนุษย์ทำให้เขาไม่ได้ติดใจสงสัย เคยได้ยินว่ามนุษย์บางคนมีพละกำลังมากขนาดซัดปีศาจตัวใหญ่ยักษ์จนหมดสภาพด้วยการโยนเพียงครั้งเดียวมาบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะมาเห็นด้วยตาตัวเองแบบนี้

     

            เด็กหนุ่มไม่รอช้าที่จะใช้ยันต์กระดาษในมือ เกิดวงล้อมสีขาวรอบร่างกายสูงใหญ่ของปีศาจตนนั้น เขาพึมพำประโยคบางอย่างก่อนจะตบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากัน ทันทีที่ริมฝีปากบางเอ่ยคำว่าผนึก ปีศาจที่น่ากลัวตนนั้นก็กลายสภาพเป็นเพียงลูกเต๋าไม้ขนาดเล็กจิ๋ว

     

    “ขอบคุณมากเลยนะครับ ถ้าไม่ได้คุณผมคงแย่แน่” เขาเลื่อนฝ่ามือไปรองรับลูกเต๋าไม้อันนั้นอย่างถูกจังหวะ ดวงตาสีขี้เถ้าหันไปมองผู้ช่วยเหลือและไม่ลืมที่จะระบายยิ้มเป็นมิตร

     

    “เอ็กโซซิสต์งั้นหรอ”

     

            น้ำเสียงของชายคนนั้นทุ้มลึกน่าฟัง แม้พื้นที่รอบข้างจะค่อนข้างมืดมิด สิ่งที่โดดเด่นภายใต้แสงจันทร์คงเป็นดวงตาสีทองงดงาม เค้าลางพอให้มองออกว่าใบหน้านั้นคมคายอย่างน่าหลงใหล ผมยาวประบ่าที่มัดรวบไปด้านหลังอย่างมีระเบียบ อเลนสะบัดศีรษะสองสามครั้งเมื่อความรู้สึกมึนหัวเข้าครอบงำยามสายตาปะทะเข้ากับดวงตาคู่นั้น พลันฝ่ามือใหญ่ที่สวมถุงมือสีขาวก็ยื่นมาไว้ตรงหน้าเขาที่อยู่ในท่าแปลกๆที่ไม่ใช่ทั้งนั่งหรือนอน

     

    “ขอบคุณครับ” มือที่เล็กกว่ายื่นไปรับความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า แต่ก็ต้องชะงักเมื่อความรู้เจ็บแปล๊บราวกันไฟช็อตแล่นเข้ามาถึงข้อศอก ไม่ทันได้ชักมือกลับ ฝ่ามือใหญ่ก็กอบกุมมือของเขาเสียก่อน พร้อมออกแรงดึงร่างผอมบางให้กลับมายืนได้อีกครั้ง

     

    แปลกชะมัด… ความรู้สึกเมื่อกี๊มันคืออะไรกัน

     

    “ฉันเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนั้นน่ะ ยังไงก็ขอบคุณที่เธอช่วยไว้เหมือนกัน” ผู้ชายคนนั้นวางมือลงบนไหล่ของเด็กหญิงที่อเลนได้ช่วยเหลือเอาไว้ก่อนระบายยิ้ม เด็กหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้ารับเบาๆ รอยยิ้มนั้นทำให้เขาเผลอกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปในคอ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

     

    “เธอไม่ควรไว้ใจใครง่ายๆแบบนี้นะ …แม้แต่ฉันก็ด้วย”

     

            แม้รอยยิ้มนั้นจะกำลังราวกับสดับทุกอย่างให้หยุดนิ่ง แต่อเลนรู้สึกว่ามันไม่น่าไว้ใจ เด็กหญิงที่เคยช่วยเหลือไว้กลั้วหัวเราะ ก่อนจะเลือกเดินตรงมาที่เขาแทน

     

    “ไม่ต้องสนใจที่เขาพูดหรอกนะ” มือเล็กเอื้อมมาคว้ากระดุมเม็ดบนสุดของเครื่องแบบเอ็กโซซิสต์ ออกแรงกระชากเบาๆ เหล็กรูปร่างกลมอันนั้นก็หลุดติดมือเธอกลับไป ดวงตาคู่สวยทอดมองตัวหนังสือที่สลักอยู่หลังกระดุม ก่อนรอยยิ้มกว้างจะประดับบนใบหน้าน่ารัก

     

    “สวัสดีอเลน วอล์คเกอร์ ฉันชื่อว่าโร้ดนะ”

     

     

      

     

     

            เสียงอื้ออึงดังไปทั่วห้องโถงของศาสนจักรแห่งความมืด เรียกความสนใจจากเจ้าของเรือนผมสีขาวที่เพิ่งกลับมาจากภารกิจด้านนอก อเลนนวดคลึงไหล่ที่ค่อนข้างตึงของตัวเอง วงล้อมของคนกลุ่มหนึ่งบริเวณเก้าอี้ยาวของโถงทำให้เผลอเดินเข้าไปร่วมด้วยอย่างอัตโนมัติ

     

            เพื่อนพ้องเอ็กโซซิสต์ของเขามีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก กลางวงสนทนามีร่างบางของเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีเขียวหัวเป็ดที่มัดรวบเป็นแกละสองข้าง รินารี ลี เด็กสาวที่เติบโตมาด้วยกันในศาสนจักรแห่งนี้ฉายแววตาเศร้า ดวงตาของเธอฉ่ำน้ำราวกับน้ำตาจะร่วงหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ

     

    “เกิดอะไรขึ้นหรอครับรินารี” ปกติเธอคนนั้นมักจะมีท่าทีร่าเริงและไม่ชอบแสดงความอ่อนแอต่อหน้าใคร คราวนี้คงมีเรื่องหนักหนาเกินกว่าจะรับไหว และคงเป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่เอ็กโซซิสต์ทุกคนต้องเป็นกังวล

     

    “มันถึงเวลานั้นแล้วน่ะอเลนคุง… ถึงเวลาที่เราต้องส่งบรรณาการให้โนอาแล้ว”

     

    อเลนสดับฟังประโยคนั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย… เพราะมัวแต่สนใจเรื่องของครอสจนเผลอลืมความจริงเรื่องนี้ไปเสียสนิท

     

            ความจริงหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างปีศาจและมนุษย์ แม้สงครามศักดิ์สิทธิ์จะจบสิ้น แต่อัตตาของผู้กระหายความเป็นใหญ่ไม่ได้หมดไป เป็นที่รู้กันดีว่าแม้ตระกูลโนอาจะควบคุมพลังของตนไม่ได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนจักรที่ไร้พลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว อย่างไรฝ่ายนั้นก็เป็นต่อมากกว่า

     

            ข้อตกลงถูกกำหนดมาหลายชั่วอายุคน ว่าศาสนจักรจะต้องส่งสิ่งที่เรียกว่าบรรณาการให้แก่โนอาทุกครั้งที่มีการแต่งตั้งผู้นำตระกูลคนใหม่ ซึ่งบรรณาการดังกล่าวแลกมากับความปลอดภัยของพวกพ้อง และคำสัญญาว่าจะไม่รุกรานโลกมนุษย์อีกต่อไป

     

            แม้จะเป็นข้อตกลงที่งี่เง่า แต่ศาสนจักรก็ยอมส่งสิ่งแลกเปลี่ยนเหล่านั้นให้แก่ครอบครัวปีศาจนั้นอยู่เรื่อยมา บรรณาการดังกล่าวไม่ใช่ทั้งเงินทองหรืออาวุธอันทรงพลัง หากแต่เป็นมนุษย์ที่ต้องสมรสกับผู้นำตระกูลโนอาอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

            รินารี ลีรู้ตัวตั้งแต่เข้าไปเยือนวาติกันที่เป็นเหมือนศูนย์บัญชาการที่มีอำนาจสูงสุดของศาสนจักร หน้าที่ของบรรณาการถูกโยนให้เธออย่างไม่มีทางเลือก เพราะต่างฝ่ายต่างเขียนประวัติศาสตร์ให้อีกฝ่ายเป็นตัวร้าย เด็กสาวจึงหวาดกลัวตระกูลปีศาจที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนนัก

     

            ท่ามกลางช่วงเวลาที่เอ็กโซซิสต์คนอื่นออกไปทำภารกิจ เด็กสาวถูกเรียกไปเพื่อแต่งองค์ทรงเครื่องให้งดงามตั้งแต่หัวจรดเท้า และส่งต่อไปยังสถานที่ดูตัว เพื่อพบกับว่าที่ผู้นำแห่งตระกูลโนอา ลอร์ดทีกี้ มิกก์ ซึ่งเดินทางมาจากโลกแห่งปีศาจด้วยตนเอง

     

            ครั้งแรกที่ได้พบกับชายผู้นั้น ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกช่างมีเสน่ห์อันน่าดึงดูดที่ไม่ว่าใครพบเห็นคงหลงใหลได้ไม่ยาก หากแต่พลังอำนาจของโนอาที่ไหลเวียนอยู่ในตัวทำให้รินารีหวาดกลัวเกินกว่าจะมอบความรักใคร่ให้ได้

     

    ถ้าอย่างนั้นก็ส่งผมไปแทนสิครับ

     

            เสียงของอเลนทำให้คนในวงล้อมประหลาดใจ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจจากใบหน้าสวยนั้นด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คันดะ ยู เอ็กโซซิสต์หนุ่มเจ้าของผมหางม้าฉุนขาดจนเผลอเข้าไปกระชากคอเสื้อของเจ้าตัว

     

    “คิดบ้าอะไรของแก นึกว่าเล่นขายของอยู่หรือไง”

     

            คันดะทำสีหน้าน่ากลัวอย่างกับจะฆ่าเขาให้ตายเสียตรงนี้ อเลนกลั้วหัวเราะในลำคอ อย่างไรเสียเขาก็ไม่คิดจะอยู่ที่ศาสนจักรแห่งนี้อีกนานเท่าไรนัก การมีคนรอบข้างอยู่มากเกินไปทำให้ไม่สบายใจ

     

    “ผมพูดจริงครับ เงื่อนไขบอกว่าให้ส่งบรรณาการไป แต่ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นเพศอะไร ลักษณะไหนนี่ครับ”

     

    ต้องรีบออกจากที่นี่ก่อนที่เจ้านั่นจะวกกลับมาตามล่าเขาอีกครั้ง

     

    “ไม่ทันแล้วน่ะสิ… โนอามาดูตัวแล้วเห็นหน้าฉันไปแล้ว” เป็นรินารีที่ยังคงไว้ด้วยสีหน้าหม่นหมอง ถึงเธอไม่ถูกส่งตัวไปก็ต้องมีผู้โชคร้ายคนอื่นมารับกรรมแทนอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องมีใครมาเดือดร้อนเพราะเธอเลยด้วยซ้ำ

     

    “อีกสองวันเขาจะมารับที่ศาสนจักร ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ” 

     

    แม้ตอนนั้นลอร์ดทีกี้จะไม่ได้มีท่าทีสนใจ แต่ก็ตกปากรับคำแบบส่งๆ ซ้ำยังนัดหมายวันเวลาเสียเรียบร้อย

     

    “แค่ชื่อบรรณาการก็ไม่น่าไว้ใจแล้ว ฟังยังไงก็ไม่พ้นเอาไปสังเวยหรือไปเป็นทาสเลยนะครับ” แลกมากับการที่ศาสนจักรไม่โดนทำลาย ใครๆต่างก็รู้ความจริงข้อนั้นดีกันทั้งนั้น เจ้าของเรือนผมสีขาวขมวดคิ้วเข้าหากัน ดวงตาคู่สวยมองออกไปไกลราวกับจมอยู่ในห้วงความคิด

     

    ก่อนจะระบายรอยยิ้มอ่อนโยนแบบที่เขามักทำอยู่เสมอ

     

     

    “ผมมีวิธีที่ดีกว่านั้นครับ”

     

     







              

    รีไรท์เสร็จซักทีค่ะ ไรเตอร์มีปัญหากับการสร้างพลอตแล้วชอบโบ๋ตรงกลางบ่อยมาก (แต่แก้ไขแล้วค่ะ)
    ปรับฟอนต์มาตัวใหญ่เบ้อเร่อเลย ไม่รู้จะอ่านง่ายหรือยากขึ้นกันแน่-;
    สำหรับเรื่องนี้น่าจะมีประมาณ 12-14 ตอนจบนะคะ ไม่ short fic เท่าไร


    คู่นี้คือหาฟิคอ่านยากจริงๆ ทั้งที่โมเม้นก็แอบเกลื่อนกลาดไม่น้อย;-;
    มีนักวาดท่านหนึ่งกล่าวว่าคู่ชิปทีกี้กับอเลนก็คือ Toxic relationship ที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็มีแต่เรื่องโป๊ๆ 
    //นั่นสินะคะ มองยังไงก็โป๊จริงๆค่ะ

    แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ





    SNAP
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×