คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : ▲ [D.Gray man] White & Dark lord (Tyki x Allen) - Part 1 **[Update 25/5/22]
** ฟิคเรื่องนี้แต่งโดยยึดเค้าโครงบางส่วนมาจาก
D.gray-man แม้จะมีการปรับแต่งแต่
อาจเป็นการสปอล์ยเนื้อเรื่องได้
(เรื่องราวจะยึดจากเล่ม 22 เป็นต้นไปนะคะ) **
** มีฉากทำร้ายร่างกาย
เลือด และความรุนแรงในตอน เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ**
แนะนำกดเล่นเพลงเพื่ออรรถรสได้นะคะ :)
เพราะโลกที่เราอาศัยอยู่ไม่ได้มีเพียงมิติเดียว การแย่งชิงเพื่อขึ้นเป็นผู้นำจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง มีเรื่องราวเล่าขานถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่กินเวลามาหลายศตวรรษ หน้ากระดาษบันทึกเรื่องราวความขัดแย้งของตระกูลโนอาผู้มีสายเลือดปีศาจและศาสนจักรที่เป็นมนุษย์
ทั้งสองขั้วอำนาจก่อสงครามที่ทำให้เกิดการสูญเสียผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของความรุนแรงกลับจบลงที่การไม่ทราบผลแพ้ชนะอย่างชัดเจน
มีเพียงการเสียกำลังคนไปอย่างเปล่าประโยชน์เท่านั้น
พระเจ้าได้เล็งเห็นถึงความเสียหายเหล่านั้น
เขาเข้ามาแทรกแซงโชคชะตาระหว่างคนทั้งสองโลก
ทำให้ตระกูลโนอาต้องคำสาปที่ไม่อาจควบคุมพลังได้ชั่วนิจนิรันดร์
แม้มีพลังมากมายแต่มันจะเป็นดาบสองคมคอยแว้งทำร้ายตน
ส่วนศาสนจักรเองก็สูญเสียพลังที่เคยไหลเวียนในกายไปจนหมดสิ้น
พวกเขากลายเป็นมนุษย์ไร้พลังที่เหลือเพียงศรัทธาต่อพระเจ้าเท่านั้น
ทั้งสองขั้วอำนาจได้แต่ยอมรับชะตาอันน่าอดสู
สงครามศักดิ์สิทธิ์จึงไม่มีวี่แววว่าจะดำเนินต่อไป
ความเกลียดชังระหว่างสองเผ่าพันธุ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
ผู้มีสิทธิ์เขียนประวัติศาสตร์ต่างก็บันทึกเรื่องราวให้อีกฝ่ายกลายเป็นตัวร้ายของเรื่อง
แต่ไม่มีใครได้รับรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการลงโทษจากพระเจ้าเลยแม้แต่นิด…
แม้นั่นจะเป็นเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา แต่อเลนเชื่อว่าคงมีหลายสิ่งที่ถูกบิดเบือนตามกาลเวลา
เขาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เกิดมาใต้ดวงดาวแห่งความโชคร้าย
ตั้งแต่จำความได้ก็ใช้ชีวิตมาในคณะละครสัตว์ร่วมกับมาน่า ตัวตลกในแถบชานเมืองอันหนาวเหน็บที่มีสถานะเป็นผู้ปกครองเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบเขา
มาน่าบอกว่าอเลนเกิดมาพร้อมพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
ปัจจุบันไม่มีมนุษย์คนใดถือครองพลังนั้นได้อีกแล้วตั้งแต่สงครามศักดิ์สิทธิ์จบลง
เด็กน้อยสามารถมองเห็นพลังชีวิตของคนรอบตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่มันก็ทำได้เพียงเท่านั้น
อาจเพราะโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงมิติเดียว
บางครั้งอาจมีปีศาจอยู่ปะปนใกล้ตัวกว่าที่พวกเขาคิด
เพราะสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในกายของเด็กน้อยมันส่งกลิ่นหอมหวานหลอกล่อให้ปีศาจเข้ามาครอบครอง
หลายต่อหลายครั้งที่อเลนต้องเอาชีวิตรอดจากสิ่งน่ากลัวเหล่านั้นอย่างไม่อาจเลี่ยง
น่าตกใจที่ผู้หวังครอบครองพลังกลับไม่ได้มีเพียงปีศาจอย่างเดียว
ครั้งแรกที่อเลนได้พบกับสิ่งนั้น มันปรากฏกายมาในรูปลักษณ์ของบาทหลวงในหมู่บ้าน
ด้วยดวงตาทั้งสองข้าง
เขาสามารถมองออกตั้งแต่แรกว่าบาทหลวงผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์แต่ก็ไม่ใช่ปีศาจเช่นกัน
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่
มันพยายามจะเข้ามาครอบครองสติ และบ่งบอกจุดประสงค์ว่าต้องการเป็น‘หนึ่งเดียวกัน’ พลังที่มากมายทำให้เด็กน้อยหวาดกลัวเกินกว่าจะเผชิญหน้า
ชายคนนั้นเหมือนกับยมทูตมากกว่าบาทหลวงเสียด้วยซ้ำ
ราวกับว่าถ้าเข้าใกล้มันจะริบลมหายใจเขาจนหมดสิ้น
ความทรงจำอันเลวร้ายเกิดขึ้นในวันเดียวกัน
บาทหลวงที่ควรจะสวมชุดสีดำกลับปรากฏกายพร้อมร่างอันเปลือยเปล่า
ผิวหนังทั้งตัวของมันเป็นสีขาวซีดเหมือนไม่มีเลือดไปเลี้ยง
ดวงตาคู่ที่เบิกโพลงเป็นสีเขียวสว่างน่าขนลุก แม้จะหนีอย่างไรก็ไม่อาจพ้น
ลำคอเล็กของเด็กชายวัยสิบขวบถูกครอบครองโดยสิ่งที่ไม่รู้จัก
มันกำลังพยายามดูดพลังชีวิตของเขาไปทีละนิด ขนสีขาวเหมือนขนนกปรากฏตามร่างกายซีกซ้ายอย่างน่าประหลาด
อเลนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อสิ่งนั้นลามขึ้นตามผิวหนัง
เจ็บราวกับมีคนกำลังเอามีดเป็นสิบๆ เล่มมากรีดบนใบหน้าและแขนด้านซ้าย
วันนั้นมาน่าที่พยายามเข้ามาปกป้องกลับโดนมันสังหารอย่างง่ายดายเพียงเสี้ยววินาที…
ในช่วงเวลาที่หัวใจดวงน้อยโดนทำลายจนแตกละเอียด
ลมหายใจของเขากำลังรวยรินเมื่อร่างสีขาวตรงหน้าสูบพลังชีวิตจวนเจียนจะหมด
ขณะนั้นผู้ช่วยเหลือที่ปรากฏกายคือชายผมแดงคนหนึ่งที่ขับไล่ตัวประหลาดนั้นไปได้ทันก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปจริงๆ
นับแต่นั้นครอส มาเรียนก็เป็นเหมือนผู้ปกครองคนที่สองที่พาเขาเข้าสู่ศาสนจักรเพื่อรับใช้พระเจ้า
อเลน วอล์คเกอร์เติบโตมาในฐานะเอ็กโซซิสต์ของศาสนจักรแห่งความมืด
นับตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อตอนนั้น สิ่งนั้นได้ทิ้งรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ไว้บนใบหน้า
และแขนซ้ายของเขาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับโลหิต ทุกครั้งที่มองมันผ่านหน้ากระจก
ภาพเหล่านั้นเหมือนกับกำลังตอกย้ำสิ่งที่เกิดขึ้นกับมาน่าซ้ำๆ
เขาเกลียดร่างกายซีกซ้ายของตนจนอยากทำลายมันทิ้ง
แม้จะมีพลังของพระเจ้า
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อาจนำมันมาใช้เป็นกำลังแก่ตัวเองได้ แม้สถานะจะเป็นเอ็กโซซิสต์
แต่เขากลับใช้เพียงวิชาผนึกในการต่อสู้เท่านั้น
ภารกิจของศาสนจักรคือการกำจัดปีศาจที่เข้ามาก่อความวุ่นวายในโลกมนุษย์
อเลนเคยมองว่าศาสนจักรแห่งนี้เป็นเหมือนบ้าน… จนกระทั่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อนทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
สิ่งนั้นมีชื่อว่าอโพคริฟอส สุดท้ายมันก็วกกลับมาทำร้ายครอสที่รู้จักตัวตนของมันดี
ห้องของครอสที่มีตำแหน่งเป็นเสนาธิการ ณ
ขณะนั้นปรากฏรอยเลือดสาดกระจายเต็มพื้นห้อง
หน้าต่างบานใหญ่แตกละเอียดราวกับมีร่องรอยการถูกทำลาย
แต่กลับไม่พบร่างของชายผมแดงเลยแม้แต่นิด
ทิ้งไว้เพียงปืนพกและหน้ากากสีขาวที่เป็นของเจ้าตัววางกระจัดกระจายอยู่ ภายหลังอเลนได้ทราบว่ารอยเลือดจำนวนมากเป็นของเสนาธิการครอสเพียงผู้เดียว
มันกำลังจะวกกลับมาฆ่าคนใกล้ตัวของเขาทีละคน จนกว่าการเป็น‘หนึ่งเดียวกัน’จะทำได้สำเร็จ
น้อยคนนักจะรู้ว่าต้นเหตุของการลอบสังหารมาจากเจ้านั่น
อเลนไม่เคยเล่าเรื่องราวในอดีตของเขากับใครทั้งนั้น
สิ่งที่ยึดเขาไว้กับศาสนจักรตลอดหนึ่งปีมีเพียงการหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าเพื่อนๆ ที่ศาสนจักรจะเป็นคนไม่ดี
แต่การอยู่ที่นี่ต่อไปก็รั้งแต่จะทำให้การสูญเสียเกิดขึ้นอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
เด็กหนุ่มจะอยู่ที่นี่อีกไม่นาน
และตั้งใจจะย้ายออกไปโดยไม่บอกใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ครืด…
เสียงลากปลายเท้าหนักๆ
อย่างเชื่องช้าเป็นตัวปลุกให้เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์หลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองมาเนิ่นนาน
ร่างบอบบางของเขาอยู่ในชุดเอ็กโซซิสต์
และกำลังอยู่ระหว่างทางกลับไปศาสนจักรหลังปฏิบัติภารกิจเสร็จ
กลิ่นอายปีศาจคละคลุ้งไปทั่วโพรงจมูกจนมือเรียวรีบคว้าเอากระดาษยันต์ในกระเป๋าออกมาแทบจะทันที
ทัศนวิสัยโดยรอบเป็นช่วงเวลากลางคืนที่ค่อนข้างมืด
ทั้งยังมีตึกสูงที่เรียงเบียดกันทำให้เกิดตรอกมืดที่เป็นมุมอับสายตา
ดวงตาสีขี้เถ้าเหลือบไปเห็นร่างของเด็กหญิงผมสั้นคนหนึ่งตรงหน้า
อายุไม่เกินไปกว่าสิบสามปี ดวงตากลมโตของเธอดูแปลกใจไม่น้อยที่ได้พบกับเขา
อย่างไรก็ตามไอปีศาจที่โอบล้อมร่างตรงหน้ามันกำลังมีเป้าหมายเป็นเด็กคนนี้
“ระวังครับ! ตรงนี้ไม่ปลอดภัย”
เขาเอื้อมมือไปดึงแขนของคนในชุดกระโปรงได้ทันเวลา
ก่อนจะมีแรงปะทะบางอย่างชนเข้ากับผนังตึกจนอิฐที่เป็นโครงสร้างหล่นกระจัดกระจายลงมาที่พื้น
ลำตัวสูงใหญ่ค่อยๆ ยืดตัวเต็มความสูง ทั้งร่างของมันเป็นสีดำทะมึน
ใบหน้าน่ากลัวกำลังเหยียดยิ้มที่ประดับไปด้วยฟันแหลมคม
อเลนรีบผลักร่างของเด็กหญิงไปไว้ข้างหลังตนแทบจะทันที
“หลบข้างหลังผมไว้ก่อนนะครับ”
“เป็นมนุษย์ที่หอมชะมัด เธอน่ากินกว่าเด็กนั่นซะอีก”
มันเปลี่ยนสายตามามองที่เขา
เด็กหนุ่มไม่ได้อยากเกิดมามีกลิ่นหอมหวานต่อสิ่งมีชีวิตต่างมิติเสียหน่อย
ปีศาจปะปนอยู่กับมนุษย์อยู่เต็มไปหมด…
อาจเพราะมีภาระต้องคอยปกป้อง
การต่อสู้ในตรอกแคบๆจึงไม่ได้คล่องตัวนัก
เผลอแป๊บเดียวปีศาจตรงหน้าก็คลาดสายตาไปจากอเลนเสียแล้ว
เด็กหญิงคนเดิมมองหน้าเขาด้วยความงุนงง
กลิ่นอายของปีศาจที่คละคลุ้งที่ปลายจมูกทำให้เอ็กโซซิสต์หนุ่มรู้ว่ามันคงซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล
“อั่ก—”
แม้จะพยายามดึงตัวเด็กคนนั้นออกมานอกตรอกแล้ว
ทั้งร่างก็ลอยหวือกลับไปชนกับกำแพงด้านหลังจนรู้สึกจุกไปหมด
ลำคอของอเลนถูกมือที่มีเล็บแหลมยาวครอบครองเอาไว้
โลหิตที่ไหลจากบาดแผลที่ปีศาจตนนั้นพยายามจิกเล็บเข้าไปในผิวนุ่มทำให้มันยกยิ้มพอใจ
มือบางควานหายันต์กระดาษที่เหน็บไว้ตามชุดของตนอย่างทุลักทุเล
บางส่วนมันตกลงไประหว่างทางเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่
แรงบีบที่มากขึ้นทำให้หายใจลำบาก
ตู้ม!
แต่แล้วเขาก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระอย่างง่ายดาย
ตรงหน้าของอเลนปรากฏร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งที่สวมชุดสูทสีดำทั้งชุด
กลิ่นอายที่เหมือนมนุษย์ทำให้เขาไม่ได้ติดใจสงสัย
เคยได้ยินว่ามนุษย์บางคนมีพละกำลังมากขนาดซัดปีศาจตัวใหญ่ยักษ์จนหมดสภาพด้วยการโยนเพียงครั้งเดียวมาบ้าง
แต่ไม่คิดว่าจะมาเห็นด้วยตาตัวเองแบบนี้
เด็กหนุ่มไม่รอช้าที่จะใช้ยันต์กระดาษในมือ
เกิดวงล้อมสีขาวรอบร่างกายสูงใหญ่ของปีศาจตนนั้น
เขาพึมพำประโยคบางอย่างก่อนจะตบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากัน
ทันทีที่ริมฝีปากบางเอ่ยคำว่า‘ผนึก’ ปีศาจที่น่ากลัวตนนั้นก็กลายสภาพเป็นเพียงลูกเต๋าไม้ขนาดเล็กจิ๋ว
“ขอบคุณมากเลยนะครับ ถ้าไม่ได้คุณผมคงแย่แน่”
เขาเลื่อนฝ่ามือไปรองรับลูกเต๋าไม้อันนั้นอย่างถูกจังหวะ
ดวงตาสีขี้เถ้าหันไปมองผู้ช่วยเหลือและไม่ลืมที่จะระบายยิ้มเป็นมิตร
“เอ็กโซซิสต์งั้นหรอ”
น้ำเสียงของชายคนนั้นทุ้มลึกน่าฟัง
แม้พื้นที่รอบข้างจะค่อนข้างมืดมิด
สิ่งที่โดดเด่นภายใต้แสงจันทร์คงเป็นดวงตาสีทองงดงาม
เค้าลางพอให้มองออกว่าใบหน้านั้นคมคายอย่างน่าหลงใหล
ผมยาวประบ่าที่มัดรวบไปด้านหลังอย่างมีระเบียบ อเลนสะบัดศีรษะสองสามครั้งเมื่อความรู้สึกมึนหัวเข้าครอบงำยามสายตาปะทะเข้ากับดวงตาคู่นั้น
พลันฝ่ามือใหญ่ที่สวมถุงมือสีขาวก็ยื่นมาไว้ตรงหน้าเขาที่อยู่ในท่าแปลกๆที่ไม่ใช่ทั้งนั่งหรือนอน
“ขอบคุณครับ” มือที่เล็กกว่ายื่นไปรับความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า
แต่ก็ต้องชะงักเมื่อความรู้เจ็บแปล๊บราวกันไฟช็อตแล่นเข้ามาถึงข้อศอก
ไม่ทันได้ชักมือกลับ ฝ่ามือใหญ่ก็กอบกุมมือของเขาเสียก่อน
พร้อมออกแรงดึงร่างผอมบางให้กลับมายืนได้อีกครั้ง
แปลกชะมัด… ความรู้สึกเมื่อกี๊มันคืออะไรกัน
“ฉันเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนั้นน่ะ
ยังไงก็ขอบคุณที่เธอช่วยไว้เหมือนกัน” ผู้ชายคนนั้นวางมือลงบนไหล่ของเด็กหญิงที่อเลนได้ช่วยเหลือเอาไว้ก่อนระบายยิ้ม
เด็กหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้ารับเบาๆ
รอยยิ้มนั้นทำให้เขาเผลอกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปในคอ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
“เธอไม่ควรไว้ใจใครง่ายๆแบบนี้นะ …แม้แต่ฉันก็ด้วย”
แม้รอยยิ้มนั้นจะกำลังราวกับสดับทุกอย่างให้หยุดนิ่ง
แต่อเลนรู้สึกว่ามันไม่น่าไว้ใจ เด็กหญิงที่เคยช่วยเหลือไว้กลั้วหัวเราะ
ก่อนจะเลือกเดินตรงมาที่เขาแทน
“ไม่ต้องสนใจที่เขาพูดหรอกนะ”
มือเล็กเอื้อมมาคว้ากระดุมเม็ดบนสุดของเครื่องแบบเอ็กโซซิสต์ ออกแรงกระชากเบาๆ
เหล็กรูปร่างกลมอันนั้นก็หลุดติดมือเธอกลับไป
ดวงตาคู่สวยทอดมองตัวหนังสือที่สลักอยู่หลังกระดุม
ก่อนรอยยิ้มกว้างจะประดับบนใบหน้าน่ารัก
“สวัสดีอเลน วอล์คเกอร์ ฉันชื่อว่าโร้ดนะ”
เสียงอื้ออึงดังไปทั่วห้องโถงของศาสนจักรแห่งความมืด
เรียกความสนใจจากเจ้าของเรือนผมสีขาวที่เพิ่งกลับมาจากภารกิจด้านนอก
อเลนนวดคลึงไหล่ที่ค่อนข้างตึงของตัวเอง
วงล้อมของคนกลุ่มหนึ่งบริเวณเก้าอี้ยาวของโถงทำให้เผลอเดินเข้าไปร่วมด้วยอย่างอัตโนมัติ
เพื่อนพ้องเอ็กโซซิสต์ของเขามีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก
กลางวงสนทนามีร่างบางของเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีเขียวหัวเป็ดที่มัดรวบเป็นแกละสองข้าง รินารี ลี เด็กสาวที่เติบโตมาด้วยกันในศาสนจักรแห่งนี้ฉายแววตาเศร้า
ดวงตาของเธอฉ่ำน้ำราวกับน้ำตาจะร่วงหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ
“เกิดอะไรขึ้นหรอครับรินารี”
ปกติเธอคนนั้นมักจะมีท่าทีร่าเริงและไม่ชอบแสดงความอ่อนแอต่อหน้าใคร
คราวนี้คงมีเรื่องหนักหนาเกินกว่าจะรับไหว
และคงเป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่เอ็กโซซิสต์ทุกคนต้องเป็นกังวล
“มันถึงเวลานั้นแล้วน่ะอเลนคุง… ถึงเวลาที่เราต้องส่งบรรณาการให้โนอาแล้ว”
อเลนสดับฟังประโยคนั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย… เพราะมัวแต่สนใจเรื่องของครอสจนเผลอลืมความจริงเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ความจริงหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างปีศาจและมนุษย์
แม้สงครามศักดิ์สิทธิ์จะจบสิ้น แต่อัตตาของผู้กระหายความเป็นใหญ่ไม่ได้หมดไป
เป็นที่รู้กันดีว่าแม้ตระกูลโนอาจะควบคุมพลังของตนไม่ได้
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนจักรที่ไร้พลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว อย่างไรฝ่ายนั้นก็เป็นต่อมากกว่า
ข้อตกลงถูกกำหนดมาหลายชั่วอายุคน
ว่าศาสนจักรจะต้องส่งสิ่งที่เรียกว่า‘บรรณาการ’ให้แก่โนอาทุกครั้งที่มีการแต่งตั้งผู้นำตระกูลคนใหม่
ซึ่งบรรณาการดังกล่าวแลกมากับความปลอดภัยของพวกพ้อง
และคำสัญญาว่าจะไม่รุกรานโลกมนุษย์อีกต่อไป
แม้จะเป็นข้อตกลงที่งี่เง่า
แต่ศาสนจักรก็ยอมส่งสิ่งแลกเปลี่ยนเหล่านั้นให้แก่ครอบครัวปีศาจนั้นอยู่เรื่อยมา
บรรณาการดังกล่าวไม่ใช่ทั้งเงินทองหรืออาวุธอันทรงพลัง หากแต่เป็นมนุษย์ที่ต้องสมรสกับผู้นำตระกูลโนอาอย่างเลี่ยงไม่ได้
รินารี ลีรู้ตัวตั้งแต่เข้าไปเยือนวาติกันที่เป็นเหมือนศูนย์บัญชาการที่มีอำนาจสูงสุดของศาสนจักร
หน้าที่ของบรรณาการถูกโยนให้เธออย่างไม่มีทางเลือก
เพราะต่างฝ่ายต่างเขียนประวัติศาสตร์ให้อีกฝ่ายเป็นตัวร้าย
เด็กสาวจึงหวาดกลัวตระกูลปีศาจที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนนัก
ท่ามกลางช่วงเวลาที่เอ็กโซซิสต์คนอื่นออกไปทำภารกิจ
เด็กสาวถูกเรียกไปเพื่อแต่งองค์ทรงเครื่องให้งดงามตั้งแต่หัวจรดเท้า
และส่งต่อไปยังสถานที่ดูตัว เพื่อพบกับว่าที่ผู้นำแห่งตระกูลโนอา ลอร์ดทีกี้ มิกก์ ซึ่งเดินทางมาจากโลกแห่งปีศาจด้วยตนเอง
ครั้งแรกที่ได้พบกับชายผู้นั้น
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกช่างมีเสน่ห์อันน่าดึงดูดที่ไม่ว่าใครพบเห็นคงหลงใหลได้ไม่ยาก
หากแต่พลังอำนาจของโนอาที่ไหลเวียนอยู่ในตัวทำให้รินารีหวาดกลัวเกินกว่าจะมอบความรักใคร่ให้ได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ส่งผมไปแทนสิครับ”
เสียงของอเลนทำให้คนในวงล้อมประหลาดใจ
ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจจากใบหน้าสวยนั้นด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คันดะ ยู เอ็กโซซิสต์หนุ่มเจ้าของผมหางม้าฉุนขาดจนเผลอเข้าไปกระชากคอเสื้อของเจ้าตัว
“คิดบ้าอะไรของแก นึกว่าเล่นขายของอยู่หรือไง”
คันดะทำสีหน้าน่ากลัวอย่างกับจะฆ่าเขาให้ตายเสียตรงนี้
อเลนกลั้วหัวเราะในลำคอ
อย่างไรเสียเขาก็ไม่คิดจะอยู่ที่ศาสนจักรแห่งนี้อีกนานเท่าไรนัก
การมีคนรอบข้างอยู่มากเกินไปทำให้ไม่สบายใจ
“ผมพูดจริงครับ เงื่อนไขบอกว่าให้ส่งบรรณาการไป แต่ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นเพศอะไร
ลักษณะไหนนี่ครับ”
ต้องรีบออกจากที่นี่ก่อนที่เจ้านั่นจะวกกลับมาตามล่าเขาอีกครั้ง
“ไม่ทันแล้วน่ะสิ… โนอามาดูตัวแล้วเห็นหน้าฉันไปแล้ว”
เป็นรินารีที่ยังคงไว้ด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ถึงเธอไม่ถูกส่งตัวไปก็ต้องมีผู้โชคร้ายคนอื่นมารับกรรมแทนอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องมีใครมาเดือดร้อนเพราะเธอเลยด้วยซ้ำ
“อีกสองวันเขาจะมารับที่ศาสนจักร ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ”
แม้ตอนนั้นลอร์ดทีกี้จะไม่ได้มีท่าทีสนใจ แต่ก็ตกปากรับคำแบบส่งๆ
ซ้ำยังนัดหมายวันเวลาเสียเรียบร้อย
“แค่ชื่อบรรณาการก็ไม่น่าไว้ใจแล้ว
ฟังยังไงก็ไม่พ้นเอาไปสังเวยหรือไปเป็นทาสเลยนะครับ”
แลกมากับการที่ศาสนจักรไม่โดนทำลาย ใครๆต่างก็รู้ความจริงข้อนั้นดีกันทั้งนั้น
เจ้าของเรือนผมสีขาวขมวดคิ้วเข้าหากัน
ดวงตาคู่สวยมองออกไปไกลราวกับจมอยู่ในห้วงความคิด
ก่อนจะระบายรอยยิ้มอ่อนโยนแบบที่เขามักทำอยู่เสมอ
“ผมมีวิธีที่ดีกว่านั้นครับ”
รีไรท์เสร็จซักทีค่ะ ไรเตอร์มีปัญหากับการสร้างพลอตแล้วชอบโบ๋ตรงกลางบ่อยมาก (แต่แก้ไขแล้วค่ะ)
ปรับฟอนต์มาตัวใหญ่เบ้อเร่อเลย ไม่รู้จะอ่านง่ายหรือยากขึ้นกันแน่-;
สำหรับเรื่องนี้น่าจะมีประมาณ 12-14 ตอนจบนะคะ ไม่ short fic เท่าไร
คู่นี้คือหาฟิคอ่านยากจริงๆ ทั้งที่โมเม้นก็แอบเกลื่อนกลาดไม่น้อย;-;
มีนักวาดท่านหนึ่งกล่าวว่าคู่ชิปทีกี้กับอเลนก็คือ Toxic relationship ที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็มีแต่เรื่องโป๊ๆ
//นั่นสินะคะ มองยังไงก็โป๊จริงๆค่ะ
แล้วพบกันพาร์ทหน้าค่ะ
ความคิดเห็น