ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
เฟิงจิ้น จักรพรรดิสองวิญญา

ลำดับตอนที่ #14 : บทสิบสาม คำถาม

  • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ย. 60




   จากนั้นทั้งสองก็ทานอาหารกันต่อ ซึ่งสิ่งที่รออยู่หลังอาหารหลักก็คือน้ำชากับของหวานล้างคอ

   จิ้นเฟยที่สลับมานอนเล่นภายในมองดูเฟยจิ่งยกป้านชาขึ้นเท น้ำชาสีเขียวมรกตค่อยๆไหลรินลงสู่ถ้วยชา ควันร้อนพัดพากลิ่นหอมของใบชาให้ลอยมาแตะจมูก ตงห่ายที่สัมผัสถึงกลิ่นอันคุ้นเคยมองถ้วยชาเบื้องหน้าแล้วพึมพำขึ้น

   "หลงจิ่ง..."

   เฟยจิ่งที่ได้ยินไม่ได้โต้ตอบ เพียงวางป้านชาลง ก่อนยกถ้วยชาขึ้นจิบ

   "ชาดี"เฟยจิ่งเปรยชมในใจ จิ้นเฟยที่ได้ยินจึงว่าด้วยเสียงกระตือรือร้น

   "เอ๋? ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าลุงเฟยชอบดื่มชาด้วย นึกว่าชอบดื่มพวกเหล้าอย่างเดียวซะอีก"คนพูดว่าอย่างแปลกใจ ก่อนจะพูดต่ออย่างนึกขึ้นได้ 

   "ถ้าอย่างนั้นไว้วันหลังฉันชงชาดอกไม้สูตรพิเศษให้ลองเอาไหม? ชาสูตรนี้ฉันชอบชงกินคู่กับขนมโปรด อร่อยสุดๆเลยล่ะ ไว้คราวหน้าหาวัตถุดิบได้ฉันจะลองทำให้ลุงชิมนะ"

   ฟังคำพูดเหล่านี้แล้วเฟยจิ่งถึงกับต้องคิดหนัก เพราะตนเพิ่งตั้งมั่นว่าจะฝึกฝนอีกฝ่ายให้กลายเป็นชายที่สมบูรณ์พร้อม เพื่อการนั้นแล้วห้องครัวถือเป็นสถานที่ต้องห้าม แต่ทว่า รสชาติของบรรดาขนมที่อีกฝ่ายเคยทำให้ลิ้มลองนั้นยังคงตราตรึงไม่ลืมเลือน ยิ่งจิ้นเฟยกล่าวว่าชากับขนมที่จะทำให้ลองคราวหน้าเป็นของโปรดด้วยแล้ว...

   ขณะที่เฟยจิ่งลังเลสับสนระหว่างเป้าหมายกับความต้องการ จิ้นเฟยก็เข้าควบคุมร่างแล้วชวนตงห่ายคุย

   "พี่สี่ ท่านกล่าวว่าได้เดินทางไปทั่วแคว้นอวิ๋นแล้ว ในสายตาท่านที่ใดน่าสนใจที่สุด?"

   ตงห่ายมองใบหน้าที่แสดงความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กน้อยแล้วลอบนึกขำในใจว่า เขาไปฝึก ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แต่ปากก็ยังตอบไป

   "แต่ละที่ก็มีสิ่งน่าสนใจต่างกัน ในแถบเหนือ เมืองผิงฉ่างผลิตผ้าไหมได้งดงามที่สุด เมืองฉินตู๋เป็นแหล่งแร่เหล็กที่สำคัญ ฝั่งตะวันออก เมืองหรูซิ่นเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ม้าชั้นดี เมืองถ่งฟู่ เมืองเก้อหลิ่น เมืองฮั่นฉา สามเมืองนี้เป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของแคว้นอวิ๋นเรา ทางตอนใต้ เมืองพ่านหลิวซึ่งเป็นเมืองติดทะเลนั้นเป็นแหล่งการค้าที่ใหญ่ที่สุด พวกพ่อค้ามักจะมาแลกเปลี่ยนสินค้าต่างแดนกันที่นี่"

   "หืม ไม่ว่าที่ไหนก็น่าสนใจจริงๆซะด้วย"จิ้นเฟยว่าอย่างสนใจพลางเก็บข้อมูล ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับบันทึกเก่าในหอตำราที่เคยอ่านแล้วข้อมูลที่ได้ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ แปลว่าช่วงหลายปีมานี้สภาพเมืองรอบนอกยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก

   จิ้นเฟยคิดทบทวนอยู่นานก่อนจะเปิดประเด็นขึ้น

   "นี่พี่สี่ ท่านกล่าวว่าเห็นผู้คนลำบากมาเยอะ เห็นทั้งความคดโกงและสิ่งโสมมเบื้องหลังต่างๆมามากมาย เช่นนั้นแล้วตัวท่านคิดจะทำอย่างไรกับมันหรือ?"ตงห่ายกดคิ้วลงเมื่อไม่เข้าใจความหมาย ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างเมื่อฟังคำพูดต่อมา

   "หากท่านมีอำนาจพอจะจัดการกับเรื่องเหล่านั้นแล้ว ท่านจะทำสิ่งใด? ท่านจะทำอย่างไรให้เรื่องที่ท่านเห็นว่าไม่ชอบธรรม ผิดต่อกฎบ้านเมืองเหล่านี้ ไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก?"

   คำถามนี้ฟังเผินๆอาจฟังคล้ายคำถามทั่วไป แต่เมื่อเพิ่มสถานะของพวกเขาสองคนเข้าไปแล้ว ความหมายของคำถามนี้...ลึกซึ้งกว่านั้น

   "เจ้า..."ตงห่ายที่รับรู้ถึงสิ่งที่แฝงอยู่ในคำถามมองคนกล่าวอย่างไม่แน่ใจ เห็นสีหน้านั้นแล้วจิ้นเฟยเพียงยิ้มอย่างผ่อนคลาย

   "พี่สี่ไม่จำเป็นต้องรีบตอบไป ข้ารู้ว่าคำถามนี้ไม่ง่ายดายที่จะตอบ แม้แต่ตัวข้าเองก็จำเป็นต้องคิดทบทวนอย่างหนักจึงจะตอบได้"คำกล่าวนี้ทำให้สีหน้าของตงห่ายเคร่งพลัน

   "คำตอบของเจ้าคือ?"น้ำเสียงทุ้มกดต่ำ รังสีกดดันพุ่งเข้าใส่คนฟังที่ยังยิ้มบาง จิ้นเฟยประคองถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ ก่อนค่อยๆวางลงอย่างไร้สุ้มเสียง ดวงตาสีเข้มสบประสานกับร่างสูงพลางกล่าวอย่างเนิบช้า

   "ข้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าใดที่ข้าจะตอบออกไป ขณะที่ท่านยังหาคำตอบของตัวเองไม่ได้..."

   ขณะว่า ปลายนิ้วชี้ก็เขี่ยถ้วยชาที่ว่างเปล่าให้หมุนวน ตงห่ายมองตามถ้วยชาที่หมุนมากระทบถ้วยชาของเขาแล้วหมุนกลิ้งย้อนกลับไปหาเจ้าของในสภาพเอียงตะแคง สายตาเห็นน้ำชาในถ้วยยังคงหมุนวนตามแรงเหวี่ยง ก่อนถ้วยชาใบนั้นจะชะงักนิ่งค้างในสภาพนั้น โดยมันหยุดนิ่งห่างปลายนิ้วเรียวของร่างตรงข้ามเพียงหนึ่งลมหายใจ

   และเมื่อนิ้วขาวผ่องเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะ ถ้วยชาที่ตะแคงอยู่ก็พลิกตั้งดังเดิม โดยที่น้ำชาในถ้วยไม่กระฉอกออกมาแม้แต่หยดเดียว มีเพียงแต่เสียงกระทบโต๊ะดังกึกเบาๆเท่านั้น

   "ไว้พี่สี่พร้อมจะตอบคำถามนี้เมื่อใด ข้าก็ยินดีจะบอกตอบของข้าให้ท่านฟัง"

   ถ้อยคำนุ่มนวลเฉกเช่นรอยยิ้มอ่อนโยนของผู้พูดตรึงร่างสูงให้นิ่งงัน ตงห่ายประสานสายตากับนัยน์ตาดำขลับที่นาทีนี้คล้ายดังบ่อน้ำลึกลับซึ่งซุกซ่อนปริศนามากมายเอาไว้ 

   นี่เป็นอีกครั้งที่ตงห่ายคิดว่าความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายช่างมากมายเกินไป มันมากเสียจนตอนได้พบกันอีกครั้งเขาถึงกับจำน้องชายต่างมารดาผู้นี้ไม่ได้

   ไม่ว่าจะเป็นความสดใสร่าเริง ความซุกซน ความเจ้าเล่ห์ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เคยมีอยู่ในตัวน้องชายผู้เอาแต่ใจของเขาแม้แต่เศษเสี้ยว

   ตงห่ายยังจำได้ดีถึงครั้งแรกที่ได้เจอองค์ชายรัชทายาทเฟิงจิ้น ยามนั้นอีกฝ่ายอายุเพียงห้าขวบ ส่วนตัวเขาก็เพิ่งครบแปดปีได้ไม่นาน ครั้งแรกที่พบกัน องค์ชายตัวน้อยที่มีนางกำนัลและขันทีติดตามไม่ห่างชี้นิ้วมาที่เขาแล้วสั่ง

   "เจ้า มาเล่นกับเราซะ"

   อาจด้วยความไร้เดียงสาไม่รู้ความดีที่ทำให้ตัวเขาปฏิเสธคำสั่งนั้นด้วยถ้อยคำรุนแรง และผลที่ตามมาคือโทษกักบริเวณเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งหากท่านแม่ของเขาไม่ได้มาจากตระกูลเฉินแล้วโทษที่ได้รับคงไม่เบาเช่นนี้ แต่สามวันหลังโดนกักบริเวณ ตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาโดนลงโทษก็มาปรากฏกายที่ตำหนักโดยปราศจากคนติดตาม

   ตงห่ายมองใบหน้าดื้อรั้นเย่อหยิ่งที่มองตรงมาที่เขานิ่ง ขณะที่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาพูดทับถมกลับกลายเป็นว่า

   "บทลงโทษของเจ้าถูกยกเลิกแล้ว"คำกล่าวสั้นๆ ก่อนเจ้าตัวจะหันหลังกลับ เห็นอีกฝ่ายทำท่าจะจากไปก็ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้เขารั้งองค์ชายน้อยไว้

   "ไม่ดื่มชาหลงจิ่งเป็นเพื่อนข้าก่อนหรือ?"

   จากนั้นสี่ปี ความสนิทสนมเพิ่มพูน ยามที่เขาต้องจากเมืองหลวงไปยังจดจำดวงตาแดงรื้นที่มองมาอย่างแข็งกร้าวได้ไม่ลืมเลือน

   นัยน์ตาคู่เดียวกันกับเมื่อวันวานยามนี้กลับเปลี่ยนแปลงไป คิดถึงตรงนี้ตงห่ายก็ไถ่ถามด้วยความข้องใจ

   "อาจารย์ของเจ้าเป็นคนจากสำนักใดกัน?" 

   คนแบบใดกันที่สั่งสอนเด็กชายตัวน้อยที่เคยซื่อตรงให้เปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์อย่างน่ากลัวเช่นนี้ได้?

   "สำนักใดเรื่องนั้น..."จิ้นเฟยที่ได้ยินคำถามไม่คาดคิดเบิกตาเล็กน้อย ก่อนรีบปรึกษาเฟยจิ่งอย่างด่วนจี๋ "อาจารย์ของข้าไม่มีสำนักหรอก" 

   "ไม่มีสำนัก?"คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ จิ้นเฟยรีบแปลงสารในหัวออกเป็นถ้อยคำ 

   "ท่านอาจารย์เคยเล่าแต่เพียงว่าท่านอาศัยอยู่ในถ้ำบนหุบเขาสูงที่มีน้ำตกไหลผ่าน ท่านอาจารย์ได้ฝึกบำเพ็ญตนอยู่เพียงลำพังหลายสิบปีก่อนลงมาเมื่อไปกี่ปีนี้ เรื่องสำนักท่านไม่ได้เข้าร่วมเนื่องด้วยไม่เห็นความจำเป็น"

   ตงห่ายที่ได้ยินเช่นนี้ก็เงียบนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยกถ้วยชาที่เริ่มเย็นชืดขึ้นซดรวดเดียว ก่อนลุกขึ้นยืนกล่าวเสียงเรียบ

   "ข้ามีธุระต้องทำต่อ ไว้วันหน้าจะมาหาใหม่"คำกล่าวที่คนฟังลุกขึ้นยืนส่ง

   "เชิญพี่สี่มาหาข้าได้ทุกเวลา และข้าหวังว่าพี่สี่จะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้เมื่อคืนวาน"

   ตงห่ายเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำเหล่านั้น ก่อนพลันระลึกได้ ใบหน้าเขาผ่อนคลายลง มือใหญ่เอื้อมมาเหนือศีรษะร่างโปร่ง แต่แล้วก็ชะงักเก็บมือลง หมุนกายไปอีกทางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าทีแรก

   "ข้าย่อมไม่ลืม ยามพบกันคราวหน้าข้าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้"

   เมื่อได้ยินร่างสูงให้คำมั่นจิ้นเฟยก็ยิ้มกว้าง แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวอีกฝ่ายก็ชะงัก ก่อนจะกล่าวกับคนฟังโดยไม่ได้หันกลับมามอง

   "ส่วนคำตอบของสิ่งที่เจ้าถามข้าในวันนี้ ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาใคร่ครวญสักพักจึงจะตอบได้ และเมื่อถึงเวลานั้น...ข้าอยากจะฟังคำตอบของเจ้าด้วย"

   ร่างคนฟังนิ่งเล็กน้อยก่อนเผยยิ้มกว้างที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น

   "ไว้พบกันโอกาสหน้า พี่สี่"

   หลังร่างสูงเดินออกจากตำหนักไป จิ้นเฟยยังคงยืนนิ่งค้างที่เดิมอยู่ครู่ใหญ่ พอรู้สึกตัวก็หย่อนก้นลงบนเก้าอี้แล้วก้มมองถ้วยชาด้วยใบหน้านิ่งสงบดุจรูปสลักหิน แต่นั่นเป็นแค่เปลือกนอก ภายในใจจิ้นเฟยลอบระบายลมหายใจยาวเหยียดอย่างโล่งอก

   "รอดไปที! นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว"

   เมื่อครู่ ตอนที่ตงห่ายหยุดเดินจิ้นเฟยถึงกับกลั้นหายใจไม่รู้ตัว นึกว่าแผนการที่วางไว้จะล่มซะแล้ว เฟยจิ่งได้ยินคำโอดครวญก็เยาะเย้ย

   "ฮึ เจ้าเด็กโง่ กับเรื่องเล็กน้อยเจ้ายังหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ เช่นนั้นกาลหน้าเจ้าจะทำการใหญ่ได้อย่างไร?"

   "โธ่ ลุง ฉันจะไปเชี่ยวอย่างลุงได้ไงล่ะ ปกติฉันออกจะเป็นเด็กดี เรื่องเค้นสมองใช้คำพูดเชือดเฉือนแบบนี้จะไปเคยทำได้ยังไงกัน?"คำพูดตัดพ้อที่สำหรับคนฟังแล้วไม่มีความน่าเชื่อถือแม้แต่น้อย ก็จะให้เชื่อถือได้อย่างไรเมื่อตัวคนพูดเองที่เป็นคนวางแผนการทั้งหมดขึ้นมา

   เมื่อค่ำวานหลังกลับมาถึงตำหนักตวนหมิง ระหว่างที่เฟยจิ่งใช้ให้จิ้นเฟยฝึกร่างกายอย่างหนัก ฝ่ายจิ้นเฟยที่ฝึกจนเหงื่อโทรมหน้าได้ถามขึ้นว่าจะจัดการกับตงห่ายที่จะมาเยี่ยมเยียนในวันนี้อย่างไร พอปรึกษาหารือกันไม่กี่คำจิ้นเฟยก็ได้เสนอแผนการตบตาขึ้น โดยสร้างเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ปริศนาขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนข้อสงสัยเรื่องวรยุทธ์ที่ตงห่ายมีต่อพวกเขา 

    ครั้งแรกที่ได้ฟังความเฟยจิ่งได้ปฏิเสธแผนการที่เหมือนบทละครเพ้อฝันไร้แก่นสารนี่โดยสิ้นเชิง แต่หลังจากโดนจิ้นเฟยเกลี้ยกล่อมด้วยสารพัดวิธีก็ฝืนใจยอมรับ ทว่าเฟยจิ่งยังนึกค้านอยู่จุดหนึ่ง นั่นคือคำถามในตอนสุดท้าย

   "หากท่านมีอำนาจพอจะจัดการกับเรื่องเหล่านั้นแล้ว ท่านจะทำสิ่งใด? ท่านจะทำอย่างไรให้เรื่องที่ท่านเห็นว่าไม่ชอบธรรม ผิดต่อกฎบ้านเมืองเหล่านี้ ไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก?"

   หากเป็นผู้ไม่รู้ความคงไม่อาจจับความหมายแฝงในคำพูดได้

   'หากมีอำนาจ' ใจความสำคัญของคำถามอยู่ที่ตรงนี้

   สถานะขององค์ชาย กับ อำนาจ เมื่อนำมารวมจะเป็นอะไรได้หากไม่ใช่...บัลลังก์

   เจตนาของคำถามพวกเขาคือการสอบถามความตั้งใจของตงห่ายว่าต้องการบัลลังก์หรือไม่ เพราะอำนาจในการจัดการกับเรื่องราวในแคว้นหากไม่ใช่ฮ่องเต้แล้วจะเป็นผู้ใดไปได้? แต่ขณะนี้ ว่าที่ผู้ถือครองบัลลังก์คนต่อไปยังคงเป็นองค์ชายหนึ่ง ซึ่งหากพวกเขาพูดถามตรงๆแล้วความเล็ดลอดออกไปถึงหูผู้อื่น...ความตายคงมาเยือนในไม่ช้า 

   หากแต่ นี่คือความเสี่ยงที่จำเป็น เพราะในสถานะเฟิงจิ้นยามนี้พวกเขาไร้ซึ่งกำลังและผู้หนุนหลัง จิ้นเฟยจึงเสนอทางเลือกขึ้นว่าให้เอาองค์ชายสี่ผู้นี้มาเป็นพวกเสีย เฟยจิ่งที่ตรวจสอบตงห่ายจากความทรงจำเองแล้วพบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีในแผ่นดินเกิดอย่างมากและก็เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ผู้หนึ่ง จึงไว้ใจได้หากเป็นพวกเดียวกัน

   ทว่า หากอีกฝ่ายเลือกเป็นศัตรู พวกเขาคงต้องกำจัดทิ้งอย่างไม่มีทางเลือก เพราะไม่ว่าด้วยฝีมือหรือความชาญฉลาด อีกฝ่ายถือเป็นตัวอันตรายที่พวกเขาต้องรีบกำจัดโดยไว

   เฟยจิ่งบอกข้อเท็จจริงนี้ให้แก่จิ้นเฟยก่อนที่อีกฝ่ายจะตัดสินใจดำเนินแผนการนี้ ในยามนั้นจิ้นเฟยเพียงนิ่งเงียบไปอึดใจ

   "หากเป็นศัตรูก็คงไม่พ้นต้องสู้รบกัน ถ้ากำจัดได้ก่อนที่จะกลายเป็นอุปสรรคก็ถือเป็นเรื่องดี"

   คำกล่าวราบเรียบที่เฟยจิ่งไม่อาจรับรู้ความคิดเบื้องลึกภายใน แต่ก็ถือว่าได้ตกลงแล้ว

   หากองค์ชายสี่ที่พวกเขาหวังพึ่งกลายเป็นตัวยุ่งยากเมื่อใด ก็คงจำต้องกำจัดทิ้งอย่างไม่มีทางเลือก

   ผู้ที่คิดขวางเส้นทางสู่บัลลังก์ของพวกเขาต้องถูกกำจัดโดยไม่มีข้อยกเว้น


ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×