ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทสิบสาม คำถาม
จากนั้นทั้งสองก็ทานอาหารกันต่อ ซึ่งสิ่งที่รออยู่หลังอาหารหลักก็คือน้ำชากับของหวานล้างคอ
จิ้นเฟยที่สลับมานอนเล่นภายในมองดูเฟยจิ่งยกป้านชาขึ้นเท
น้ำชาสีเขียวมรกตค่อยๆไหลรินลงสู่ถ้วยชา ควันร้อนพัดพากลิ่นหอมของใบชาให้ลอยมาแตะจมูก
ตงห่ายที่สัมผัสถึงกลิ่นอันคุ้นเคยมองถ้วยชาเบื้องหน้าแล้วพึมพำขึ้น
"หลงจิ่ง..."
เฟยจิ่งที่ได้ยินไม่ได้โต้ตอบ
เพียงวางป้านชาลง ก่อนยกถ้วยชาขึ้นจิบ
"ชาดี"เฟยจิ่งเปรยชมในใจ
จิ้นเฟยที่ได้ยินจึงว่าด้วยเสียงกระตือรือร้น
"เอ๋?
ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าลุงเฟยชอบดื่มชาด้วย
นึกว่าชอบดื่มพวกเหล้าอย่างเดียวซะอีก"คนพูดว่าอย่างแปลกใจ
ก่อนจะพูดต่ออย่างนึกขึ้นได้
"ถ้าอย่างนั้นไว้วันหลังฉันชงชาดอกไม้สูตรพิเศษให้ลองเอาไหม?
ชาสูตรนี้ฉันชอบชงกินคู่กับขนมโปรด อร่อยสุดๆเลยล่ะ
ไว้คราวหน้าหาวัตถุดิบได้ฉันจะลองทำให้ลุงชิมนะ"
ฟังคำพูดเหล่านี้แล้วเฟยจิ่งถึงกับต้องคิดหนัก
เพราะตนเพิ่งตั้งมั่นว่าจะฝึกฝนอีกฝ่ายให้กลายเป็นชายที่สมบูรณ์พร้อม
เพื่อการนั้นแล้วห้องครัวถือเป็นสถานที่ต้องห้าม แต่ทว่า
รสชาติของบรรดาขนมที่อีกฝ่ายเคยทำให้ลิ้มลองนั้นยังคงตราตรึงไม่ลืมเลือน
ยิ่งจิ้นเฟยกล่าวว่าชากับขนมที่จะทำให้ลองคราวหน้าเป็นของโปรดด้วยแล้ว...
ขณะที่เฟยจิ่งลังเลสับสนระหว่างเป้าหมายกับความต้องการ
จิ้นเฟยก็เข้าควบคุมร่างแล้วชวนตงห่ายคุย
"พี่สี่
ท่านกล่าวว่าได้เดินทางไปทั่วแคว้นอวิ๋นแล้ว ในสายตาท่านที่ใดน่าสนใจที่สุด?"
ตงห่ายมองใบหน้าที่แสดงความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กน้อยแล้วลอบนึกขำในใจว่า
เขาไปฝึก ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แต่ปากก็ยังตอบไป
"แต่ละที่ก็มีสิ่งน่าสนใจต่างกัน
ในแถบเหนือ เมืองผิงฉ่างผลิตผ้าไหมได้งดงามที่สุด เมืองฉินตู๋เป็นแหล่งแร่เหล็กที่สำคัญ
ฝั่งตะวันออก เมืองหรูซิ่นเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ม้าชั้นดี เมืองถ่งฟู่
เมืองเก้อหลิ่น เมืองฮั่นฉา สามเมืองนี้เป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของแคว้นอวิ๋นเรา
ทางตอนใต้ เมืองพ่านหลิว
"หืม
ไม่ว่าที่ไหนก็น่าสนใจจริงๆซะด้วย"จิ้นเฟยว่าอย่างสนใจพลางเก็บข้อมูล
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับบันทึกเก่าในหอตำราที่เคยอ่านแล้วข้อมูลที่ได้ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
แปลว่าช่วงหลายปีมานี้สภาพเมืองรอบนอกยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก
จิ้นเฟยคิดทบทวนอยู่นานก่อนจะเปิดประเด็นขึ้น
"นี่พี่สี่
ท่านกล่าวว่าเห็นผู้คนลำบากมาเยอะ
เห็นทั้งความคดโกงและสิ่งโสมมเบื้องหลังต่างๆมามากมาย
เช่นนั้นแล้วตัวท่านคิดจะทำอย่างไรกับมันหรือ?"ตงห่ายกดคิ้วลงเมื่อไม่เข้าใจความหมาย
ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างเมื่อฟังคำพูดต่อมา
"หากท่านมีอำนาจพอจะจัดการกับเรื่องเหล่านั้นแล้ว
ท่านจะทำสิ่งใด? ท่านจะทำอย่างไรให้เรื่องที่ท่านเห็นว่าไม่ชอบธรรม
ผิดต่อกฎบ้านเมืองเหล่านี้ ไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก?"
คำถามนี้ฟังเผินๆอาจฟังคล้ายคำถามทั่วไป
แต่เมื่อเพิ่มสถานะของพวกเขาสองคนเข้าไปแล้ว
ความหมายของคำถามนี้...ลึกซึ้งกว่านั้น
"เจ้า..."ตงห่ายที่รับรู้ถึงสิ่งที่แฝงอยู่ในคำถามมองคนกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
เห็นสีหน้านั้นแล้วจิ้นเฟยเพียงยิ้มอย่างผ่อนคลาย
"พี่สี่ไม่จำเป็นต้องรีบตอบไป
ข้ารู้ว่าคำถามนี้ไม่ง่ายดายที่จะตอบ แม้แต่ตัวข้าเองก็จำเป็นต้องคิดทบทวนอย่างหนักจึงจะตอบได้"คำกล่าวนี้ทำให้สีหน้าของตงห่ายเคร่งพลัน
"คำตอบของเจ้าคือ?"น้ำเสียงทุ้มกดต่ำ รังสีกดดันพุ่งเข้าใส่คนฟังที่ยังยิ้มบาง
จิ้นเฟยประคองถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ ก่อนค่อยๆวางลงอย่างไร้สุ้มเสียง
ดวงตาสีเข้มสบประสานกับร่างสูงพลางกล่าวอย่างเนิบช้า
"ข้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าใดที่ข้าจะตอบออกไป
ขณะที่ท่านยังหาคำตอบของตัวเองไม่ได้..."
ขณะว่า
ปลายนิ้วชี้ก็เขี่ยถ้วยชาที่ว่างเปล่าให้หมุนวน
ตงห่ายมองตามถ้วยชาที่หมุนมากระทบถ้วยชาของเขาแล้วหมุนกลิ้งย้อนกลับไปหาเจ้าของในสภาพเอียงตะแคง
สายตาเห็นน้ำชาในถ้วยยังคงหมุนวนตามแรงเหวี่ยง ก่อนถ้วยชาใบนั้นจะชะงักนิ่งค้างในสภาพนั้น
โดยมันหยุดนิ่งห่างปลายนิ้วเรียวของร่างตรงข้ามเพียงหนึ่งลมหายใจ
และเมื่อนิ้วขาวผ่องเคาะเบาๆ
ลงบนโต๊ะ ถ้วยชาที่ตะแคงอยู่ก็พลิกตั้งดังเดิม โดยที่น้ำชาในถ้วยไม่กระฉอกออกมาแม้แต่หยดเดียว
มีเพียงแต่เสียงกระทบโต๊ะดังกึกเบาๆเท่านั้น
"ไว้พี่สี่พร้อมจะตอบคำถามนี้เมื่อใด ข้าก็ยินดีจะบอกตอบของข้าให้ท่านฟัง"
ถ้อยคำนุ่มนวลเฉกเช่นรอยยิ้มอ่อนโยนของผู้พูดตรึงร่างสูงให้นิ่งงัน
ตงห่ายประสานสายตากับนัยน์ตาดำขลับที่นาทีนี้คล้ายดังบ่อน้ำลึกลับซึ่งซุกซ่อนปริศนามากมายเอาไว้
นี่เป็นอีกครั้งที่ตงห่ายคิดว่าความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายช่างมากมายเกินไป
มันมากเสียจนตอนได้พบกันอีกครั้งเขาถึงกับจำน้องชายต่างมารดาผู้นี้ไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นความสดใสร่าเริง
ความซุกซน ความเจ้าเล่ห์
สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เคยมีอยู่ในตัวน้องชายผู้เอาแต่ใจของเขาแม้แต่เศษเสี้ยว
ตงห่ายยังจำได้ดีถึงครั้งแรกที่ได้เจอองค์ชายรัชทายาทเฟิงจิ้น
ยามนั้นอีกฝ่ายอายุเพียงห้าขวบ ส่วนตัวเขาก็เพิ่งครบแปดปีได้ไม่นาน
ครั้งแรกที่พบกัน องค์ชายตัวน้อยที่มีนางกำนัลและขันทีติดตามไม่ห่างชี้นิ้วมาที่เขาแล้วสั่ง
"เจ้า
มาเล่นกับเราซะ"
อาจด้วยความไร้เดียงสาไม่รู้ความดีที่ทำให้ตัวเขาปฏิเสธคำสั่งนั้นด้วยถ้อยคำรุนแรง
และผลที่ตามมาคือโทษกักบริเวณเป็นเวลาสามเดือน
ซึ่งหากท่านแม่ของเขาไม่ได้มาจากตระกูลเฉินแล้วโทษที่ได้รับคงไม่เบาเช่นนี้ แต่สามวันหลังโดนกักบริเวณ
ตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาโดนลงโทษก็มาปรากฏกายที่ตำหนักโดยปราศจากคนติดตาม
ตงห่ายมองใบหน้าดื้อรั้นเย่อหยิ่งที่มองตรงมาที่เขานิ่ง
ขณะที่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาพูดทับถมกลับกลายเป็นว่า
"บทลงโทษของเจ้าถูกยกเลิกแล้ว"คำกล่าวสั้นๆ
ก่อนเจ้าตัวจะหันหลังกลับ
เห็นอีกฝ่ายทำท่าจะจากไปก็ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้เขารั้งองค์ชายน้อยไว้
"ไม่ดื่มชาหลงจิ่งเป็นเพื่อนข้าก่อนหรือ?"
จากนั้นสี่ปี
ความสนิทสนมเพิ่มพูน
ยามที่เขาต้องจากเมืองหลวงไปยังจดจำดวงตาแดงรื้นที่มองมาอย่างแข็งกร้าวได้ไม่ลืมเลือน
นัยน์ตาคู่เดียวกันกับเมื่อวันวานยามนี้กลับเปลี่ยนแปลงไป
คิดถึงตรงนี้ตงห่ายก็ไถ่ถามด้วยความข้องใจ
"อาจารย์ของเจ้าเป็นคนจากสำนักใดกัน?"
คนแบบใดกันที่สั่งสอนเด็กชายตัวน้อยที่เคยซื่อตรงให้เปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์อย่างน่ากลัวเช่นนี้ได้?
"สำนักใด? เรื่องนั้น..."จิ้นเฟยที่ได้ยินคำถามไม่คาดคิดเบิกตาเล็กน้อย
ก่อนรีบปรึกษาเฟยจิ่งอย่างด่วนจี๋ "อาจารย์ของข้าไม่มีสำนักหรอก"
"ไม่มีสำนัก?"คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ จิ้นเฟยรีบแปลงสารในหัวออกเป็นถ้อยคำ
"ท่านอาจารย์เคยเล่าแต่เพียงว่าท่านอาศัยอยู่ในถ้ำบนหุบเขาสูงที่มีน้ำตกไหลผ่าน
ท่านอาจารย์ได้ฝึกบำเพ็ญตนอยู่เพียงลำพังหลายสิบปีก่อนลงมาเมื่อไปกี่ปีนี้
เรื่องสำนักท่านไม่ได้เข้าร่วมเนื่องด้วยไม่เห็นความจำเป็น"
ตงห่ายที่ได้ยินเช่นนี้ก็เงียบนิ่ง
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ยกถ้วยชาที่เริ่มเย็นชืดขึ้นซดรวดเดียว
ก่อนลุกขึ้นยืนกล่าวเสียงเรียบ
"ข้ามีธุระต้องทำต่อ
ไว้วันหน้าจะมาหาใหม่"คำกล่าวที่คนฟังลุกขึ้นยืนส่ง
"เชิญพี่สี่มาหาข้าได้ทุกเวลา
และข้าหวังว่าพี่สี่จะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้เมื่อคืนวาน"
ตงห่ายเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำเหล่านั้น
ก่อนพลันระลึกได้ ใบหน้าเขาผ่อนคลายลง มือใหญ่เอื้อมมาเหนือศีรษะร่างโปร่ง
แต่แล้วก็ชะงักเก็บมือลง หมุนกายไปอีกทางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าทีแรก
"ข้าย่อมไม่ลืม
ยามพบกันคราวหน้าข้าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้"
เมื่อได้ยินร่างสูงให้คำมั่นจิ้นเฟยก็ยิ้มกว้าง
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวอีกฝ่ายก็ชะงัก ก่อนจะกล่าวกับคนฟังโดยไม่ได้หันกลับมามอง
"ส่วนคำตอบของสิ่งที่เจ้าถามข้าในวันนี้
ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาใคร่ครวญสักพักจึงจะตอบได้ และเมื่อถึงเวลานั้น...ข้าอยากจะฟังคำตอบของเจ้าด้วย"
ร่างคนฟังนิ่งเล็กน้อยก่อนเผยยิ้มกว้างที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น
"ไว้พบกันโอกาสหน้า พี่สี่"
หลังร่างสูงเดินออกจากตำหนักไป
จิ้นเฟยยังคงยืนนิ่งค้างที่เดิมอยู่ครู่ใหญ่ พอรู้สึกตัวก็หย่อนก้นลงบนเก้าอี้แล้วก้มมองถ้วยชาด้วยใบหน้านิ่งสงบดุจรูปสลักหิน
แต่นั่นเป็นแค่เปลือกนอก ภายในใจจิ้นเฟยลอบระบายลมหายใจยาวเหยียดอย่างโล่งอก
"รอดไปที!
นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว"
เมื่อครู่
ตอนที่ตงห่ายหยุดเดินจิ้นเฟยถึงกับกลั้นหายใจไม่รู้ตัว นึกว่าแผนการที่วางไว้จะล่มซะแล้ว
เฟยจิ่งได้ยินคำโอดครวญก็เยาะเย้ย
"ฮึ เจ้าเด็กโง่ กับเรื่องเล็กน้อยเจ้ายังหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ เช่นนั้นกาลหน้าเจ้าจะทำการใหญ่ได้อย่างไร?"
"โธ่
ลุง ฉันจะไปเชี่ยวอย่างลุงได้ไงล่ะ ปกติฉันออกจะเป็นเด็กดี เรื่องเค้นสมองใช้คำพูดเชือดเฉือนแบบนี้จะไปเคยทำได้ยังไงกัน?"คำพูดตัดพ้อที่สำหรับคนฟังแล้วไม่มีความน่าเชื่อถือแม้แต่น้อย
ก็จะให้เชื่อถือได้อย่างไรเมื่อตัวคนพูดเองที่เป็นคนวางแผนการทั้งหมดขึ้นมา
เมื่อค่ำวานหลังกลับมาถึงตำหนักตวนหมิง
ระหว่างที่เฟยจิ่งใช้ให้จิ้นเฟยฝึกร่างกายอย่างหนัก
ฝ่ายจิ้นเฟยที่ฝึกจนเหงื่อโทรมหน้าได้ถามขึ้นว่าจะจัดการกับตงห่ายที่จะมาเยี่ยมเยียนในวันนี้อย่างไร
พอปรึกษาหารือกันไม่กี่คำจิ้นเฟยก็ได้เสนอแผนการตบตาขึ้น
โดยสร้างเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ปริศนาขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนข้อสงสัยเรื่องวรยุทธ์ที่ตงห่ายมีต่อพวกเขา
ครั้งแรกที่ได้ฟังความเฟยจิ่งได้ปฏิเสธแผนการที่เหมือนบทละครเพ้อฝันไร้แก่นสารนี่โดยสิ้นเชิง
แต่หลังจากโดนจิ้นเฟยเกลี้ยกล่อมด้วยสารพัดวิธีก็ฝืนใจยอมรับ ทว่าเฟยจิ่งยังนึกค้านอยู่จุดหนึ่ง นั่นคือคำถามในตอนสุดท้าย
"หากท่านมีอำนาจพอจะจัดการกับเรื่องเหล่านั้นแล้ว
ท่านจะทำสิ่งใด? ท่านจะทำอย่างไรให้เรื่องที่ท่านเห็นว่าไม่ชอบธรรม
ผิดต่อกฎบ้านเมืองเหล่านี้ ไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก?"
หากเป็นผู้ไม่รู้ความคงไม่อาจจับความหมายแฝงในคำพูดได้
'หากมีอำนาจ' ใจความสำคัญของคำถามอยู่ที่ตรงนี้
สถานะขององค์ชาย
กับ อำนาจ เมื่อนำมารวมจะเป็นอะไรได้หากไม่ใช่...บัลลังก์
เจตนาของคำถามพวกเขาคือการสอบถามความตั้งใจของตงห่ายว่าต้องการบัลลังก์หรือไม่
เพราะอำนาจในการจัดการกับเรื่องราวในแคว้นหากไม่ใช่ฮ่องเต้แล้วจะเป็นผู้ใดไปได้?
แต่ขณะนี้ ว่าที่ผู้ถือครองบัลลังก์คนต่อไปยังคงเป็นองค์ชายหนึ่ง
ซึ่งหากพวกเขาพูดถามตรงๆแล้วความเล็ดลอดออกไปถึงหูผู้อื่น...ความตายคงมาเยือนในไม่ช้า
หากแต่
นี่คือความเสี่ยงที่จำเป็น
เพราะในสถานะเฟิงจิ้นยามนี้พวกเขาไร้ซึ่งกำลังและผู้หนุนหลัง
จิ้นเฟยจึงเสนอทางเลือกขึ้นว่าให้เอาองค์ชายสี่ผู้นี้มาเป็นพวกเสีย เฟยจิ่งที่ตรวจสอบตงห่ายจากความทรงจำเองแล้วพบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีในแผ่นดินเกิดอย่างมากและก็เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ผู้หนึ่ง
จึงไว้ใจได้หากเป็นพวกเดียวกัน
ทว่า
หากอีกฝ่ายเลือกเป็นศัตรู พวกเขาคงต้องกำจัดทิ้งอย่างไม่มีทางเลือก เพราะไม่ว่าด้วยฝีมือหรือความชาญฉลาด อีกฝ่ายถือเป็นตัวอันตรายที่พวกเขาต้องรีบกำจัดโดยไว
เฟยจิ่งบอกข้อเท็จจริงนี้ให้แก่จิ้นเฟยก่อนที่อีกฝ่ายจะตัดสินใจดำเนินแผนการนี้
ในยามนั้นจิ้นเฟยเพียงนิ่งเงียบไปอึดใจ
"หากเป็นศัตรูก็คงไม่พ้นต้องสู้รบกัน
ถ้ากำจัดได้ก่อนที่จะกลายเป็นอุปสรรคก็ถือเป็นเรื่องดี"
คำกล่าวราบเรียบที่เฟยจิ่งไม่อาจรับรู้ความคิดเบื้องลึกภายใน
แต่ก็ถือว่าได้ตกลงแล้ว
หากองค์ชายสี่ที่พวกเขาหวังพึ่งกลายเป็นตัวยุ่งยากเมื่อใด
ก็คงจำต้องกำจัดทิ้งอย่างไม่มีทางเลือก
ผู้ที่คิดขวางเส้นทางสู่บัลลังก์ของพวกเขาต้องถูกกำจัดโดยไม่มีข้อยกเว้น
ความคิดเห็น