ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
Wonder Boys (Super Junior Yaoi)

ลำดับตอนที่ #14 : {SPECIAL} When I Grow Up (Heechul's childhood memories ft. Hae, Min & Jae) - 102%

  • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 64


 
 

WONDER BOY. (Special Chapter)

'When I Grow Up...' - Heechul's Childhood Memories

('ถ้าผมโตขึ้นมา...' - วันวานในวัยเด็กของคิมฮีชอล)

--------------------------------------------

'When I grow up, when I grow up, when I grow up...'
'When I Grow Up' - Matilda The Musical.


--------------------------------------------

 

Just because you find that life's not fair

เพียงแค่คุณรู้สึกว่าชีวิตของคุณมันช่างไม่ยุติธรรม...

 

When I grow up: I will get out of here.

ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะออกจากที่นี้

 

...บ้านเด็กกำพร้าบ้านที่แสนย่ำแย่แห่งนี้

 

เด็กกำพร้าคือคำศัพท์แรกที่เขาทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ มันเป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน อาจจะมีโตกว่าบ้างเล็กกว่าบ้างในสถานที่แห่งนี้ แต่ที่ทำให้พวกเขาทุกคนเหมือนกันก็คือทุกๆคนไม่มีพ่อแม่

 

ใครคือพ่อ? ใครคือแม่? คุณค่าหน้าตาเป็นอย่างไรเขาเองก็ยังไม่รู้ สิ่งเดียวที่ยังคงได้รับสืบทอดมาจากผู้ให้กำเนิดปริศนาทั้งสองคนคือชื่อของตัวเอง

 

...ฮีชอล

 

เอาจริงๆเขาเองก็ไม่รู้หรอกว่านั่นคือชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เขาจริงๆหรือเปล่า? แต่ที่เขารู้ก็คือนับตั้งแต่จำความได้ ชื่อๆนี้ก็อยู่กับเขามาตลอด และทุกคนก็เรียกเขาชื่อนี้

 

แค่ฮีชอล

 

ไม่มีนามสกุลอะไรใดๆทั้งสิ้น
 

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแย่หรอก อันที่จริงแล้วเขาออกจะชินกับมันไปเสียแล้วหละ เพราะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวหรอกที่ไม่อาจจะสือทราบหานามสกุลที่แท้จริงได้ ยังมีเด็กคนอื่นที่ประสบปัญหาเดียวกันเสียส่วนใหญ่

           

ฮีชอล! นี่แกอู้งานอีกแล้วใช่ไหม?!”

 

               

เสียงโหดของผู้คุมสถานที่แห่งนี้ดังขึ้นมาเรียกให้เจ้าของชื่อตัวจ้อยต้องสะดุงเฮือก ทว่ายังไม่ทันทีที่เขาจะได้ผงกหัวขอโทษ หรือแม้แต่ละสายตามามองเจ้าของเสียงนั้น มือใหญ่ๆของอีกคนหนึ่งก็ตบเข้าที่ศรีษะตนเสียป้าบใหญ่

               

ผั้วะ~!

               

นี่ฉันบอกแกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าห้ามอู้งาน?! คำพูดคำจาของฉันมันเคยเข้ากะโหลกแกบ้างไหม...ห้ะ?!”และมือใหญ่ข้างนั้นก็ซัดลงมาที่เดิมอีกสองสามครั้ง ฮีชอลหลับตาแน่นปี๋ ได้แต่หวังว่าถ้าเกิดเขาทิ้งตัวเองอยู่ในห้วงแห่งความมืด ให้ดวงตาปิดบังความจริงที่กำลังเกิดขึ้นกับตนทำให้ความเจ็บปวดนั่นหายไป

               

...แต่ไม่เลย มันกลับเจ็บขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ

               

“เย็นนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็น! เด็กเกเรอย่างแกไม่สมควรได้รับมัน!!”

               

และเสียงฝีเท้าก็ดังจากไปก่อนจะตามมาด้วยเสียงประตูที่ปิดดังปัง เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมามองก่อนจะพบกับความว่างเปล่าอีกครั้งหนึ่งในห้องแห่งนี้

               

อดข้าวเย็นอีกแล้วเหรอ?

               

คิดได้เพียงเท่านี้ก็เป็นอันต้องถอนหายใจกับตัวเองเบาๆอย่างเศร้าสร้อย แล้วถ้าเกิดไม่กินอาหารให้ครบทั้งสามมื้อแบบนี้ เขาจะโตขึ้นได้อย่างไรหละ?

               

แล้วแบบนี้เมื่อไหร่เขาจะได้ออกจากนรกแห่งนี้เสียที?

               

คำว่านรกนั้นเอาจริงๆฮีชอลเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจความหมายมันเสียเท่าไหร่ เพราะเขาเคยได้ยินพวกผู้คุมและพวกเด็กโตๆใช้คำนี้อยู่บ่อยแต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปถามความหมายของมัน เขาไม่ได้เข้าใจมันมากเท่าคำว่าเด็กกำพร้าที่เขากำลังเป็นอยู่ แต่เขาแน่ใจว่าคำๆนี้เป็นคำที่ใช้เรียกอะไรที่มันทั้งย่ำแย่ทั้งน่าสะพรึงกลัว

               

เหมือนบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้นี่แหละ

               

ฮีชอลเกลียดทุกคนที่นี่ เกลียดผู้คุมทุกคนที่นี่ เกลียดเด็กโตเด็กเล็กและเด็กที่อายุคล้ายๆเขาทุกคนที่นี่ เกลียดสถานที่แห่งนี้

               

เขารู้ว่าเขายังเด็กอยู่ และอนาคตของเขาเองก็ยังอีกยาวไกล คำว่านรกที่ใช้เรียกอยู่นั้นมันอาจจะมีให้พบเจอเยอะกว่านี้ในกาลเวลาต่อมา แต่ ณ ตอนนี้ที่นี่คือนรกบนดินของเขา...นั่นแหละคือสาเหตุหลักที่เขาอยากจะโตขึ้น เพื่อที่จะได้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้เสียที

 

เขาเกลียดทุกสิ่งทุกอย่าง

 

...จนกระทั่งเขาพบกับคนๆนี้

 

 

When I grow up…

ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

 

 

 

I will spend all day just lying in the sun, but I won't burn 'cause I'll be all grown-up!

และผมจะใช้เวลาทั้งวันนอนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ แต่ผมจะไม่ถูกเผาไหม้หรอกเพราะผมโตแล้ว!

 

When I grow up: I will be able to stay in the Sun longer.

ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะสามารถอยู่ใต้ดวงอาทิตย์ได้นานกว่าเก่า

               

เธอจะมาหาเขาตลอดประมาณบ่ายสอง

               

และเธอจะมาเล่นกับเขาตลอด

               

บ่อยครั้งที่เธอพาเขาออกไปกินข้าว เล่นชิงช้ากับเขา หรือบางครั้งก็นอนดูเมฆบนทุ่งหญ้าในวันที่ไม่ร้อนมากนัก

               

บางทีเธอก็ซื้อขนมจุกจิก หรือของเล่นเล็กๆมาให้เขาด้วย

               

ฮีชอลอยากจะอยู่กับเธอให้นานมากกว่านี้ แต่เพราะเขายังเด็กอยู่ พอได้ออกไปข้างนอกกับเธอ เขาก็สามารถอยู่ได้เพียงแค่ไม่นานเท่านั้นเพราะไม่สามารถทนความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้

               

เขาเกลียดดวงอาทิตย์ที่ทำให้เขาไม่ได้อยู่กับเธอเป็นเวลานาน

               

แต่เขาก็รักดวงอาทิตย์ด้วย เพราะแสงสว่างจากมันทำให้เขาได้เห็นเธอ ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ร่วมสนุกกับเธอ ได้เห็นของที่เธอซื้อมาให้

               

ฮีชอลเจอเธอครั้งแรกเมื่อสองเดือนก่อน ตอนที่ผู้คุมแสนดุร้ายเหมือนยักษ์ใช้ให้เขาไปซื้อของในเมือง และเธอก็ได้มาช่วยเขาถือของ แถมยังซื้อไอศครีมให้ด้วย

 

และนับแต่นั้นมา เธอก็มาเยี่ยมเยียนเขาเป็นประจำทุกวัน

 

เธอเป็นผู้หญิงแปลกหน้า และทุกคนก็สอนเสมอว่าห้ามคุยกับคนแปลกหน้าและห้ามไปไหนมาไหนด้วยเด็ดขาด แต่สำหรับเธอคนนี้แล้ว ฮีชอลรู้สึกถึงแรงดึงดูดปริศนาที่ดึงให้เขาต้องตั้งหน้าตั้งตารอการมาของเธอทุกๆวัน แรงดึงดูดที่ทำให้เขารู้สึกสนุกเพลิดเพลินเวลาได้ใช้เวลาไปกับเธอ และแรงดึงดูดที่ทำให้เขาต้องร้องไห้ทุกครั้งเมื่อพบว่าเขาต้องกลับนรกนั่นเสียแล้ว

 

         “ฮีชอล เกิดวันไหนกัน?”

 

         คำถามนั่นทำให้เจ้าของชื่อเป็นอันต้องส่ายหน้าไปมาอย่างสลดใจ...อย่างที่บอกไป เขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับตัวเอง ไม่แม้กระทั่งวันเกิด

 

         เธอทำหน้าตกใจ เขารู้ว่าเธอกำลังตกใจเพราะเธอเบิกตากว้างแล้วยกมือขึ้นปิดปาก และเธอก็ได้พึมพำคำพูดที่ทุกคนในบ้านเด็กกำพร้าสั่งห้ามไม่ให้พูด ถ้อยคำไม่รื่นหูเหล่านั้นที่ทุกคนเรียกว่าคำหยาบ

 

         “ตายห่าแล้วไงกู! ม ไม่ต้องร้องไห้นะฮีชอล!”

 

         เจ้าของชื่อส่ายหน้าอีกครั้งหนึ่งแล้วพยายามส่งรอยยิ้มที่เขาคิดว่าแสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลยกับคำพูดเมื่อกี้ของเธอไปให้ เธอมีสีหน้าโล่งอกก่อนที่จะดีดนิ้วดังเป้าะ...อีกหนึ่งสิ่งที่ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาคงสามารถทำได้ด้วยเช่นกัน

 

         “อยากมีวันเกิดไหมเรา?”คำถามนั่นเรียกให้เขาเป็นอันต้องเลิกคิ้วอย่างงุนงงกับสิ่งที่เขาได้ยิน แต่กระนั้นเขาก็พยักหน้ารับไป

 

 

         เขาเคยเห็นคนอื่นๆจัดปาร์ตี้วันเกิดตัวเอง มีเค้กและมีของขวัญ และมีแต่คนร้องเพลงภาษาอังกฤษที่เขาเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง จะอะไรก็ช่างเขาไม่เคยสนใจอะไรพวกนี้อยู่แล้ว...ก็เขาเกลียดทุกคนที่นั่นนี่

 

         แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ฮีชอลแอบอิจฉาอยู่ลึกๆก็คือการได้อธิฐานขอพรก่อนเป่าเทียนวันเกิด

 

         เขาอยากจะมีวันเกิดตัวเอง เพื่อที่จะได้ขอพรว่าให้ตัวเองได้โตขึ้นเร็วๆและได้ออกจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด

 

         “อ้ะ~ นี่ เอาไปสิฮีชอล”

 

       สิ่งต่อมาที่เขารับรู้ก็คือขนมคัพเค้กที่เธอชอบทำมาให้เขากินชิ้นเล็กถูกยื่นมาให้เขา เธอฉีกยิ้มหวาน รอยยิ้มที่มักจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นยามที่ได้มัน

               

       “คิดซะว่านี่คือเค้กวันเกิดเราแล้วกันนะฮีชอล”

               

        ฮีชอลรู้สึกว่าตัวเองกำลังเบิกตากว้าง เขาสาบานได้เลยว่าเขารู้สึกถึงลูกตาที่แทบจะถลนออกมาจากเบ้ากับสิ่งที่ตนเห็น

               

        เค้กวันเกิด...ของเขาคนเดียว?

 

        เขามีเค้กวันเกิด!

 

      “อึ้งอะไรกันเรา?! ในเมื่อเรามีเค้กวันเกิดแล้ว...เอาเป็นว่า วันนี้เป็นวันเกิดเราแล้วกัน!”

 

         ตลอดชีวิตของเขา...ห้าปีได้แล้วหละที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเขาจำไม่ผิดนะ ฮีชอลไม่เคยรู้สึกมีความสุขจนต้องทั้งยิ้มทั้งร้องไห้ออกมาพร้อมๆกับตลอดชีวิต

 

         “ผม...ฮึก~ ไม่ได้เสียใจนะฮะฮึกก~!”เขาพยายามเอ่ยออกมาให้เธอเข้าใจท่ามกลางก้อนสะอื้นไห้ที่จุกอยู่ตรงคอ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจต้านบ่อน้ำตาที่แตกทะลักออกมาไหวจึงต้องปล่อยร้องไห้ออกมา แต่กระนั้นเขาก็พยายามยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วส่ายหน้าไปมาบ่งบอกให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้เสียใจ แต่เขากำลังดีใจ ถึงแม้จะไม่รู้ก็ตามว่าทำไมน้ำตาต้องไหลออกมาทั้งๆที่กำลังมีความสุข

 

 

 

         เธอฉีกยิ้มหวานแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวเขา “ถ้ามัวแต่มานั่งปล่อยโฮแบบนี้ก็คงไม่มีวันได้กินเค้กวันเกิดหรอกนะ อีกอย่าง~! เป็นผู้ชายเขาห้ามร้องไห้!

 

       คงเพราะความอบอุ่นจากมือนุ่มที่กำลังลูบหัวเขา หรืออาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงอ่อนโยนทีก่ำลังพูดกับเขา ไม่ก็รอยยิ้มนั้น...แต่ฮีชอลคิดว่าทุกอย่างนั่นแหละที่มีอำนาจดุจเวทมนต์คาถาทำให้น้ำตาหยุดไหลได้ในที่สุด

 

           “ฉันไม่ได้เอาเทียนหรืออะไรมาด้วยนะ...เพราะงั้นเรามาลองจินตนาการว่ามันมีเทียนปักอยู่ก็แล้วกัน”เมื่อเขาพยักหน้ารับ เธอก็พูดต่อ “Now make a wish! เอาหละ อธิฐานได้แล้ว!”
 

           โดยไม่ต้องรอให้เธอต้องพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ฮีชอลก็รีบหลับตาแน่นแล้วรีบขอพรในใจอย่างรวดเร็ว เขาไม่ต้องเสียเวลามานั่งคิดแบบคนอื่นๆหรอกว่าอยากจะได้อะไรบ้าง เพราะเขารู้อยู่แก่ใจแล้วว่าคำอธิฐานของเขาคืออะไร เพราะมันคือสิ่งที่เขาเฝ้าบอกตัวเองทุกๆวัน

 

          ฮีชอลสูดหายใจเข้าปอดแล้วเอ่ยพรกับตัวเองในใจเงียบๆแล้วเป่าลมใส่เทียนจินตนาการบนคัพเค้กนั่น

 

          ขอให้เขาโตไวๆ จะได้ออกจากที่นี่เร็วๆเถอะ

 

When I grow up…

ถ้าผมโตขึ้นมา...


[End of Childhood Memories: Before Adopted]

 

  

 

 

And when I grow up…I will be brave enough to fight the creatures that you have to fight beneath the bed each night to be a grown up.

          ถ้าผมโตขึ้นมา...ผมจะกล้าหาญพอที่จะต่อสู้กับสัตว์ประหลาดใต้เตียงที่คุณต้องต่อสู้ทุกๆคืนเพื่อที่จะเติบโตขึ้นมาได้

 

When I grow up: I can fight off those nighttime monsters.

ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะสามารถต่อสู้กับพวกสิ่งมีชีวิตในยามวิกาลได้

 

ฮีชอล...ไม่สิ ต้องคิมฮีชอลแล้วหละ เพราะ ณ ตอนนี้เขามีนามสกุลให้เรียกครบสูตรแล้ว

 

เขามีบ้าน มีครอบครัวเสียที

 

เอาจริงๆแล้วฮีชอลเองก็ไม่ค่อยจะรู้หรอกนะว่า ไอ้คำว่าครอบครัวเนี่ยมันแปลว่าอะไร แต่มีอย่างเดียวที่เขาพอรู้ได้ก็คือว่าครอบครัวนั้นหมายถึงเมื่อมีคนๆหนึ่งรักเขาและดูแลเอาใจใส่เขาเหมือนที่เธอได้ทำกับเด็กอย่างเขา

 

ไม่ใช่เธอสิ...แม่ต่างหาก

 

 

แม่...ถึงตอนแรกๆคำนี้จะไม่ค่อยคุ้นปากเสียเท่าไหร่ แต่พอนานวันเข้าฮีชอลก็กลับพบว่ามันเป็นคำพูดที่เขาชอบที่สุด คงเพราะเขาใช้เรียกเธอ คนที่เขารักที่สุดด้วยแหละมั้ง

 

นี่ก็ผ่านมาเกือบปีกว่าแล้วนับตั้งแต่แม่ได้อุปการะเขา พาเขาออกไปจากนรกแห่งนั้น ทำให้พรของเขาได้เป็นจริงสมดั่งที่หวังเอาไว้มาหลายปีในที่สุด...แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเลิกหยุดขอพรหรอกนะ

 

ถ้าถามคิมฮีชอลว่า ณ ตอนนี้อยากได้พรอะไรมากที่สุด เขาก็จะรีบตอบกลับไปโดยไม่ต้องรีรอทันทีว่า เขาอยากจะโตขึ้นให้เร็วที่สุด

 

ทำไมหนะเหรอ?

 

 “นอนไม่หลับเหรอฮีชอล?”

 

เสียงนุ่มของอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างๆเรียกให้เจ้าของชื่อต้องสะดุ้งหลุดออกมาจากห้วงความคิดของตัวเอง ภายในความมืดมิดนั้นเขาสามารถสัมผัสได้เลยว่าแม่กำลังฉีกยิ้มมาให้เขา รอยยิ้มที่มักจะวาดอยู่บนใบหน้าของแม่เสมอเวลาที่ต้องการจะปลอบขวัญเขา

 

“จะให้แม่นอนกอดไหมฮีชอล?”โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เขาก็รีบพยักหน้าแล้วกระเถิบเข้ามาให้อีกฝ่ายทันที อ้อมกอดอุ่นที่มักจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา อ้อมกอดอุ่นที่มีพลังมากพอที่จะขับไล่สัตว์ประหลาดที่กบดานอยู่ใต้เตียงและพร้อมที่จะคลานออกมาทำร้ายแม่กับเขาตลอดในยามวิกาลนั่น

 

ณ ตอนนี้เขายังตัวเล็กอยู่ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาต้องเป็นฝ่ายให้แม่ปกป้องเขาจากพวกสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดแสนน่ากลัวนี้ทุกๆคืนก่อนนอน

 

เดี๋ยวรอเขาตัวโตกว่านี้ก่อนเถอะนะ ความกล้าหาญ และพละกำลังจะยิ่งมีมากขึ้นไปใหญ่จนเจ้าสัตว์ประหลาดพวกนั้นจะต้องถึงกับเกรงกลัวเขา

 

พอเวลานั้นมาถึง เขาจะเป็นฝ่ายปกป้องแม่เอง

 

When I grow up…

ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

 


 

and I will go to bed late every night.

และผมจะไปนอนตอนดึกทุกคืน
 

When I grow up: I can stay as late as I want.

          ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะสามารถเข้านอนได้กี่โมงก็ตามแต่ใจตัวเอง

 

            ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆแล้วเขาก็จะได้เข้านอนเป็นเพื่อนแม่ จะได้ไม่ต้องปล่อยให้แม่ต้องดูทีวีอยู่คนเดียวเป็นอันเด็ดขาด และที่สำคัญก็คือเขาจะสามารถดื่มกาแฟ ไอ้เครื่องดื่มขมๆที่แม่ชอบดื่มทุกเช้าได้

 

           ทีนี้เขาจะได้อยู่เป็นเพื่อนแม่จนแม่ง่วงเสียที

 

           ในทุกๆคืน ฮีชอลจะอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดในทุกครั้งที่พบว่าตัวเองได้ถึงลิมิตในการพยายามถ่างตาให้ตื่นอยู่ได้แล้ว สุดท้ายแม่ก็ต้องอุ้มเขาที่สะลึมสะลืองัวเงียเข้าไปนอนในห้องนอนก่อนเรื่อยไป

 

           และในทุกๆครั้งที่ตื่นมา คิมฮีชอลก็จะบอกตัวเองว่า วันนี้ต้องเป็นวันแรกที่เขาสามารถต่อสู้กับความง่วงได้ในที่สด แต่ดูเหมือนว่าคงเพราะเขายังโตไม่พอที่จะสามารถฝืนมันได้ จนแล้วจนรอดก็เป็นอันต้องแพ้มันเรื่อยไป

 

วันนี้เองก็เช่นกัน

 

“เมื่อไหร่ผมจะได้ดื่มกาแฟเสียทีฮะ?”แม่ของเขาเลิกคิ้วอย่างงุนงงกับคำถามของเขาที่พยายามเอ่ยฝืนความง่วงที่พยายามถ่วงดวงตาให้หลับลง

 

          “ก็ต้องรอให้เราโตก่อนสิฮีชอล”

 

 

           เจ้าของชื่อเบะปากอย่างไม่พอใจ แต่กระนั้นเขาก็บอกตัวเองให้ลุกขึ้นมาหอมแก้มบอกราตรีสวัสดิ์แม่ให้ได้แล้วก้มลงนอนอีกครั้งหนึ่ง เขาแสร้งทำเป็นหลับตาแกล้งหลับเพื่อหลอกให้แม่ตายใจว่าเขาได้เข้าสู่ห่วงนิทราแล้วจริงๆ

 

           พอได้ยินเสียงประตูที่ปิดลงเบาๆ ฮีชอลก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วมองไปยังที่ว่างข้างๆเตียง เขายังไม่กล้าพอที่จะนอนคนเดียวในความมืดได้เลยต้องมีแสงไฟจากหัวเตียงเปิดเอาไว้ พอแม่มานอนถึงจะค่อยปิด

 

           ถ้าเขาโตเมื่อไหร่ แม่จะได้มีเพื่อนอยู่ยันดึกเสียที

 

           และถ้าเขาโตขึ้นเมื่อไหร่ โคมไฟบนหัวเตียงคงไม่จำเป็นต่อไปสำหรับเขาและแม่

 

When I grow up…

ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

 

 

            When I grow up…I will be tall enough to reach the branches that I need to reach to climb the trees
you get to climb when you're grown up.

          ถ้าผมโตขึ้นมา...ผมจะสูงพอที่จะสามารถเอื้อมมือไปจับกิ่งไม้ที่ผมต้องจับมันเพื่อปีนต้นไม้ตอนผมโตขึ้น

 

          When I grow up: I can climb the tree and reach the peak of it.

          ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะสามารถปีนต้นไม้ไปจนถึงยอดสูงสุดได้

               

          นั่นจะเป็นสิ่งแรกที่เขาทำทันทีที่สูงพอที่จะสามารถเอื้อมมือไปคว้ากิ่งไม้ที่อยู่ต่ำที่สุดบนต้นไม้ต้นนี้ได้ และขนาดเขาพยายามกระโดดให้สูงที่สุดหลายๆครั้งจนเมื่อยขาแล้วนะเนี่ย

 

          สุดท้ายก็เป็นอันทำได้เพียงแค่ยืนมองเสื้อยืดตัวโปรดของแม่ยั่วโทสะติดอยู่บนกิ่งไม้อย่างไม่อาจเป็นอันทำอะไรได้ในที่สุด

 

          “ฮึก~”ในเมื่อพบว่าความสามารถของตัวเองนั้นไร้ประโยชน์ การร้องไห้คือสิ่งต่อมาที่คิมฮีชอลตัวน้อยๆคนนี้สามารถ

 

          เขาไม่รู้หรอกนะว่าร้องไห้ไปนานเท่าไหร่ อย่างเดียวที่รู้คือเขาจะยืนร้องไห้อยู่ตรงนี้จนกว่าจะเสื้อของแม่ที่ติดอยู่บนกิ่งไม่จะรู้สึกสงสารเขาและยอมลอยลงมาเสียที

               

            “เป็นอะไรไปครับน้อง? ร้องไห้ทำไมหรือ?”เสียงของบุคคลที่สองที่ดังขึ้นมาเรียกให้เขาหันกลับไปดู เด็กผู้ชายตัวโตกว่าเขาหลายปี...คงจะเป็นเด็กประถมแล้วแน่นอนถ้าดูจากส่วนสูงและชุดนักเรียนที่ดูราคาแพงนั่นแล้ว คนตรงหน้ากำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาเป็นกังวล

 

           เพราะเขาเศร้าเกินกว่าที่จะตอบกลับไปได้ สุดท้ายนิ้วเล็กป้อมนั่นก็ชี้ไปยังยอดของต้นไม้สูงนั่นแทนคำตอบ เด็กผู้ชายคนนั้นมองตามไปก่อนที่จะหันกลับมามองเขาอีกครั้งหนึ่ง

 

 

           “ของน้องเหรอครับ?”ฮีชอลพยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ปิดบังภาพตรงหน้าจนพร่ามัว เขาเห็นการเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างผ่านม่านน้ำตาที่หนาเตอะนี่

 

           ครั้นทัศนียภาพตรงหน้าโล่งชัดแล้วนั้นเขาก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าคนตรงหน้าที่เคยยืนอยู่บัดนี้หายไปเสียแล้ว เหลือเพียงแค่กระเป๋าหนังที่เจ้าตัวถือมาด้วยที่วางกองอยู่กับพื้น และเสื้อสูทสำหรับเด็กที่ถูกวางเอาไว้ข้างๆกันราวกับว่าถูกคนใส่โยนออกอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก

 

          ไวเท่าความคิด ฮีชอลก็รีบหันกลับไปมองยังต้นไม้ข้างหน้าเขาอีกทีก่อนจะพบว่าพี่ชายคนนั้น ณ บัดนี้ได้ปีนขึ้นต้นไม้ไปอย่างรวดเร็วว่องไวเสียแล้ว

 

          “พ พี่ฮะ~!”พี่ชายข้างบนต้นไม้เอื้อมมือไปคว้าเสื้อสีฟ้าตัวโปรดของแม่มาแล้วหันมาฉีกยิ้มให้เขา ไม่กี่อึดใจต่อมาพี่เขาก็ปีนลงมายืนอยู่ข้างหน้าเขาอย่างคล่องแคล่วว่องไวจนเขาอิจฉาแล้ว

 

         “ขอบคุณนะฮะ พี่...เอ่อ...พี่...”

               

“พี่ชื่อซีวอนครับ”

               

“ขอบคุณมากฮะพี่ซีวอน!”

 

ระหว่างที่เขายืนโบกมือบ้ายบายพี่ชายแสนใจดีที่ยื่นหน้าออกมาจากรถที่มารับตัวเองกลับบ้านอยู่นั้น หนึ่งสิ่งที่แล่นเข้ามาในความคิดของคิมฮีชอลก็คือ...

         

...ถ้าเขาโตขึ้น เขาจะต้องปีนต้นไม้ให้เก่งเหมือนพี่ซีวอนให้ได้!

 

When I grow up…

ถ้าผมโตขึ้นมา...

  





 

And when I grow up, I will be smart enough to answer all the questions that you need to know the answers to before you’re grown up.

 

 

และถ้าผมโตขึ้นมา ผมจะฉลาดพอที่จะสามารถค้นหาคำตอบสำหรับคำถามที่คุณจะต้องรู้ก่อนที่คุณจะเติบโตขึ้นมา

 

When I grow up: I can read English books.

 

 

ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะสามารถอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้

 

ตัวหนังสือภาษาที่ดูยากเกินกว่าที่เขาจะสามารถเข้าใจได้ แม่บอกว่ามันเรียกว่าภาษาอังกฤษ’ และเป็นภาษาที่ทุกคนเขาพูดกันทั่วทุกมุมโลก ภาษาที่ถ้าเขาโตขึ้นจะต้องเรียน

 

 

 

แค่คิด ฮีชอลก็รู้สึกกลัวแล้วหละ...ขนาดภาษาตัวเองเขายังไม่สามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่วเลย จะนับประสาอะไรกับอีกหนึ่งภาษาที่ยิ่งต้องทำให้ลำบากสมองไปมากกว่านี้หละ?

 

 

 

แต่ว่า เขาก็อยากที่จะเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกันนะ

 

 

 

ทำไมหนะเหรอ? ก็เพราะว่าเขาเห็นว่าหนังสือส่วนใหญ่ที่อยู่ในตู้หนังสือของแม่ และที่แม่ชอบอ่านก็มีแต่ภาษาอังกฤษอะไรนี้เต็มไปหมด และบางทีแม่ก็ชอบจะแปลหนังสือที่อ่านมาเล่าให้เขาฟังเป็นนิทานก่อนนอน

 

 

 

“และแล้ว ตอนจบมิสฮันนี่ก็เลยได้อยู่กับมาทิลด้าสมใจอยาก...The end! จบแล้ว!”

 

 

 

ฮีชอลพยายามฝืนความง่วงที่เข้ามาครอบงำตัวเองแล้วฉีกยิ้มให้แม่เป็นเชิงขอบคุณ แม่วางหนังสือนิยายที่ถูกสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่าMatildaลงบนหัวมุมโต๊ะข้างๆแล้วโน้มมาจูบราตรีสวัสดิ์เขาเบาๆบนหน้าผากก่อนจะเอื้อมไปหยิบอีกหนึ่งเล่มหนาเตอะที่วางเอาไว้ข้างๆกันมาอ่านคนเดียว

 

 

 

ก่อนความง่วงจะเข้าครอบคุมตัวเองให้จมลงสู่ห้วงนิราไปนั้น เขาเหลือบไปมองยังสันหนังสือที่มีตัวภาษาอังกฤษที่เขียนเอาไว้ เขารู้ว่ามันเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ...ถึงแม้ว่ามันจะดูแตกต่างจากหนังสือที่แม่อ่านให้เขาฟังเมื่อครู่ก็เถอะ ไม่ใช่แค่ตัวอักษรเท่านั้นหรอกที่ดูแปลกตไป หากแต่เป็นภาพวาดและโทนสีบนปกด้วยที่บอกได้เลยว่าเรื่องนี้สำหรับคนที่โตแล้วอ่านเท่านั้น

 

 

 

แถมตัวอักษรยังดูยาวกว่าเรื่องมาทิลด้าที่แม่เพิ่งอ่านให้ฟังเสียอีก สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงแค่มองตัวอักษรที่ไม่สามารถอ่านออกได้

 

 

 

Animal Farm by George Orwell

 

 

 

ถ้าเขาโตขึ้น เขาจะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะได้อ่านหนังสือแบบที่แม่อ่านได้

 

 

 

และเขาจะสามารถคุยกับแม่เรื่องหนังสือภาษาอังกฤษ เขาจะไม่ต้องปล่อยให้แม่ต้องอ่านอยู่คนเดียวโดยไร้ซึ่งคนที่จะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย

 

 

When I grow up…

ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

 

 

 

 

 

 

When I grow up, I will be strong enough to carry all the heavy things you have to haul around with you when you’re a grown-up.

 

ถ้าผมโตขึ้นมา ผมจะแข็งแรงพอที่จะสามารถถือข้าวของหนักๆได้โดยที่ไม่ต้องลำบากแบกไปไหนมาไหนเมื่อผมโตขึ้นมาแล้ว

 

 

 

When I grow up: I can help carrying all those heavy things.

 

ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะสามารถช่วยแม่ถือของที่มันหนักได้


 

ทุกๆครั้งที่เขาเห็นแม่ต้องถือข้าวของถุงยักษ์ใหญ่ที่บางครั้งก็ใหญ่เกือบจะเท่าตัวเขาจนพะรุงพะรัง ฮีชอลก็อดไม่ได้ที่จะต้องน้ำตาซึมทุกครั้งอย่างรู้สึกผิด

 

 

 

บางครั้งเขากับแม่ก็จะเจอพลเมืองดีมาช่วยแม่ถือของ แต่บางทีแม่ต้องถือถุงพวกนั้นขึ้นรถ หรือไม่ก็ต้องเดินกลับบ้านเองคนเดียว โดยที่มีเขาเดินตามและถือถุงที่แสนจะเบาจนแทบจะไม่รู้สึกเลยว่ากำลังถืออยู่ตามหลังต้อยๆไป

 

 

 

ฮีชอลเม้มปากเพื่อกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลออกมาระหว่างที่ทอดสายตามองดูหลังของแม่ที่ห่างไปเรื่อยๆ แม่ดูตัวเล็กลงขึ้นมาทันทีเมื่อเทียบกับจำนวนข้าวของที่แม่ถืออยู่

 

 

 

แม่ฮะ รอผมโตก่อนนะฮะ

 

 

 

แล้วผมจะเป็นคนที่ดูตัวเล็กไปเองเวลาที่ต้องถือถุงพวกนั้น

 

 

 

When I grow up…

ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

 

 

[End of Childhood Memories: Adopted]

 

 

 

 

 

 

Just because I find myself in this story, it doesn’t mean that everything is written for me.

เพียงเพราะผมตกอยู่ในเรื่องๆนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกเขียนเอาไว้เพื่อผมโดยเฉพาะ

 

When I grow up: I will stop being a crybaby.

ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะเลิกเป็นเด็กขี้แยเสียที

 

“ไอ้ลูกกำพร้า! ไอ้ลูกกำพร้า!”

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และคิมฮีชอลก็รู้ว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วยที่คำพูดพวกนี้จะถูกเอ่ยออกมาจากเพื่อนร่วมชั้นเจาะจงมาที่เขาโดยเฉพาะ

 

“ง เงียบนะ!”เขาพยายามอย่างมากที่สุดในการทำให้ตัวเองดูดุ ทว่าดูเหมือนว่าคำห้ามของเขาจะยิ่งเป็นเหมือนน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ เพื่อนๆอันธพาลทั้งหลายยิ่งหัวเราะชอบใจเข้าไปใหญ่ พวกเขาพากันชี้นิ้วมายังเขาแล้วตะโกนล้อเสียงดังลั่น

 

“ไอ้ลูกกำพร้า! ไอ้ลูกกำพร้า!!”

 

หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

 

“แม่ฉันบอกว่าแม่ของฮีชอลไม่ใช่แม่จริงๆด้วยหละ!”

 

แล้ว...แล้วไงหละ?!”

 

ใช่ๆ! แม่ฉันก็บอกอีกเหมือนกันว่าแม่ของฮีชอลอยู่กับผู้ชายอีกคนโดยไม่ได้แต่งงานกันด้วย!”

 

อ อย่ามาว่าวูลฟ์นะ!”

 

“คนอะไรชื่อแปลก?! นั่นพ่อนายหรือเปล่า? เอ้ะ~ ลืมไป...นายมันไอ้ลูกกำพร้า!”

 

เสียงหัวเราะดังลั่นทั่วห้อง ไม่ว่าจะเป็นทั้งชายทั้งหญิง ทุกคนพากันหัวเราะกับคำพูดนั้น พวกนั้นชี้นิ้วมาที่เขาแล้วตะโกนเรียกพร้อมกันอีกครั้งหนึ่งด้วยเสียงที่ดังและพร้อมเพรียงกันกว่าเดิม


          “ไอ้ลูกกำพร้า! ไอ้ลูกกำพร้า!!”

 

“เงียบ! เงียบสิฮึก~!”

 

ทำไมไม่มีใครเข้าใจเขาเลย? ทำไมไม่มีใครอยู่ข้างเขาเลย?

 

“ไอ้ลูกกำพร้า! ไอ้ลูกกำพร้า!!”

 

คิมฮีชอลกำลังพยายาม พยายามอย่างมากในการตะโกนกลบเสียงพวกนั้นจนแสบคอไปหมด แต่ก็ไม่สามารถสั่งให้พวกนั้นหยุดได้

 

และคิมฮีชอลก็กำลังพยายามในการกลั้นน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหลออกมาอีกแล้ว

 

“ไอ้ลูกกำพร้า! ไอ้ลูกกำพร้า!!”

 

แต่ดูท่าว่ามันจะไม่เป็นผล และยิ่งพวกนั้นเห็นเขายืนร้องไห้อย่างช่วยเหลือไม่ได้นั้นก็ยิ่งทำให้พวกนั้นได้ใจล้อเขาหนักเข้าไปใหญ่ราวกับว่าน้ำตาเป็นเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมที่สุดในการกลั่นแกล้งตน

 

ฮีชอลรู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้แย เขามักจะร้องไห้กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องตลอด โดยเฉพาะกับเรื่องๆนี้ที่เขาจะรู้สึกว่าบ่อน้ำตาสามารถแตกได้ตลอดเพียงแค่นึกถึงมัน...ก็เขาเลือกเกิดไม่ได้นี่

 

“ไอ้ลูกกำพร้า! ไอ้ลูกกำพร้า!!”

 

เขาเคยสัญญากับตัวเองว่า เขาจะต้องเข้มแข็งมากกว่านี้ตอนโตขึ้น เขาจะไม่เป็นคนขี้แยแบบที่กำลังยืนร้องไห้อย่างน่าสมเพชอีกต่อไป

 

ถ้าเขาโตขึ้น เขาจะเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งพวกนี้เอง

 

When I grow up…

ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

 

 

 

ซอลแทบอยากจะถลาไปตบหัวให้หน้าไอ้เด็กเวรระยำพวกนั้นให้จูบพื้นจนหัวโนให้รู้แล้วรู้รอดหายแค้นกันไปข้างหนึ่งทันทีที่หล่อนได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียนประถมที่เด็กน้อยของเธอเรียนอยู่
 

“ฮีชอลถูกเพื่อนแกล้งจนร้องไห้คะ”

 

เธอหละอยากจะตะคอกอาจารย์ถามกลับไปเหลือเกินว่า แล้วหล่อนทำไมไม่ไปห้ามเด็กหละยะ? มาโทรศัพท์หาฉันก่อนทำไมกัน? นี่ฉันเสียเงินให้หล่อนมานั่งมองลูกฉันร้องไห้ใช่ไหม?!

 

และทันทีที่หญิงสาวรีบถลาจากที่ทำงานมาถึงโรงเรียน เด็กน้อยของหล่อนก็ยืนกอดขาครูประจำชั้นผู้แสนใจดีร้องไห้โฮอยู่หน้าโรงเรียน

 

“ฮีชอล!”เด็กน้อยของหล่อนเงยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำตามาก่อนที่จะวิ่งมากระโดดกอดหล่อน ซอลรีบพรมจูบทั่วศรีษะเล็กเพื่อปลอบขวัญลูกรักในดวงใจของหล่อนอย่างรวดเร็ว “โอ๋ๆ~ ไม่ร้องนะคนเก่งของแม่ ไม่เอานะลูก”

 

ไอ้เวรพวกนั้นมันกล้าดีอย่างไรมาล้อเด็กน้อยแบบนี้?!

 

ซอลไม่ใช่นางงามเกาหลี ไม่คิดจะเป็นด้วย...เธอสามารถตบเด็กตัวเล็กๆคว่ำได้เลยอย่างไม่รอช้า

 

“เขา...ฮึก~ เรียกผมว่า...”

 

“แม่รู้จ้ะ ฮีชอล...อย่าไปสนใจไอ้เวร...เอ้ย! เพื่อนๆนิสัยไม่ดีพวกนั้นเลยนะ เด็กน้อยของแม่ก็ยังมีแม่คนนี้อยู่ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ?”เด็กน้อยของเธอพยักหน้ารับ แต่กระนั้นดูจากสีหน้าที่ยังคงไม่คลายความไม่สบายใจแล้วนั้น หญิงสาวบอกได้เลยว่าคำพูดล้อเลียนแสนหยาบคายชนิดที่เธอหละอยากจะสั่งสอนเหลือเกินนั่นยังคงรุมเร้าเด็กน้อยอยู่

 

“ฮีชอลฟังแม่นะ”

 

เจ้าของชื่อเงยหน้ามามองผู้เป็นแม่ และสิ่งต่อมาที่เขารับรู้ก็คืออีกฝ่ายได้ยกตัวเขาให้กลับมายืนบนพื้นอีกครั้งหนึ่ง แม่ย่อตัวลงมาเพื่อให้อยู่ในระดับสายตาเขาแล้วฉีกยิ้ม สองมือของแม่เอื้อมมากุมมือของเขาแล้วบีบแน่นๆ

 

Just because you find that life’s not fair, it doesn’t mean that you just have to grin and bear it. If you always take it on the chin and wear it, nothing will change. ถ้าเด็กน้อยคิดว่าชีวิตมันช่างไม่ยุติธรรม มันก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กน้อยจะต้องมาฝืนยิ้มทนกับมันนี่ใช่ไหม? ถ้าเด็กน้อยยังยอมใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะลูก”

 

“ถ้าเด็กน้อยไม่ทำอะไรกับมัน ทุกอย่างก็จะต้องเป็นไปเหมือนเดิมนะ”

 

ซอลไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กน้อยของเธอเข้าใจคำพูดของเธอมากน้อยแค่ไหน เธอรู้แต่ว่าอย่างน้อยๆฮีชอลก็เข้าใจมันเมื่อเด็กน้อยของเธอพยักหน้ารับ

 

ไม่เป็นไรหรอก...เธอบอกตัวเอง ถึงเด็กน้อยของเธอจะเป็นคนขี้แย แต่เธอก็เชื่อว่าในตัวของลูกรักที่แม้จะต่างสายเลือดกันแต่ถูกชะตาสุดๆนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน เด็กน้อยของเธอเองก็มีความเข้มแข็งและความกล้าหาญมากพอที่จะจัดการกับเรื่องพวกนี้

 

เพียงแต่ต้องรอวันที่มันจะปะทุออกมาเองเท่านั้นแหละ

 

 



 

If I think the ending is fixed already, I might as well be saying I think that it's OK! And that's not right!

ถ้าผมคิดว่าตอนจบมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ผมก็คงพูดว่าไม่เป็นไรหรอก ผมทนได้! แต่มันไม่ถูกต้องเลยหนะสิ!

 

When I grow up: I will punch whoever insults me in their face without hesitation…like this time.

ถ้าเขาโตขึ้น เขาจะต่อยหน้าใครก็ตามที่ด่าเขาโดยไม่ต้องลังเล...แบบครั้งนี้

 

ผลั่กกกก~!!

 

และสิ่งต่อมาที่คิมฮีชอลรับรู้ก็คือเขากำลังนั่งอยู่ในห้องพักครู ระหว่างที่อาจารย์คนหนึ่งกำลังรีบโทรหาแม่เขาด้วยสีหน้าร้อนรนใจเป็นที่สุด

 

เขาก้มลงมองดูมือตัวเองแล้วกำหมัดเข้าหากัน...กำปั้นเล็กๆข้างนี้สินะ ที่เขาเพิ่งใช้ต่อยหน้าหัวโจกที่ล้อเลียนเขาไปเมื่อครู่จนอีกฝ่ายร้องไห้โฮและถูกหามตัวไปยังห้องพยาบาล

 

การใช้กำลังในโรงเรียนเป็นกฏข้อห้ามที่ทุกคนรวมไปถึงฮีชอลด้วยรู้ดี

 

แต่กระนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มกับตัวเอง เขารู้สึกถึงแรงดึงปริศนาบนใบหน้าที่ทำให้เขาต้องฉีกยิ้มออกมาอย่างไม่อาจจะฝืนตัวเองได้ เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างอุ่นๆในตัวเอง มันไม่ใช่สสารที่แตะต้องได้...มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นมีความสุขอะไรบางอย่างเมื่อค้นพบว่าตัวเองได้ตั๊นหน้าอันธพาลคนนั้นไปสุดแรง

 

                เขาไม่รู้หรอกนะว่าความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าอะไร แต่เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรไปกับว่าเพิ่งได้ปฏิวัติตัวเองและแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาคนนี้เองก็ไม่ใช่คนขี้แยที่ทุกคนจะต้องรวมหัวกันแกล้ง

 

                ก็ดูอย่างเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นสิ

 

                ฮีชอลสาบานได้เลยว่าเขาเห็นเลือดไหลออกมาจากรูจมูกข้างหนึ่งด้วย

 

                “เด็กน้อย!!”

 

     รอยยิ้มทุกอย่างเป็นอันต้องหายไปจากหน้าทันทีที่ได้ยินเสียงผู้ปกครองของตัวเองดังขึ้นมา ความสุขเล็กๆที่ก่อตัวขึ้นในใจเป็นอันต้องถูกแทนที่ด้วยความกลัวทันทีที่เห็นแม่ของเขาวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องพักครูและกำลังยืนคุยกับอาจารย์ประจำชั้นเขาอยู่

 

         ดุ...ต้องโดนแม่ดุแน่ๆ!

 

                เอาไงหละคิมฮีชอล! นายทำให้แม่ต้องลำบากโดดงานมาเจอนายอีกแล้ว!

 

                เป็นลูกที่ย่ำแย่จริงๆ!

 

                “ฮีชอล...”เจ้าของชื่อสูดหายใจเข้าปอดเรียกความกล้าหาญที่ยังคงเหลืออยู่บ้างแล้วก้มหน้าเดินไปหาแม่ที่กำลังกวักมือเรียกเขาอยู่

 

                ราวกับสัมผัสได้ถึงพายุไต้ฝุ่นที่กำลังก่อตัวอยู่ อาจารย์คนอื่นๆก็รีบพากันเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วทิ้งให้เขายืนรอรับชะตากรรมกับแม่อยู่สองคน

 

                “ต่อยหน้าเพื่อนจนจมูกหักเลยเหรอ?”

 

                ความเงียบคือคำตอบที่เขาตอบแม่กลับไป สองตาก้มลงจับจ้องไปยังรองเท้าคู่เก่าของตัวเองอย่างไม่กล้าคิดจะมองหน้าแม่

 

                “ว่าไงหละฮีชอล?”

 

                สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นอันต้องพยักหน้ารับตอบกลับไปอย่างช่วยเหลือไม่ได้ก่อนที่จะรีบหลับตาปี๋ทันทีที่รู้สึกว่าแม่เขาเงื้อมือขึ้น

 

                แม่ต้องตีเขาแน่ๆ!

 

                ทว่าสัมผัสที่คิมฮีชอลได้รับกลับไม่ใช่ความเจ็บประการใดทั้งสิ้น สัมผัสอ่อนโยนของมือที่กำลังขยี้เส้นผมตนไปมาอย่างเอ็นดูนั้นเรียกให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มมาให้เขาอย่างประหลาดใจ

 

                “That’s my boy! นี่สิลูกแม่!”

 

                คำชมที่หลุดออกมาจากปากแม่แทนที่จะเป็นถ้อยคำดุด่าตักเตือนตามที่จินตนาการพาลพากลัวเอาไว้ไปต่างๆนาๆนั้นทำให้เขาต้องยิ่งเบิกตากว้างลูกตาแทบถลนออกมามากเข้าไปใหญ่

 

                ทว่าแม่เขากลับหัวเราะก้ากออกมาเมื่อเห็นท่าทีงุนงงของเขา แม่ย่อตัวลงมาสบตาเขาอีกครั้งแล้วผละมือออกจากผมเพื่อมาผลักไหล่เขาเบาๆเป็นเชิงแซะแซวราวกับเพื่อนกัน

 

                “หมัดแรงไม่เบาเลยนี่เรา~! สมแล้วที่เป็นเด็กน้อยที่แม่เลี้ยงมาปะ~ เดี๋ยวแม่ซื้อป้อกกี้ช้อกโกแลตให้กินเป็นรางวัลระหว่างทางกลับบ้านแล้วกันนะ

 

                “ม แม่ไม่คิดจะดุผมเหรอฮะ?”เอ่ยถามกลับไปอย่างอดไม่ได้พร้อมกับกระพริบตาปริบๆ จริงอยู่ที่เขารู้ว่าบางทีแม่ก็ทำตัวเหมือนว่าเขาเป็นเพื่อน และแม่เขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เรียบร้อย ออกจากเข้าข่ายห้าวไปด้วยซ้ำ

 

                ฮีชอลเคยเห็นแม่ของเขาเตะเป้าผู้ชายและใช้ถ้อยคำหยาบคายพูดคุยกับคนอื่นๆจนชินชา แต่เขาก็อดจะคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดเป็นเขาบ้างที่เริ่มทำตัวแบบแม่อย่างที่ต่อยหน้าเพื่อนร่วมชั้นไปในวันนี้ แม่จะว่ายังไง

 

                “ทำไมแม่จะต้องดุเด็กน้อยหละ? ในเมื่อเด็กน้อยรู้สึกว่าพวกนั้นกำลังทำให้เด็กน้อยไม่มีความสุขและเด็กน้อยก็ไม่ทนอยู่นิ่งฟังพวกนั้นล้อเลียนต่อไปแล้วนี่ ดังนั้นแม่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องดุคนเก่งของแม่นี่”

 

                รอยยิ้มที่แม่ส่งมาให้เขามันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

 

                รอยยิ้มที่มักจะอยู่บนใบหน้าแม่เวลาที่แม่กำลังภูมิใจในตัวเขา ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เขาทำลงไปมันจะออกมาย่ำแย่ผิดกับที่คาดเอาไว้ หรือเวลาที่แม่เห็นความเพียรพยายามของเขาในการพยายามวาดรูปหรือตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อให้แม่ได้ภูมิใจ

 

                 มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มตาม ถึงแม้ว่าเขากำลังจะเศร้าอยู่ โกรธอยู่ หรือจะรู้สึกงุนงงอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้....มันเหมือนมีแรงบางอย่างที่ทำให้สองมุมปากต้องยกขึ้นอย่างช่วยเหลือไม่ได้

 

                “มีอยู่สองคำขวัญที่แม่อยากจะให้ฮีชอลจำเอาไว้นะ”เขาพยักหน้าแล้วยืดตัวตรงเพื่อตั้งใจฟังที่แม่พูด

 

                “Don’t let the bastards get you down. อย่าทำให้ไอ้พวกสารเลวทำให้พวกเราเศร้าเสียใจ”ฮีชอลเบิกตากว้างกับคำหยาบที่หลุดออกมาในประโยคนั่น “ส สารเลวเหรอฮะแม่?”

 

                แม่พยักหน้ารับหงึกหงัก “ก็อย่างไอ้เพื่อนเหี้ย...เอ้ย~! นิสัยเกเรคนนั้นที่ลูกตั๊นหน้ามันให้หงายไปเลยนั่นไงหละ คนนั้นคือตัวอย่างของพวกสารเลว”

 

                “พวกที่ล้อผมเหรอฮะคือพวก...สาร...เลว?”ประโยคสุดท้ายถูกเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากเมื่อรู้สึกตัวเองไม่คุ้นชิดกับถ้อยคำหยาบคายเยี่ยงนี้

 

                “ถ้าเด็กน้อยของแม่โตขึ้นไปในอนาคตข้างหน้า จะมีพวกที่สารเลวมากกว่าเพื่อนเกเรคนนั้นที่ล้อเลียนเราอีก รู้ไหม? แต่ถ้าพวกนั้นทำให้เด็กน้อยรู้สึกเสียใจแล้ว...ตั๊นหน้ามันไปเลยลูก เพราะนั่นก็พาแม่มาถึงอีกหนึ่งอย่างที่อยากจะให้เด็กน้อยจำเอาไว้...สองคำขวัญนี้มันอยู่คู่ด้วยกัน ขาดอีกอันหนึ่งไปไม่ได้ เป็นเหมือนสูตรที่สมบูรณ์แบบ”

 

                “สูตรเหรอฮะ?”

 

                “ในเมื่อลูกรู้สึกว่าไอ้พวกสารเลว จะไอ้หน้าไหนก็ตามที่กำลังรังควานเด็กน้อยของแม่อยู่นั้นกำลังทำให้เราไม่สบายใจหรือย่ำแย่...จำเอาไว้ No one harasses me unpunished. ไม่มีใครคนไหนที่รังควาน...เอ่อ...เราแล้วจากไปโดยไม่ถูกลงโทษ”

 

     ราวกับว่าแม่จะอ่านใจเขาออก แม่ฉีกยิ้มหวานแล้วขยี้ผมของเขาอีกครั้งหนึ่ง

 

     “ณ ตอนนี้เด็กน้อยยังเป็นเด็กอยู่ เอาไว้เราโตขึ้นมาเมื่อไหร่จะเข้าใจมันเอง”

 

     ถ้าเขาโตขึ้น เขาจะเข้าใจคำขวัญที่แม่เคยสอนเอาอย่างถ่องแท้

 

     When I grow up…

              ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

[End of Childhood Memories: Primary School, Year Two]

 

 

 

 

 

                When I grow up: I will be the one protecting my family.

                   ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะเป็นคนที่ปกป้องครอบครัวของเขาเอง

 

                เอาจริงๆแล้วเขาคิดอยากจะข้ามตอนที่เป็นเด็กไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าพอวันรุ่งขึ้นตื่นมาก็พบว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงพอที่จะสามารถซัดคนรุ่นเดียวกันได้สบายๆแล้ว

 

                ถ้าเขาโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจะรีบหางานหาบ้านด้วยตัวเอง จากนั้นเขาก็จะพาแม่และเรียววุคไปอยู่และดูแลไม่ให้คลาดสายตาหายไปไหน...ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

 

                ไกลจากไอ้เวรนั่นเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

 

                โครมมมมมมมมมม~!!

 

                คิมฮีชอลสะดุ้งหลุดออกมาจากโลกของตัวเองทันทีที่ได้ยินเสียงดังลั่นนั่น ไวเท่าความคิด เขาก็รีบวิ่งออกจากประตูห้องนอนตัวเองไปยังอีกหนึ่งประตูห้องที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน

 

                เอี๊ยดดดดดดด!

 

                ร่างของคิมเรียววุค น้องชายต่างสายเลือดกำลังขดตัวกลมอยู่ใต้ผ้าห่ม ใบหน้าซีดเซียวนั่นเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย

 

                “พ พี่ฮะ...ฮึกก~”โดยไม่ต้องเสียเวลายืนรอให้วินาทีผ่านไปอย่างไร้ค่า ฮีชอลก็ปราดไปหาน้องชายสุดที่รักของเขาทันที สองแขนรีบรั้งตัวอีกฝ่ายให้เข้ามาอยู่ในอ้อกมอด และทันทีที่รู้สึกถึงความอบอุ่นของผู้เป็นพี่ที่แผ่ซ่านออกมาแล้วนั้น เรียววุคก็ปล่อยโฮออกมาอย่างหวาดกลัวทันที

 

                “ทะเลาะกัน...ฮึก~ อีกแล้ว! ผมสงสาร...ฮึก~ แม่เหลือเกิน ฮือออ~”เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะต้องพยักหน้ารับอย่างนึกเห็นด้วย

 

                นับตั้งแต่วันที่แม่แต่งงานใหม่ ชีวิตเขาก็เหมือนกลับไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้านรกนั่นอีกครั้งหนึ่ง

 

                ทุกๆคืนผ่านไปด้วยน้ำตา บาดแผลฟกช้ำ เลือด ลำคอที่แหบแห้งและข้าวของที่พังกระจัดกระจายไม่เป็นท่า และทุกๆค่ำคืนฮีชอลก็จะสวดมนต์ภาวนาอธิฐาน ทำอะไรก็ตามแต่ที่สามารถทำให้พรที่เขาขอไปเป็นจริง

 

                ขอให้เขาโตขึ้นมาไวๆ

 

                ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
 

                จะได้พาแม่และเรียววุคออกไปจากนรกนี่เสียที!

 

                เพล้งงงงงงงงงงงงง~!
 

                เสียงอะไรบางอย่างที่ถูกทำลายให้แตกไม่เป็นชิ้นเป็นท่านั้นดังตามมาเรียกให้สองพี่น้องที่นั่งกอดกันอยู่บนเตียงตัวสั่น ฮีชอลรีบกระชับอ้อมกอดและฝังหน้าลงบนเส้นผมน้องรักในอ้อมกอดที่กลัวจนตัวสั่น

 

                “ไม่เป็นไรนะเรียววุค...อย่าร้องไห้เลย...”คำปลอบโยนที่ถูกเอ่ยออกไปซ้ำไปซ้ำมานั้นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาแม้แต่น้อยเลย เรื่องนี้ฮีชอลรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เพราะเขาเองก็จนปัญญาไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องแย่ๆพวกนี้จะจบลงเมื่อไหร่

 

                นับตั้งแต่รู้จักกับเรียววุคมา ฮีชอลก็พบว่าตัวเองกลายเป็นคนเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ขี้แยงอแงแบบที่เคยเป็นสมัยยังเป็นเด็กประถมอยู่

 

                คงเพราะว่าพอได้มีน้องชายเข้ามาในชีวิตแล้ว ไอ้คำว่าพี่ที่มันค้ำไหล่เขาเอาไว้ได้สั่งว่าต้องทำตัวเข้มแข็งกล้าหาญเพื่อเป็นที่พิงและกำลังใจของน้องเล็กตลอดเวลาหละมั้ง เลยทำให้ทุกๆครั้งที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเรียววุคมักจะวิ่งมาหาเขาเป็นคนแรก และเขาก็จะต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อปลอบประโลมน้องชายคนนี้

 

                เสียงโวยวายของแม่ดังขึ้นมาก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงสบถด่าทอของผู้ชายคนนั้น

 

                ฮีชอลอยากจะถามแม่เหลือเกินว่าทำไมถึงเลือกแต่งงานกับไอ้สารเลวคนนี้ได้กัน? ทั้งๆที่วูลฟ์ก็ดีอยู่แล้ว แต่เพราะเขาเคารพการตัดสินใจของแม่มากเกินกว่าที่จะคัดค้าน จึงทำได้เพียงแค่ยืนมองแม่ถูกทำร้ายอย่างเจ็บแค้นใจจนแทบคลั่งเป็นที่สุด

 

                และฮีชอลก็อยากจะถามเหลือเกินว่าทำไมเรียววุคถึงได้แตกต่างกับพ่อตัวเองเช่นนี้? ทำไมเด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเขาสองสามปีและนิสัยไร้เดียงสาอ่อนโยนคนนี้ ถึงเป็นลูกของไอ้ขี้เมาอาละวาดเวรคนนี้ได้?

 

                แต่เพราะแม่รักไอ้หมอนั่นเกิน ฮีชอลจึงไม่กล้าลงไม้ลงมือซัดหมัดกลับไป สุดท้ายก็เป็นอันต้องยอมให้อีกฝ่ายทำร้ายร่างกายเขาเรื่อยมา

 

                ถ้าในเมื่อเขาไม่สามารถระบายอารมณ์ความเก็บกดที่บ้านได้หละก็ เห็นทีคงต้องไปปลดปล่อยที่โรงเรียนเสียแล้ว

 

                และยิ่งพวกไอ้ลีดงเวรหนะ ตัวระบายอารมณ์ตัวเอ้ของเขาเลย

 

                เมื่อรู้สึกว่าร่างในอ้อมกอดเงียบไปนั้น เขาก็ก้มหน้าลงแล้วพบว่าเรียววุคร้องไห้จนหลับไปแล้วในที่สุด...อีกแล้ว อีกแล้วที่น้องชายคนนี้ต้องนอนหลับด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลเปรอะแก้ม

 

                “รอพี่โตก่อนนะ....พี่จะพาแม่กับน้องออกไป”

 

                คำมั่นสัญญาที่เขามักจะเอ่ยกับตัวเอง และกับน้องที่กำลังหลับอยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว คำมั่นสัญญาที่เอาจริงๆแล้วฮีชอลเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่เขาจะสามารถทำความฝันนี้ให้เป็นจริงเสียที?

 

                เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาจากข้างนอกนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร เขารีบเช็ดน้ำตาและจัดแจงห่มผ้าให้อีกฝ่ายเสร็จสรรพก่อนจะรีบมุ่งหน้าเดินไปที่ประตู ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ทำอย่างใจคิด ประตูบานนั้นก็ค่อยๆแง้มเปิดออกมาเสียก่อนอย่างแผ่วเบา

 

                แม่ชะโงกหน้าเข้ามา “เรียววุคนอนไปแล้วเหรอลูก?”

 

                เมื่อแม่เห็นเขาพยักหน้ารับแทนคำตอบ แม่ก็เลยฉีกยิ้มออกมา แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นรอยยิ้มที่แม่พยายามฝืนตัวเองให้ยิ้มออกมาเพื่อปลอบขวัญเขาชัดๆ

 

                “แล้วทำไมเด็กน้อยของแม่ยังไม่นอนอีกหละ?”

 

                “ผม...”

 

                “อย่าบอกนะว่ายังกลัวสัตว์ประหลาดใต้เตียงอยู่?”เจอประโยคแซวแบบนี้เข้ามาฮีชอลก็รีบถลึงตาใส่แม่ที่กลั้วหัวเราะออกมาเบาๆทันที ได้ยินเสียงแม่กำลังมีความสุขท่ามกลางความทุกข์นี้ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องอมยิ้มตามแม่ไป

 

                “ผมอยากนอนกับแม่ฮะ”

 

                “แสดงว่ายังกลัวอยู่สินะ?”

 

                “เอ่อ...จะว่าอย่างนั้นก็ได้ฮะ”แม่ส่งเสียงจิ้จ้ะในลำคอก่อนที่จะเบ้หน้าออกไปข้างนอกเป็นเชิงเรียกให้เขาออกมาจากห้องนอนผู้เป็นน้องได้แล้ว

 

                โดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายเอ่ยออกมา ฮีชอลก็เดินตามแม่ออกมายืนตรงทางเดิน และทันทีที่เขากลับมายืนอยู่หน้าห้องเรียววุคนั้น เขาก็รีบไล่สายตามองดูแม่อย่างรวดเร็วทันที

 

                แม้ว่าทางเดินจะสลัวไปด้วยแสงไฟดวงเดียวจากหัวมุมบันได แต่ฮีชอลก็สาบานได้ว่าเขาเห็นเลือดไหลออกมาจากริมฝีปากแม่ และแขนแม่ก็มีร่องรอยฟกช้ำดำเขียวที่เกิดขึ้นใหม่...สงสัยคงเป็นเสียงโครมครามเมื่อครู่แน่นอน

 

                และที่ทำให้ฮีชอลต้องกำหมัดกัดฟันแน่นเข้าไปใหญ่ก็คือคราบน้ำตาบนใบหน้าของแม่

 

                “คืนนี้เราอยากนอนไหนกัน?”
 

                แม่รีบพูดทำลายความเงียบขึ้นมา คงเพราะแม่รู้ว่าเขากำลังไม่พอใจกับบาดแผลที่เกิดขึ้นจากฝีมือไอ้หมอนั่นที่บังอาจทุบตีทำร้ายแม่เขาแน่นอน

 

                “นอนห้องผมไหมหละฮะ?”แม่พยายามเค้นหัวเราะออกมาแล้วรีบตอบกลับไป “เบียดกันบนเตียงฮีชอลหนะเหรอ? เด็กน้อยของแม่โตซะขนาดนี้จะนอนเบียดกันได้ไหมเนี่ย?”

 

                มีอยู่หนึ่งคำตอบ...หนึ่งคำตอบจริงๆที่ฮีชอลเองก็อยากจะถามแม่กลับไปเหมือนกัน แต่ทว่าเขาก็ต้องรีบยับยั้งห้ามใจแล้วส่งสายตาออดอ้อนแม่ให้โอนเอนตามเขาไปแทน

 

                เขาอยากถามแม่เหลือเกิน

 

                ว่าถ้าแม่บอกว่าเขาโตแล้ว...เขาโตพอที่จะปกป้องแม่และเรียววุคจากไอ้เวรนั่นได้หรือเปล่า?

 

When I grow up…

ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

 

 

And when I grow up, I will be smart enough to answer all the questions that you need to know the answers to before you’re grown up.

 

 

และถ้าผมโตขึ้นมา ผมจะฉลาดพอที่จะสามารถค้นหาคำตอบสำหรับคำถามที่คุณจะต้องรู้ก่อนที่คุณจะเติบโตขึ้นมา

 

When I grow up: I will be the one suffering.     

ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะเป็นฝ่ายที่ต้องเจ็บแทนแม่

 

แม่ดูแปลกไป

 

ดูซูบผอมจนแทบจะเห็นกระดูก เส้นผมสวยดำเงานั่นก็เริ่มร่วงลงไป จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสามเป็นสี่ เป็นกระจุกใหญ่จนน่ากลัว และที่ทำให้เป็นห่วงที่สุดก็คือการเดินทางไปมาโรงพยาบาลบ่อยขึ้นเรื่อยๆในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา

 

           “แม่ไม่เป็นไรหรอกเด็กน้อยของแม่”

 

           นั่นคือคำตอบของแม่ทุกๆครั้งที่เขารวบรวมความกล้าเดินเข้าไปถาม และเมื่อพูดจบแม่ก็จะยิ้มให้เขา

 

                แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มแบบที่แม่เคยยิ้มให้เขา

 

                มันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนยิ้ม รอยยิ้มที่เขาเห็นแม่ทำบ่อยเหลือเกินช่วงนี้...บ่อยเกินไป บ่อยเกินจนฮีชอลยิ่งวิตกกังวลไปมากกว่าเก่า

 

                เขาอยากจะบอกแม่เหลือเกินว่าเขาไม่ใช่เด็กต่อไปแล้วนะ เขาโตพอที่แม่ควรจะบอกเขาได้แล้ว ไม่ใช่มาปิดบังอะไรให้เขาไม่สบายใจอย่างนี้

 

                แต่คิมฮีชอลก็รู้ดีว่าคำตอบของแม่คืออะไร...ไม่ว่าเขาจะโตขึ้นขนาดไหนแล้วก็ตาม เขาก็ยังคงเป็นเด็กน้อยในสายตาของแม่อยู่เสมอ

 

                และยิ่งเห็นแม่เป็นแบบนี้แล้ว ฮีชอลก็ยิ่งรู้สึกอยากโตขึ้นมาให้เร็วมากกว่านี้

 

                บางที...เขาคิดว่าถ้าเขาโตขึ้นแล้ว เขาจะสามารถเป็นฝ่ายที่ยอมเสียสละเจ็บแทนแม่แทนได้

 

                ถ้าเขาโตขึ้นเมื่อไหร่ แม่จะยอมบอกเขาใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่กันแน่

 

                และพอถึงตอนนั้นเขาจะได้ช่วยดูแลปกป้องแม่ แบบที่เขาอธิฐานเอาไว้เรื่อยมา

 

 

When I grow up…

ถ้าผมโตขึ้นมา...


[End of Childhood Memories: Ryeowook and his abusive father]

 

 


 

Just because I find myself in this story, it doesn’t mean that everything is written for me.

เพียงเพราะผมตกอยู่ในเรื่องๆนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกเขียนเอาไว้เพื่อผมโดยเฉพาะ

 

                When I grow up: I wish I never grown up.
                ถ้าเขาโตขึ้น เขาไม่อยากโตขึ้นแม้แต่น้อย

 

                คิมฮีชอลเคยเฝ้าขอพร อธิฐานกับทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นก่อนเป่าเทียนวันเกิดหรือแย่งเพื่อนคนอื่นเป่าเค้กวันเกิดของพวกเขา ยันเฝ้ามองหาดาวตกบนท้องฟ้าในยามวิกาล...เขาเคยฝันเอาไว้ว่าเขาอยากจะเติบโตขึ้นมาเร็วๆ

 

               Now he wished he would never grow up, nor does he wished time would fly.

 

ทว่า ณ ตอนนี้เขากลับอยากอธิฐานให้ตัวเองไม่ต้องโตขึ้นมา และเขาก็ไม่คิดขอพรให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วดั่งที่เคยภาวนาขอไปเมื่อยังเป็นเด็ก
 

                เขาอยากใช้ชีวิตอยู่แบบเด็ก ไม่ต้องเติบโตมาเป็นนักเรียนไฮสกูลปีสองเยี่ยงนี้

 

                เขาอยากเป็นเด็ก...เพื่อที่เขาจะได้อยู่กับแม่ต่อ

 

                แม่...

 

                คำหนึ่งคำที่ในชีวิตนี้เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มีโอกาสเรียกมัน และคำศัพท์คำนี้ก็กลายมาเป็นสิ่งที่มีความหมายที่สุดสำหรับตน

 

                เขาอยากโตเป็นผู้ใหญ่อีกแล้ว...เขาไม่อยากเป็นวัยรุ่นแบบที่เป็นอยู่ใน ตอนนี้

 

                เขาอยากกลับไปเป็นเด็กเหมือนเดิม

 

                แต่สุดท้ายฮีชอลก็โตขึ้นมาจากวัยเด็ก กลายมาเป็นวัยรุ่น ตามที่ตัวเองได้ฝันเอาไว้ในที่สุด

 

                ทว่านั่นเป็นคำอธิฐานข้อเดียวที่เป็นจริง ส่วนคำอธิฐาน คำขอพรข้ออื่นๆที่เคยขอเอาไว้นั้นกลับไม่เป็นจริง...ไม่มีวันที่จะเป็นจริงเลยด้วยซ้ำ

 

                เขาเคยขอให้ตัวเองเป็นผู้ใหญ่ เพื่อที่จะได้อยู่เป็นเพื่อนแม่ตอนนอน อ่านหนังสือภาษาอังกฤษกับแม่ ช่วยแม่ถือของหนักๆ ช่วยสู้กับสัตว์ประหลาดใต้เตียงพวกนั้น

 

                และเหนือสิ่งอื่นใด เพื่อที่เขาจะได้ปกป้องแม่

 

                ข้อความคำขอเหล่านั้น มันสลายหายไป จากเขาไปแล้ว

 

                ...พร้อมกับแม่

 

                “ฮึกกก~ ฮือๆ~

 

                เสียงสะอื้นไห้ของคนข้างๆเรียกให้เขาละสายตาจากภาพโลงศพตรงหน้าที่บรรจุร่างของมารดาผู้เป็นที่รัก แล้วหันมามองยังผู้เป็นน้องที่จมอยู่ในกองน้ำตา

 

                “พี่ฮะ~ ผม...ฮึก~ แม่...”

 

                ฮีชอลพยักหน้ารับช้าๆ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าที่เขาทำไปมันคือการยอมรับความจริงที่แสนเจ็บปวด และนั่นก็ยิ่งทำให้เรียววุคยิ่งปล่อยโฮมากเข้าไปใหญ่

 

                แม่เป็นลูคีเมีย หรือที่รู้จักกันว่ามะเร็งในเม็ดเลือดขาวระยะสุดท้าย

 

                นี่สินะ โรคที่แม่พยายามปิดบังความจริงจากเขา โรคร้ายแรงที่กลืนกินชีวิตแม่ไปที่เขาเพิ่งมารู้หนึ่งอาทิตย์สุดท้ายก่อนที่แม่จะหลับไปตลอดกาล

 

                “ผม...ฮึก...คิดถึงแม่~

 

                ฮีชอลกวาดสายตามองไปรอบๆ ในที่แห่งนี้ มีเพียงแค่เขาและเรียววุคเท่านั้นที่ยืนอยู่สองคน ไร้ซึ่งวี่แววของไอ้สารเลวที่เขาไม่คิดจะเรียกว่าพ่อ

 

                เขาเองก็เพิ่งรู้...ว่าที่แม่ยอมทนอยู่กับไอ้ระยำนั่น ก็เพื่อที่ถ้าแม่จากไป ถึงจะเกลียดกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้ายเด็กน้อยของแม่ แต่อย่างน้อยไอ้หมอนั่นก็ยอมเลี้ยงดู ยอมให้ที่พักอาศัยเขาในวันที่ไม่มีแม่อยู่

 

                ทั้งๆที่เขาอุตส่าห์บอกตัวเองว่าจะปกป้องแม่เอาไว้แท้ๆ สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถโตพอที่จะช่วยเหลือแม่ในยามที่ทุกข์ยากที่สุดได้

 

                “พ พี่ฮะ~ ฮึก...พี่ฮีชอล ฮึกก~”เจ้าของชื่อหันกลับมามองน้องรักข้างๆอีกครั้งหนึ่ง ไวเท่าความคิด ฮีชอลก็รีบดึงอีกคนเข้ามากอดอีกครั้ง เขาก็ได้แต่หวังว่าความอบอุ่นของเขาที่โอบล้อมรอบตัวจะช่วยปลอบประโลม บรรเทาขวัญผู้เป็นน้องได้

 

                เหมือนที่แม่ชอบกอดเขาในตอนเด็กๆ

 

                และในทุกๆครั้งที่แขนของแม่โอบล้อมเขา ฮีชอลก็จะอดไม่ได้ที่อยากจะโตขึ้นให้เร็วกว่าเก่า

 

                แต่เขาจะโตไปทำไมกัน? ในเมื่อแม่เองก็อยู่ในสถานที่แสนห่างไกลที่ไม่อาจเอื้อมมือถึง สถานที่ซึ่งเขาไม่สารถปกป้องแม่จากทุกสิ่งทุกอย่าง จากพ่อเลี้ยงใจร้าย จากสัตว์ประหลาดใต้เตียง

 

                สถานที่ซึ่งเขาไม่อาจช่วยแม่ถือของหรือปีนต้นไม้ไปเก็บเสื้อผ้าแม่ได้ หรือที่ๆเขาไม่อาจอยู่โต้รุ่งเป็นเพื่อนแม่ได้

 

                อีกหนึ่งโลกที่ห่างไกลเกิน

 

                หมดแล้ว...จบแล้ว...ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกๆพร ทุกๆคำอธิฐาน

 

                ชาตินี้ ไม่มีสิทธิ์ได้เจอแม่อีกแล้ว

 

                สะดุ้งหลุดจากห้วงความคิดของตัวเองเมื่อรู้สึกว่าขอบตาทั้งสองข้างของตัวเองร้อนผ่าว ฮีชอลเม้มปากแน่น พยายามอย่างมากในการฝืนน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลออกมา

 

                ถึงจะไม่มีแม่ อย่างน้อยเขาก็ยังมีเรียววุค

 

                น้องชายของเขา...

 

                ...ครอบครัวคนสุดท้ายของเขา

 

                เพราะฉะนั้น เขาต้องทำตัวให้เข้มแข็งที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อย ต้องเข้มแข็งเพื่อเรียววุค

 

                ถ้าเขาโตขึ้น เขาจะดูแลน้องรักด้วยตัวเอง

 

                “ฮีชอล...”เสียงของเพื่อนสาวดังขึ้นมาจากข้างหลัง กวอนโบอาในชุดสีดำทั้งตัวเดินหน้าเศร้าเข้ามาในห้อง เด็กสาวโค้งหัวทำความเคารพรูปภาพของแม่ก่อนที่จะหันมามองเขา

 

                “กู...”แค่คำๆเดียว แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้โบอาเข้าใจความหมายสมกับที่เป็นเพื่อนรักที่อ่านใจเขาออกมาตั้งแต่ปีหนึ่ง โบอาพยักหน้ารับแล้วเดินมากอดเรียววุคบ้าง เธอพาเรียววุคเดินออกไปสงบสติอารมณ์ข้างนอก

 

                เขาอยากอยู่คนเดียว

 

                และโบอาก็เข้าใจความต้องการของเขาดี

 

                ฮีชอลละสายตาจากน้องชายและเพื่อนรักของเขาหันกลับมามองยังโลงศพไม้ข้างหน้าอีกครั้งหนึ่ง สองเท้าค่อยๆก้าวไปข้างหน้า และถึงแม้ว่าในทุกๆย่างที่ก้าวลงไปนั้นฮีชอลรู้สึกถึงเรี่ยวแรงที่ค่อยๆหายไป แต่กระนั้นเขาก็สามารถฝืนตัวเองมาหยุดอยู่หน้าโลงศพแม่ได้ในที่สุด

 

                ภายใต้โลงไม้แห่งนี้ แม่กำลังนอนหลับไหลอยู่อย่างไม่มีวันที่จะตื่นขึ้นมา

 

                เขารู้สึกถึงสองเข่าที่ทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง สองมือที่สั่นระริกค่อยๆเอื้อมไปแตะผิวไม้เรียบนั่น...ไม้ที่เขากำลังแตะอยู่นี่ใช่ไหมที่คั่นระหว่างเขาและแม่

 

                และระหว่างความเป็นและความตาย

 

                “ฮึก...”

 

                นับตั้งแต่ที่เรียววุคเข้ามาในชีวิต ฮีชอลก็บอกตัวเองให้เป็นคนเข้มแข็งเพื่อที่จะต้องปกป้องน้องชายขี้แยคนนี้ให้ได้ และเขาก็ไม่เคยต้องร้องไห้อีกเลย ไม่แม้กระทั่งเวลาที่เขาถูกไอ้เวรนั่นทำร้าย หรือเวลาที่แม่ถูกทำร้าย

 

                แต่ในวินาที เขาขอหลั่งน้ำตาเป็นครั้งสุดท้าย...ขอโยนทิ้งความเข้มแข้งที่พยายามสร้างมาแล้วร้องไห้แสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมาบ้างเถอะ

 

                มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกเศร้าใจสูญเสียเท่านั้นที่กำลังถาโถมใจ หากแต่อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ต้องร้องไห้ออกมาไม่แพ้กันเลยก็คือความผิดหวัง

 

                ผิดหวังที่เขาไม่สามารถทำตามที่คำอธิฐานได้แม้แต่น้อย

 

                ผิดหวังที่เขาไม่สามารถปกป้องแม่ได้ในยามที่เขาโตขึ้นมา

 

                และทันทีที่ก้มหน้าแนบผิวไม้นั่นพร้อมกับสองแขนที่พยายามโอบกอดโลงศพนั้น ฮีชอลก็เป็นอันต้องปล่อยโฮออกมาอย่างสุดปิ่มใจจะขาด น้ำตาที่เคยกลั้นเอาไว้เมื่อน้องชายเคยอยู่นั้นทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก

 

                แม่ฮะ...ผมขอโทษ

               

                “ฮึก~ ฮือๆ~

 

                ผมขอโทษที่ผมโตขึ้นมา

 

                ผมขอโทษที่ผมไม่สามารถช่วยเหลืออะไรแม่ได้เลย

 

                ประโยคที่เขาได้ยินทุกคน รวมไปถึงโบอาและเรียววุคเอ่ยกระซิบหน้าโลงศพแม่นั้น ฮีชอลไม่อาจทำใจเอ่ยมันออกมาได้เลย แต่สุดท้ายเขาก็ต้องรวบรวมสติและเรี่ยวแรงเข้าด้วยกัน กลั้นสะอื้นไห้แล้วเอ่ยคำพูดที่เขารู้ว่า ครั้นเอ่ยออกมาแล้วมันก็เหมือนกับการยอมรับความจริงว่าแม่จากเขาไปแล้วตลอดกาล

 

                แต่มันก็ต้องพูด

 

                แม่ฮะ...เด็กน้อยคนนี้ขอโทษนะฮะ

 

                ขอโทษที่พรของผมไม่เคยเป็นจริงสักข้อ

 

                ยกเว้นแค่ข้อนี้ข้อเดียว...

 

                “ไปสู่สุขตินะฮะ...แม่”

 

                ถ้ารู้ว่าโตขึ้นมาแล้วแม่จะไม่อยู่กับเขา คิมฮีชอลก็จะไม่ขอพรให้รีบโตขึ้นอีก

 

When I grow up…

          ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

[End of Childhood Memories: His mother’s death]

  

 

 

Just because you find that life’s not fair, it doesn’t mean that you just have to grin and bear it. If you always take it on the chin and wear it, nothing will change.

เพียงแค่คุณรู้สึกว่าชีวิตของคุณมันช่างไม่ยุติธรรม มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องมาฝืนยิ้มฝืนทนกับมันนี่ ถ้าคุณยังยอมใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ

 

When I grow up: I don’t know what to wish anymore.

ถ้าเขาโตขึ้น เขาไม่มีอะไรอยากจะอธิฐานแล้วหละ

 

คิมฮีชอลเลิกหวังให้ตัวเองโตขึ้น และเขาก็ไม่ได้หวังว่าเขาควรจะต้องเลิกหยุดโตเสียที

 

เขาเพียงแต่ปล่อยให้เวลามันผ่านไปต่อหน้าต่อตา และนั่งมองมันผ่านตัวเขาไปอย่างเบื่อหน่าย

 

ณ ตอนนี้เขาเองก็โตขึ้นมาพอที่จะสามารถทำตามที่เขาเคยหวังเอาไว้ในตอนเด็กๆได้แล้ว เขาสามารถดื่มกาแฟได้ นอนคนเดียวโดยไม่คิดกลัวสัตว์ประหลาดใต้เตียงได้ หรือแม้แต่สามารถทำงานหาเงินได้ด้วยตัวเอง

 

หากแต่เพียงแค่คราวนี้เขากลับทำเพื่อตัวเอง และเพื่อเรียววุค...ไม่มีแม่มาเกี่ยวข้องกับเป้าหมายอีกแล้ว

 

แต่กระนั้น แม่ก็ยังคงอยู่ในใจเขาเสมอเรื่อยมา และเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามคำสอนที่แม่เคยบอกเขาเอาไว้เมื่อครั้งสมัยที่เขายังเป็นเด็ก

 

ถ้าหากเขายังคงใช้ชีวิตที่เขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมต่อไปอย่างฝืนทน ทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นเขาจะต้องเปลี่ยนมันซะ

 

และอีกหนึ่งสูตรที่พ่วงมาด้วยสองคำขวัญที่บัดนี้กลายมาเป็นคติประจำใจเขา และแก็งโจ๋เรนเจอร์ไปเสียแล้ว

 

‘Don’t let the bastards get you down. อย่าทำให้ไอ้พวกสารเลวทำให้พวกเราเศร้าเสียใจ’ และ ‘No one harasses me unpunished. ไม่มีใครคนไหนที่รังควานกูแล้วจากไปโดยไม่ถูกลงโทษ

 

เอาจริงๆแล้วคำพูดของแม่มันก็ฟังดูกำกวมไม่ค่อยจะชัดเสียเท่าไหร่ แม่ไม่ได้บอกเขานี่หว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองยังไงถ้ารู้สึกไม่พอใจกับมัน บวกกับสองคำสอนที่แม่พูดมาที่บัดนี้เขาเข้าใจเสียถ่องแท้ และที่แม่เคยชมเขาเมื่อครั้นตั๊นหน้าไอ้เพื่อนปากหมานั่นสมัยเด็กๆไป

 

ดังนั้นฮีชอลจึงแปลประโยคนั่นในความหมายของตัวเอง ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งในที่มาของฉายาเขา ขงเบ้งยุคไซเบอร์และแก็งโจ๋เรนเจอร์ที่เกิดจากการรวมตัวเป็นเพื่อนกันกับพวกลีดงเวรในที่สุดเมื่อตอนปีสาม

 

ทุกๆวันผ่านพ้นไปอย่างน่าเบื่อหน่าย ก่อวีรกรรมแสบซ่าปั่นหัวให้อาจารย์เป็นอันต้องยื่นใบลาออกกับอาจารย์ใหญ่ชินดงอย่างเสียไม่ได้...เทอมนี้พวกเขาทำออกไปกี่คนแล้วนะ? เขาจำไม่ได้แล้วหละ

 

น่าเบื่อชะมัดเลยโรบิน ไม่มีอาจารย์คนไหนที่พาจะสูสีท้าทายเขาได้เลยหรือไงกัน?

 

เขาว่าจะมีอาจารย์ปกครองคนใหม่มาหวะพวกมึง
 

เสียงของคิมแจจุงที่ดังขึ้นมาเรียกให้พวกเขาอีกสามคนหันหน้าไปมองผู้มาใหม่...อาจารย์ฝ่ายปกครองคนใหม่? แถมยังมาทั้งสี่คนด้วยเหรอ?

 

หวังว่าครั้งนี้คงไม่น่าเบื่อเหมือนพวกอาจารย์คนก่อนๆที่อยู่ไม่ถึงเทอมนะ

 

คำสั่งคำสอนของแม่เขานั้น คิมฮีชอลยังคงจำมันได้เป็นอย่างดี...ในฐานะขงเบ้งยุคไซเบอร์นั้นเขาจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังเด็ดขาด

               

เอาหละ มาดูกันว่าพวกอาจารย์ฝ่ายปกครองคนใหม่ทั้งสี่คนนี้จะมีความสามารถพอที่จะหยุดยั้งพวกเขาได้หรือเปล่า?

 

                แม่ฮะ ถึงเวลาเด็กน้อยของแม่ประกาศสงครามอีกแล้วนะฮะ

               

                เอาจริงๆแล้ว สมัยเด็กเลยฮีชอลก็ไม่เคยคิดว่าถ้าเกิดเขาโตขึ้นมา เขาจะกลายเป็นเจ้าตัวแสบแบบนี้ แต่ก็ไม่แปลกใจหรอกในเมื่อแม่เขาเองก็ได้ฉายาเลดี้ขงเบ้งยุคไซเบอร์เหมือนกัน

 

                คงเพราะนับตั้งแต่แม่เสียไปแล้ว เขาก็ยิ่งขาดความอบอุ่นมากและต้องการความสนใจมากเข้าไปใหญ่ จริงอยู่ที่เขามีเรียววุคและพวกโจ๋เรนเจอร์อยู่เคียงข้าง แต่กระนั้นฮีชอลก็ยังรู้สึกเหมือนว่าชีวิตมันขาดอะไรไปบางอย่าง

 

                อะไรสักอย่างที่เขาไม่อาจหาคำตอบได้

 

                และมันก็คงจะไม่ผิดใช่ไหมที่เขาจะหวังเล่นๆกับตัวเอง นับตั้งแต่วันที่แม่จากไป ฮีชอลก็เลิกหวังจริงๆจังๆกับอนาคตข้างหน้าของเขาแล้วหละ

 

                แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกัน ราวกับมีสิ่งปริศนามาดลใจให้ ณ วินาทีนี้ ขงเบ้งยุคไซเบอร์อดไม่ได้ที่จะอธิฐานกันตัวเองเล่นๆก่อนจะหันกลับไปคุยกันเรื่องอาจารย์ฝ่ายปกครองคนใหม่อย่างออกรสกับคนอื่น

 

                ถ้าเขาโตขึ้น ขอให้เขาเจอสิ่งนั้นด้วยเถอะ

 

                สิ่งที่เขารู้สึกว่ากำลังขาดหายไปจากชีวิต

 

When I grow up…

          ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

[End of Childhood Memories: High School, Fourth Year – Beginning of Chapter 1]




 

Just because I find myself in this story, it doesn’t mean that everything is written for me.

เพียงเพราะผมตกอยู่ในเรื่องๆนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกเขียนเอาไว้เพื่อผมโดยเฉพาะ

 
 

Kim Jaejoong’s Childhood Memory:

 

         When I grow up: I will bring dad back to live with us again.

         ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะพาพ่อกลับมาอยู่กับเขาและแม่อีกครั้งหนึ่ง

 

คิมแจจุงเองก็จำไม่ได้หรอกว่าเขาได้เห็นพ่อแม่ยิ้มให้กันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน

 

จากที่เคยเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าพ่อและแม่ เขากลับเห็นใบหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ตลอดเวลาที่ทั้งสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน เอาจริงๆแล้วเขาเองก็แทบจะจำไม่ได้เลยว่ารอยยิ้มที่เคยวาดอยู่บนหน้าทั้งสองคนเป็นยังไง

 

คิมแจจุงเองก็จำไม่ได้หรอกว่าเขาเห็นหน้าพ่อครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน

 

           เขายังจำได้ลางๆว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นพ่อก่อนที่พ่อจะกระถืบเท้าออกไปจากบ้านหลังนี้ด้วยสาเหตุอะไรสักอย่างนั้น หน้าของพ่อนั้นบูดเบี้ยวอย่างสุดโกรธ...สีหน้าเดียวกันกับที่วาดอยู่บนใบหน้าของแม่

 

          คิมแจจุงเองก็จำไม่ได้หรอกนะว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่บ้านหลังนี้ดูใหญ่เกินไปสำหรับเขา

 

          ใหญ่เกินไปจนน่ากลัวเลยด้วยซ้ำ

 

          คงเพราะว่าไม่มีเงาของพ่อที่อยู่ในบ้านนี้แล้วสินะ เขาเองก็พอจำได้เลือนๆว่าพ่อเคยเล่นอะไรกับเขาบ้างเวลาที่พ่อว่างงาน แต่พอเขาไม่เห็นร่างของพ่ออยู่ในบ้านแล้ว แจจุงก็รู้สึกว่าบ้านหลังนี้ดูโหญ่ขึ้นจนผิดปกติ และมันก็ไม่ใช่แค่ใหญ่ขึ้นด้วยหนะสิ

 

          เขาเหงาเหลือเกิน

 

          ทุกๆครั้งที่กลับมาจากโรงเรียน แจจุงจะรีบวิ่งหน้าตั้งกลับมาบ้าน เขายอมที่จะทำตัวใจร้ายไม่ยอมไปเล่นบ้านเพื่อนๆเพื่อที่จะรีบกลับมาบ้านให้เร็วที่สุด

 

          เพื่อที่หวังว่าพอถึงบ้านแล้วจะได้เจอหน้าพ่อยืนรอเขาอยู่ในบ้าน

 

           ทว่านั่นมันก็ยังคงเป็นแค่ความฝันลมๆแล้งๆที่ไม่เคยเกิดขึ้น

 

           ความผิดหวังคือสิ่งที่แจจุงเจอมันมาตลอดทุกครั้งที่เปิดประตูบ้านมาด้วยความหวังว่าหลังประตูบ้านนี้ เขาจะได้เจอพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องนั่งเล่นเสียที

 

           แต่ความว่างเปล่ากลับเป็นคำตอบที่เขาต้องเจอทุกๆวัน

 

          บางทีสิ่งที่อยู่ในความฝันของเขา ก็เป็นได้แค่ความฝันลมๆแล้งๆในวัยเด็กที่ไม่เคยเป็นจริง

 

คิมแจจุงเองก็จำไม่ได้หรอกนะว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขารู้สึกตัวว่ามีเพียงแค่แม่และเขานั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าวทรงกลมนี้

 

จากที่เคยมีร่างของพ่อนั่งอยู่ด้วย โต๊ะตัวกลมขนาดเล็กตัวนี้ดูเงียบเหงาไปถนัดตา มีเพียงแค่ความเงียบที่ถูกทำลายลงด้วยบทสนทนาสั้นๆระหว่างเขากับแม่สองสามคำ ก่อนที่ต่างคนต่างพากันตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง มีเพียงแค่เสียงช้อนส้อมกระทบจานเท่านั้นที่ยังดังอยู่เรื่อยๆ

 

พ่อหายไปไหนฮะแม่?

 

เมื่อไหร่พ่อจะกลับบ้านฮะ?

 

ทำไมแม่ไม่ยิ้มให้พ่อแล้วหละฮะ?

 

แล้วทำไมแม่ต้องโกรธพ่อหละฮะ?

 

คำถามมากมายผุดขึ้นมาในใจของเด็กชายวัยสิบขวบ แต่กระนั้นเขาก็ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยคำถามเหล่านั้นที่อยู่ในหัวออกไปให้แม่ฟัง

 

คงเพราะทุกครั้งที่เขาคิดอยากจะถามคำถามพวกนั้นแล้วเงยหน้าไป เขาจะเห็นว่าแม่พยายามทำหน้าทำตาให้ตัวเองมีความสุข

 

ขนาดเด็กอย่างเขายังรู้เลยว่าแม่ฝืนทำมากขนาดไหน

 

และเพียงแค่ได้เห็นดวงตาที่เศร้าสร้อยของแม่ คำถามเหล่านั้นก็เป็นอันต้องกลืนลงคอตัวเองไปเสียปริยาย

 

อาจารย์เคยถามว่าโตขึ้นมาพวกนักเรียนอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร เพื่อนร่วมชั้นหลายๆคนบอกว่าอยากเป็นนักกีฬาเอย นางพยาบาลเอย บางคนบอกว่าอยากเป็นนักบินอวกาศ

 

แต่ถ้าถามเขาแล้ว แจจุงจะไม่สนใจเลยว่าโตขึ้นมาแล้วเขาจะมีอาชีพอะไร จะเรียนที่ไหน อนาคตเขาจะเป็นคนอย่างไร

 

มีอยู่อย่างเดียวที่เขาตอบกลับไปโดยไม่ลังเล และเต็มปากเต็มคำโดยไม่สนใจว่าคำตอบของเขาจะแตกต่างกับเพื่อนมากขนาดไหนก็ตาม

 

ถ้าโตขึ้นมา คิมแจจุงจะออกไปตามหาพ่อและพาพ่อกลับมาบ้าน มาอยู่กับเขาและแม่อีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ทั้งสองคนต้องมีแต่รอยยิ้มอยู่บนใบหน้า

 

ทีนี้บ้านหลังนี้จะได้ไม่เงียบเหงาเสียที

 

When I grow up…

            ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

[End of Childhood Memories: Divorced.]

 

 
 

Lee Donghae & Lee Sungmin’s Childhood Memories:

 

                When I grow up: I will be rich enough to live on my own.

                ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะรวยพอที่จะสามารถใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้

 

                ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามปิดหูจนรู้สึกเจ็บชาไปหมดนั้น ดงแฮก็ยังสามารถได้ยินเสียงที่ดังเล็ดลอดมาจากห้องใต้บันใดข้างๆเขา

 

                เสียงสะอิดสะเอียนนั่นที่ดังปนเปกับเสียงร้องห่มร้องไห้ของฝาแฝดตัวเองยังคงดังลอดมาจากประตู

 

                ประตูไม้ที่คั่นเขาและซองมินเอาไว้

 

                เพราะดงแฮเป็นคนที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะห้ามไม่ให้เหตุการณ์น่าเศร้านี่เกิดขึ้นได้

 

                เพราะเขากลัวพ่อเลี้ยงจะหันมาชกเขาแบบที่เขาเคยพยายามขัดขวางไปครั้งหนึ่ง

 

                เพราะเขากลัวว่าเขาจะเป็นฝ่ายถูกทำร้ายบ้าง

 

                สุดท้ายแล้วลีดงแฮก็ทำได้เพียงแค่ยอมปล่อยให้ซองมินถูกทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า

 

                เพราะความขี้ขลาดของเขาแท้ๆเชียว

               

                ดงแฮเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าคำศัพท์ที่ใช้เรียกการทำร้ายแบบนั้นมันคือคำว่าอะไร และเขาก็ไม่คิดอยากจะรู้หรอก

 

                มีอยู่อย่างเดียวที่เขาสามารถบอกได้เลยว่าซองมินถูก‘ทำร้ายอีกแล้วก็เมื่อฝาแฝดของเขากำลังร้องไห้ แล้วตามตัวเต็มไปด้วยร่องรอยสีแดง แถมยังเดินขากะเพลกราวกับส่วนล่างได้รับบาดเจ็บ บางทีอีกคนถึงกับเดินไม่ได้ต้องขอร้องให้เขามาช่วยพยุง

 

                ทุกอย่างนี้ เกิดขึ้นด้วยฝีมือพ่อเลี้ยงใจร้ายของเขา

 

                ลีดงแฮสะดุ้งหลุดออกมาจากความคิดเมื่อได้ยินเสียงประตูถูกเหวี่ยงออกมา ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าพ่อเลี้ยงคงทำร้ายซองมินเสร็จแล้วแน่ๆ

 

                เขารอให้พ่อเลี้ยงเดินขึ้นชั้นสองไปก่อนที่จะรีบอาศัยจังหวะนี้วิ่งลงบันไดไปยังห้องใต้ถุน

 

                กลิ่นปริศนาที่แสนแรงลอยเข้ามาทักทายเขา มันเป็นกลิ่นที่ดงแฮได้กลิ่นตลอดทุกๆครั้งที่ซองมินถูกทำร้าย

 

                “ซองมิน?”

 

                เขาได้ยินเสียงสะอื้นไห้เล็กๆดังมาจากมุมด้านขวา ทุกอย่างมืดไปหมด เขาไม่สามารถมองอะไรเห็นแม้แต่น้อย

 

                พ่อเลี้ยงชอบทำร้ายซองมินในที่มืด...ดงแฮเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่หนึ่งอย่างที่ดงแฮรู้ก็คือเพราะการถูกทำร้ายแบบนี้ ซองมินเลยกลายมาเป็นคนที่กลัวความมืดมากชนิดที่ต้องเปิดไฟสักดวงนอนทั้งคืน

 

                “ฮึก~ ด ดงแฮ?”เสียงเล็กๆที่ดังอู้อี้นั้นพอจะบอกดงแฮให้รับรู้ถึงตำแหน่งของอีกฝ่าย เขารีบเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆพร้อมกับยกมือขึ้นคว้านหากวาดอากาศไปมาก่อนที่จะแตะเข้ากับมือเล็กๆของอีกคนหนึ่งที่ยื่นออกมาพอดี

 

                และทันทีที่สัมผัสมือของซองมินนั้น เขาก็รีบดึงอีกคนมากอดทันที ดงแฮสะดุ้งนิดๆเมื่อพบว่าอีกคนหนึ่งอยู่ในสภาพล้อนจ้อนไม่มีอะไรปกปิดเลย...ทุกครั้งที่พ่อเลี้ยงทำร้ายซองมิน ซองมินต้องอยู่ในสภาพเปลือยหลังจากนั้นตลอดเวลา

 

                ดงแฮเองก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าพ่อเลี้ยงทำร้ายซองมินวิธีไหน...เพราะเขาขี้ขลาดเกินที่จะดู แต่เขารู้ว่าทุกๆครั้งที่กำลังถูกทำร้าย ซองมินมักจะส่งเสียงแปลกๆดังลอดออกมาตลอดเวลา

 

                “ม ไม่อยากอยู่แล้ว...ฮึก~ ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฮือๆ~

 

                ดงแฮทำได้เพียงแค่เม้มปากแน่น เขาไม่กล้าสัญญาอะไรกับซองมิน ไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกไปด้วยซ้ำ ทำได้เพียงแค่กอดอีกคนเงียบๆ หวังแต่เพียงให้ความอบอุ่นของตัวเองบรรเทาความเจ็บปวดของอีกคนหนึ่ง

 

                เพราะเขาขี้ขลาดเกินกว่าจะทำอะไรได้ ดงแฮจึงรู้สึกว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมาออกความเห็นอะไรใดๆทั้งสิ้นกับซองมิน คนที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บอยู่แทบทุกวัน

 

                แต่ถึงแม้ว่าในวันนี้เขายังไม่อาจทำอะไรได้เพรายังเป็นแค่เด็ก แต่ลีดงแฮได้สัญญากับตัวเองว่า ถ้าเขาโตขึ้นมา เขาจะรีบหางานทำเพื่อให้ตัวเองมีเงินพอที่จะดูแลซองมินได้

 

                และถ้าวันนั้นมาถึง จะไม่มีใครกล้าทำร้ายซองมินอีก

 

                ไม่แม้กระทั่งพ่อเลี้ยงใจร้ายคนนี้

 

     When I grow up…

               ถ้าผมโตขึ้นมา...

 

[End of Childhood Memories: Living Hell.]

-----------------------------------------------------------------------------------

สองพาร์ทสั้นๆของแจกับสองแฝด อันนี้มีแฟนฟิกรีเควสมา...มะปราง พี่แต่งให้แล้วนะ (-3-) ไม่ต้องblackmailฉันแล้ว ๕๕๕๕ ;P
ตอนนี้มอบให้แก่แฟนฟิกทุกๆคนที่สอบเสร็จแล้ว อาทิเช่น น้องเหมี่ยว น้องพลอย (นัง)น้องว่าน และคนอื่นๆด้วยเช่นกันนะคะ หวังว่าSFอันนี้คงทำให้คนอ่านหายเครียด (ถ้าเครียดกว่าเก่านี่ก็...ตรูไม่เกี่ยวนะ :P)


เพลง 'When I Grow Up' นี่เป็นเพลงจากละครเพลงเรื่องMatilda ซึ่งตอนนี้เป็นเพลงที่ติดหูมาก -___-; เปิดฟังตลอดเวลาจนเริ่มเอือม ;P 
ทีนี้มันเลยแต่งยากมาก เพราะว่าหนึ่ง เราแต่งจากมุมมองของเด็ก (ซึ่งในที่นี้ก็คือน้องเบ้ง)
ซ๊องแต่งแล้วรู้สึกแบบ อ้ากกกกกก อั๊ยยะ>///< วิญญานโชตะอยากแดกเด็กเข้าสิง ทำไมเบ้งน้อยที่รักมัน...soooooo cute?! HOW CAN YOU BE THIS CUTE?!
SF เรื่องนี้เป็น...plotless thoughtless crappy story. ซึ่งก็คือ ไร้พลอต ไร้ความคิด และห่วยแตก-_-; เป็นฟิกที่จู่ๆก็เข้ามาในหัวตอนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ เลยต้องคว้าโทรศัพท์มาเมมเอาไว้
แต่พอลองแต่งแล้ว รู้สึกว่าแม่ของคิมฮี เป็นเหมือนFirst loveของฮีเลย
ไม่ใช่ First lov eแบบที่เด็กดื้อมีให้สะโห้น้าาา หากแต่เป็นPlatonic Love เป็นความรักบริสุทธิ์ที่ไม่มีเพศสัมพันธ์อะไรใดๆเกี่ยวข้างหนะคะ...อันนี้ซ๊องว่านะ -..-

เชื่อว่าทุกๆคนมีความฝันตอนเป็นเด็ก ทุกคนอยากโตเป็นผู้ใหญ่และจะได้ทำอะไรต่อมิอะไรที่เราอยากทำเมื่อเรายังเป็นเด็ก
แต่ที่คิดที่สุด และยังเป็นสิ่งที่อยากทำมากที่สุดก็คือ

When I grow up, I want to write a story I dreamed to write.
เมื่อฉันโตขึ้นมา ฉันอยากจะเขียนนิยายที่ฉันใฝ่ฝันอยากจะเขียน


...อันนี้ซ๊องก็ไม่รู้นะว่าไอ้ที่ซ๊องอยากจะเขียน จะสามารถสื่อให้คนอ่านเข้าใจหรือเปล่า
it's up to you to decide, not me ;)

ที่ชอบที่สุดก็คือเพลงนี้เป็นเพลงที่พวกเด็กๆเขาร้อง และมันมาจากความฝันในวัยเด็กของพวกเขา ตอนที่เขาแสดง บอกเลยว่าเป็นหนึ่งในstageที่ชอบมาก เขาใช้ชิงช้าที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเด็กแล้วก็เหวี่ยงตัวเองจากชิง้าโหนมายังคนดู มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังบินสู่ความฝันของเขาเลย


เพลงWhen I Grow Upอยู่ระหว่างช่วง 0:46 - 4:25 นะคะ ;D
ชอบฉากชิงช้ามาก แบบยิ่งตอนไปดู โรงละครมันเล็กๆอยู่แล้ว เหมือนเขาบินมาหาเราเลย 
ได้ยินผู้ชมแถวหน้าๆแบบ โหวววววววววว

ช่วงนี้ Matilda Feverมาก
ถ้าเกิดอ่าน What If Story: ถ้าคิมเรียววุคเป็นขงเบ้งยุคไซเบอร์

ตอนจบจะรู้เลย...
...oh oopsie, สปอยไปแล้ว whoops TT_____TT!

Anywayyy, stay tune!
แล้วเจอกันคะ ;)

TB
ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture