ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Part 11 แหวน 100%
Part 11 แหวน
“ใครมาน่ะรยออุค” ซองมินร้องถามเสียงใสหลังจากเห็นน้องชายยืนนิ่งเงียบอยู่หน้าประตูนานผิดปกติจนเขาต้องเดินมาดูเอง พอเห็นว่าแขกผู้มาเยือนคือคุณหมอคิมจงอุนที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ซองมินก็โค้งตัวพลางเอ่ยคำทักทาย “สวัสดีครับคุณหมอจงอุน”
“พี่ซองมินรู้จักเขาด้วยเหรอ” รยออุคถามหน้าตาตื่น
“ก็รู้จักน่ะสิ หรือว่า…ทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อน” ซองมินมองหน้าชายหนุ่มที่ตนรู้จักทั้งคู่สลับกันไปมา
ทั้งรยออุคและจงอุนต่างก็พยักหน้าพร้อมกัน
หลังจากที่ซองมินเชื้อเชิญคุณหมอหนุ่มเข้ามาในห้อง ทั้งตัวเขาเอง รยออุคและจงอุนก็พากันมานั่งที่โซฟารับแขกในห้องพักผู้ป่วย ดูเหมือนรยออุคและจงอุนยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อกับความกลมของโลกใบนี้ที่ทำให้พวกเขาต้องกลับมาพบกันอีกครั้งโดยมีคนไข้หนุ่มหน้าหวานอย่างอีซองมินมาเป็นตัวประสาน และก็ซองมินอีกนั่นแหละที่เป็นผู้แนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันอย่างเป็นทางการหลังจากที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว
“รยออุค นี่คุณหมอคิมจงอุนเป็นคุณหมอที่พี่รู้จัก ส่วนคุณหมอจงอุนครับ นี่คิมรยออุค น้องชายของผมครับ” จบคำแนะนำ ทั้งรยออุคและจงอุนต่างก็ก้มหัวทักทายกันด้วยท่าทีเกร็งๆ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดอะไรกันก่อนดี
“เอ่อ…ขอบคุณมากนะครับคุณหมอที่คราวก่อนช่วยผมเอาไว้” สุดท้ายรยออุคก็เริ่มพูดก่อน อีกฝ่ายจึงส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“บังเอิญจังเลยนะครับ ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณหมอด้วยเหมือนกันที่ช่วยดูแลรยออุค ถ้าไม่มีคุณหมอล่ะก็คงลำบากแน่ๆ” ซองมินพูดยิ้มๆ เพิ่งจะรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนที่ช่วยรยออุคไว้ตามที่เจ้าตัวเล่าให้ฟังเมื่อวานก็เมื่อกี๊นี่เองที่รยออุคเกาะแขนเขาพลางกระซิบบอก ‘ผู้ชายคนนี้แหละพี่ที่ช่วยผมไว้’
“ครับ” คุณหมอหนุ่มยิ้มเก้อๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่นแทน “ไม่น่าเชื่อนะครับว่าพี่ชายที่คุณรยออุคพูดถึงในรถคือคุณซองมินนี่เอง โลกกลมจริงๆ เลยนะครับ”
“นินทาอะไรพี่ล่ะฮึ เจ้าตัวเล็ก” ซองมินพูดพลางโยกหัวน้องชายอย่างหมั่นเขี้ยว รยออุคจึงส่งเสียงกระเง้ากระงอดปฏิเสธแล้วลูบหัวตัวเองป้อยๆ ภาพการหยอกล้ออย่างน่ารักของสองพี่น้องทำให้คนนอกอย่างจงอุนอดจะยิ้มตามไม่ได้
แต่ชายหนุ่มก็รีบตีหน้าขรึมแทบไม่ทันเมื่อตาเรียวรีหันขวับมามองแล้วสานสบสายตากันเข้าพอดี
“ว่าแต่คุณกับพี่ซองมินรู้จักกันได้ยังไงล่ะครับ ท่าทางคุณก็ไม่น่าจะใช่จิตแพทย์นี่ ใช่มั้ยครับ” รยออุคตั้งข้อสงสัย ก็จริงไหมละ ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด จิตแพทย์ก็ไม่น่าจะต้องรีบไปผ่าตัดไส้ติ่งแบบที่เขาเจอวันนั้นหรอกไม่ใช่หรือ
“ผมไม่ใช่จิตแพทย์หรอกครับ ผมเป็นศัลยแพทย์แต่รู้จักกับคุณซองมินเพราะเป็นหมอประจำตัวของเพื่อนคุณซองมินครับ” จงอุนตอบ ก่อนจะรีบอธิบายเมื่อเห็นสายตาเคลือบแคลงจากญาติคนไข้อย่างรยออุค
“เพื่อนเหรอ” รยออุคพึมพำเบาๆ หันมามองหน้าซองมินด้วยสายตาสงสัย แต่ไหนแต่ไรมาอีซองมินเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ ไม่มีปากมีเสียง อีกทั้งยังถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด จึงไม่ค่อยมีคนคบค้าสมาคมเท่าใดนัก ยิ่งอยู่ในโรงพยาบาลแผนกจิตเวชแบบนี้ การจะมีเพื่อนได้เป็นเรื่องที่แปลกทีเดียว
ซองมินพยักหน้าตอบคำถามทางสายตาของรยออุค
“เพื่อนของพี่เป็นคนไข้ของคุณหมอจงอุนน่ะ เวลาไปเยี่ยมเขาก็เจอคุณหมอแกบ่อยๆ ก็เลยรู้จักกัน” ซองมินขยายความ
“ผมได้ข่าวจากพยาบาลที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ว่าคุณ…เอ่อ…ไม่สบาย คุณเป็นยังไงบ้างครับ” จงอุนถามซองมินด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องพูดเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของคนไข้หนุ่มคนนี้เพราะกลัวจะไปกระทบจิตใจของเจ้าตัว แต่ดูเหมือนซองมินไม่ได้คิดมากอะไร เพราะก็ยังยิ้มแย้มพร้อมกล่าวว่าไม่ต้องเป็นห่วง
หมอและคนไข้ถามสารทุกข์สุขดิบกันอยู่สักพักโดยมีรยออุคนั่งมองโดยไม่ได้พูดอะไรแต่ร่างบางกำลังแอบลอบหรี่ตามองคุณหมอหนุ่มอย่างครุ่นคิด จนชื่อของตนถูกลากเข้ามาเกี่ยวโยงกับบทสนทนานั่นล่ะ รยออุคถึงละสายตาจากใบหน้าของคุณหมอหนุ่มผู้มาเยือน
“พี่เกือบลืมไปแน่ะรยออุค พี่วานอะไรนายอย่างนึงได้มั้ย”
“อะไรครับ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ผมพร้อมจะช่วยพี่ซองมินอยู่แล้ว”
“นายจำแหวนวงนั้นได้มั้ย” ซองมินถาม หน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
“แหวน…?” รยออุคทวนคำ นิ่งคิดไปเพียงครู่ก่อนจะตวัดสายตามองไปที่มือข้างขวาของซองมิน จริงสิ! เขาเองก็ลืมสังเกตไปว่าแหวนวงนั้นที่ซองมินมักสวมติดนิ้วนางข้างขวามันหายไป “แหวนของพี่ซองมิน…”
“ก่อนจะถูกส่งมาที่นี่พี่ไม่ได้สวมแหวนวงนั้น ตอนแรกพี่ก็ไม่ได้คิดมากอะไรหรอก แต่ตอนนี้พี่มีเรื่องจำเป็นที่ต้องใช้มัน พี่ขอร้องให้นายกลับไปเอาที่บ้านให้หน่อยได้มั้ย”
คำขอของซองมินทำให้รยออุคมองด้วยสายตาสื่อความนัย แม้จะพูดออกมาไม่ได้เพราะมีคนนอกอยู่ด้วย แต่เมื่อซองมินพยักหน้า รยออุคก็เข้าใจถึงสิ่งที่ซองมินต้องการจะบอก
แหวนวงนั้น…แหวนที่ซองมินเคยใส่เป็นประจำ แหวนเรียบๆ สีเงินขอบทอง มีหัวแหวนเป็นอัญมณีสีเหลืองน้ำตาล
อัญมณีที่ว่านี้คือหินตาเสือหรือ Tiger’s eyes หินสีที่มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันผู้สวมใส่จากวิญญาณร้ายและการฝันร้าย
เหตุผลที่ซองมินถามหาแหวนวงนี้คงเพราะเจ้าตัวคงเจอดีอะไรบางอย่างมาอย่างแน่นอน
“ได้สิครับ เดี๋ยวเลิกงานผมจะรีบกลับอินชอนไปเอาให้พี่เลย เจ้าของบ้านคนใหม่น่าจะยังเก็บเอาไว้ให้อยู่…”
“เปล่าหรอก แหวนอยู่ที่บ้านที่โซลน่ะ” ซองมินตอบเสียงอ่อย
“บ้านที่โซล?” รยออุคทวนคำ “อย่าบอกนะว่า…”
“อื้อ” ซองมินพยักหน้า ตอบรับเสียงอ่อย เพราะรู้ดีจากการที่รยออุคมาระบายให้ฟังวันก่อนว่าไม่ชอบหน้าฮาฮีรา นายหญิงของบ้านมากแค่ไหน แต่เขากลับขอให้น้องชายกลับไปเอาแหวนที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง ทั้งที่รยออุคไม่อยากกลับไปเจอหน้าผู้หญิงใจร้ายคนนั้นอีก “พี่รู้ว่านายลำบากใจ แต่พี่จะขอร้องนายแค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย นะรยออุค พี่ขอล่ะ”
เหตุผลที่รยออุคไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกครั้งมีมากกว่าเกลียดชังน้ำหน้าแม่เลี้ยงใจร้ายของซองมิน แต่เพราะไม่อยากเจอใครอีกคนที่อยู่ที่นั่นด้วยต่างหาก
“แต่…. ก็ได้ครับ แค่ไปเอาแหวนเอง ไม่เป็นไรหรอก” แต่ถึงอย่างนั้น สุดท้ายรยออุคก็ตอบตกลง
“ขอบใจมากนะรยออุค ขอบใจมากจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปส่งมั้ยครับ” หมอจงอุนที่เงียบฟังอยู่นานถามขึ้นมา
“ได้เหรอครับ ขอบคุณมากนะครับ” ซองมินรีบตอบรับคำชวนนั้นอย่างไม่เกรงใจ เพราะเขาสนิทคุ้นเคยกับคุณหมอหนุ่มผู้นี้เป็นการส่วนตัวจนไว้ใจ และอีกอย่างเขาก็กลัวว่าถ้ารยออุคกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกแล้วเกิดผู้หญิงคนนั้นไม่พอใจขึ้นมาอาจจะเป็นอันตรายกับรยออุคได้ ถ้ามีจงอุนอีกคน ผู้หญิงคนนั้นคงจะไม่กล้าทำอะไรไม่ดี
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่คุณช่วยผมไว้คราวก่อนยังไม่ได้ตอบแทนเลย” รยออุคปฏิเสธ ก่อนจะมองหน้าซองมินแล้วส่ายหัว
“ไปกับคุณหมอเขาเถอะนะรยออุค นายก็เพิ่งกลับมา ยังไม่รู้ที่ทางในโซลด้วยซ้ำ”
“แต่พี่ซองมิน…ผมเกรงใจเขานี่นา”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ คนกันเองทั้งนั้น คุณเป็นน้องคุณซองมินก็เหมือนเป็นน้องผม” จงอุนตอบ ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ เมื่อโดนทั้งพี่ทั้งผู้มีพระคุณขอมา รยออุคก็เอ่ยปฏิเสธไม่ออก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะลึกๆ ในใจก็ไม่อยากจะกลับไปที่บ้านหลังนั้นคนเดียวเช่นกัน
“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปส่งคุณตอนนี้เลยก็ได้ ผมว่างทั้งเช้า” จงอุนพูดรวบรัด มีซองมินที่พยักหน้าสนับสนุนเป็นลูกคู่รับ
“แต่…”
“รีบๆ ไปเถอะรยออุค นายเองก็มีงานไม่ใช่เหรอ คุณหมอเขาก็ไม่ได้ว่างตลอด พี่ก็อยากได้ของคืนแล้ว” ซองมินพูดเร่งเร้า
“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะครับ” รยออุคพูดแล้วหันไปโค้งให้คุณหมอหนุ่ม
คล้อยหลังสองหนุ่มที่ออกจากห้องไปได้ไม่นาน เสียงของเด็กชายที่นั่งอยู่ในห้องนานแล้วแต่ไม่มีใครเห็นยกเว้นเจ้าของห้องจึงดังขึ้น “คิดจะจับคู่ให้น้องตัวเองแบบนี้เลยเหรอเจ๊”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่” ซองมินดุเสียงเข้ม แต่สายตากลับพราวระยับ บารอมไม่ได้ว่าอะไรต่อ เพียงแต่ส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ ก่อนจะดูการ์ตูนกับอึนจูต่อ
รยออุคกับจงอุนก็ดูเป็นคู่ที่เข้าท่าดีไม่ใช่หรอกหรือ ทั้งสองคนก็ยังไม่มีใครทั้งคู่ จงอุนก็เป็นคนดี แถมยังมีหน้าที่การงานที่มั่นคง คงจะดูแลน้องชายของเขาได้ดี อาจจะดีกว่าเขาในตอนนี้เสียด้วยซ้ำ เขาเองก็ไม่รู้อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หากว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยถ้ามีคนดีๆ ซักคนอยู่เคียงข้างรยออุค เขาก็จะได้หมดห่วง เพราะตอนนี้มีเพียงรยออุคคนเดียวเท่านั้นที่นับว่าเป็นญาติที่เหลืออยู่ของเขาและเป็นคนที่เขาห่วงมากที่สุด แม้จะรู้จักหมอจงอุนได้ไม่ถึงปี แต่ลางสังหรณ์ของเขาก็บอกว่าคุณหมอคนนี้เป็นคนดี และคงจะดูแลรยออุคให้มีความสุขได้
งานนี้นอกจากจะได้แหวนคืนแล้วยังได้น้องเขยด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวชัดๆ!
แม้จะเคยนั่งในรถคันนี้มาแล้ว แต่รยออุคก็ยังนั่งตัวเกร็งหลังแนบสนิทไปกับเบาะจนแทบจะกลืนหายเป็นเนื้อเดียว เป็นเพราะเขายังไม่คุ้นเคยกับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของรถที่พยายามจะสร้างบรรยากาศให้เขาทำตัวให้สบาย ทั้งพูดปลอบ ทั้งเปิดเพลง เปิดเครื่องปรับอากาศเสียเย็นฉ่ำ แล้วยังชวนคุยด้วยเพื่อสร้างความสนิทสนม
“เห็นคุณซองมินบอกว่าคุณจบจากอเมริกา จบด้านไหนมาเหรอครับ” จงอุนถาม ตาก็มองกระดาษโน้ตบอกที่ตั้งบ้านตระกูลอีคร่าวๆ ที่ได้มาจากรยออุคตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลสลับกับมองทาง บ้านของซองมินอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเท่าใดนัก อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่เขาคุ้นเคยดีเพราะเป็นทางผ่านตอนไปทำงานอยู่แล้ว
“จบกฎหมายครับ” รยออุคตอบ
“เก่งจังเลยนะครับ” จงอุนเอ่ยชมจากใจจริงก่อนจะถามต่อ “แล้วคุณซองมินล่ะครับ เอ่อ..ขอโทษนะครับ ผมไม่ทราบว่าจะถามเรื่องส่วนตัวของเขาได้หรือเปล่า” ประโยคท้ายจงอุนพูดด้วยน้ำเสียงเกรงๆ เพราะกลัวว่าจะเป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคนไข้หนุ่มหน้าหวานจนเกินไป แต่เพียงเท่านี้ก็พอจะทำให้รยออุครู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของคุณหมอคนนี้แล้ว
ที่แท้ก็หลอกถามเขาเป็นทางผ่านนี่เอง…แล้วนี่คงกะขอมาส่งเขาเพื่อถามเรื่องซองมินล่ะสิท่า
“พี่ซองมินจบทางออกแบบเครื่องประดับครับ รับทำงานอิสระอยู่ที่บ้านให้บริษัทบริษัทเครื่องประดับในโซลหลายที่เลย ก่อนมาโซลก็เห็นว่าพี่ซองมินจะออกแบบสร้อยส่งประกวดแต่ก็โดนจับส่งโรงพยาบาลเสียก่อน มีอะไรจะถามเกี่ยวกับพี่ซองมินอีกมั้ยครับ” รยออุคตอบคำถามก่อนจะถามต่อเสร็จสรรพ แต่จงอุนที่รู้ตัวว่าโดนอีกคนเดาทางได้เสียแล้วจึงได้แต่ยิ้มเก้อๆ
“ผมก็แค่อยากทราบเฉยๆ น่ะครับ แหะๆ”
“คุณเองก็รู้จักพี่ซองมินมาตั้งปีแล้ว ถ้าสงสัยอะไร อยากรู้อะไรก็ถามเขาตรงๆ เลยสิครับ จะจีบทั้งทีแต่ไม่กล้า เสียเชิงชายหมด” คำพูดนั้นทำให้จงอุนเหยียบเบรกตัวโก่งจนรยออุคตัวกระชากไปข้างหน้า ดีที่คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ ไม่อย่างนั้นหัวเขาคงกระแทกเข้ากับคอนโซลรถไปแล้ว
“ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” จงอุนละล่ำละลักพูดพลางหันมามองรยออุคด้วยสายตาเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ชายหนุ่มกัดฟันตอบก่อนจะหันหน้าหนีไปมองทางอื่น นี่ถ้าไม่ติดว่าผู้ชายคนนี้กำลังช่วยเขาอยู่ล่ะก็ พ่อจะเหวี่ยงไปแล้วนะเนี่ย
“ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ” อยู่ๆ จงอุนก็ถามขึ้นมา ทำให้รยออุคที่กำลังนั่งเงียบฟังเพลงเพลินๆ งงเป็นไก่ตาแตก
“ครับ?”
“ผมแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอครับ” จงอุนพูดเสียงเบาลง ดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
“ว่าจีบพี่ซองมิน?”
คุณหมอหนุ่มพยักหน้า
“ถ้าคุณไม่อยากให้เขารู้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ พี่ซองมินยังไม่รู้ตัวหรอก” รยออุคมั่นใจ เพราะโตมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันมานาน เขาย่อมรู้เกี่ยวกับซองมินดีที่สุด
“แต่คุณรู้…”
รยออุคเผลอหลุดหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดแฝงความกลุ้มใจที่โดนจับได้ของจงอุน เขาลอบสังเกตมานานแล้ว คิดตงิดๆ อยู่ในใจตั้งแต่จงอุนมาเยี่ยมซองมินทั้งที่ไม่ได้เป็นหมอประจำตัวแถมอยู่กันคนละแผนกอีกต่างหาก ทั้งสายตา ทั้งท่าทางของจงอุนตอนอยู่ต่อหน้าซองมิน ดูก็รู้ว่ามีความรู้สึกพิเศษต่อพี่ชายของเขา แต่ฝ่ายนั้นกลับใสซื่อเสียจนมองไม่ออก
“คุณคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ยครับ” จงอุนถามหวั่นๆ รยออุคเป็นญาติเพียงคนเดียวของซองมิน การที่เขาจะทำอะไรจึงควรต้องขออนุญาตก่อน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นน้องชายก็เถอะ
“คุณเลยลงทุนมาส่งผมเพื่อติดสินบนเหรอครับ” รยออุคพูดพลางกลั้วหัวเราะ
“เปล่านะครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ผมเต็มใจมาส่งคุณจริงๆ”
“ครับๆ ผมเชื่อ” รยออุคพูดจากใจจริง เพราะจงอุนก็เคยให้ความช่วยเหลือเขามาก่อนตั้งแต่ยังไม่ทราบว่าเขาเป็นน้องซองมินแล้ว ผู้ชายคนนี้เป็นมีน้ำใจจริงๆ “แต่คุณเองก็ต้องเร่งมือหน่อยนะครับ พี่ซองมินน่ะมีเสน่ห์แล้วยังน่ารักด้วย มัวแต่ช้าระวังจะกินแห้ว” รยออุคเตือนด้วยความหวังดี ใจนึกไปถึงคุณหมออีกคนที่ท่าทางกวนประสาทเหลือเกิน ถึงจะดูดีแต่เขาไม่ถูกชะตาเพราะบังอาจมาทำร้ายพี่ชายของเขา และรยออุคก็พอจะดูออกว่าคุณหมอคนนั้นก็คิดไม่ซื่อกับซองมินเช่นเดียวกัน
“แสดงว่าคุณไม่ว่าอะไรถ้าผมจะจีบคุณซองมินใช่มั้ยครับ” จงอุนพูดด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างปิดไม่มิด ไม่ได้สนใจคำเตือนของรยออุคเลย
“ก็พี่ซองมินพูดเองว่าคุณเป็นคนดี ผมก็อยากให้พี่ชายของผมลงเอยกับคนดีๆ เหมือนกัน แต่…”
“แต่อะไรครับ” จงอุนถาม เลิกคิ้วสูงมองรยออุค
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” รยออุคเอ่ยปัด เก็บความลับเรื่องความสามารถพิเศษของซองมินเอาไว้ เมื่อถึงเวลาซองมินก็คงจะเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง เขาไม่ควรจะเอาเรื่องนี้ไปพูดให้ใครต่อใครฟัง ในรถจึงมีแต่เสียงเพลงบัลลาดประกอบละครเรื่องดังที่ดังทำลายความเงียบเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น บรรยากาศระหว่างชายหนุ่มทั้งสองก็คลายความอึดอัดกว่าเมื่อครู่นี้มากจนกระทั่งรถเก๋งคันหรูแล่นเข้าหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่กลางเมืองในย่านคนรวย จงอุนจึงสังเกตว่าร่างบางที่นั่งอยู่ข้างกันที่เมื่อครู่ดูผ่อนคลายลงแล้วกลับมานั่งเกร็งอีกครั้ง
“หลังนี้หรือเปล่าครับ” จงอุนถาม ชะลอรถจอดหน้าคฤหาสน์หลังงาม รยออุคที่แม้จะเคยมาครั้งเดียวแต่ก็จำได้จึงพยักหน้ารับ
ร่างบางก้าวลงจากรถก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน รยออุคเตรียมคำพูดไว้ในใจเพื่อตอบคำถามของใครก็ตามที่จะดังผ่านลำโพงที่ติดกับออดก่อนจะกดออดแล้วรอฟังเสียงตอบรับจากในบ้าน แต่คราวนี้กลับมีคนรับใช้เดินมาเปิดประตูรั้วให้พร้อมกับเชื้อเชิญเข้าบ้านโดยไม่ทันถามด้วยซ้ำว่าใครมา ไม่เหมือนกับครั้งแรกตอนที่เขามาเยือนที่นี่
เมื่อได้รับอนุญาต รยออุคก็เดินกลับไปที่รถที่จงอุนนั่งรออยู่แล้วบอกคุณหมอหนุ่มให้ขับรถเข้าไปในเขตของบ้านได้เลย
รยออุคเห็นรถเก๋งสีดำจอดอยู่ในโรงจอดรถ เขาจำรถคันนี้ได้ดี จำได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรกตอนที่มาเยือนบ้านหลังนี้ วันนี้เจ้าของบ้านคงจะอยู่ แต่เขาก็หวังว่าใครอีกคนจะไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เพราะให้เขาไปเผชิญหน้ากับผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นคงจะยังดีเสียกว่าต้องเจอกับผู้ชายคนนั้น
จงอุนเหลือบมองรยออุคที่นั่งกุมมือวางไว้บนตักแล้วสูดลมหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ด้วยความเป็นห่วง เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าชายหนุ่มร่างเล็กคนนี้เป็นอะไร และมีความหลังอะไรกับที่นี่หรือคนที่นี่ จึงได้มีท่าทางหวาดเกรงแปลกๆ มาตั้งแต่เลี้ยวรถเข้ามาในบริเวณหมู่บ้านแล้ว แต่คุณหมอหนุ่มก็ไม่กล้าถามเพราะกลัวจะถูกหาว่าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว
รถของจงอุนจอดสนิทหน้าประตูทางเข้าบ้าน รยออุคก้าวลงจากรถโดยที่จงอุนยังนั่งรออยู่ข้างใน แต่ลงไปได้ไม่กี่วินาที รยออุคก็เปิดประตูรถอีกครั้งพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาในรถ
“คุณ…มาอยู่เป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
ชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในคฤหาสน์หลังโอ่อ่าโดยมีสาวใช้คนหนึ่งเดินนำหน้า ระหว่างทางรยออุคหันมองเครื่องเรือนและการจัดตกแต่งบ้านในสไตล์โมเดิร์นด้วยความตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งสาวใช้คนนั้นหยุดอยู่บริเวณหน้าห้องรับแขกแล้วผายมือเชิญทั้งสองคนเข้าไป
รยออุคสบสายตาเข้ากับโกยองอุคที่นั่งจิบกาแฟรออยู่แล้ว
“เชิญนั่งครับ” ยองอุคพูดพลางผายมือไปที่โซฟาตัวยาวที่วางอยู่ตรงข้าม
“ผมมาเอาของให้พี่ซองมิน” รยออุคพูดธุระเสียงกระด้าง แม้จะยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจว่าจะได้พบคนที่เคยรู้สึกดีด้วยอีกครั้ง แต่ก็ยังฝืนทำเป็นเข้มแข็ง
“ใจเย็นๆ สิคุณรยออุค ไม่เจอกันตั้งนานคุณไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอ”
“ไม่จำเป็น ผมมีเวลาไม่มาก” รยออุคปฏิเสธห้วนๆ “ห้องของพี่ซองมินอยู่ที่ไหน ผมจะขึ้นไปเอาของแล้วกลับเลย”
“คุณสบายดีใช่มั้ย อยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ” ยองอุคไม่สนใจประโยคตัดรอนเยื่อใยของรยออุค ยังคงพูดคุยด้วยท่าทีเป็นกันเอง
“ผมรีบ ไม่มีเวลามาพูดเรื่องไร้สาระ แล้วอีกอย่างถ้าภรรยาของคุณมาพบผมเข้ามันจะไม่ดี”
“ฮีราน่ะเหรอ” ยองอุคพึมพำเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ท่าทางที่รยออุคอ่านไม่ออกว่าหมายความว่าอย่างไร “เอาเถอะ ถ้าเธอกลับมาคงจะลำบาก ผมจะให้คนนำทางคุณไปที่ห้องคุณซองมินก็แล้วกัน ข้าวของในห้องยังอยู่ครบดีทุกอย่าง ไม่ต้องเป็นห่วง”
รยออุคก้มหัวให้ตามมารยาทแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง โดยมีจงอุนที่ดูยังจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรนักลุกขึ้นตาม
“จริงสิ คุณไม่คิดจะแนะนำเพื่อนคุณให้ผมรู้จักบ้างเหรอ” ยองอุคลุกขึ้นยืน มองชายหนุ่มที่มากับรยออุคด้วยสายตาประเมินค่า
รยออุคส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอเบาๆ ก่อนจะพูด “นี่คุณหมอคิมจงอุน แฟนของผม คบกันมาได้ 2 ปีแล้ว” ไม่พูดเปล่า รยออุคยังคล้องแขนจงอุน เบียดตัวเข้าไปแนบชิด แสดงท่าทีสนิทสนมพลางส่งยิ้มหวานให้ ‘แฟน’ ของตัวเอง
จงอุนหน้าตาตื่น พยักหน้ารับเออๆ ออๆ ไปอย่างงงๆ พร้อมกับคิดในใจว่าตัวเองไปตกลงเป็นแฟนกับชายหนุ่มร่างเล็กคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ยองอุคดูจะตกใจไม่น้อยที่รับรู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน แต่ก็ส่งยิ้มให้ “คุณสองคนดูเหมาะสมกันดีนะ ดูแลลูกศิษย์ผมให้ดีนะครับ คุณโชคดีแล้วที่ได้รยออุคเป็นแฟน” ประโยคท้าย ยองอุคหันมาพูดกับจงอุนแล้วจึงขอตัวเดินเลี่ยงไปอีกทาง
“คุณรยออุค คุณเป็นอะไรรึเปล่า” จงอุนถามด้วยความเป็นห่วง สีหน้าของรยออุคตอนนี้ไม่สู้ดีนัก ซ้ำยังบีบแขนเขาเสียแน่น
“เปล่าครับ ไปกันเถอะ” รยออุคปฏิเสธแล้วเดินตามสาวใช้คนหนึ่งที่เดินนำทางไปยังห้องของซองมิน
----------------------------------------50%-----------------------------------------
หญิงสาวเดินนำแขกทั้งสองคนขึ้นมายังชั้นสองพอถึงห้องของคุณหนูของบ้านที่เจ้าห้องได้เข้ามาใช้แค่ไม่นานก่อนจะถูกส่งตัวไปอยู่โรงพยาบาล เธอจึงใช้กุญแจไขประตูแล้วค้อมตัวผายมือเชิญชายหนุ่มทั้งสองคนให้เข้าไป ส่วนตัวเองนั้นยืนรออยู่หน้าห้อง
รยออุคอดจะหันมองสำรวจรอบห้องไม่ได้ ห้องนอนของซองมินใหญ่โต กว้างขวางสมกับเป็นห้องของบุตรชายคนเดียวของนักธุรกิจใหญ่ตระกูลอี พื้นที่ของห้องกว้างกว่าห้องของซองมินที่บ้านของผู้เป็นมารดาเป็นเท่าตัว การจัดตกแต่งเป็นไปอย่างเรียบง่าย มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งเตียงนอนหลังใหญ่ขนาดที่ว่านอนกันสามคนก็ยังไม่อึดอัด โทรทัศน์จอแบนพร้อมเครื่องเสียงโฮมเธียร์เตอร์ครบชุด คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่วางอยู่มุมหนึ่งของห้อง โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ ทุกอย่างล้วนจัดวางอย่างลงตัวให้เจ้าของห้องสะดวกสบายที่สุด แต่ด้วยนิสัยของแม่เลี้ยงของซองมิน เธอไม่น่าจะเตรียมการต้อนรับลูกเลี้ยงของตนเองดีขนาดนี้ อดคิดไปเองไม่ได้ว่าพ่อแท้ๆ ของซองมินอาจเตรียมห้องนี้ไว้เพื่อรอให้ลูกชายตนเองกลับมา แต่น่าเสียดายที่ซองมินมีโอกาสได้ใช้มันเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น
ถึงแม้ห้องนี้จะไม่มีผู้ใช้งานมาเป็นแรมปี แต่ภายในห้องยังดูสะอาดเรียบร้อยราวกับได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากซองมินออกจากโรงพยาบาลแล้วได้กลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายสมฐานะตนเองก็คงจะดีสินะ
“คุณรยออุคครับ”
เสียงเรียกของจงอุนปลุกรยออุคให้ตื่นจากความคิดของตนเอง เขาเกือบลืมไปว่าตนเองเข้ามาอยู่ในห้องนี้เพราะอะไร รยออุคกำลังจะบอกให้จงอุนช่วยกันหาของที่ซองมินต้องการ แต่ก็ต้องแปลกใจที่ยังเห็นคุณหมอหนุ่มยืนรออยู่หน้าห้องกับสาวใช้ที่เป็นคนพาพวกเขามา
“ทำไมคุณไม่เข้ามาล่ะครับ”
จงอุนยิ้มแห้งๆ แทนคำตอบของคำถามนั้น รยออุครู้ว่าชายหนุ่มคงจะเกรงใจจึงกวักมือเรียกพร้อมกับขอความช่วยเหลือ “ช่วยผมหาแหวนหน่อยสิครับ ห้องกว้างขนาดนี้ผมหาคนเดียวคงใช้เวลานาน ลืมถามพี่ซองมินมาซะด้วยว่าถอดเก็บไว้ที่ไหน”
เมื่อได้ยินคำอนุญาตกลายๆ จากน้องชายเจ้าของห้อง จงอุนจึงกล้าเข้าไปแต่ก็ยังอดรู้สึกเกร็งๆ ไม่ได้เพราะเขาเป็นคนนอก ไม่ควรจะเข้ามาในห้องส่วนตัวของซองมิน
“ห้องของคุณซองมินสวยจังนะครับ” จงอุนเอ่ยชมขณะหันมองรอบๆ ห้อง
“ครับ น่าเสียดายที่ได้เข้ามาอยู่แค่ไม่นาน”
“ครับ?” จงอุนยังไม่รู้ถึงสถานะทางครอบครัวของซองมิน จึงส่งเสียงเป็นเชิงถามเพราะความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ รีบหาเถอะ ถ้าเจ้าของบ้านกลับมาจะยิ่งลำบาก” รยออุครีบพูดปัดขณะที่เริ่มเปิดลิ้นชักที่หัวเตียง
จงอุนกำลังจะถามต่อว่าเจ้าของบ้านที่ว่านั้นเป็นใคร และไม่ใช่ซองมินหรอกหรือที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ แต่ชายหนุ่มก็ต้องเก็บข้อสงสัยทั้งหมด รวมถึงเรื่องท่าทีแปลกๆ ของรยออุคไว้ในใจเมื่อเห็นว่าอีกคนนั้นตั้งใจกับการค้นหามาก ชายหนุ่มจึงเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือที่มุมห้องแล้วเปิดลิ้นชักหาอีกคน
“แปลกจังเลย หายไปไหนนะ ปกติพี่ซองมินชอบถอดแหวนวางไว้แถวเตียงนี่นา” รยออุคพึมพำเบาๆ เขาเปิดลิ้นชักชั้นวางของที่หัวเตียงทุกตัวแล้วแต่ก็ยังไม่พบแหวนวงที่ว่า อันที่จริงเขามั่นใจว่าคงจะพบแหวนในลิ้นชักตัวใดตัวหนึ่งที่หัวเตียงนี่ล่ะเพราะเคยเห็นซองมินถอดแหวนวางไว้บนหัวเตียงตอนสมัยอยู่ที่อินชอน และซองมินไม่น่าจะเก็บแหวนไว้ห่างตัวตอนนอนเพราะซองมินเคยบอกว่าแหวนวงนี้ช่วยไม่ให้เขาฝันร้าย
ในขณะเดียวกัน จงอุนก็หาแหวนที่โต๊ะเขียนหนังสือไม่เจอจึงย้ายมาที่โต๊ะเครื่องแป้งที่วางอยู่ข้างเตียง ด้วยความไม่ระวัง มือของชายหนุ่มจึงปัดไปโดนขวดโลชั่นล้มไปโดนสารพัดตลับและขวดครีมที่วางอยู่ข้างกันล้มครืนเป็นโดมิโนแล้วตกลงพื้น
“ขอโทษครับ” จงอุนพูดหน้าตาตื่น รีบก้มเก็บสารพัดเครื่องประทินโฉมที่ตกอยู่ที่พื้นวางไว้ที่เดิมโดยมีรยออุครีบเดินมาช่วยด้วยอีกคน
“คุณนี่ล่ะน่า....” ทนายหนุ่มน้อยมิวายบ่นเบาๆ
“อ๊ะ! นั่นมัน....แหวนวงนั้นหรือเปล่าครับ” จงอุนร้องออกมา ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบหลอดครีมที่กระเด็นลอดเข้าไปอยู่ใต้เตียงเขาก็เห็นวัตถุบางอย่างที่ตอนแรกดูไม่ออกว่าเป็นอะไร แต่อัญมณีสีเหลืองน้ำตาลที่หัวแหวนก็ต้องแสงเพียงน้อยนิดที่ส่องลอดเข้าไปใต้เตียงจนสุดท้ายก็มองออกว่าคือแหวนนั่นเอง และอาจจะเป็นวงเดียวกับที่พวกเขาตามหาอยู่
“ไหนครับไหน” รยออุคถามเสียงตื่นเต้น และเมื่อหมอบตัวลงมองไปที่ใต้เตียงก็เห็นสิ่งที่จงอุนพูดถึง “ใช่แล้วล่ะครับ แหวนวงนี้แหละ!” เป็นแหวนวงนั้นจริงๆ วงเดียวกับที่ซองมินต้องการ
รยออุคยื่นมือลอดใต้เตียงหวังจะหยิบแหวนวงที่ว่า แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่จงอุนก็ประสงค์ดีจะช่วยหยิบมันออกมาให้ด้วยเช่นกัน จึงช่วยไม่ได้เลยที่มือของทั้งคู่จะบังเอิญวางซ้อนทับกันอย่างเหมาะเจาะพอดี
ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านบริเวณมือที่ถูกเกาะกุมโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งรยออุคและจงอุนรีบผละมือออกจากกัน รยออุคนิ่งงันไปชั่วครู่โดยไม่ทราบเหตุผลว่าทำไม ทั้งที่ผู้ชายแตะเนื้อต้องตัวกันมันก็ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ในขณะที่จงอุนนั้นได้สติก่อนจึงเอ่ยปากขอโทษ รยออุคทำได้เพียงพยักหน้าส่งๆ แล้วคว้าแหวนเจ้าปัญหาออกมา
ด้วยความที่แหวนวงนั้นตกหายเข้าไปใต้เตียงลึกพอสมควร ประจวบเหมาะกับขนาดตัวของรยออุคทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กต้องมุดหัวเข้าไปใต้เตียงด้วย แต่ในจังหวะที่กำลังจะออกมานั้น ด้วยความรีบร้อนลนลานและยังตั้งตัวกับอุบัติเหตุเล็กๆ เมื่อครู่ไม่ติด ศีรษะของชายหนุ่มจึงกระแทกเข้ากับพื้นเตียงดังโครมจนจงอุนสะดุ้ง
“โอ๊ย!!”
“คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วงระคนตกใจ
“ไม่เป็นไรครับ” ปากพูดไป มือก็คลำหัวตัวเองป้อยๆ น้ำตาปริ่มเพราะความเจ็บ
จงอุนยังไม่วางใจ ขยับเข้าไปใกล้พลางดูผิวเนื้อบริเวณที่ถูกกระทบกระเทือนว่าบาดเจ็บมากแค่ไหน “โชคดีนะครับที่ไม่แตก แค่โนนิดหน่อย แต่ผมว่าคุณไปเช็คที่โรงพยาบาลก่อนดีกว่า เผื่อเส้นเลือดในสมองแตกล่ะยุ่งเลย”
“เว่อร์น่าคุณ แค่หัวโขกเตียง ไม่ต้องทำถึงขั้นนั้นหรอก”
“มีคนตายเพราะคิดแบบนี้หลายคนแล้วนะครับ ผมว่าไปเช็คเผื่อไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไรหรอก”
“เอ๊...! ก็บอกว่าไม่เป็นไรๆ ไง คุณนี่ยัง...” รยออุคชะงักค้าง กลืนคำพูดที่เหลือลงคอเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าใบหน้าของคุณหมอหนุ่มที่แสดงความเป็นห่วงตนเองเกินเหตุนั้นอยู่ห่างกันแค่คืบ
ใกล้...ใกล้เกินไปจนใจเต้นแรง
รยออุคทันได้เห็นว่าตาเรียวรีของจงอุนนั้นเบิกโตด้วยความตกใจก่อนที่ต่างฝ่ายจะผละออกจากกัน
จงอุนกระแอมเบาๆ แก้ขัดก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ “คุณก็หาแหวนเจอแล้ว งั้นเรากลับกันดีกว่าครับ ผมมีเคสตอนบ่าย” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกเดินออกไป ทิ้งให้รยออุคนั่งสงบสติอารมณ์คนเดียว
เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ หรือไม่ก็คงสมองกระทบกระเทือนจากการโดนกระแทกถึงได้มองว่าตาหมอตาตี่คนนี้ก็หล่อดี
หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างก็ตั้งสติจากเหตุการณ์เมื่อครู่ได้แล้ว ทั้งรยออุคและจงอุนจึงเดินกลับลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน รยออุคนั้นอารมณ์ดีขึ้นมากหลังจากได้สิ่งของที่ตนเองต้องการ
“โชคดีจริงๆ นะครับที่มากับคุณ ถ้าผมมาคนเดียวคงหาไม่เจอแน่ๆ เพราะความซุ่มซ่ามของคุณแท้ๆ เลย เราถึงได้เจอแหวน” รยออุคพูดเสียงใส
“นี่คุณกำลังชมหรือด่าผมครับเนี่ย” จงอุนพูดยิ้มๆ ลูบหัวตัวเองอย่างเขินๆ รยออุคจึงหัวเราะคิกคักชอบใจ
“ได้ของที่ต้องการแล้วเหรอ”
เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดีลบรอยยิ้มบนใบหน้าของรยออุค ชายหนุ่มตีหน้าเรียบเฉย เชิดหน้าขึ้น ก่อนจะตอบเสียงห้วน “ครับ เราจะกลับแล้ว”
“ดูแลตัวเองด้วยนะรยออุค ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาละกัน ผมไม่ได้เปลี่ยนเบอร์” ยองอุคพูดพลางตบไหล่รยออุคเบาๆ ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้
ทั้งแววตา น้ำเสียง และการกระทำที่เอื้ออาทรอย่างที่เคยได้รับทำให้รยออุครู้สึกวูบโหวงในอกอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ใช่ความรู้สึกดีหรืออุ่นใจเหมือนที่เคยรู้สึกเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาคิมรยออุคและเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์โกยองอุค ตอนนี้มีแต่เพียงความปวดร้าวระคนสับสนในใจเท่านั้น
แม้จะไม่อยากเชื่อว่าอาจารย์ที่ตนแอบรู้สึกดีเกินความรู้สึกที่ลูกศิษย์ควรมีจะกลับกลายเป็นหนึ่งในคนที่ทำร้ายพี่ชายที่ตนเองรักมากที่สุด แต่รยออุคก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ เมื่อทุกอย่างมันชี้ชัดเจนขนาดนี้ และแน่นอนว่าเขาต้องเลือกอยู่ข้างซองมินอยู่แล้ว
ร่างบางกลืนก้อนสะอื้นที่แล่นเข้ามาจุกที่คอก่อนจะสะบัดไหล่ให้พ้นจากมือของคนที่เคยรู้สึกดีด้วย นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เขากับยองอุคถือว่าเป็นศัตรูกัน และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก
ยองอุคผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้รับท่าทีไม่เป็นมิตรจากรยออุค แม้จะรู้ดีว่ามันก็สมควรแล้วที่รยออุคจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกับเขาแบบนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ยองอุคตกใจยิ่งกว่าคือแววตาแข็งกร้าวแบบที่ไม่เคยเห็นจากอดีตศิษย์โปรดที่กำลังจ้องมองมาที่เขา
“ผมลาล่ะครับ ขอบคุณที่ช่วย” รยออุคก้มหัวให้ยองอุคก่อนจะรีบเดินออกไปโดยมีจงอุนที่ยังคงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าใดนักตามมาติดๆ
ระหว่างทางจากบ้านของซองมินมาที่โรงพยาบาล รยออุคเอาแต่นั่งเงียบเหม่อมองข้างทาง ไม่พูดไม่จาซักคำจนผู้ร่วมทางอย่างจงอุนใจคอไม่ดี ก็จริงอยู่ที่เขาและรยออุคเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน รยออุคอาจจะยังไม่สนิทใจที่จะคุยกับเขา แต่จงอุนกลับรู้สึกว่าการเงียบไปของรยออุคครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะความอึดอัดเพราะอยู่กับคนไม่คุ้นเคยแบบครั้งก่อนๆ แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น
“เราแวะทานข้าวกันก่อนดีกว่ามั้ยครับ แถวนี้มีร้านอาหารอร่อยๆ หลายร้านเลย” จงอุนพูดขึ้นมา ตอนนี้ก็เกือบจะบ่ายโมงแล้ว พวกเขาน่าจะแวะหาอะไรทานก่อน
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่หิว เดี๋ยวช่วยจอดรถที่ป้ายรถเมล์ข้างหน้านั่นด้วยนะครับแล้วก็ฝากแหวนไปคืนพี่ซองมินด้วย” รยออุคพูดเสียงเนือยๆ แล้วยื่นแหวนให้จงอุน
“อ้าว ทำไมคุณไม่เอาไปคืนเองล่ะครับ”
“ผมนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ช่วยจอดรถตรงนี้ด้วยนะครับ”
นอกจากจะไม่รับแหวนที่รยออุคพยายามส่งให้แล้วจงอุนยังไม่ยอมจอดรถให้ตามคำขอ
“ช่วยจอดรถด้วยครับ ผมจะลง” รยออุคพูดเสียงเข้มขึ้น ตอนนี้เขารู้สึกไม่ดีมากอยู่แล้ว แต่ผู้ชายคนนี้ยังจะมาขัดใจ มากวนอารมณ์เขาอีก ต่อให้เป็นผู้มีพระคุณก็เถอะ ถ้าเขาทนไม่ไหวจริงๆ ก็ระเบิดลงใส่ได้เหมือนกัน
จงอุนไม่สนใจว่ารยออุคกำลังจะโกรธหรือไม่พอใจ กลับเร่งความเร็วรถแล้วเลี้ยวเข้าซอยที่รยออุคไม่รู้จัก และไม่คุ้นทาง
“เอ๊ะ! นี่คุณ คุณจะพาผมไปไหนเนี่ย นี่ไม่ใช่ทางไปโรงพยาบาลนี่ จอดรถเดี๋ยวนี้นะ!” รยออุคร้องโวยวาย พยายามจะเปิดประตูรถทั้งที่รถยังแล่นอยู่ แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะรถของจงอุนมีระบบล็อคอัตโนมัติที่ต้องปลดจากประตูฝั่งคนขับเท่านั้น
“อยู่เฉยๆ เถอะน่าคุณ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก” จงอุนพูดเสียงติดจะรำคาญ รยออุคตั้งท่าจะโวยวายต่อแต่ก็ต้องเงียบไปเมื่ออยู่ๆ คุณหมอหนุ่มกลับเลี้ยวรถเข้าจอดข้างทางเสียอย่างนั้น
“นี่คุณ...ผมไม่ได้อยากจะกินไอติมซะหน่อย” รยออุคร้องออกมา ผู้ชายคนนี้ท่าจะประสาทอยู่ก็จอดรถหน้าร้านไอศกรีมทั้งที่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมาทานของพวกนี้
“ลงไปกินอะไรเย็นๆ ก่อน อารมณ์จะได้เย็นขึ้น” จงอุนพูดแค่นั้นแล้วก็ลงจากรถ แต่รยออุคก็ยังนั่งกอดอกทำหน้าบึ้งอยู่อย่างเดิม จนเจ้าของรถต้องเปิดประตูยื่นหน้าเข้าไปในรถอีกครั้ง “ลงมาสิครับคุณ หรือจะนั่งอยู่ในรถขาดอากาศหายใจตายไม่รู้ด้วยนะ” จงอุนพูด กลั้วหัวเราะในลำคอ โดยไม่รู้เลยว่าท่าทางแบบนี้แถมยังพูดขู่อย่างกับรยออุคเป็นเด็กๆ ทำให้ชายหนุ่มยิ่งอารมณ์ไม่ดี
แต่สุดท้ายรยออุคก็เดินกระแทกส้นตามจงอุนข้าร้านไอศกรีมแห่งนี้จนได้
จงอุนเลือกนั่งบริเวณนอกร้านที่บรรยากาศดีกว่าและลมพัดเย็นสบาย แม้จะเป็นเวลาบ่ายแต่กลับไม่ร้อนเพราะบริเวณร้านมีต้นไม้รวมถึงดอกไม้ประดับตกแต่งให้ความร่มรื่น แค่บรรยากาศก็ทำให้รยออุคอารมณ์เย็นลงไปได้นิดนึงแล้ว
“เวลาอารมณ์ไม่ดีหรือเครียดๆ ผมก็จะมาที่นี่แหละ ได้กินอะไรหวานเ เย็นๆ แล้วจะอารมณ์ดีขึ้นมากเลย” จงอุนพูดยิ้มๆ แต่รยออุคกลับยังปั้นหน้าบูดบึ้งอยู่เหมือนเดิม
“ผมไม่ได้อารมณ์ไม่ดีซักหน่อย” ปากพูดแบบนั้น แต่หน้าของรยออุคกลับฟ้องว่าเจ้าตัวอารมณ์เสียสุดๆ
“เอาเถอะๆ เอาเป็นว่าผมอยากกินก็แล้วกัน คุณก็มากินเป็นเพื่อนผมหน่อย เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง” จงอุนคร้านจะต่อปากต่อคำเลยเอ่ยยอมง่ายๆ
“ผมจ่ายเองได้น่า”
“ผมลากคุณมาทั้งที่คุณไม่เต็มใจ ผมก็ต้องเลี้ยงคุณสิ” จงอุนพูดเป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานมารับออเดอร์ที่โต๊ะพอดี
“เอาช็อกโกแลตซันเดย์ถ้วยใหญ่ เพิ่มวิปครีม อ้อ! ขอเพิ่มท๊อปปิ้งสามอันนี้ด้วยนะครับ” รยออุคสั่งเป็นชุดพลางชี้เลือกท็อปปิ้งในเมนูตั้งแต่จงอุนยังไม่ทันได้ตัดสินใจว่าจะทานอะไรเลยด้วยซ้ำ
นี่ขนาดไม่ค่อยอยากกินนะเนี่ย
“ของผมขอสตรอเบอร์รี่ก้อนนึงครับ” จงอุนสั่งแล้วยื่นเมนูคืนให้พนักงาน “มองผมแบบนี้หมายความว่ายังไงครับ” จงอุนถามเมื่อเห็นสายตาแปลกๆ ของรยออุค
“เปล่าครับ ก็ไม่ได้มีอะไร แค่ไม่คิดว่าคุณจะชอบทานไอศกรีมสตรอเบอร์รี่”
“ทำไมครับ ผมจะทานรสนี้มันแปลกตรงไหน” จงอุนถามท่าทางเอาเรื่อง เป็นผู้ชายชอบทานไอศกรีมสตรอเบอร์รี่แล้วมันยังไง เขาเก็บกดมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ไปทานไอศกรีมกับเพื่อนทีไรเป็นต้องโดนล้อเรื่องนี้ทุกที
“ก็มันดูไม่เข้ากับคุณนี่นา” รยออุคพูดตรงๆ
“ไม่เข้ายังไงครับ”
“ก็มันเหมาะกับคนน่ารักๆ แบบพี่ซองมินมากกว่าน่ะสิ”
“แล้วผมไม่น่ารักรึไง”
“ไม่!” รยออุคตอบแล้วยู่หน้าใส่ จนจงอุนหมั่นเขี้ยวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นี่ถ้าไม่บอกว่าชายหนุ่มคนนี้อายุ 20 กว่าแล้ว เขาคงคิดว่าเป็นเด็กน้อยไม่รู้จักโต น่าจับตีก้นสั่งสอนเสียให้เข็ด
“คุณซองมินก็ชอบไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่เหมือนกันเหรอครับเนี่ย” จงอุนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่รยออุคเอ่ยชื่อซองมินออกมาจึงทักเรื่องนี้
“ใครบอกล่ะ พี่ซองมินน่ะชอบช็อกโกแลต ยิ่งถ้าเป็นดาร์กช็อกแบบเข้มๆ ขมๆ แล้วล่ะก็ยิ่งชอบเลย เวลาสั่งไอศกรีมผมกับพี่ซองมินเลยชอบสั่งเหมือนกัน บางทีก็แย่งกันกินถ้วยเดียวกันด้วยซ้ำ” รยออุคตอบ
“ไม่น่าเชื่อ…” จงอุนพึมพำเบาๆ เพราะไม่คิดว่าหนุ่มหวานหน้าตาน่ารักท่าทางเรียบร้อยอย่างซองมินจะชอบแนวนั้น ดูขัดกับบุคลิกอย่างรุนแรง คงจะเหมือนกันกับเขาที่ชอบทานรสสตรอเบอร์รี่ล่ะกระมัง
“เขาถึงได้บอกไงว่าคนเรามันมองกันที่ภายนอกไม่ได้” รยออุคพูดเสียงแผ่ว
จงอุนรู้สึกได้ถึงความหม่นหมองของรยออุคเหมือนกับที่เคยสัมผัสได้ระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกันจนเขาต้องเลี้ยวรถมาทานไอศกรีมที่ร้านประจำเหมือนอย่างในตอนนี้ ดวงตาสีเข้มที่สานสบเหม่อมองไกล ไม่ได้จับจ้องที่คู่สนทนาอย่างเขา เหมือนว่าประโยคที่รยออุคเพิ่งจะเอ่ยออกมานั้น เจ้าตัวพูดกับฟ้ากับลม ไม่ได้เจาะจงสื่อสารกับเขาโดยตรง
จงอุนถอนใจเบาๆ ก่อนจะยกแก้วน้ำเย็นเฉียบที่พนักงานเสิร์ฟเพิ่งจะวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาจิบอึกหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้นแบบไหน...” ชายร่างสูงโปร่งที่เขาพบที่บ้านของซองมินที่เขารู้เพียงคร่าวๆ จากตอนแนะนำตัวว่าเป็นอาจารย์ของรยออุค แต่ดูจากท่าทีของชายหนุ่มที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ตรงหน้าเขา มันคงจะมีอะไรมากกว่านั้น “...แต่ถ้าคิดถึงเขาแล้วทำให้ไม่สบายใจ ก็อย่าคิดเลยนะครับ” จงอุนจบประโยคเสียงนุ่ม แล้วจึงวางแก้วน้ำในมือลงบนโต๊ะตามเดิม
รยออุคที่เพิ่งได้สติหันมามองหน้าคุณหมอหนุ่มที่นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทีผ่อนคลายจึงรู้ตัวว่าผู้ชายคนนี้กำลังจับจ้องที่ใบหน้าเขาอยู่ แม้ประโยคที่มีความนัยปลอบใจนั้นจะฟังดูง่ายๆ ห้วนๆ เหมือนกับการลืมใครสักคนนั้นเป็นสิ่งที่ง่ายดาย เพียงแค่อยากจะลืมก็ลืม แต่รยออุคกลับรู้สึกได้ถึงกระแสความห่วงใยเคลือบแฝงอยู่ในแววตาจริงจังที่ซ่อนอยู่หลังเลนส์แว่นตาใส แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่จงอุนกลับทำให้รยออุครู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาดเพียงเพราะคำพูดเพียงประโยคเดียว แต่ก็นั่นล่ะ ด้วยนิสัยไม่ดีส่วนตัวที่แก้ไม่หายเสียที ทำให้รยออุคตอบกลับไปด้วยท่าทีถือดี
“คุณไม่ใช่ผม จะมาเข้าใจอะไร เงียบไปซะดีกว่าน่า”
“ใช่ว่าจะมีแต่คุณที่เสียใจเป็นนะครับ” ประโยคนั้นคล้ายกับกำลังตัดพ้อ แสดงความไม่พอใจ แต่รยออุคกลับไม่รู้สึกถึงความขุ่นเคืองในน้ำเสียงติดจะแหบแต่อบอุ่นของคุณหมอหนุ่มเลยสักนิด “ผมเองก็มีเรื่องที่ทำให้เสียใจจนเคยคิดอยากจะเลิกเป็นหมอมาแล้วครั้งนึง” จงอุนพูดพลางทำท่าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีต
คำบอกเล่ากลายๆ นั้นทำให้รยออุคที่ตอนแรกว่าจะไม่สนใจจงอุนแล้วหันมองหน้าคุณหมอหนุ่มที่นั่งตรงข้ามด้วยความตกใจ นายแพทย์ที่ดูอนาคตไกล ดูมีความสามารถอย่างจงอุนนี่น่ะหรือถึงกับเคยคิดจะเลิกเป็นหมอ อาชีพมีเกียรติที่ไม่ใช่ว่าใครก็ได้เป็นกันง่ายๆ
“ตอนที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ แล้วยังใช้ทุนกับรัฐบาล ผมเคยได้ไปทำงานที่โรงพยาบาลเล็กๆ ที่นอกเมือง เป็นตำบลเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ทั้งโรงพยาบาลมีหมอประจำการแค่ 3 คน แต่ต้องดูแลชีวิตประชาชนที่นั่นเกือบหมื่นคนรวมถึงคนไข้ที่ถูกส่งตัวจากตำบลใกล้เคียงที่ไม่มีโรงพยาบาลประจำตำบลอีก ชีวิตการทำงานของผมเลยวุ่นวายทุกวัน แทบไม่มีเวลาพักผ่อน วันๆ เจอแต่คนไข้ ยิ่งวันไหนที่มีเข้าเวรตอนกลางคืน อย่าหวังเลยว่าคืนนั้นจะได้นอนหลับเต็มอิ่ม บางครั้งไม่ได้นอนติดต่อกัน 2-3 วันก็ยังเคย...
“มีอยู่คืนหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นวันซวยของผมและเจ้าหน้าที่รวมถึงหมอที่โรงพยาบาลนั้นก็ว่าได้ เพราะมีคนไข้ฉุกเฉินที่หัวใจหยุดเต้นพร้อมกันทีเดียวถึง 3 ราย แน่นอนว่าหมอทั้งโรงพยาบาลต้องรีบเร่งรุดไปช่วยคนไข้ที่หัวใจหยุดเต้นก่อนเพื่อเซฟชีวิตของพวกเขาไว้ ผลสุดท้ายเลยไม่มีหมอคนไหนเหลือเลยเพราะทั้งโรงพยาบาลมีหมออยู่แค่ 3 คน แต่เรื่องมันแย่กว่านั้นตรงที่ว่ามีคนไข้ฉุกเฉิน admit เข้ามาอีกคนเพราะถูกรถชน แต่ไม่มีหมอคนไหนรักษาได้เพราะติดเคสคนไข้ที่หนักและอันตรายกว่า คนไข้คนนั้นจึงต้องอยู่ในความดูแลของพยาบาล ผมซึ่ง ณ ตอนนั้นกำลัง CPR กู้ชีพคนไข้อยู่ได้รับโทรศัพท์ตามตัวจากพยาบาลที่ดูแลคนไข้ที่ถูกรถชนคนนั้น แต่ผมไม่สามารถทิ้งคนไข้ที่กำลังดูแลอยู่ได้จึงต้องสั่งการรักษาผ่านทางสายโทรศัพท์ที่พยาบาลคอยถือให้
“ในที่สุดผมก็กู้ชีพคนไข้คนนั้นจนหัวใจกลับมาเต้นและพ้นขีดอันตราย ผมจึงรีบไปดูแลเคสที่ถูกรถชนทันที คนไข้คนนั้นแม้จะไม่ได้หัวใจหยุดเต้นเหมือนกับคนไข้คนก่อนหน้าที่ผมเพิ่งรักษามา แต่อาการบาดเจ็บนั้นก็สาหัสกว่าที่ผมคิด คนไข้เสียเลือดมากเพราะมีบาลแผลฉกรรจ์ แม้พยาบาลจะให้เลือดรวมถึงทำการรักษาขั้นต้นแล้ว แต่ผมก็รั้งชีวิตเขาเอาไว้ไม่ได้ นั่นเป็นคนไข้คนแรกที่เสียชีวิตเพราะหมออย่างผมทั้งที่เมื่อกลับไปคิดถึงแล้ว เคสนั้นก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถของผมที่จะรักษาเลย…”
“แต่คุณไม่ได้เป็นคนทำให้เขาตายนี่นา มันเป็นเหตุสุดวิสัย ผมรู้ว่าคุณก็พยายามเต็มที่แล้ว” รยออุคร้องขัดขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีอารมณ์ร่วมกับเรื่องที่จงอุนเล่าให้ฟังตั้งแต่เมื่อไหร่ทั้งที่ตอนแรกทำท่าทีว่าไม่สนใจ
“มันก็จริงอย่างที่คุณพูด ผมพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ไม่ได้ อาจจะเพราะผมมาช้าเกินไป เพราะสภาพร่างกายที่อ่อนล้าจากการทำงานไม่ได้หยุดพักมาหลายวัน หรือเป็นเพราะผมอ่อนด้อยประสบการณ์เกินไปก็ได้ที่ทำให้ผมยื้อชีวิตเขาเอาไว้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นรุ่นพี่อีก 2 คนที่ตอนนั้นติดเคสคนไข้คนอื่น เรื่องมันอาจจะไม่ลงเอยแบบนี้” จงอุนพูดพลางยิ้มหยัน
“อย่าคิดแบบนั้นสิครับ ใครๆ ก็มีสิทธิผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น หมอก็คนนะครับ ไม่ใช่เทวดาที่จะสามารถรักษาคนไข้ทุกคนให้หายได้หมด บางทีเขาอาจจะอาการหนักหนาสาหัสมากจนช่วยเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ก็ได้” เอาไปเอามาเลยกลายเป็นว่ารยออุคกลับต้องเป็นฝ่ายปลอบคุณหมอหนุ่มแทน
“ถึงจะมีคนพูดกับผมแบบนี้หลายคน และถึงแม้ว่าคนไข้คนนั้นจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่เสียชีวิตหลังจากผ่านการรักษาจากผม แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็กลายเป็นตราบาปติดตัวผมจนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นญาติคนไข้ขู่จะฟ้องร้องเอาเรื่องผมด้วย แต่ทางโรงพยาบาลก็จ่ายค่าเสียหายชดเชยให้เพื่อประนีประนอมยอมความ ถึงจะไม่ถูกฟ้องแต่ผมก็ถูกผอ.เรียกไปอบรม ตอนนั้นผมเลยตัดสินใจลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นและตั้งใจว่าจะเลิกเป็นหมอ แต่ครอบครัวของผมก็ฉุดผมขึ้นมาและทำให้ผมคิดได้ว่าจะมามัวนั่งเสียใจต่อไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ นอกจากคนไข้คนนั้นจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว ผมยังทำลายอนาคตตัวเอง ทำให้พ่อแม่และญาติพี่น้องเสียใจ ผมเลยเริ่มต้นใหม่ด้วยการเรียนต่อเฉพาะทางเป็นหมอผ่าตัด ตั้งใจไว้ว่าจะต้องเป็นหมอที่เก่งให้ได้เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดแบบนี้ขึ้นอีกเว้นแต่จะเกิดเหตุสุดวิสัยจนเกินจะเยียวยาจริงๆ
“และจากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมรู้ว่าตัวเองไม่สามารถทนกับแรงกดดันและความเครียดรวมถึงความอ่อนล้าจากการทำงานติดต่อกันมากๆ ได้ ผมไม่อยากเสี่ยงให้คนไข้ต้องรักษากับหมอที่สภาพไม่เต็มร้อยเพราะขาดการพักผ่อน เลยตัดสินใจเสียเงินใช้ทุนและออกมาอยู่กับโรงพยาบาลเอกชนที่ทำงานน้อยกว่าและมีโอกาสได้รักษาคนไข้อย่างเต็มที่กว่า ถึงแม้จะมีเพื่อนร่วมอาชีพหลายคนมองว่ามันออกจะผิดอุดมการณ์และจรรณยาบรรณก็เถอะ” จงอุนพูดเสียงขื่น ท่าทางเขาเองก็คงจะยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ไม่กลับไปทำงานให้รัฐบาลต่อ แต่รยออุคนั้นกลับเข้าใจความรู้สึกของเขาดี ผู้ชายคนนี้อ่อนไหวกว่าที่คิด เขาคงไม่อยากกลับไปเจอสภาพกดดันแบบนั้นอีกและดีไม่ดีอาจทำให้เขาหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ฝังใจของตนเอง
“ขอโทษนะครับ” รยออุคพูดขึ้นมา
“คุณขอโทษผมทำไมครับ” จงอุนถามงงๆ เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยคำขอโทษทั้งที่เขาก็ไม่เห็นว่ารยออุคจะทำอะไรผิด
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องคิดถึงเรื่องไม่ดี” รยออุคพูดพลางก้มหน้ามองมือตัวเองที่วางบิดบนตักอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้นผมก็อยากจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ผมไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นแล้วล่ะครับ “ จงอุนพูด ยิ้มจนตาหยีให้รยออุคสบายใจว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ “ถ้าคุณมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาผมได้นะครับ ถึงผมจะไม่ใช่ที่ปรึกษาที่ดีนัก แต่ผมก็พร้อมจะรับฟังคุณ”
รยออุคขบริมฝีปาก ชั่งใจอยู่ชั่วครู่จึงยอมเล่าเรื่องราวที่มีในใจให้คุณหมอที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานฟัง “ที่จริงแล้วอาจารย์โก... คุณโกยองอุคน่ะครับ ผู้ชายที่เราเจอที่บ้านพี่ซองมิน...เป็นคนที่ผมแอบรักมาตั้งแต่เรียนปี 1 แล้ว เขาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาพิเศษให้กับมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ก่อนจะได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอก เขาเป็นคนใจดี อบอุ่นและรับฟังทุกปัญหาพร้อมกับช่วยเหลือนักศึกษาทุกคนเท่าที่จะช่วยได้อย่างเต็มความสามารถ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมคิดเกินเลยกับเขาเกินกว่าจะเคารพเขาในฐานะอาจารย์ แต่เพราะสถานะทางสังคมทำให้ต้องเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ และตั้งใจเอาไว้ว่าจะตั้งใจเรียนให้จบ จะทำให้เขาภูมิใจเพื่อที่จะได้กลับไปพบเขาแล้วสารภาพความรู้สึกที่มีให้เขาได้รับรู้ แต่ผมกลับทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว”
“ทำไมล่ะครับ ในเมื่อเขาก็ดูเป็นคนสำคัญกับคุณมากขนาดนั้น” จงอุนถามอย่างข้องใจ
“ความรู้สึกรักมันกลายเป็นเกลียดแล้วล่ะครับ ผมรักเขาไม่ได้แล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่ผมเกลียดที่สุดเป็นอันดับสามแล้ว” รยออุคพูดเสียงสั่น
จงอุนยังไม่ทันจะถามว่าแล้วอันดับ 1 กับอันดับ 2 เป็นใคร ชายหนุ่มก็ต้องตกใจที่เห็นน้ำตาของรยออุคหยดเผาะลงบนมือเล็กที่ยังวางประสานกันบนตัก คุณหมอหนุ่มรีบหยิบกระดาษเช็ดปากที่วางบนโต๊ะยื่นส่งให้รยออุคเช็ดน้ำหูน้ำตาตัวเองที่กำลังร่วงพรู
“ฮึก...ข...ขอโทษนะครับที่อยู่ๆ ก็ร้องไห้แบบนี้ ผมไม่ได้เรื่องจริงๆ ทั้งที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้แล้วแท้ๆ” รยออุคพูดพลางสะอึกสะอื้น ไหล่บางสั่นเทิ้ม มือเล็กรับกระดาษจากจงอุนมาเช็ดน้ำตาแล้วสั่งน้ำมูกเสียงดังพรืด
ทั้งที่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาหลังจากที่รับรู้ว่ายองอุคนั้นกลับกลายเป็น ‘คน’ ของฮาฮีรา ผู้หญิงที่รยออุคเกลียดแสนเกลียดไปแล้ว ชายหนุ่มตัวเล็กอาจจะเสียใจบ้าง รู้สึกผิดหวังบ้าง แต่ก็ไม่เคยเสียน้ำตาให้ผู้ชายอย่างยองอุคเลยสักหยด แต่มาวันนี้เขากลับปล่อยโฮ น้ำตาร่วงราวกับเขื่อนแตก คงจะเป็นเพราะได้รับความสนิทสนมคุ้นเคยรวมถึงความห่วงใยจากอดีตอาจารย์ที่หลงรักเหมือนอย่างที่เคยได้รับ กำแพงหัวใจที่คิดว่าสร้างไว้เสียหนาจึงพังครืนลงมา อีกทั้งยังมีผู้ชายใจดีอย่างจงอุนมาปลอบใจ จึงยิ่งทำให้เขาเผยด้านอ่อนแอออกมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ นี่แหละหนาที่คนบอกกันว่ายิ่งปลอบก็ยิ่งทำให้ร้องไห้
เห็นทีว่าคำกล่าวนั้นคงจะจริง เพราะตอนนี้จงอุนลูบหลังรยออุคปลอบไม่ให้เจ้าตัวร้องไห้จนแทบจะกอดอยู่แล้ว แต่รยออุคยิ่งปล่อยโฮหนักเข้าไปอีกจนสายตาหลายคู่ของลูกค้าที่อยู่แถวนั้นหันมองด้วยความสงสัย บางคนก็มองจงอุนด้วยสายตาตำหนิเพราะคิดว่าเขาเป็นคนทำให้ร่างเล็กร้องไห้เสียงดังแบบนี้
“เอ่อ...ผมว่าคุณใจเย็นๆ ก่อนดีกว่านะครับ อย่าร้องไห้เลยนะ” จงอุนพูด ตาเริ่มมองรอบตัวที่ตอนนี้มีแต่คนหันมองโต๊ะของเขาเป็นตาเดียว
“ขอโทษนะครับ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ” พนักงานของร้านถามขึ้นมาอย่างหวังดีเมื่อนำไอศกรีมมาเสิร์ฟที่โต๊ะแล้วเห็นหนึ่งในลูกค้าร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาเปรอะไปทั่วหน้า
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร ขอบคุณครับ” จงอุนรีบตอบแล้วคะยั้นคะยอให้รยออุคทานไอศกรีมเพื่อให้ลืมเรื่องไม่ดีที่ทำให้ร้องไห้ “ทานเถอะครับ เดี๋ยวละลายหมด มันจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น เชื่อผมสิครับ”
รยออุคตักไอศกรีมช็อกโกแลตถ้วยใหญ่ของตนเองเข้าปากอย่างว่าง่าย ตอนนี้เขาหยุดร้องไห้แล้วและกำลังตั้งใจทานไอศกรีมอย่างเอร็ดอร่อยจนจงอุนถึงกับงงในท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของทนายความหนุ่มร่างเล็กคนนี้ ก็ตอนแรกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แล้วก็ร้องไห้ฟูมฟาย แต่เดี๋ยวเดียวก็ยิ้มหน้าชื่น ตักไอศกรีมเข้าปากคำต่อคำอย่างมีความสุข แต่ก็ดีแล้วล่ะที่รยออุคหยุดร้องไห้ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงได้ถูกคนอื่นๆ มองด้วยสายตาประณามต่อไปแน่
“ทำไมคุณทานน้อยจังเลยล่ะครับ” รยออุคทักขึ้นเมื่อทานไอศกรีมไปได้ครึ่งถ้วยแล้ว แต่จงอุนนั้นทานแค่ไอศกรีมสตรอเบอร์รี่ก้อนเดียวและก็ทานหมดไปแล้วด้วย
“ผมยังไม่ค่อยอยากทานอะไรหวานๆ เท่าไหร่น่ะครับ” จงอุนตอบ
“แต่คุณบอกว่าอยากกินไอติมนี่นาเลยพาผมมาที่นี่”
“อันที่จริงผมแค่อยากให้คุณสบายใจขึ้นเลยพามาที่นี่น่ะครับ เวลาผมเครียดๆ เมื่อไหร่ถ้าได้ทานของพวกนี้จะอารมณ์ดีขึ้น ก็เลยพาคุณมาเผื่อจะดีขึ้นบ้าง” สุดท้ายจงอุนก็สารภาพความจริง ที่จริงแล้วเขาไม่ได้อยากทานไอศกรีมเลยสักนิด เขาอยากทานบะหมี่ร้อนๆ ที่ช่วยถ่วงกระเพาะคลายหิวมากกว่า แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อเพื่อนร่วมทางกลับอยู่ในสภาวะอึมครึมแบบนี้ เขาเลยตัดใจพารยออุคมาระบายความเครียดด้วยการทานไอศกรีมแทน
รยออุคมองจงอุนด้วยสายตาซาบซึ้ง แล้วก้มมองไอศกรีมถ้วยโตของตนเองด้วยความรู้สึกผิดแล้วหัวเราะแห้งๆ ในลำคอ
“ผมก็สั่งมาซะถ้วยใหญ่เลย งั้นเอางี้ ค่าไอศกรีมมื้อนี้ผมออกเองนะครับ”
“ไม่ได้นะครับ ผมบอกแล้วว่าผมจะเลี้ยงคุณ จะให้คุณออกเงินให้ได้ยังไง ถ้าคุณซองมินรู้ว่าผมดูแลคุณไม่ดี ผมก็แย่น่ะสิครับ” จงอุนรีบห้ามแทบไม่ทันก่อนจะพูดแซวไปถึงซองมิน
“พูดถึงพี่ซองมิน อย่าบอกเรื่องนี้ให้พี่เขารู้นะครับ พี่ซองมินต้องไม่สบายใจแน่ๆ ถ้ารู้ว่าผมร้องไห้แบบนี้ รายนั้นน่ะแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวเองเสียอีก” รยออุคขอร้อง ชายหนุ่มรู้ว่าพี่ชายตนเองต้องคิดมากแน่ๆ ถ้ารู้ว่าเขาร้องไห้ เขารู้นิสัยซองมินดี และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ตอนแรกรยออุคจะให้จงอุนเอาแหวนไปคืนซองมินและเขาจะขอกลับก่อนเพราะในสภาพอารมณ์ตอนนั้นที่หน้าตาบอกบุญไม่รับ ซองมินต้องรู้แน่ๆ ว่าเขามีเรื่องไม่สบายใจ
นิสัยอีกข้อหนึ่งของซองมินที่ได้รู้จากปากของน้องชายที่สนิทสนมกันอย่างรยออุคทำให้ภาพชายหนุ่มหน้าตาน่ารักไปดูแลคนไข้ประจำตัวของเขาทุกวันปรากฏเข้ามาในหัว และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขาพบกับซองมินและประทับใจในความใจดีและความอ่อนโยนของคนไข้แผนกจิตเวชคนนี้ ถึงรยออุคไม่บอกเขาก็รู้ว่าซองมินจิตใจอ่อนไหวและเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกคนรอบข้างแค่ไหนจากภาพที่ได้เห็นจนชินตาทุกวัน
“เฮ้อ...! โชคดีนะเนี่ยที่ร้องไห้ไม่หนักมากเท่าไหร่ ตาเลยไม่บวม” รยออุคพูดกับตัวเองขณะที่หยิบกระจกอันเล็กที่พกติดตัวออกมาส่องดูความเรียบร้อย
นี่ขนาดร้องไห้ไม่หนักนะเนี่ย จงอุนไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าทนายความหนุ่มน้อยที่อารมณ์แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ คนนี้ร้องไห้หนักขึ้นมาจะเป็นอย่างไร แค่ไม่หนักเขายังโดนสายตาลงทัณฑ์จากคนอื่นไปแล้ว ถ้าเจ้าตัวร้องไห้หนัก เขามิโดนรุมประชาทัณฑ์เลยหรือ
“ขอบใจมากนะรยออุค ขอบคุณมากนะครับคุณจงอุนที่อุตส่าห์เป็นธุระให้ ถ้าไม่ได้ทั้งสองคนผมต้องแย่แน่ๆ” ซองมินพูดพลางยิ้มกว้างขณะที่ใช้นิ้วโป้งลูบแหวนแสนรักที่ตอนนี้กลับไปอยู่บนนิ้วนางข้างขวาหลังจากที่ปล่อยให้นิ้วโล่งว่างอยู่นานเป็นปี
“ไม่เป็นไรหรอกน่าพี่ซองมิน เรื่องแค่นี้เอง” รยออุคพูดพลางชูนิ้วโป้ง
“ใช่ครับ” จงอุนรับเป็นลูกคู่ก่อนจะยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “ผมต้องไปแล้วล่ะครับ เดี๋ยวจะต้องเข้าห้องผ่าตัดแล้ว”
“ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับคุณหมอ” ซองมินพูดแล้วโค้งตัวให้ มีรยออุคทำตาม
“แล้วผมจะแวะมาเยี่ยมนะครับ” จงอุนกล่าวลาเป็นคำสุดท้ายแล้วยิ้มให้ทั้งคนป่วยและญาติคนป่วยก่อนจะออกจากห้องไป
เมื่อคล้อยหลังจงอุนแล้ว ซองมินจึงเอ่ยปากถามรยออุคที่ตอนนี้กำลังปอกผลไม้ที่แวะซื้อระหว่างทางให้ซองมิน “นายว่าคุณหมอจงอุนน่ะเป็นยังไงบ้างเหรอ”
“ก็ดีนะครับพี่ เขาเป็นคนดีมากเลย เป็นคนมีน้ำใจ ใจดี อ่อนโยนแล้วก็จริงใจด้วย” รยออุคตอบยิ้มๆ พยายามพูดถึงแต่ข้อดีของคุณหมอหนุ่มเต็มที่ ไหนๆ ก็สัญญากับเขาแล้วว่าจะเป็นพ่อสื่อให้และไม่มีใครจะเหมาะสมกับพี่ชายเขาเท่ากับคุณหมอผู้แสนดีอย่างจงอุนอีกแล้ว
“งั้นเหรอๆๆ เขาเป็นคนดีเนอะ นายก็คิดอย่างนั้นใช่มั้ย” ซองมินรีบเอออวย กระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่าแผนการที่ให้ทั้งสองคนได้ใกล้ชิดกันของตนเองนั้นได้ผลดีเกินคาด เพราะรยออุคเอาแต่พูดชื่นชมจงอุน ซ้ำท่าทีเหินห่างระหว่างคนทั้งคู่ที่ซองมินเห็นตอนแรกนั้นก็หายไปแล้ว พอกลับมาทั้งสองก็คนดูสนิทสนมกันขึ้นมาก เห็นทีเขาจะได้น้องเขยเป็นหมอก็คราวนี้ล่ะ!
โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนกำลังจับคู่ตัวเองให้คุณหมอผู้แสนดีนามว่าคิมจงอุนอยู่
จงอุนออกมากจากห้องพักของซองมินด้วยสีหน้าชื่นบาน เขายังพอมีเวลาเหลือทานข้าวก่อนจะไปเตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัด และเพราะมัวแต่คิดว่าจะทานอะไรดี จึงชนโครมเข้ากับใครคนหนึ่งที่เดินสวนมาอีกทางพอดี
“โอ๊ะ! ขอโทษครับ เฮ้ย! คยูฮยอน แกเองเหรอวะ” ประโยคขอโทษเพราะความตกใจและไม่ได้ตั้งใจในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่บังเอิญมาเดินชนเป็นคนรู้จักกันอย่างคยูฮยอนนี่เอง
จงอุนอาจจะเดินชนคยูฮยอนเพราะไม่เห็น แต่คยูฮยอนนั้นเป็นเพราะเห็นเต็มสองตาแต่หลบไม่ทันเพราะความแปลกใจระคนหวาดหวั่นในใจ
เขาเห็นรุ่นพี่คนสนิทตั้งแต่เดินออกมาจากห้องของซองมินแล้ว
“พี่มาทำอะไรที่ห้องของคุณซองมิน”
น้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจเจืออยู่ในความสงสัย รวมกับแววตาแปลกๆ ที่คยูฮยอนมองมาทำให้จงอุนอดจะคิดไม่ได้เลยว่าคนไข้แผนกจิตเวชที่ทำให้คยูฮยอนเรียกหาตนเพื่อขอคำปรึกษานั้นจะเป็นซองมิน
เช่นเดียวกันกับที่คยูฮยอนก็อดจะคิดไม่ได้ว่าคนไข้แผนกตัวเองที่ทำให้จงอุนเอาไปเพ้อจนเป็นเหยื่อให้เขาแซวเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ก็จะเป็นซองมินเช่นเดียวกัน!
ซองมินนั่งนิ่งตัวเกร็งเหมือนเมื่อเช้าที่คยูฮยอนเข้ามาตรวจอาการตามเวลาในตอนเย็น
เป็นปกติอยู่แล้วที่แพทย์ประจำตัวคนไข้จะต้องมาเยี่ยมคนไข้ที่ห้องเพื่อตรวจอาการโดยทั่วไปรวมถึงถามไถ่สารทุกข์สุขดิบในเวลาเช้าและเย็นของทุกวัน แต่ที่แปลกไปจากทุกวันก็ตรงที่ว่าแพทย์ประจำตัวของซองมินเปลี่ยนหน้าเป็นคุณหมอหนุ่มหมาดๆ ที่เป็นลูกชายของเจ้าของโรงพยาบาล
ถ้าเป็นคนอื่นซองมินคงไม่อาการเกร็งจนเกือบจะกลายเป็นเกรงแบบนี้หรอก เพราะถึงแม้คยูฮยอนจะสวมสร้อยไม้กางเขนเส้นนั้นทำให้ไม่มีวิญญาณร้ายหน้าไหนคอยตามให้คนที่มองเห็นอย่างเขาต้องขวัญผวา และซองมินก็มีแหวนที่มีหัวแหวนเป็น Tiger’s eyes ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนรังควาญ
แต่เขาก็ยังกลัวคยูฮยอนอยู่ดี!
แล้วยิ่งตอนนี้ที่ดูเหมือนคยูฮยอนจะอารมณ์ขุ่นมัวกว่าทุกทีที่เคยด้วยแล้ว ซองมินก็ยิ่งกลัว...
“แหวน...” คยูฮยอนร้องออกมาเบาๆ เมื่อเห็นแหวนวงหนึ่งอยู่ที่นิ้วนางข้างขวาของซองมิน แหวนที่ปกติซองมินไม่เคยใส่
และไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทันทีที่เห็นว่าคยูฮยอนเห็นแหวนของตน ซองมินจึงรีบหดแขนข้างที่สวมแหวนไปซ่อนไว้ข้างหลังราวกับจะหลบให้รอดพ้นสายตาของคุณหมอหนุ่ม ซองมินกลัวว่าคยูฮยอนจะไม่ให้เขาสวมแหวนวงนี้และเขาจะต้องเผชิญกับฝันร้ายนั่นอีก
“คุณเอาแหวนมาจากไหน” คยูฮยอนถามเสียงต่ำ ฟังดูคุกคามจนซองมินที่กลัวอยู่แล้วยิ่งกลัวหนักเข้าไปอีกจนไม่กล้าพูด
ซองมินคงไม่รู้ว่าคยูฮยอนเองก็กลัว กลัวว่าแหวนวงนี้ซองมินจะได้มาจากใครอีกคนที่เขาไม่คิดว่าจะกลายมาเป็นศัตรูหัวใจตัวเองได้
“พี่มาทำอะไรที่นี่” คยูฮยอนถามซ้ำเมื่อเห็นว่าจงอุนเงียบไป ไม่ยอมตอบคำถามแรกของเขา
“ฉันมาเยี่ยมเพื่อน” จงอุนตอบตามความจริง แต่จงใจละเว้นชื่อของซองมินเอาไว้เพราะยังไม่แน่ใจในความคิดของตัวเองว่าคนๆ นั้นของคยูฮยอนจะใช่ซองมินจริงหรือเปล่า
“พี่กับคุณซองมินไปเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่” คยูฮยอนยังซักต่อด้วยท่าทางไม่ไว้ใจ
“ทำไมวะ ฉันจะเป็นเพื่อนกับคนไข้แผนกแกไม่ได้เลยรึไง” จงอุนก็ตอบโต้กลับอย่างไม่กลัวเกรงสายตาวาววับของรุ่นน้องหนุ่ม นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาอาวุโสกว่า คยูฮยอนคงประเคนหมัดให้เขาแล้วกระมัง
“ผมชอบคุณซองมิน แล้วจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งไปได้ง่ายๆ แน่” คยูฮยอนโพล่งออกมา คำพูดตรงไปตรงมานั้นหยุดฝีเท้าของจงอุนที่เดินทิ้งห่างไปได้ 2-3 ก้าวให้หันหน้ากลับมาประจันกับชายหนุ่มที่เคยเป็นน้องที่สนิทแต่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นศัตรูหัวใจ
“แล้วยังไง...ถ้าแกคิดจะคบคุณซองมินเล่นๆ แล้วทิ้งเขาเหมือนคนอื่นๆ ที่ผ่านมา ขอบอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ยอมแน่ เพราะคนนี้ฉันจริงจัง” จบคำจงอุนก็เดินหุนหันออกไป ไม่อยากอยู่นานเพราะดีไม่ดีเขาอาจจะสติหลุดเป็นฝ่ายแจกหมัดใส่คยูฮยอนก่อนได้
และคำพูดนั้นก็กำลังย้อนกลับมาทำให้คยูฮยอนคิดหนัก พาลหงุดหงิดทั้งวันจนพยาบาลที่ทำงานด้วยถึงกลับกลัวเกรงเพราะไม่เคยเห็นคุณหมอหนุ่มที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิตย์เป็นแบบนี้
แล้วยิ่งตอนนี้ยังมีแหวนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏอยู่บนนิ้วซองมินหลังจากที่เห็นจงอุนซึ่งเพิ่งประกาศตัวเป็นศัตรูหัวใจเขาอย่างเป็นทางการออกมาจากห้องของซองมินด้วยแล้ว จะไม่ให้เขาคิดมากได้อย่างไรว่าคนที่มอบแหวนวงนี้ให้ซองมินอาจจะเป็นจงอุนก็ได้
“ท..ทำไมครับ ผมใส่มันไม่ได้เหรอ” ซองมินถาม พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น
“ผมถามว่าคุณไปเอามาจากไหน” คยุฮยอนเร่งเสียงดังขึ้นอีกตามอารมณ์จนซองมินสะดุ้งโหยง ไม่เพียงแต่ซองมินแต่ยังรวมถึงพยาบาลผู้ช่วยที่มาด้วยด้วย
“น้อง…น้อง...ผมให้มา” ซองมินละล่ำละลักตอบ ถอยกรูดจนหลังแทบจะติดหัวเตียงแล้ว “แหวนของแม่ผม” ร่างบางเสริมต่อ ตากลมโตจ้องเป๋งไปที่ชายหนุ่มหน้าคมที่เริ่มคลายคิ้วที่ขมวดลง
“แล้วไป” คยูฮยอนพึมพำเบาๆ แล้วตรวจซองมินต่อโดยทำท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ชายหนุ่มก็ดูอารมณ์ดีขึ้นจากเมื่อครู่มาก
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของบารอมที่นั่งอยู่ที่โซฟาในห้องซึ่งกำลังมองอยู่ด้วยสายตาครุ่นคิด
ร่างสูงโปร่งเดินทอดน่องช้าๆ เป้าหมายคือลิฟต์ซึ่งอยู่สุดทางเดินของชั้น หลังจากที่ตรวจคนไข้มาทั้งวันก็ถึงเวลาเลิกงานเสียที ตอนนี้เขาปวดเนื้อเมื่อยตัวไปหมดแล้ว อยากจะกลับบ้านไปแช่น้ำอุ่นๆ ที่ป่านนี้ป้าจูริแม่บ้านคนเก่าแก่คงกำลังเตรียมให้ใจจะขาด
ชายหนุ่มเหลือบสายตามองตัวเลขบนลิฟต์ที่กำลังหยุดอยู่ที่ชั้น 3 ก่อนที่จะมีลูกศรชี้ขึ้นบ่งบอกว่ามันกำลังเคลื่อนมายังชั้น 7 ที่เขากำลังอยู่ ถึงแม้ว่าชั้นนี้จะมีลานจอดรถบริการ แต่เขาก็จอดรถไว้ที่ชั้น 1 เพราะตอนเช้ามีเวรต้องตรวจคนไข้นอกที่นั่น แล้วถึงจะได้มาตรวจคนไข้ในที่ชั้น 7 ตอนนี้เขาเลยต้องรอลิฟต์เพื่อที่จะได้ขับรถกลับบ้านเสียที
เสียงสัญญาณของลิฟต์ดังขึ้น ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออก รอให้ชายหนุ่มผู้กดลิฟต์เข้าไป แต่เขากลับไม่สามารถก้าวขาออกไปได้ดังใจหวังราวกับมีใครหรืออะไรสักอย่างรั้งเขาเอาไว้
ร่างสูงตกใจสงสัยในความผิดปกติของตัวเองได้ไม่นาน สติสัมปชัญญะก็เหมือนดับวูบไป ไม่ใช่สิ มันไม่ได้ดับไปเสียทีเดียว เขายังมองเห็นภาพทุกอย่างชัดเจน ยังรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ครบถ้วนสมบูรณ์จริงน่ะหรือ....
ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีสุภาพกับกางเกงเข้าชุด มีเสื้อกาวน์สีขาวพาดอยู่ที่แขน ในมือข้างเดียวกันถือกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเปลี่ยนเป้าหมายจากลิฟต์ที่ตอนนี้ปิดและเลื่อนลงไปยังชั้นล่างแล้วไปที่ประตูสีแดงที่หลบมุมอยู่ในซอกเล็กๆ บริเวณนั้น เหนือประตูมีป้ายบอกว่าเป็นบันไดหนีไฟ
ร่างสูงเปิดประตูนั้นออก แล้วจึงพาร่างของตัวเองแทรกผ่านช่องว่างของประตู โดยมีอีกคนเดินตามมา แต่ต่างตรงที่ว่าผู้ที่ตามเขานั้นกลับเดินผ่านประตูไปได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลาเปิด
ข้าวของที่ชายหนุ่มถือเอาไว้ทั้งเสื้อกาวน์และกระเป๋าถูกทิ้งอย่างไม่ไยดี ในขณะที่ผู้เป็นเจ้าของนั้นเดินไปเกาะราวเหล็กของบันได
คนที่เดินตามมามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย แต่ดวงตากลับทอแสงสีแดงวาวโรจน์อย่างน่าประหวั่น ทว่าชายหนุ่มคนนั้นกลับเหมือนไม่รู้ตัวว่าถูกจับจ้องด้วยใครอีกคนที่ยืนซ้อนทับอยู่ด้านหลัง
โดด...โดดลงไป โดดลงไปซะ
มีเพียงเสียงนี้ที่ดังก้องอยู่ในหัวเขา ดวงตาสีเข้มที่ดำสนิทไร้แววอย่างที่ควรจะเป็นเบิกโพลงคล้ายกับรับรู้ในคำสั่ง
ร่างที่อยู่ข้างหลังชายหนุ่มลอยคว้าง ลมแรงโหมกระหน่ำจนผมปลิวว่อนทั้งที่อยู่ในตัวอาคารที่ไม่น่าจะมีลมพัดเข้ามาได้ ดวงตาคู่นั้นกลับยิ่งเรืองรองทอแสงสีเข้มขึ้นขณะที่กระแสเสียงที่สั่งก็ทวีความรุนแรงและดังขึ้นเพื่อให้ชายหนุ่มคนนั้นทำตามคำสั่ง
โดดสิ โดดลงไป!! โดดลงไปเดี๋ยวนี้!
ชายหนุ่มโน้มลงจนตัวพาดกับราวบันได ขณะนี้เขาอยู่ที่ 7 ของตึก แน่นอนว่าหากเขาทำสิ่งที่เสียงในหัวกำลังสั่ง เขาต้องกลายเป็นวิญญาณตามร่างที่ลอยคว้างอยู่ข้างหลังแน่
แต่ชายหนุ่มก็พาดขาข้างหนึ่งข้ามราวเหล็กที่กั้นอยู่ ตาจ้องเหม่อมองตรงไปที่พื้นเบื้องล่างที่อยู่ไกลลิบ
โดด...เขาต้องโดดลงไป...ต้องโดด
นี่คือสิ่งเดียวที่คยูฮยอนต้องทำ
----------------------------------------100%-----------------------------------------
เกร็ดความรู้เล็กน้อยค่ะ เพราะมีรีดเดอร์ถามมา หินตาเสือหรือ Tiger's eyes อัญมณีที่เป็นหัวแหวนของซองมินนั้นมีอยู่จริงค่ะ แล้วก็มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันวิญญาณร้ายและการฝันร้ายด้วย ไรท์เตอร์เลยเลือกใช้อัญมณีตัวนี้เพราะมีคุณสมบัติตามที่ต้องการพอดีเด๊ะ ตอนแรกไรท์เตอร์อยากจะได้เป็นแบบสร้อยเพราะมันจะมีฉากที่เกี่ยวข้องในอนาคต แต่เพราะคุณหมอคยูแกก็มีสร้อยไม้กางเขนแล้วเลยให้หนุ่มมินเป็นแหวนดีกว่า
อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในโรงพยาบาลที่คุณหมอจงอุนเล่าให้รยออุคฟัง ไรท์เตอร์ดัดแปลงมาจากเรื่องจริงของคุณหมอท่านหนึ่งที่เคยเขียนเล่าเอาไว้ในเว็บพันทิพย์ค่ะ (ขอบคุณคุณหมอท่านนั้นด้วยค่ะ) ไรท์เตอร์ไม่ทราบว่าที่เกาหลีจะเป็นเหมือนบ้านเราหรือเปล่า แต่เรื่องของทางการแพทย์ การทำงาน การใช้ทุน การเรียน รวมถึงสภาพแวดล้อมที่หมอต้องเจอ ไรท์เตอร์ขอใช้ตามแบบบ้านเรานะคะ (นี่คือเรื่องจริงที่หมอใช้ทุนและหมอรัฐบาลของไทยต้องเจอค่ะ) จึงขอชี้แจงเอาไว้ที่ตรงนี้ค่ะ
ความคิดเห็น