ลำดับตอนที่ #13
ตั้งค่าการอ่าน
ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ร่วมมือกันสืบสาน จบภาค 1
ตอนที่ 13 ร่วมมือกันสืบสาน
เอ็กเป่งไจ๋ยามนี้ท้อแท้รันทดที่แรกเข้าใจว่าพรรคมังกรทะเลเป็นคนร้ายสังหารบุตรชายตน แม้ฮ่วมบ้วนลี้เก่งกาจกล้าแข็งยากยิ่งจะต่อกรแต่ยังทราบว่าศัตรูเป็นผู้ใด แต่พอความจริงปรากฏบุตรชายของตนกลับถูกลอบสังหารด้วยพิษ ไม่ทราบถึงผู้ลงมือ แล้วความแค้นครั้งนี้จะทวงถามกับผู้ใด ครุ่นคิดแล้วต้องหลั่งน้ำตานองหน้าสีหน้าขมขื่นอย่างยิ่ง หันมาทางลู่ซุนประสานมือคารวะกล่าวขึ้นว่า
“ขอบคุณลู่เสียวเฮียบท่านนี้ที่ช่วยคลี่คลาย หากไม่ได้ท่านเราผู้เฒ่าคงทำเรื่องโง่เขลายากยิ่งจะแก้ไขกลับกลาย”
ลู่ซุนรีบคารวะตอบกล่าวว่า
“มิกล้ารับ.. ผู้คนกล่าวขวัญว่าเอ็กเล่าเอ็งฮงเป็นผู้มีน้ำใจ รู้จักแยกแยะดีชั่ว วันนี้พบเห็นด้วยตานับว่าสมคำร่ำลือ ข้าพเจ้าล่วงเกินท่านผู้เฒ่าไปมากหลาย ยังคงขออภัยในที่นี้ ”
ลู่ซุนกล่าวด้วยใจจริง พลางขยับจะคุกเข่าขอขมาแต่เอ็กเล่าเอ็งฮงประคองไว้ ลู่ซุนไม่กล้าใช้กำลังภายในเกรงจะเป็นการล่วงเกินจึงถูกประคองขึ้นโดยง่าย เอ็กเป่งไจ๋กล่าวว่า
“ลู่เสียวเฮียบกล่าวเกินไปแล้ว”
ขณะที่คนทั้งหลายปรับความเข้าใจ ล้ออันเพ็กที่สาหัสร่อแรแม้ได้รับการถ่ายพลังช่วยเหลือแต่ก็บรรเทาเบาบางในระดับหนึ่ง ยามนี้อาการพลันกำเริบขึ้น ต้องฟุบหมดสติไป เอ็กเป่งไจ๋รีบให้คนพาเข้าไปรักษาตัวยังด้านใน พร้อมกับให้บ่าวทาสพาฮ่วมเล้งซังไปชำระร่างกายพลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ จิวอวงยี้ความจริงคิดพาฮ่วมเล้งซังจากไปแต่เนิ่นๆ แต่ลู่ซุนยังไม่มีทีท่าว่าจะจากไป นางจึงจำต้องอยู่ต่อ เอ็กเป่งไจ๋ยังคงให้ตั้งโต๊ะจัดเลี้ยงเลี้ยงแขกที่มาตามปกติ ทั้งยังกำนัลของขวัญแก่ผู้ที่มาเป็นอันมาก ชาวยุทธบางคนเห็นว่าไร้เรื่องราวแล้ว บ้างจึงอำลากลับ บ้างยังคงดื่มกินต่อ จิ่นง้วนตังกลับพาจิ่นกวนทงผู้เป็นบิดาไปตั่งแต่ยามใดกลับไม่มีใครทราบ เอ็กเป่งไจ๋คิดทำคุณไถ่โทษจึงคะยั่นคะยอให้ฮ่วมเล้งซังอยู่พักผ่อนในที่นี้สักหลายวัน ฮ่วมเล้งซังมองมาทางจิวอวงยี้เหมือนถามความคิดเห็น จิวอวงยี้พลันกล่าวว่า
“พวกเรามีธุระต้องกระทำ ไม่อาจสามารถรับคำเชิญได้ ขอเอ็กเล่าเอ็งฮงอย่าได้ถือสา”
เอ็กเป่งไจ๋เข้าใจดีว่าจิวอวงยี้เป็นศิษย์สามภูติกวนตั๋งย่อมไม่ยินยอมอยู่ในรังของศัตรู จึงไม่ได้คาดคั้น แต่นึกเสียดายที่ฮ่วมเล้งซังกลับมาคบคนโฉดเหล่านี้ พลางหันไปถามลู่ซุน ลู่ซุนกลับตกปากรับคำ จิวอวงยี้ร้อนใจยิ่ง ท่านไฉนจึงรั้งอยู่ ไม่จากไป แต่เห็นเจตนาของลู่ซุนคิดจะอยู่พักจริงๆ ต้องรีบกล่าวขึ้นว่า
“ความจริง เอ็กเล่าเอ็งฮงยื่นไมตรีผู้เยาว์ไม่น้อมสนองออกจะผิดกาละเทศะไปบ้าง ซังม่วยเราทั้งสองก็อยู่ต่อเถอะ”
ฮ่วมเล้งซังต้องงงงันต่อจิวอวงยี้ ไฉนจึงกลับไปกลับมาแต่ก็ไม่ได้กล่าวว่ากระไร เอ็กเป่งไจ๋ถามขึ้นมีสีหน้าสงสัย
“ท่านไม่ไปธุระแล้วหรือ”
‘เพ้ย อยู่ก็คืออยู่ ไปก็คือไป ท่านอยากให้ซังม่วยอยู่ต่อ เราก็ให้นางอยู่ให้แล้ว ยังจะถามมากความไปไย’จิวอวงยี้ร่ำร้องในใจอย่างขุ่นเคือง แต่ยังปั้นหน้ายิ้มแย้มกล่าวคำไปว่า
“ธุระนั้นกลับรอได้”
เอ็กเป่งไจ๋หัวเราะแย้มยิ้มมองไปทางฮ่วมเล้งซังอย่างเอ็นดู กล่าวว่า
“เช่นนั้นดียิ่ง เราจะให้คนจัดที่พักไว้ให้”
พลางเรียกเด็กรับใช้มาสั่งความ ให้จัดเตรียมที่พักให้บุคคลเหล่านี้เป็นพิเศษ พลางหันไปกล่าวว่า
“คืนนี้พวกท่านก็พักให้สบายในที่นี้เถิด เออ..กงจื้อท่านนี้สนทนากันเนิ่นนานยังไม่ทราบชื่อแซ่ ไม่ทราบว่ามีนามสูงส่งว่ากระไรภายหลังยังสามารถเรียกหาได้”
ประโยคหลังเอ็กเป่งไจ๋หันไปถามจิวอวงยี้คิดสอบถามชื่อแซ่
จิวอวงยี้แย้มยิ้มขึ้นประสานมือคิดจะตอบคำแต่พอนึกขึ้นได้รอยยิ้มพลันชะงักค้าง เอ่ยคำแต่ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่สองคำแต่ไม่สามารถเอ่ยชื่อออกไปได้ นางไหนเลยกล้ากล่าวออกไปยามนี้นางใช้แซ่ลู่ นามลู่อวงยี้ และคนแซ่ลู่ตอนนี้ก็อยู่ยังที่นี้แล้ว อีกทั้งยังทราบว่านางคือเซียวโกวเนี้ย หากมันทราบว่าเซียวโกวเนี้ยยินยอมใช้แซ่ลู่ นางเป็นอิสตรีไหนเลยแบกหน้าเอาไว้ได้
เอ็กเป่งไจ๋เห็นนางอึกอักไม่ตอบคำครุ่นคิดว่า มันเป็นศิษย์สามภูติกวนตั๋งศัตรูของตน ย่อมไม่ยินยอมเปิดเผย แม้ใคร่ไม่พอใจแต่ก็ไม่แสดงออก หัวเราะ ฮ่า ฮ่า กล่าวว่า
“สามภูติกวนตั๋งอบรมณ์ศิษย์ได้ประเสริฐยิ่ง ท่านเมื่อไม่ต้องการบ่งบอกก็หาเป็นไรไม่ เราเมื่อรับปากให้ท่านพักอยู่ในที่นี้แล้วก็พักให้สบายเถอะ”
ฮ่วมเล้งซัง เห็นว่าไม่ถูกต้องคิดอาศัยบ้านผู้อื่นไหนเลยไม่บอกชื่อแซ่ได้ จึงกล่าวต่อจิวอวงยี้ขึ้น
“ลู่ตัวกอ ท่านผู้เฒ่ายื่นไมตรีท่านก็บอกกล่าวเถอะ”
วาจาของฮ่วมเล็งซังถึงกับทำจิวอวงยี้หน้าแดงฉาดด้วยความเขินอายร่ำร้องครุ่นคิด ‘ท่านให้ข้าพเจ้าบ่งบอก แต่ท่านบ่งบอกออกมาแล้ว’รีบหันไปตวาดฮ่วมเล้งซังเบาๆ นางเห็นจิวอวงยี้หน้าแดงกลับคิดว่ามีโทสะต้องหดคอแลบลิ้นถอยกายอย่างลืมตัว ลู่ซุนงงงันวูบ ที่แรกได้ยินนึกว่าฮ่วมโกวเนี้ยเรียกหาตนแต่กลับไม่ใช่กลับกลายเป็นเซียวโกวเนี้ยไป เอ็กเป่งไจ๋ครุ่นคิดสงสัยกล่าวถามขึ้น
“เอ๋..ท่านเองก็แซ่ลู่หรือ”
จิวอวงยี้ต้องอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง พอดีพบสายตาของลู่ซุนมองมาต้องรีบหลบหันไปทางเอ็กเป่งไจ๋กล่าวแก้เก้อขึ้นว่า
“คนแซ่ลู่มีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ไฉนข้าพเจ้าจึงแซ่ลู่ไม่ได้”
เนื่องเพราะนางหลบหน้าลู่ซุนจึงไม่เห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนหน้าของมันที่ขบขันต่อท่าทีของนาง เอ็กเป่งไจ๋เอามือลูบเคราครุ่นคิด ‘คนแซ่ลู่มีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองจริงๆ ไม่แน่ว่าคนทั้งสองอาจจะไม่รู้จักกัน’จึงไม่ได้กล่าวว่ากระไร ให้พ่อบ้านนำทางเชิญคนทั้งหมดเข้าไปพักผ่อน
ฮ่วมเล้งซังที่แรกคิดกล่าวชวนจิวอวงยี้ไปดูอาการของล้ออันเพ็กแต่เมื่อครู่คล้ายตนเองทำมันมีโทสะจึงไม่กล้าเอ่ยปากชวน หันไปบอกต่อพ่อบ้านให้จัดหาคนนำทางให้ พ่อบ้านเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นผู้ใดผ่านมาจึงอาสาพาไป หันไปบอกต่อลู่ซุนว่าห้องพักอยู่ทิศทางใดก่อนจะพาฮ่วมเล้งซังแยกไปอีกทางหนึ่ง
จิวอวงยี้พออยู่ใกล้ลู่ซุนก็มั่วแต่ครุ่นคิดเรื่องของตัวเอง ไม่ได้สังเกตุว่าฮ่วมเล้งซังแยกทางไปแต่ยามใด พอรู้สึกตัวต้องรีบกล่าวถามหา ลู่ซุนพลันกล่าวขึ้นว่า
“นางให้พ่อบ้านนำทางไปดูอาการ ล้อกงจื้อ เอ๋..เซียวโกวเนี้ยเมื่อครู่ท่านไม่ได้ยินพ่อบ้านบอกกล่าวหรือ”
“ดูเหมือนว่าข้า..ข้าพเจ้าจะไม่ได้ยิน”
นางตอบแบบอ่อมแอ้ม เพราะไม่ได้ยินจริงๆเมื่อครู่กลับครุ่นคิดใจลอย ลู่ซุนกล่าวขึ้นว่า
“เช่นนั้น ท่านทราบห้องพักของท่านหรือว่าอยู่ทิศทางใด”
นางส่ายหน้าน้อยๆ ลู่ซุนพลันหัวเราะขึ้น
“ไม่ทราบว่าเซียวโกวเนี้ย ครุ่นคิดเรื่องใดถึงได้ใจเลื่อนลอยได้ถึงปานนี้ เอาเถอะข้าพเจ้าจะไปส่งท่านก็แล้วกัน”
กล่าวพลางก้าวเดินนำหน้าไป
’ยังจะมีเรื่องใด หากไม่ใช่เรื่องของท่าน’นางต้องร้องขึ้นในใจก่อนจะเดินตามหลังลู่ซุนไปอย่างเงียบงัน คนหนึ่งก้าวเดินคน คนหนึ่งเดินตาม ล้วนเงียบงันไม่กล่าววาจา นางแม้รู้สึกอึดอัดแต่กลับเป็นสุข คิดให้ระยะทางถึงห้องของนางห่างไกลออกพันลี้ก็มิปานไม่ปารถนาให้ถึงโดยเร็ว เหม่อมองเงาหลังของลู่ซุนอย่างเหม่อลอยครุ่นคิด เรากลับเคยโอบกอดกับตั่วกอถึงสองครา ทั้งที่ใต้เตียงที่หลบซ่อนตัวและยามปะมือกัน พอครุ่นคิดถึงตอนถูกคว้าจับหน้าอกต้องหน้าแดงมะเรื่ออดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขึ้นไม่ได้ ตอนนี้เงาหลังของคนผู้นี้ไม่ได้ดูน่าหมั่นไส้เหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่กลับดูน่าหมั่นเขี้ยวแทนถึงกับคิดขบกัดสักคำหนึ่ง จู่จู่เงาหลังนั้นพลันหยุดชะงัก จิวอวงยี้เหม่อลอยไม่ทันระวัง ชนเข้าอย่างถนัดถนี่แทบเสียหลักล้มลง ลู่ซุนใจหายวูบรีบคว้าตัวนางไว้ สายตาทั้งคู่สบกันคู่หนึ่งต่างไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา จิวอวงยี้หน้าแดงสดใสหลุบหน้าลง ลู่ซุนพลันรู้สึกตัวค่อยๆปล่อยมือที่ประคองนางไว้ปั้นหน้าราบเรียบกล่าวว่า
“ขออภัยข้าพเจ้าไม่ได้เจตนา นี่ถึงห้องท่านแล้ว”
ลู่ซุนต้องกล่าวเช่นนี้เพราะเกรงว่านางจะคิดว่าตนเองหาโอกาศลวนลามนางอีก จะกลายเป็นการเพาะความแค้นโดยมิได้ตั้งใจเช่นคราก่อน
“ข้าพเจ้าทราบแล้ว ว่าท่านไม่ได้เจตนา”
นางตอนนี้รู้สึกเขินอายอย่างยิ่งทั้งที่ตนเองก็ไม่ทราบว่าไฉนถึงได้เขินอายได้ถึงปานนี้ ขณะกล่าววาจายังไม่กล้าสบตามันรีบเปิดประตูเข้าห้องไปในบัดดล ขณะจะปิดประตูลู่ซุนพลันใช้มือค้ำไว้นิ่งคิดก่อนครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงราบเรียบแผ่วเบาว่า
“เซียวโกวเนี้ย คืนนี้ยามสองท่านมาพบข้าพเจ้าที่สวนดอกไม้ข้างหน้านั้นได้หรือไม่ หากว่าท่านมาอย่าได้บอกต่อผู้อื่นโดยเด็ดขาด”
จิวอวงยี้แทบกลั้นความปิติไม่อยู่ มันกล่าวเช่นนี้ใยไม่ใช้นัดหมายตนให้ออกมาพบเป็นการส่วนตัว ใบหน้าแดงดุจผลตำลึงกัดริมฝีปากแนบแน่นก่อนกล่าวอย่างเง้างอนว่า
“ท่านน่าไม่อายแล้ว”
พลันปิดประตูลงโดยเร็ว หันหลังพิงประตูแย้มยิ้มมิได้หุบใช้มือสองข้างเกาะกุมตรงหน้าอกข่มการเต้นของชีพจรหัวใจ ก่อนจะมุดปราดเข้าใต้ผ้าห่มอย่างยินดี
คำนวนเวลาอยู่ใต้ผ้าห่มพลันรีบลุกขึ้น อีกไม่ถึงชั่วยามก็จะถึงยามสอง ต้องมีสีหน้ายุ่งยากใจ นางยังไม่มีเสื้อผลัดเปลี่ยน อีกทั้งเครื่องประทินโฉมก็ไม่ได้นำติดตัวมา มีแต่เพียงแป้งหอมตลับเดียว ต้องร้อนรุ่มใจครุ่นคิด แล้วนี่จะทำอย่างไร แล้วนี่จะทำอย่างไร อยู่ในใจ พลันนึกขึ้นได้ แย้มยิ้มออกมา ในหมู่ตึกขวัญกล้าโอ่โถงกว้างขวางย่อมมีสิ่งของให้นางหยิบยืม รีบก้าวออกนอกประตูปิดลงอย่างบางเบาลัดเลาะไปตามระเบียงทางเดิน หาห้องที่คาดว่าเป็นห้องของสตรีที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน สำรวจอยู่หลายห้องยังไม่พบพาน พอผ่านห้องๆหนึ่งได้กลิ่นหอมจรุง คาดเดาออกว่าเป็นห้องของสตรี ยามนี้เสียเวลาไปมากหลายไม่มีเวลาขบคิดมากความว่าเป็นห้องของผู้ใด รีบสะเดาะกลอนประตูอย่างแผ่วเบา ก้าวเข้าไปยังด้านใน
เห็นที่เตียงนอนนอนไว้ซึ่งสตรีนางหนึ่ง ห้องนี้กลับเป็นห้องของสตรีจริงๆ รีบตรงเข้าไปปิดสกัดจุดนางไว้ไม่ให้ตื่นขึ้น ลงมือรื้อค้นข้าวของที่ต้องการ นางหาดูเสื้อผ้าอยู่หลายชุดต้องมีสีหน้าบูดบึ่งตำหนิว่าเสื้อผ้าแต่ล่ะชุด แม้เป็นเนื้อผ้าดีมีราคา แต่ลวดลายสีสันออกเรียบง่ายไม่มีที่สะดุดตา ยามนี้ไม่มีทางเลือกหยิบชุดมาชุดหนึ่ง พร้อมตลับแป้งประทินโฉมหลายตลับ จัดแจงแต่งตัวภายในห้องนั้น
เสื้อผ้าแม้เรียบง่ายแต่จิวอวงยี้กลับมีวิธีแต่งให้ดูสะดุดตาได้ ขยับเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ให้เป็นไปตามที่นางต้องการ รวบรัดให้ส่วนสัดของสตรีถูกขับออกมาภายใต้เสื้อผ้าอย่างเด่นชัด เปิดหน้าต่างอาศัยแสงจันทร์ตกแต่งใบหน้า พอเสร็จก็เก็บทุกอย่างเข้าที่เดิมทุกประการ ต่อให้สตรีผู้นั้นตื่นขึ้นมาก็ไม่ทราบว่าข้าวของถูกรื้อค้น สิ่งที่หายไปดูเหมือนจะเป็นเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว
พอยามสองลงไปยังสวนดอกไม้ ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังเบาๆ ทราบว่าเป็นลู่ซุนรีบหันกายไปตามเสียง พอพบเห็นมัน อดประหลาดใจไม่ได้ มีสีหน้าฉงนสงสัย มันกลับอยู่ในชุดดำสนิทกระชับรัดกุม ลู่ซุนเองพอเห็นนางต้องตะลึงลานในความงดงาม เรือนร่างอันโดดเด่นของนาง สะท้อนแสงจันทร์ดูงามระหงส์ ผิวหน้าขาวผุดผาดผ่องใส ดุจนางฟ้าจำแลงลงมาชมสวนดอกไม้ยามค่ำคืนก็ไม่ปาน ต้องชะงักงันยามกระทันหันยังไม่ได้กล่าววาจา จิวอวงยี้พลันถามขึ้นว่า
“ท่านไฉน จึงแต่งตัวแบบนี้”
ลู่ซุนคล้ายได้สติกล่าวออกไปว่า
“ข้าพเจ้ากำลังจะไปสืบสาวเรื่องราวของเล่าสี่เอี้ย เห็นว่าท่านก็คิดสืบสาวเรื่องราวบ้านตระกูลจิวจึงคิดชักชวนให้ไปพร้อมกัน”
จิวอวงยี้งงงันวูบ เช่นนั้นที่ท่านนัดหมายข้าพเจ้ามาคงเพราะเรื่องนี้ หาได้พามาชมจันทร์ไม่ มีสีหน้าบอกไม่ถูก คล้ายหัวเราะมิออก ร่ำไห้ไม่ได้ กล่าวตัดพ้อในใจ ‘ท่านไฉนไม่บอกกล่าวให้กระจ่างชัด ทำให้ผู้อื่นครุ่นคิดไปเอง แล้วนี้เสียเวลาแต่งตัวมาเพื่อการณ์ใดเล่า’พลันอึกอักในลำคอไม่ได้ตอบคำ
ลู่ซุนเห็นนางเงียบงันไม่ได้กล่าวคำ จึงถามย้ำไปอีกครา จิวอวงยี้ตอบอย่างเสียมิได้
“ก็แล้วแต่ท่านเถอะ”
“เช่นนั้นดียิ่ง แต่ในตอนนี้ต้องไปพบคนผู้หนึ่งก่อน ท่านตามข้าพเจ้ามา”
ลู่ซุนกล่าวจบก็ลอยตัวออกข้ากำแพงออกไป จิวอวงยี้ต้องมองค้อนตามเงาหลังมันก่อนจะสืบเท้าติดตามไป ในใจครุ่นคิดสงสัยไฉนมันถึงได้ชักชวนตนและจะนำพาตนไปพบกับผู้ใด ลู่ซุนพานางออกเขตชุมชนมาบ้านหลังหนึ่งห่างจากตึกขวัญกล้าไม่ไกลนักดูแล้วคล้ายเป็นบ้านรกร้าง พอก้าวเข้าไปยังด้านใน เห็นเทียนอี้ เอี๊ยะซินแซ และท้งเปียกกับศิษย์ของมันอีกสองคน ในที่นี้ยังมีคนเพิ่มมาอีกสองคนแต่นางไม่เคยพบพาน เทียนอี้พอเห็นจิวอวงยี้ต้องแย้มยิ้มเบิกบานดุจเห็นของวิเศษล้ำค่า ผิดกับท้งเปียกที่พอเห็นนางรีบชักดาบขึ้นป้องอกถอยกายอย่างหวาดระแวง เทียนอี้รีบตรงเข้าไปกุมมือนางกล่าวอย่างปิติว่า
“เซียวเสียวเจี๊ยะ เป็นท่านจริงๆ ข้าพเจ้าคิดถึงท่านยิ่งนัก”
จิวอวงยี้ยามมึนงงกลับไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้เทียนอี้กุมมือของตนไว้ พอตั้งสติได้ถอนมือออกช้าๆ ฝืนยิ้มแห้งๆเป็นเชิงทักทาย เพ่งมองสายตาไปยังลู่ซุน ในแววตาส่อความหมายมากมายทั้งผิดหวังทั้งตัดพ้อ คาดเดาออกว่าเหตุใดมันถึงชักชวนตน นี่คงเป็นเพราะคำสั่งของเทียนอี้ มันจึงเอ่ยปากชักชวนหาไม่แล้วมันคงไม่กล่าวกับตนซักประโยคเดียว พอครุ่นคิดถึงเทียนอี้ทราบว่านางแซ่จิวมิได้แซ่เซียว ไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ได้บอกต่อลู่ซุนหรือไม่ หากบ่งบอกแล้วลู่ซุนยังคงเรียบเฉยต่อนางนับว่าย่ำแย่ยิ่ง เช่นนั้นไยไม่ใช่มันลืมม่วยม่วยผู้นี้แล้ว อดตกประหวั่นขึ้นมาไม่ได้ แต่ตอนนี้มีคนอยู่มากมายไม่สะดวกกับการกล่าวถาม จึงถามเทียนอี้อย่างสงสัยว่า
“ท่านไฉน จึงมาที่นี่”
เทียนอี้กล่าวเล่าว่า
“ช่วงเวลาที่ผ่านข้าพเจ้าคิดถึงท่านยิ่ง ครุ่นคิดว่าท่านคงติดตามลู่ซุนมาเมืองหูหนันสืบเรื่องราวบ้านตระกูลจิว จึงเดินทางติดตามมา พอดีระหว่างทางพบพานมือปราบวังหลวงสองคนนี้ จึงให้ทำการติดต่อลู่ซุน สั่งความต่อลู่ซุนว่าหากพบพานท่านให้นำพาท่านมาพบข้าพเจ้าเป็นการด่วน”
“อ้อ..ที่แท้เป็นเช่นนี้”
นางกล่าวพร้อมเพ่งมองไปยังลู่ซุนอย่างขุ่นเคือง แต่ลู่ซุนยามนี้ไม่ได้อยู่รวมวงสนทนากับคนทั้งสองจึงไม่ทันพบเห็นสายตาของนาง ท้งเปียกเมื่อเห็นจิวอวงยี้ไม่ได้แยแสสนใจตนจึงคลายความหวาดระแวงลดดาบลงหันไปกล่าวกับลุ่ซุนว่า
“มือปราบลู่ ยามนี้ใกล้ได้เวลานัดหมายส่งของแล้วพวกเราเร่งรีบเถอะ”
ลู่ซุนพยักหน้ารับ จัดแจงบอกต่อสหายมือปราบทั้งสองให้ปลอมแปลงเป็นคนของท้งเปียกติดตามไปกับรถบรรทุกทรัพย์สิน ตนเองจะลอบสะกดรอยอยู่ยังด้านหลัง แต่ไม่ได้กล่าวถึงจิวอวงยี้ว่าให้กระทำการใด พอขบวนเริ่มเคลื่อนตัวออก จิวอวงยี้สืบเท้าตามลู่ซุนไปยังด้านหลังคิดตามไปอีกผู้หนึ่ง ลู่ซุนกลับหันมากล่าวว่า
“เซียวโกวเนี้ย ท่านพำนักรออยู่ยังที่นี้ ข้าพเจ้าได้ความคืบหน้าสิ่งใด จะนำมาบอกกล่าว”
เทียนอี้ รีบกล่าวเสริมขึ้นว่า
“ถูกแล้วเซียวเสียวเจี๊ยะ ข้าพเจ้าสั่งการลู่ซุนไว้แล้วให้พยายามติดตามคดีบ้านตระกูลจิว ท่านก็พำนักรอในที่นี้เถอะ”
จิวอวงยี้ต้องคับแค้นขุ่นข้องครุ่นคิด’อ้อ.. ที่แท้ท่านเพียงนำพาข้าพเจ้ามาหาคน มิได้ชักชวนสืบเรื่องราวแต่อย่างใด’พลันเค้นเสียง เฮอะ กล่าวประชดประชันขึ้นว่า
“ไม่คาดว่า มือปราบลู่ก็รู้จักการโกหกหลอกลวงคน”
ลู่ซุนต้องเลิกคิ้วสูงกล่าวถามอย่างสงสัย
“ข้าพเจ้าโกหก.. ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าโกหกหลอกลวงผู้ใด”
จิวอวงยี้สีหน้าบึ่งตึงกล่าวว่า
“ก่อนมาท่านกล่าวบอกต่อข้าพเจ้าเช่นไร ไฉนจึงไม่ให้ข้าพเจ้ารวมทาง”
ลู่ซุนจึงเข้าใจในบัดดลกล่าวว่า
“เซียวโกวเนี้ย ข้าพเจ้าหาโกหกหลอกลวงท่านไม่ ข้าพเจ้าชักชวนท่านให้มาสืบสาวเรื่องราว แต่เรื่องการสืบไว้เป็นหน้าที่ข้าพเจ้า ท่านรอคอยในที่นี้รอรับฟังข่าว ข้าพเจ้าหลังจากกลับมาจะนำมาบอกเล่าจนหมดสิ้น ย่อมเป็นดุจเดียวกัน”
“ไหนเลยเป็นดุจเดียวกัน หากท่านไม่ยินยอมให้ข้าพเจ้าร่วมทาง อย่าหมายจากไปได้โดยง่าย”
นางคล้ายมีโทสะ น้ำเสียงเริ่มแข็งกร้าวขึ้น ลู่ซุนเห็นว่านางคงไม่ยินยอมโดยง่าย ต้องนิ่งงันหันไปมองยังองค์ไทจือเชิงขอความเห็น เทียนอี้เองก็รุ่มร้อนใจยิ่งคิดให้นางอยู่สนทนาในที่นี้ แต่เห็นนางมีโทสะไม่คิดจะขัดใจพลันกล่าวว่า
“เช่นนั้นเราก็ไปด้วยอีกผู้หนึ่ง”
เอี๊ยะซินแซ ต้องร้องห้ามว่า
“ไหนเลยทำได้ เสียวเอี้ยท่านไม่อาจติดตามไปมันอันตรายยิ่ง”
“ท่านเมื่อทราบว่าอันตรายก็ตามไปอารักษ์ขาเรา ยังจะกล่าวมากความไปไย”
เทียนอี้หันไปตวาดใส่เอี๊ยะซินแซด้วยท่าทีเคืองขุ่นที่มันร้องห้าม ลู่ซุนกับท้งเปียกรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่ง คนผู้หนึ่งพอจะไปก็ตามติดแห่กันไปเป็นขบวน ไหนเลยเป็นการสะกดรอยเช่นนี้ศัตรูไม่รู้ตัวก็แปลกไปแล้ว เอี๊ยะซินแซพลันคุกเข่าลงกราบกรานร้องขอ ลู่ซุนและมือปราบอีกสองคนต่างทำเช่นเดียวกัน กล่าวอ้างเหตุผลต่างๆนาๆ จนเทียนอี้อับจนถ้อยคำไม่สามารถทำอย่างไรได้ แม้ไม่พอใจแต่ก็ต้องทนรั้งอยู่
พอขบวนเริ่มเคลื่อนออก ท้งเปียกเดินไปอยู่ยังด้านหน้าขบวนนำทาง ติดตามด้วยศิษย์ทั้งสองและมือปราบวังหลวงอีกสองคน จิวอวงยี้กับลู่ซุนติดตามในระยะห่าง ขณะติดตามลู่ซุนเกรงจิวอวงยี้กระทำการเสียแผนจึงกล่าวกำชับว่า
“เซียวโกวเนี้ย ท่านรับปากข้าพเจ้า อย่ากระทำการใดโดยอารมณ์ทำให้เสียแผนการ”
จิวอวงยี้ยังขุ่นข้องไม่คลาย พลันเชิดหน้าเลิกคิ้วขึ้นสูง กล่าวว่า
“ท่านยิ่งห้าม ข้าพเจ้ายิ่งจะพาลทำ”
กล่าวจบถลันกายล้ำหน้าลู่ซุนติดตามขบวนไป ลู่ซุนต้องมีสีหน้ายุ่งยากแต่ไม่ได้กล่าววาจากลัวจะเป็นการยั่วยุนาง ตามติดประกบนางไม่ห่างเกรงนางทำเสียแผน พอเดินทางเข้าเขตชุมชน เห็นขบวบมาหยุดหน้าวัดหลังหนึ่ง จิวอวงยี้รู้สึกสงสัยจึงกล่าวถาม
“ตั่วกอ พวกมันนัดหมายส่งทรัพย์สินในที่นี้หรือ”
ลู่ซุนงงงันวูบหันไปมองหน้านาง ไฉนจึงเรียกตนเป็นตั่วกอ จิวอวงยี้พอรู้ตัวว่าพลั้งปากต้องหน้าแดงขึ้นรีบตีหน้าเคร่งขรึมกล่าวแก้เก้อว่า
“ท่านไฉนจึงมองจ่องข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้เกียรติท่านเป็นผู้พี่ไม่ดีหรือ”
ลู่ซุนสีหน้ายังไม่คลายฉงนต่อวาจาของนาง ในใจครุ่นคิดขึ้น ‘สตรีผู้นี้ออกแปลกประหลาด ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย คาดเดายากยิ่ง’แต่ก็พยักหน้ารับก่อนตอบว่า
“ถูกแล้ว พวกมันนัดส่งทรัพย์สินในที่นี้”
“เช่นนั้นพวกเราไปชมดู”
จิวอวงยี้กล่าวพร้อมทยานร่างข้ามกำแพงนำหน้า ลู่ซุนต้องรีบโจนทยานติดตาม ทั้งสองมาซุ่มซ่อนตัวบนหลังคาหลังหนึ่ง เห็นหลวงจีนสองรูปท่าทางลับๆล่อๆมาเปิดประตูให้ท้งเปียก ชักนำขบวนทรัพย์สิ้นไปยังอารามด้านในหลังหนึ่ง ทั้งสองรีบไต่ตามหลังคาไปยังอารามหลังนั้น พอถึงเปิดกระเบื้องด้านบนอย่างแผ่วเบาส่องผ่านดูจากด้านบน เห็นภายในยืนไว้ด้วยชายชุดดำผู้หนึ่ง ปกปิดโฉมหน้ามิดชิดกำลังกล่าวสนทนากับท้งเปียก คนผู้นี้ย่อมเป็นเล่าสี่เอี้ยอย่างไม่ต้องสงสัย ท้งเปียกส่งสมุดบันทึกรายการทรัพย์สินให้พร้อมกล่าวว่า
“เล่าสี่เอี้ย ที่เสฉวนตอนนี้เกิดโจรร้ายอาละวาด ฉกของมีค่าของบรรดาเศรษฐีไปไม่น้อย ทำให้กระทบกระเทือนถึงเรา นายอำเภอเฉินกำลังเร่งดำเนินการเรื่องนี้ ทรัพย์สินที่นำมาคราวนี้อยู่ในสมุดเล่มนี้แล้ว โปรดรับไว้พิจารณา”
เล่าสี่เอี้ยพยักหน้ารับส่งสมุดต่อให้หลวงจีนสองรูปนำไปตรวจสอบก่อนกล่าวว่า
“หัวหน้าท้งเดินทางไกลคงลำบากไม่น้อย พวกท่านก็พำนักอยู่ในที่นี้ก่อน ห้องหับรับรองสักครู่เราจะให้หลวงจีนทั้งสองพาไป ค่ำคืนนี้เรามีธุระไม่อาจอยู่สนทนาได้”
ท้งเปียกกล่าวรับคำ ต้องลอบถอนหายใจที่มันไม่สงสัยต่อตนเอง เล่าสี่พอกล่าวจบก็ออกจากอาราม
จิวอวงยี้กับลู่ซุนลอบสะกดรอยอย่างแผ่วเบา เห็นมันเข้าไปในอารามหลังเล็กอีกหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ในอารามหลังนั้นยังมีไฟจากแสงเทียนส่องแสงย่อมแสดงว่ามีผู้คนอยู่ อารามหลังนี้เล็กคับแคบทั้งตั้งอยู่ในที่โล่งแจ้งรอบอารามไม่มีที่ซุ่มซ่อนตัวอีกหลังคาก็ต่ำเตี้ย หากเข้าใกล้เกรงว่าจะถูกจับได้
ลู่ซุนต้องสอดสายสายตาหาที่ซุ่มซ่อนที่สามารถเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าเล่าสี่เอี้ยมาพบกับผู้ใดในห้องนั้น แต่ก็ยังไม่พบเห็นต้องมีสีหน้ายุ่งยากใจ จิวอวงยี้กลับก้าวเดินตรงไปอย่างไม่ยีหละ ลู่ซุนตื่นตระหนกกับการกระทำของนางเกรงเล่าสี่เอี้ยรู้ตัว แต่คิดจะห้ามปรามก็ไม่ทันแล้วยามนี้หากส่งเสียงเพียงเล็กน้อยคนภายในย่อมรู้สึกตัว เห็นนางเดินก้าวย่างแผ่วเบาตนเองยังไม่ได้ยินเสียงต้องคลายกังวลลง ครุ่นคิดขึ้น’เรากลับลืมไปว่านางมีฉายา ตีนแมวเทวดา’
จิวอวงยี้พอเข้าใกล้อารามดีดเท้าลอยตัวขึ้นบนหลังคาบรรจงทิ้งตัวอย่างนุ่มนวลไร้ซุ่มเสียงแม้เสียงเสื้อผ้าต้องลมยังไม่บังเกิด พลางหันไปยิ้มเยาะต่อลู่ซุน
ลู่ซุนถูกนางเย้ยหยันหากไม่ติดตามเข้าไปอาจเป็นที่เสื่อมเสียหน้าบังเกิดความคิดเอาชนะ เร่งเร้าพลังเทพสาดส่องบังคับการก้าวย่างสืบเท้าตามเข้าไป วิชาตัวเบาของลู่ซุนไม่อาจเทียบเท่าจิวอวงยี้แต่อาศัยกำลังภายในกล้าแข็ง บังคับถ่ายเทน้ำหนักให้เงียบเชียบเช่นนางแต่การสืบเท้าก้าวเดินดูยากลำบากกว่านางอยู่บ้าง พอบรรลุถึงก็ยิ้มขึ้นยักคิ้วให้นางคราหนึ่ง
จิวอวงยี้ตีสีหน้าบูดบึ่งครุ่นคิด ’ท่านผู้นี้ หัดรู้จักยอมผู้คนบ้างไม่ได้เลยหรือ’ แต่ไม่กล่าวกระไร นอนราบกับหลังคาก้มลงดูผ่านช่องระบายลมที่ด้านบน เห็นภายในห้อง นอกจากเล่าสี่เอี้ยแล้วยังมีหลวงจีนอีกรูปหนึ่ง หลวงจีนรูปนี้แต่งตัวแปลกแตกต่างจากหลวงจีนของจงหยวน ดูคล้ายกับลามะทางธิเบต พอเห็นถนัดชัดตา กลับเป็นหลวงจีนจอมลามกถือดาบที่ตนเองเคยเจอไม่คาดว่ามันก็อยู่ยังที่นี้
เล่าสี่เอี้ยพอเข้ามาถึงก็ถอดผ้าคลุ่มหน้าออก ทั้งสองต้องตื่นเต้นแตกตื่น ที่แท้เล่าสี่เอี้ยกลับเป็นเล็กเลี้ยงอัน เล็กไต้เฮียบคราครั้งนี้เหนือความคาดหมายยิ่ง รีบรวบรวมสมาธิสดับฟังเสียง ได้ยินเล็กเลี้ยงอันกล่าวขึ้นว่า
“ไต้ซือป๋อเสียงอุสาห์เดินทางไกลมาถึง ข้าพเจ้าไม่ได้มาต้อนรับแต่เนิ่นนับว่าเสียมารยาทแล้ว”
ป๋อเสียงไต้ซือยกมือพนมกล่าวว่า
“เล่าสี่เอี้ยกล่าวเกรงใจไปแล้ว เราตอนนี้นับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ที่อาตมาเดินทางมาในวันนี้เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ซือแป๋ข้าพเจ้าตอบตกลงรับปากช่วยเหลืองานของตั่วเอี้ยท่าน จึงให้อาตมารุดหน้ามาแจ้งข่าวก่อน ส่วนซือแป๋กับศิษย์ในสำนักจะติดตามมาในภายหลัง”
เล็กเลี้ยงอันหัวเราะอย่างปิติ รินสุราคารวะต่อป๋อเสียงไต้ซือกล่าวว่า
“นับเป็นที่น่ายินดียิ่ง หากตั่วเอี้ยได้สำนักดาบโลหิตท่านร่วมมือ ตั่วเอี้ยเราก็ดุจพยัคฆ์ติดปีกแล้ว งานใหญ่ของตั่วเอี้ยคงไม่ไกลเกินเอื้อม”
“เล่าสี่เอี้ย กล่าวชมเกินไปแล้ว”
ป๋อเสียงไต้ซือกล่าวหัวเราะร่วนร่าในคำเยินยอของเล็กเลี้ยงอันยกสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียว จิวอวงยี้ฟังแล้วต้องลอบครุ่นคิด ‘สำนักดาบโลหิตเป็นสำนักใดยังไม่เคยได้ยินมา อีกทั้งตั่วซือแป๋ก็ไม่ได้กล่าวเล่าถึง แต่ดูท่าคงมีความเป็นมาไม่ต่ำทราม’
ผิดกับลู่ซุนพอทราบว่าไต้ซือผู้นี้มาจากสำนักดาบโลหิตต้องหน้าแปรเปลี่ยนครุ่นคิด ‘ฟังจากเต็กเอี่ยเอี้ยเล่า ทราบว่าสำนักนี้เป็นสำนักอธรรมทางธิเบตที่ร้ายกาจ กระทำการสิ่งใดตามใจไม่สนถูกผิด ทั้งยังกำชับไว้ว่าหากพบเห็นศิษย์สำนักดาบโลหิตอย่าพยายามเผชิญหน้าให้หลบเลี่ยง มิฉะนั้นอาจเป็นชักนำภัยมาสู่ตัว เพลงดาบที่เต็กเอี่ยเอี้ยถ่ายทอดให้เรียกว่าเพลงดาบอสูรโลหิต ไม่ทราบเกี่ยวข้องกับสำนักดาบโลหิตหรือไม่’ จึงสดับรับฟังอย่างตั้งใจ
ป๋อเสียงไต้ซือระบายไออุ่นสุราออกจากปาก เสียงดัง อา ก่อนกล่าวสืบต่อ
“ความจริง ที่อาตมามายังจงหยวนครั้งนี้มีหน้าที่ต้องกระทำสองประการ หนึ่งคือแจ้งข่าวให้ท่านได้ทราบ สองคือติดตามหาคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้มีชื่อว่า “เต็กอุ้น” ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนหรือไม่ ”
จิวอวงยี้กับลู่ซุนต่างสะท้านกายขึ้นคราหนึ่งพอได้ยินชื่อเต็กอุ้น ชื่อนี้กลับเป็นชื่อของเต็กเอี่ยเอี้ย ต่างเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ไม่ทราบว่าสำนักดาบโลหิตตามหาท่านด้วยเรื่องใด ได้ยินเล็กเลี้ยงอันกล่าวว่า
“ชื่นนี้กลับไม่เคยได้ยินมา ไม่ทราบว่าเป็นชนชั้นใดในยุทธภพ”
ป๋อเสียงไต้ซือสีหน้าผิดหวังถอดถอนใจ กล่าวว่า
“บอกไปแล้วละอายใจอย่างยิ่ง อาตมาเองก็ไม่ทราบ เพียงแต่ได้รับคำสั่งให้มาติดตามหา ความจริงคนผู้นี้นับอายุคำนวนแล้วคงมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี ด้านวรยุทธจัดว่าล้ำเลิศ อาตามคิดว่ามันคงต้องมีชื่อเสียงอยู่ในจงหยวนไม่น้อย ไม่คาดว่าแม้แต่ท่านก็ไม่เคยได้ยินชื่อของมัน”
เล็กเลี้ยงอันมีสีหน้าครุ่นคิดกล่าวว่า
“คนผู้นี้หากอายุร่วมร้อยปี ไม่ใช่ว่าตอนนี้ตกตายไปแล้วหรือไม่”
“ต่อให้ตกตาย อาตมาก็ต้องหาที่ตั้งศพของมัน แต่ช่างเถอะ..เมื่อเล่าสี่เอี้ยไม่ทราบก็หาเป็นไรไม่”
ป๋อเสียงไต้ซือบอกตัดบทพร้อมทั้งยกสุราขึ้นดื่ม เล่าสี่เอี้ยพลันกล่าวขึ้นว่า
“คนของเรามีมากมาย หากคิดตามหาคนผู้หนึ่งยังพอกระทำได้ ไต้ซือป๋อเสียงโปรดวางใจ เรื่องเหล่านี้ไว้เป็นธุระข้าพเจ้า”
ป๋อเสียงไต้ซือยินดียิ่งกล่าวขอบคุณไม่ขาดปาก ทั้งคู่สนทนากันอยู่อีกครู่หนึ่งเล็กเลี้ยงอันก็ขอตัวอำลาออกไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ด้านประตูหลัง จิวอวงยี้คิดติดตามเล่าสี่เอี้ยไป แต่ลู่ซุนทัดทานไว้ เห็นว่าใกล้สว่างแล้วจึงชักชวนจิวอวงยี้กลับที่พำนัก จิวอวงยี้รู้สึกเสียดายแต่ก็ทำตามลู่ซุนแต่โดยดี ลู่ซุนต้องแปลกใจเล็กน้อยไฉนนางตอนนี้เปลี่ยนเป็นเชื่อฟังโดยง่าย ทั้งสองจึงค่อยๆเคลื่อนตัวลักลอบออกนอกวัด ทิ้งให้พรรคพวกของท้งเปียกและมือปราบอีกสองคนเป็นไส้ศึกภายในคอยสืบสังเกตุ
ขณะเดินทางกลับ ยังไม่ทันที่ท้องฟ้าจะสว่างฝนฟ้าก็พรั่งพรูตกลงมา ต้องรีบหาที่หลบฝน เห็นเก๋งพักร้อนข้างทางหลังหนึ่งจึงเข้าไปหลบอยู่ภายใน เสื้อผ้าของจิวอวงยี้เปียกชุมโชกยิ่งรัดสวดสั_ดให้เห็นเด่นชัด จนลู่ซุนไม่กล้าจ่องมองนางโดยตรง กริ่งเกรงเป็นที่เสียมารยาท จิวอวงยี้เองก็ทราบรู้สึกเขินอายไม่น้อยแต่ยังคงตีหน้าเรียบเฉย ทั้งคู่เงียบงันไม่กล่าววาจาชั่วขณะหนึ่ง พอคิดจะเอ่ยกลับเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน ต้องชะงักงันลงชัวครู่ ลู่ซุนพลันกล่าวว่า
“เซียวโกวเนี้ย ท่านคิดถามสิ่งใด เชิญท่านกล่าวก่อน”
“ข้าพเจ้าคิดถามท่านว่า ไฉนจึงไม่ให้ข้าพเจ้าติดตามผู้แซ่เล็กนั้น”
“เราเมื่อทราบว่า เล่าสี่เอี้ยเป็นผู้ใดแล้ว การสืบสะกดรอยยิ่งกระทำได้ง่ายยิ่ง ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงติดตามรอย จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ลู่ซุนกล่าวตอบโดยไม่ได้หันหน้ามาจึงไม่เห็นสีหน้าล้อเลียนของจิวอวงยี้ในวาจาของมันที่ฟังดูจะมีหลักการ พอมันหันหน้ามาจิวอวงยี้รีบทำสีหน้าเป็นปกติกล่าวว่า
“เมื่อครู่ท่านคิดถามสิ่งใด”
“ข้าพเจ้าคิดถามท่านว่า ในหุบเขาสิ้นชีพ มีสตรีแซ่จิวอาศัยอยู่หรือไม่ ท่านเมื่อเป็นศิษย์ของสามภูตกวนตั๋งย่อมต้องลวงรู้”
จิวอวงยี้ต้องนิ่งงันลงชั่วขณะยังไม่ได้ตอบคำ ครุ่นคิดลังเลไม่ทราบจะตอบอย่างไรดี พอเห็นมันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามย้ำจึงถามกลับไปว่า
“ท่านถามหานางไยกัน”
ลู่ซุนฟังนางกล่าวถามเช่นนี้ย่อมแสดงว่านางรู้จัก ต้องลุกขึ้นร้องโพล่งออกมาอย่างยินดี
“เช่นนั้นเป็นท่านรู้จัก ตอนนี้นางอยู่ที่ใด โปรดบอกข้าพเจ้า”
“ท่านยังไม่บ่งบอกข้าพเจ้าท่านตามหานางไยกัน”
ลู่ซุนร้องบอกว่า
“นางเป็นม่วยม่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าติดตามหานางนับสิบปี นางหายสาบสูญไปยังหุบเขาสิ้นชีพ ข้าพเจ้าไม่สามารถติดตามพบเห็น วิงวอนท่านโปรดบอกที่อยู่ของนาง”
จิวอวงยี้ได้ทีตีสีหน้าเย็นชากล่าวว่า
“ท่านติดตามหานางจริงหรือ แต่ก่อนนางก็เคยอาศัยอยู่บนหุบเขาสิ้นชีพรอคอยผู้มาช่วยเหลือ แต่คาดว่าคนผู้นั้นคงรักตัวกลัวตายไม่กล้าขึ้นไปติดตามหานาง”
ลู่ซุนหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น
“ข้าพเจ้าติดตามหานางมาเนิ่นนานปี แต่หุบเขาสิ้นชีพมีชื่อสะท้านภพผู้ย่างกายเข้าไปล้วนต้องตาย ข้าพเจ้าหาได้รักตัวกลัวตายไม่ เพียงแต่เรื่องราวของฆาตกรที่สังหารครอบครัวนางยังไม่ได้ชำระล้าง รอให้ข้าพเจ้าสืบคดีเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น จะขึ้นไปเสี่ยงชีวิตขึ้นหุบเขาสิ้นชีพดูสักครา”
จิวอวงยี้พอฟังต้องเข้าใจจิตเจตนาของลู่ซุนในบัดดล น้ำตาแทบเออคลอด้วยความปิติสีหน้าปรากฏรอยยิ้มแห่งความยินดี แต่เกรงลู่ซุนเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้ารีบหันกายไปทางอื่น ครุ่นคิดขึ้น’ที่แท้ตั่วกอคิดล้างแค้นแทนเราก่อน ค่อยไปจบชีวิตที่หุบเขาสิ้นชีพเพื่อตามหาเรา ท่านยังไม่ลืมม่วยม่วยผู้นี้จริงๆ’ รีบข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติกล่าวว่า
“ท่านไม่ต้องขึ้นสู่หุบเขาสิ้นชีพแล้ว นางไม่ได้อยู่ที่นั้น”
“แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด”
จิวอวงยี้แย้มยิ้ม กล่าวว่า
“ตอนนี้ข้าพเจ้ายังไม่คิดบ่งบอก หากท่านต้องการทราบว่านางอยู่ที่ใดภายหลังอย่าได้ขัดใจข้าพเจ้า ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องไปหาซังม่วยแล้ว ขออำลา”
กล่าวจบก็ทยานร่างออกไปทามกลางสายฝน ลู่ซุนกล่าวเรียกทัดทานอยู่หลายคำแต่นางกลับคล้ายไม่ได้ยินเงาร่างของนางโจนทยานออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้มันยืนอย่างร้อนรุ่มกลุ่มใจ ใคร่ทราบว่าจิวอวงยี้จิวม่วยม่วยตอนนี้อยู่ยังที่ใด
@@@@@@@@@@@@@@@@@@
จบภาค 1 ของจิวอวยี้ตีนแมวเทวดา
เนื่องจากในปลายเดือนนี้ข้าพเจ้า มีความจำเป็นต้องออกจากงานเก่าอย่างกระทันหัน และต้องเตรียมตัวหางานใหม่ ทำให้ต้องห่างหายไปจากอินเตอร์เน็ตสักระยะหนึ่ง จึงขอจบเรื่องจิวอวงยี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อน ข้าพเจ้าจะกลับมาแต่งต่อเมื่อพร้อม ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจและติดตามอ่านมาโดยตลอด และหวังว่าคงสามารถกลับมาแต่งต่อได้ในเร็ววัน
เอ็กเป่งไจ๋ยามนี้ท้อแท้รันทดที่แรกเข้าใจว่าพรรคมังกรทะเลเป็นคนร้ายสังหารบุตรชายตน แม้ฮ่วมบ้วนลี้เก่งกาจกล้าแข็งยากยิ่งจะต่อกรแต่ยังทราบว่าศัตรูเป็นผู้ใด แต่พอความจริงปรากฏบุตรชายของตนกลับถูกลอบสังหารด้วยพิษ ไม่ทราบถึงผู้ลงมือ แล้วความแค้นครั้งนี้จะทวงถามกับผู้ใด ครุ่นคิดแล้วต้องหลั่งน้ำตานองหน้าสีหน้าขมขื่นอย่างยิ่ง หันมาทางลู่ซุนประสานมือคารวะกล่าวขึ้นว่า
“ขอบคุณลู่เสียวเฮียบท่านนี้ที่ช่วยคลี่คลาย หากไม่ได้ท่านเราผู้เฒ่าคงทำเรื่องโง่เขลายากยิ่งจะแก้ไขกลับกลาย”
ลู่ซุนรีบคารวะตอบกล่าวว่า
“มิกล้ารับ.. ผู้คนกล่าวขวัญว่าเอ็กเล่าเอ็งฮงเป็นผู้มีน้ำใจ รู้จักแยกแยะดีชั่ว วันนี้พบเห็นด้วยตานับว่าสมคำร่ำลือ ข้าพเจ้าล่วงเกินท่านผู้เฒ่าไปมากหลาย ยังคงขออภัยในที่นี้ ”
ลู่ซุนกล่าวด้วยใจจริง พลางขยับจะคุกเข่าขอขมาแต่เอ็กเล่าเอ็งฮงประคองไว้ ลู่ซุนไม่กล้าใช้กำลังภายในเกรงจะเป็นการล่วงเกินจึงถูกประคองขึ้นโดยง่าย เอ็กเป่งไจ๋กล่าวว่า
“ลู่เสียวเฮียบกล่าวเกินไปแล้ว”
ขณะที่คนทั้งหลายปรับความเข้าใจ ล้ออันเพ็กที่สาหัสร่อแรแม้ได้รับการถ่ายพลังช่วยเหลือแต่ก็บรรเทาเบาบางในระดับหนึ่ง ยามนี้อาการพลันกำเริบขึ้น ต้องฟุบหมดสติไป เอ็กเป่งไจ๋รีบให้คนพาเข้าไปรักษาตัวยังด้านใน พร้อมกับให้บ่าวทาสพาฮ่วมเล้งซังไปชำระร่างกายพลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ จิวอวงยี้ความจริงคิดพาฮ่วมเล้งซังจากไปแต่เนิ่นๆ แต่ลู่ซุนยังไม่มีทีท่าว่าจะจากไป นางจึงจำต้องอยู่ต่อ เอ็กเป่งไจ๋ยังคงให้ตั้งโต๊ะจัดเลี้ยงเลี้ยงแขกที่มาตามปกติ ทั้งยังกำนัลของขวัญแก่ผู้ที่มาเป็นอันมาก ชาวยุทธบางคนเห็นว่าไร้เรื่องราวแล้ว บ้างจึงอำลากลับ บ้างยังคงดื่มกินต่อ จิ่นง้วนตังกลับพาจิ่นกวนทงผู้เป็นบิดาไปตั่งแต่ยามใดกลับไม่มีใครทราบ เอ็กเป่งไจ๋คิดทำคุณไถ่โทษจึงคะยั่นคะยอให้ฮ่วมเล้งซังอยู่พักผ่อนในที่นี้สักหลายวัน ฮ่วมเล้งซังมองมาทางจิวอวงยี้เหมือนถามความคิดเห็น จิวอวงยี้พลันกล่าวว่า
“พวกเรามีธุระต้องกระทำ ไม่อาจสามารถรับคำเชิญได้ ขอเอ็กเล่าเอ็งฮงอย่าได้ถือสา”
เอ็กเป่งไจ๋เข้าใจดีว่าจิวอวงยี้เป็นศิษย์สามภูติกวนตั๋งย่อมไม่ยินยอมอยู่ในรังของศัตรู จึงไม่ได้คาดคั้น แต่นึกเสียดายที่ฮ่วมเล้งซังกลับมาคบคนโฉดเหล่านี้ พลางหันไปถามลู่ซุน ลู่ซุนกลับตกปากรับคำ จิวอวงยี้ร้อนใจยิ่ง ท่านไฉนจึงรั้งอยู่ ไม่จากไป แต่เห็นเจตนาของลู่ซุนคิดจะอยู่พักจริงๆ ต้องรีบกล่าวขึ้นว่า
“ความจริง เอ็กเล่าเอ็งฮงยื่นไมตรีผู้เยาว์ไม่น้อมสนองออกจะผิดกาละเทศะไปบ้าง ซังม่วยเราทั้งสองก็อยู่ต่อเถอะ”
ฮ่วมเล้งซังต้องงงงันต่อจิวอวงยี้ ไฉนจึงกลับไปกลับมาแต่ก็ไม่ได้กล่าวว่ากระไร เอ็กเป่งไจ๋ถามขึ้นมีสีหน้าสงสัย
“ท่านไม่ไปธุระแล้วหรือ”
‘เพ้ย อยู่ก็คืออยู่ ไปก็คือไป ท่านอยากให้ซังม่วยอยู่ต่อ เราก็ให้นางอยู่ให้แล้ว ยังจะถามมากความไปไย’จิวอวงยี้ร่ำร้องในใจอย่างขุ่นเคือง แต่ยังปั้นหน้ายิ้มแย้มกล่าวคำไปว่า
“ธุระนั้นกลับรอได้”
เอ็กเป่งไจ๋หัวเราะแย้มยิ้มมองไปทางฮ่วมเล้งซังอย่างเอ็นดู กล่าวว่า
“เช่นนั้นดียิ่ง เราจะให้คนจัดที่พักไว้ให้”
พลางเรียกเด็กรับใช้มาสั่งความ ให้จัดเตรียมที่พักให้บุคคลเหล่านี้เป็นพิเศษ พลางหันไปกล่าวว่า
“คืนนี้พวกท่านก็พักให้สบายในที่นี้เถิด เออ..กงจื้อท่านนี้สนทนากันเนิ่นนานยังไม่ทราบชื่อแซ่ ไม่ทราบว่ามีนามสูงส่งว่ากระไรภายหลังยังสามารถเรียกหาได้”
ประโยคหลังเอ็กเป่งไจ๋หันไปถามจิวอวงยี้คิดสอบถามชื่อแซ่
จิวอวงยี้แย้มยิ้มขึ้นประสานมือคิดจะตอบคำแต่พอนึกขึ้นได้รอยยิ้มพลันชะงักค้าง เอ่ยคำแต่ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่สองคำแต่ไม่สามารถเอ่ยชื่อออกไปได้ นางไหนเลยกล้ากล่าวออกไปยามนี้นางใช้แซ่ลู่ นามลู่อวงยี้ และคนแซ่ลู่ตอนนี้ก็อยู่ยังที่นี้แล้ว อีกทั้งยังทราบว่านางคือเซียวโกวเนี้ย หากมันทราบว่าเซียวโกวเนี้ยยินยอมใช้แซ่ลู่ นางเป็นอิสตรีไหนเลยแบกหน้าเอาไว้ได้
เอ็กเป่งไจ๋เห็นนางอึกอักไม่ตอบคำครุ่นคิดว่า มันเป็นศิษย์สามภูติกวนตั๋งศัตรูของตน ย่อมไม่ยินยอมเปิดเผย แม้ใคร่ไม่พอใจแต่ก็ไม่แสดงออก หัวเราะ ฮ่า ฮ่า กล่าวว่า
“สามภูติกวนตั๋งอบรมณ์ศิษย์ได้ประเสริฐยิ่ง ท่านเมื่อไม่ต้องการบ่งบอกก็หาเป็นไรไม่ เราเมื่อรับปากให้ท่านพักอยู่ในที่นี้แล้วก็พักให้สบายเถอะ”
ฮ่วมเล้งซัง เห็นว่าไม่ถูกต้องคิดอาศัยบ้านผู้อื่นไหนเลยไม่บอกชื่อแซ่ได้ จึงกล่าวต่อจิวอวงยี้ขึ้น
“ลู่ตัวกอ ท่านผู้เฒ่ายื่นไมตรีท่านก็บอกกล่าวเถอะ”
วาจาของฮ่วมเล็งซังถึงกับทำจิวอวงยี้หน้าแดงฉาดด้วยความเขินอายร่ำร้องครุ่นคิด ‘ท่านให้ข้าพเจ้าบ่งบอก แต่ท่านบ่งบอกออกมาแล้ว’รีบหันไปตวาดฮ่วมเล้งซังเบาๆ นางเห็นจิวอวงยี้หน้าแดงกลับคิดว่ามีโทสะต้องหดคอแลบลิ้นถอยกายอย่างลืมตัว ลู่ซุนงงงันวูบ ที่แรกได้ยินนึกว่าฮ่วมโกวเนี้ยเรียกหาตนแต่กลับไม่ใช่กลับกลายเป็นเซียวโกวเนี้ยไป เอ็กเป่งไจ๋ครุ่นคิดสงสัยกล่าวถามขึ้น
“เอ๋..ท่านเองก็แซ่ลู่หรือ”
จิวอวงยี้ต้องอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง พอดีพบสายตาของลู่ซุนมองมาต้องรีบหลบหันไปทางเอ็กเป่งไจ๋กล่าวแก้เก้อขึ้นว่า
“คนแซ่ลู่มีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ไฉนข้าพเจ้าจึงแซ่ลู่ไม่ได้”
เนื่องเพราะนางหลบหน้าลู่ซุนจึงไม่เห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนหน้าของมันที่ขบขันต่อท่าทีของนาง เอ็กเป่งไจ๋เอามือลูบเคราครุ่นคิด ‘คนแซ่ลู่มีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองจริงๆ ไม่แน่ว่าคนทั้งสองอาจจะไม่รู้จักกัน’จึงไม่ได้กล่าวว่ากระไร ให้พ่อบ้านนำทางเชิญคนทั้งหมดเข้าไปพักผ่อน
ฮ่วมเล้งซังที่แรกคิดกล่าวชวนจิวอวงยี้ไปดูอาการของล้ออันเพ็กแต่เมื่อครู่คล้ายตนเองทำมันมีโทสะจึงไม่กล้าเอ่ยปากชวน หันไปบอกต่อพ่อบ้านให้จัดหาคนนำทางให้ พ่อบ้านเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นผู้ใดผ่านมาจึงอาสาพาไป หันไปบอกต่อลู่ซุนว่าห้องพักอยู่ทิศทางใดก่อนจะพาฮ่วมเล้งซังแยกไปอีกทางหนึ่ง
จิวอวงยี้พออยู่ใกล้ลู่ซุนก็มั่วแต่ครุ่นคิดเรื่องของตัวเอง ไม่ได้สังเกตุว่าฮ่วมเล้งซังแยกทางไปแต่ยามใด พอรู้สึกตัวต้องรีบกล่าวถามหา ลู่ซุนพลันกล่าวขึ้นว่า
“นางให้พ่อบ้านนำทางไปดูอาการ ล้อกงจื้อ เอ๋..เซียวโกวเนี้ยเมื่อครู่ท่านไม่ได้ยินพ่อบ้านบอกกล่าวหรือ”
“ดูเหมือนว่าข้า..ข้าพเจ้าจะไม่ได้ยิน”
นางตอบแบบอ่อมแอ้ม เพราะไม่ได้ยินจริงๆเมื่อครู่กลับครุ่นคิดใจลอย ลู่ซุนกล่าวขึ้นว่า
“เช่นนั้น ท่านทราบห้องพักของท่านหรือว่าอยู่ทิศทางใด”
นางส่ายหน้าน้อยๆ ลู่ซุนพลันหัวเราะขึ้น
“ไม่ทราบว่าเซียวโกวเนี้ย ครุ่นคิดเรื่องใดถึงได้ใจเลื่อนลอยได้ถึงปานนี้ เอาเถอะข้าพเจ้าจะไปส่งท่านก็แล้วกัน”
กล่าวพลางก้าวเดินนำหน้าไป
’ยังจะมีเรื่องใด หากไม่ใช่เรื่องของท่าน’นางต้องร้องขึ้นในใจก่อนจะเดินตามหลังลู่ซุนไปอย่างเงียบงัน คนหนึ่งก้าวเดินคน คนหนึ่งเดินตาม ล้วนเงียบงันไม่กล่าววาจา นางแม้รู้สึกอึดอัดแต่กลับเป็นสุข คิดให้ระยะทางถึงห้องของนางห่างไกลออกพันลี้ก็มิปานไม่ปารถนาให้ถึงโดยเร็ว เหม่อมองเงาหลังของลู่ซุนอย่างเหม่อลอยครุ่นคิด เรากลับเคยโอบกอดกับตั่วกอถึงสองครา ทั้งที่ใต้เตียงที่หลบซ่อนตัวและยามปะมือกัน พอครุ่นคิดถึงตอนถูกคว้าจับหน้าอกต้องหน้าแดงมะเรื่ออดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขึ้นไม่ได้ ตอนนี้เงาหลังของคนผู้นี้ไม่ได้ดูน่าหมั่นไส้เหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่กลับดูน่าหมั่นเขี้ยวแทนถึงกับคิดขบกัดสักคำหนึ่ง จู่จู่เงาหลังนั้นพลันหยุดชะงัก จิวอวงยี้เหม่อลอยไม่ทันระวัง ชนเข้าอย่างถนัดถนี่แทบเสียหลักล้มลง ลู่ซุนใจหายวูบรีบคว้าตัวนางไว้ สายตาทั้งคู่สบกันคู่หนึ่งต่างไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา จิวอวงยี้หน้าแดงสดใสหลุบหน้าลง ลู่ซุนพลันรู้สึกตัวค่อยๆปล่อยมือที่ประคองนางไว้ปั้นหน้าราบเรียบกล่าวว่า
“ขออภัยข้าพเจ้าไม่ได้เจตนา นี่ถึงห้องท่านแล้ว”
ลู่ซุนต้องกล่าวเช่นนี้เพราะเกรงว่านางจะคิดว่าตนเองหาโอกาศลวนลามนางอีก จะกลายเป็นการเพาะความแค้นโดยมิได้ตั้งใจเช่นคราก่อน
“ข้าพเจ้าทราบแล้ว ว่าท่านไม่ได้เจตนา”
นางตอนนี้รู้สึกเขินอายอย่างยิ่งทั้งที่ตนเองก็ไม่ทราบว่าไฉนถึงได้เขินอายได้ถึงปานนี้ ขณะกล่าววาจายังไม่กล้าสบตามันรีบเปิดประตูเข้าห้องไปในบัดดล ขณะจะปิดประตูลู่ซุนพลันใช้มือค้ำไว้นิ่งคิดก่อนครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงราบเรียบแผ่วเบาว่า
“เซียวโกวเนี้ย คืนนี้ยามสองท่านมาพบข้าพเจ้าที่สวนดอกไม้ข้างหน้านั้นได้หรือไม่ หากว่าท่านมาอย่าได้บอกต่อผู้อื่นโดยเด็ดขาด”
จิวอวงยี้แทบกลั้นความปิติไม่อยู่ มันกล่าวเช่นนี้ใยไม่ใช้นัดหมายตนให้ออกมาพบเป็นการส่วนตัว ใบหน้าแดงดุจผลตำลึงกัดริมฝีปากแนบแน่นก่อนกล่าวอย่างเง้างอนว่า
“ท่านน่าไม่อายแล้ว”
พลันปิดประตูลงโดยเร็ว หันหลังพิงประตูแย้มยิ้มมิได้หุบใช้มือสองข้างเกาะกุมตรงหน้าอกข่มการเต้นของชีพจรหัวใจ ก่อนจะมุดปราดเข้าใต้ผ้าห่มอย่างยินดี
คำนวนเวลาอยู่ใต้ผ้าห่มพลันรีบลุกขึ้น อีกไม่ถึงชั่วยามก็จะถึงยามสอง ต้องมีสีหน้ายุ่งยากใจ นางยังไม่มีเสื้อผลัดเปลี่ยน อีกทั้งเครื่องประทินโฉมก็ไม่ได้นำติดตัวมา มีแต่เพียงแป้งหอมตลับเดียว ต้องร้อนรุ่มใจครุ่นคิด แล้วนี่จะทำอย่างไร แล้วนี่จะทำอย่างไร อยู่ในใจ พลันนึกขึ้นได้ แย้มยิ้มออกมา ในหมู่ตึกขวัญกล้าโอ่โถงกว้างขวางย่อมมีสิ่งของให้นางหยิบยืม รีบก้าวออกนอกประตูปิดลงอย่างบางเบาลัดเลาะไปตามระเบียงทางเดิน หาห้องที่คาดว่าเป็นห้องของสตรีที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน สำรวจอยู่หลายห้องยังไม่พบพาน พอผ่านห้องๆหนึ่งได้กลิ่นหอมจรุง คาดเดาออกว่าเป็นห้องของสตรี ยามนี้เสียเวลาไปมากหลายไม่มีเวลาขบคิดมากความว่าเป็นห้องของผู้ใด รีบสะเดาะกลอนประตูอย่างแผ่วเบา ก้าวเข้าไปยังด้านใน
เห็นที่เตียงนอนนอนไว้ซึ่งสตรีนางหนึ่ง ห้องนี้กลับเป็นห้องของสตรีจริงๆ รีบตรงเข้าไปปิดสกัดจุดนางไว้ไม่ให้ตื่นขึ้น ลงมือรื้อค้นข้าวของที่ต้องการ นางหาดูเสื้อผ้าอยู่หลายชุดต้องมีสีหน้าบูดบึ่งตำหนิว่าเสื้อผ้าแต่ล่ะชุด แม้เป็นเนื้อผ้าดีมีราคา แต่ลวดลายสีสันออกเรียบง่ายไม่มีที่สะดุดตา ยามนี้ไม่มีทางเลือกหยิบชุดมาชุดหนึ่ง พร้อมตลับแป้งประทินโฉมหลายตลับ จัดแจงแต่งตัวภายในห้องนั้น
เสื้อผ้าแม้เรียบง่ายแต่จิวอวงยี้กลับมีวิธีแต่งให้ดูสะดุดตาได้ ขยับเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ให้เป็นไปตามที่นางต้องการ รวบรัดให้ส่วนสัดของสตรีถูกขับออกมาภายใต้เสื้อผ้าอย่างเด่นชัด เปิดหน้าต่างอาศัยแสงจันทร์ตกแต่งใบหน้า พอเสร็จก็เก็บทุกอย่างเข้าที่เดิมทุกประการ ต่อให้สตรีผู้นั้นตื่นขึ้นมาก็ไม่ทราบว่าข้าวของถูกรื้อค้น สิ่งที่หายไปดูเหมือนจะเป็นเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว
พอยามสองลงไปยังสวนดอกไม้ ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังเบาๆ ทราบว่าเป็นลู่ซุนรีบหันกายไปตามเสียง พอพบเห็นมัน อดประหลาดใจไม่ได้ มีสีหน้าฉงนสงสัย มันกลับอยู่ในชุดดำสนิทกระชับรัดกุม ลู่ซุนเองพอเห็นนางต้องตะลึงลานในความงดงาม เรือนร่างอันโดดเด่นของนาง สะท้อนแสงจันทร์ดูงามระหงส์ ผิวหน้าขาวผุดผาดผ่องใส ดุจนางฟ้าจำแลงลงมาชมสวนดอกไม้ยามค่ำคืนก็ไม่ปาน ต้องชะงักงันยามกระทันหันยังไม่ได้กล่าววาจา จิวอวงยี้พลันถามขึ้นว่า
“ท่านไฉน จึงแต่งตัวแบบนี้”
ลู่ซุนคล้ายได้สติกล่าวออกไปว่า
“ข้าพเจ้ากำลังจะไปสืบสาวเรื่องราวของเล่าสี่เอี้ย เห็นว่าท่านก็คิดสืบสาวเรื่องราวบ้านตระกูลจิวจึงคิดชักชวนให้ไปพร้อมกัน”
จิวอวงยี้งงงันวูบ เช่นนั้นที่ท่านนัดหมายข้าพเจ้ามาคงเพราะเรื่องนี้ หาได้พามาชมจันทร์ไม่ มีสีหน้าบอกไม่ถูก คล้ายหัวเราะมิออก ร่ำไห้ไม่ได้ กล่าวตัดพ้อในใจ ‘ท่านไฉนไม่บอกกล่าวให้กระจ่างชัด ทำให้ผู้อื่นครุ่นคิดไปเอง แล้วนี้เสียเวลาแต่งตัวมาเพื่อการณ์ใดเล่า’พลันอึกอักในลำคอไม่ได้ตอบคำ
ลู่ซุนเห็นนางเงียบงันไม่ได้กล่าวคำ จึงถามย้ำไปอีกครา จิวอวงยี้ตอบอย่างเสียมิได้
“ก็แล้วแต่ท่านเถอะ”
“เช่นนั้นดียิ่ง แต่ในตอนนี้ต้องไปพบคนผู้หนึ่งก่อน ท่านตามข้าพเจ้ามา”
ลู่ซุนกล่าวจบก็ลอยตัวออกข้ากำแพงออกไป จิวอวงยี้ต้องมองค้อนตามเงาหลังมันก่อนจะสืบเท้าติดตามไป ในใจครุ่นคิดสงสัยไฉนมันถึงได้ชักชวนตนและจะนำพาตนไปพบกับผู้ใด ลู่ซุนพานางออกเขตชุมชนมาบ้านหลังหนึ่งห่างจากตึกขวัญกล้าไม่ไกลนักดูแล้วคล้ายเป็นบ้านรกร้าง พอก้าวเข้าไปยังด้านใน เห็นเทียนอี้ เอี๊ยะซินแซ และท้งเปียกกับศิษย์ของมันอีกสองคน ในที่นี้ยังมีคนเพิ่มมาอีกสองคนแต่นางไม่เคยพบพาน เทียนอี้พอเห็นจิวอวงยี้ต้องแย้มยิ้มเบิกบานดุจเห็นของวิเศษล้ำค่า ผิดกับท้งเปียกที่พอเห็นนางรีบชักดาบขึ้นป้องอกถอยกายอย่างหวาดระแวง เทียนอี้รีบตรงเข้าไปกุมมือนางกล่าวอย่างปิติว่า
“เซียวเสียวเจี๊ยะ เป็นท่านจริงๆ ข้าพเจ้าคิดถึงท่านยิ่งนัก”
จิวอวงยี้ยามมึนงงกลับไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้เทียนอี้กุมมือของตนไว้ พอตั้งสติได้ถอนมือออกช้าๆ ฝืนยิ้มแห้งๆเป็นเชิงทักทาย เพ่งมองสายตาไปยังลู่ซุน ในแววตาส่อความหมายมากมายทั้งผิดหวังทั้งตัดพ้อ คาดเดาออกว่าเหตุใดมันถึงชักชวนตน นี่คงเป็นเพราะคำสั่งของเทียนอี้ มันจึงเอ่ยปากชักชวนหาไม่แล้วมันคงไม่กล่าวกับตนซักประโยคเดียว พอครุ่นคิดถึงเทียนอี้ทราบว่านางแซ่จิวมิได้แซ่เซียว ไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ได้บอกต่อลู่ซุนหรือไม่ หากบ่งบอกแล้วลู่ซุนยังคงเรียบเฉยต่อนางนับว่าย่ำแย่ยิ่ง เช่นนั้นไยไม่ใช่มันลืมม่วยม่วยผู้นี้แล้ว อดตกประหวั่นขึ้นมาไม่ได้ แต่ตอนนี้มีคนอยู่มากมายไม่สะดวกกับการกล่าวถาม จึงถามเทียนอี้อย่างสงสัยว่า
“ท่านไฉน จึงมาที่นี่”
เทียนอี้กล่าวเล่าว่า
“ช่วงเวลาที่ผ่านข้าพเจ้าคิดถึงท่านยิ่ง ครุ่นคิดว่าท่านคงติดตามลู่ซุนมาเมืองหูหนันสืบเรื่องราวบ้านตระกูลจิว จึงเดินทางติดตามมา พอดีระหว่างทางพบพานมือปราบวังหลวงสองคนนี้ จึงให้ทำการติดต่อลู่ซุน สั่งความต่อลู่ซุนว่าหากพบพานท่านให้นำพาท่านมาพบข้าพเจ้าเป็นการด่วน”
“อ้อ..ที่แท้เป็นเช่นนี้”
นางกล่าวพร้อมเพ่งมองไปยังลู่ซุนอย่างขุ่นเคือง แต่ลู่ซุนยามนี้ไม่ได้อยู่รวมวงสนทนากับคนทั้งสองจึงไม่ทันพบเห็นสายตาของนาง ท้งเปียกเมื่อเห็นจิวอวงยี้ไม่ได้แยแสสนใจตนจึงคลายความหวาดระแวงลดดาบลงหันไปกล่าวกับลุ่ซุนว่า
“มือปราบลู่ ยามนี้ใกล้ได้เวลานัดหมายส่งของแล้วพวกเราเร่งรีบเถอะ”
ลู่ซุนพยักหน้ารับ จัดแจงบอกต่อสหายมือปราบทั้งสองให้ปลอมแปลงเป็นคนของท้งเปียกติดตามไปกับรถบรรทุกทรัพย์สิน ตนเองจะลอบสะกดรอยอยู่ยังด้านหลัง แต่ไม่ได้กล่าวถึงจิวอวงยี้ว่าให้กระทำการใด พอขบวนเริ่มเคลื่อนตัวออก จิวอวงยี้สืบเท้าตามลู่ซุนไปยังด้านหลังคิดตามไปอีกผู้หนึ่ง ลู่ซุนกลับหันมากล่าวว่า
“เซียวโกวเนี้ย ท่านพำนักรออยู่ยังที่นี้ ข้าพเจ้าได้ความคืบหน้าสิ่งใด จะนำมาบอกกล่าว”
เทียนอี้ รีบกล่าวเสริมขึ้นว่า
“ถูกแล้วเซียวเสียวเจี๊ยะ ข้าพเจ้าสั่งการลู่ซุนไว้แล้วให้พยายามติดตามคดีบ้านตระกูลจิว ท่านก็พำนักรอในที่นี้เถอะ”
จิวอวงยี้ต้องคับแค้นขุ่นข้องครุ่นคิด’อ้อ.. ที่แท้ท่านเพียงนำพาข้าพเจ้ามาหาคน มิได้ชักชวนสืบเรื่องราวแต่อย่างใด’พลันเค้นเสียง เฮอะ กล่าวประชดประชันขึ้นว่า
“ไม่คาดว่า มือปราบลู่ก็รู้จักการโกหกหลอกลวงคน”
ลู่ซุนต้องเลิกคิ้วสูงกล่าวถามอย่างสงสัย
“ข้าพเจ้าโกหก.. ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าโกหกหลอกลวงผู้ใด”
จิวอวงยี้สีหน้าบึ่งตึงกล่าวว่า
“ก่อนมาท่านกล่าวบอกต่อข้าพเจ้าเช่นไร ไฉนจึงไม่ให้ข้าพเจ้ารวมทาง”
ลู่ซุนจึงเข้าใจในบัดดลกล่าวว่า
“เซียวโกวเนี้ย ข้าพเจ้าหาโกหกหลอกลวงท่านไม่ ข้าพเจ้าชักชวนท่านให้มาสืบสาวเรื่องราว แต่เรื่องการสืบไว้เป็นหน้าที่ข้าพเจ้า ท่านรอคอยในที่นี้รอรับฟังข่าว ข้าพเจ้าหลังจากกลับมาจะนำมาบอกเล่าจนหมดสิ้น ย่อมเป็นดุจเดียวกัน”
“ไหนเลยเป็นดุจเดียวกัน หากท่านไม่ยินยอมให้ข้าพเจ้าร่วมทาง อย่าหมายจากไปได้โดยง่าย”
นางคล้ายมีโทสะ น้ำเสียงเริ่มแข็งกร้าวขึ้น ลู่ซุนเห็นว่านางคงไม่ยินยอมโดยง่าย ต้องนิ่งงันหันไปมองยังองค์ไทจือเชิงขอความเห็น เทียนอี้เองก็รุ่มร้อนใจยิ่งคิดให้นางอยู่สนทนาในที่นี้ แต่เห็นนางมีโทสะไม่คิดจะขัดใจพลันกล่าวว่า
“เช่นนั้นเราก็ไปด้วยอีกผู้หนึ่ง”
เอี๊ยะซินแซ ต้องร้องห้ามว่า
“ไหนเลยทำได้ เสียวเอี้ยท่านไม่อาจติดตามไปมันอันตรายยิ่ง”
“ท่านเมื่อทราบว่าอันตรายก็ตามไปอารักษ์ขาเรา ยังจะกล่าวมากความไปไย”
เทียนอี้หันไปตวาดใส่เอี๊ยะซินแซด้วยท่าทีเคืองขุ่นที่มันร้องห้าม ลู่ซุนกับท้งเปียกรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่ง คนผู้หนึ่งพอจะไปก็ตามติดแห่กันไปเป็นขบวน ไหนเลยเป็นการสะกดรอยเช่นนี้ศัตรูไม่รู้ตัวก็แปลกไปแล้ว เอี๊ยะซินแซพลันคุกเข่าลงกราบกรานร้องขอ ลู่ซุนและมือปราบอีกสองคนต่างทำเช่นเดียวกัน กล่าวอ้างเหตุผลต่างๆนาๆ จนเทียนอี้อับจนถ้อยคำไม่สามารถทำอย่างไรได้ แม้ไม่พอใจแต่ก็ต้องทนรั้งอยู่
พอขบวนเริ่มเคลื่อนออก ท้งเปียกเดินไปอยู่ยังด้านหน้าขบวนนำทาง ติดตามด้วยศิษย์ทั้งสองและมือปราบวังหลวงอีกสองคน จิวอวงยี้กับลู่ซุนติดตามในระยะห่าง ขณะติดตามลู่ซุนเกรงจิวอวงยี้กระทำการเสียแผนจึงกล่าวกำชับว่า
“เซียวโกวเนี้ย ท่านรับปากข้าพเจ้า อย่ากระทำการใดโดยอารมณ์ทำให้เสียแผนการ”
จิวอวงยี้ยังขุ่นข้องไม่คลาย พลันเชิดหน้าเลิกคิ้วขึ้นสูง กล่าวว่า
“ท่านยิ่งห้าม ข้าพเจ้ายิ่งจะพาลทำ”
กล่าวจบถลันกายล้ำหน้าลู่ซุนติดตามขบวนไป ลู่ซุนต้องมีสีหน้ายุ่งยากแต่ไม่ได้กล่าววาจากลัวจะเป็นการยั่วยุนาง ตามติดประกบนางไม่ห่างเกรงนางทำเสียแผน พอเดินทางเข้าเขตชุมชน เห็นขบวบมาหยุดหน้าวัดหลังหนึ่ง จิวอวงยี้รู้สึกสงสัยจึงกล่าวถาม
“ตั่วกอ พวกมันนัดหมายส่งทรัพย์สินในที่นี้หรือ”
ลู่ซุนงงงันวูบหันไปมองหน้านาง ไฉนจึงเรียกตนเป็นตั่วกอ จิวอวงยี้พอรู้ตัวว่าพลั้งปากต้องหน้าแดงขึ้นรีบตีหน้าเคร่งขรึมกล่าวแก้เก้อว่า
“ท่านไฉนจึงมองจ่องข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้เกียรติท่านเป็นผู้พี่ไม่ดีหรือ”
ลู่ซุนสีหน้ายังไม่คลายฉงนต่อวาจาของนาง ในใจครุ่นคิดขึ้น ‘สตรีผู้นี้ออกแปลกประหลาด ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย คาดเดายากยิ่ง’แต่ก็พยักหน้ารับก่อนตอบว่า
“ถูกแล้ว พวกมันนัดส่งทรัพย์สินในที่นี้”
“เช่นนั้นพวกเราไปชมดู”
จิวอวงยี้กล่าวพร้อมทยานร่างข้ามกำแพงนำหน้า ลู่ซุนต้องรีบโจนทยานติดตาม ทั้งสองมาซุ่มซ่อนตัวบนหลังคาหลังหนึ่ง เห็นหลวงจีนสองรูปท่าทางลับๆล่อๆมาเปิดประตูให้ท้งเปียก ชักนำขบวนทรัพย์สิ้นไปยังอารามด้านในหลังหนึ่ง ทั้งสองรีบไต่ตามหลังคาไปยังอารามหลังนั้น พอถึงเปิดกระเบื้องด้านบนอย่างแผ่วเบาส่องผ่านดูจากด้านบน เห็นภายในยืนไว้ด้วยชายชุดดำผู้หนึ่ง ปกปิดโฉมหน้ามิดชิดกำลังกล่าวสนทนากับท้งเปียก คนผู้นี้ย่อมเป็นเล่าสี่เอี้ยอย่างไม่ต้องสงสัย ท้งเปียกส่งสมุดบันทึกรายการทรัพย์สินให้พร้อมกล่าวว่า
“เล่าสี่เอี้ย ที่เสฉวนตอนนี้เกิดโจรร้ายอาละวาด ฉกของมีค่าของบรรดาเศรษฐีไปไม่น้อย ทำให้กระทบกระเทือนถึงเรา นายอำเภอเฉินกำลังเร่งดำเนินการเรื่องนี้ ทรัพย์สินที่นำมาคราวนี้อยู่ในสมุดเล่มนี้แล้ว โปรดรับไว้พิจารณา”
เล่าสี่เอี้ยพยักหน้ารับส่งสมุดต่อให้หลวงจีนสองรูปนำไปตรวจสอบก่อนกล่าวว่า
“หัวหน้าท้งเดินทางไกลคงลำบากไม่น้อย พวกท่านก็พำนักอยู่ในที่นี้ก่อน ห้องหับรับรองสักครู่เราจะให้หลวงจีนทั้งสองพาไป ค่ำคืนนี้เรามีธุระไม่อาจอยู่สนทนาได้”
ท้งเปียกกล่าวรับคำ ต้องลอบถอนหายใจที่มันไม่สงสัยต่อตนเอง เล่าสี่พอกล่าวจบก็ออกจากอาราม
จิวอวงยี้กับลู่ซุนลอบสะกดรอยอย่างแผ่วเบา เห็นมันเข้าไปในอารามหลังเล็กอีกหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ในอารามหลังนั้นยังมีไฟจากแสงเทียนส่องแสงย่อมแสดงว่ามีผู้คนอยู่ อารามหลังนี้เล็กคับแคบทั้งตั้งอยู่ในที่โล่งแจ้งรอบอารามไม่มีที่ซุ่มซ่อนตัวอีกหลังคาก็ต่ำเตี้ย หากเข้าใกล้เกรงว่าจะถูกจับได้
ลู่ซุนต้องสอดสายสายตาหาที่ซุ่มซ่อนที่สามารถเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าเล่าสี่เอี้ยมาพบกับผู้ใดในห้องนั้น แต่ก็ยังไม่พบเห็นต้องมีสีหน้ายุ่งยากใจ จิวอวงยี้กลับก้าวเดินตรงไปอย่างไม่ยีหละ ลู่ซุนตื่นตระหนกกับการกระทำของนางเกรงเล่าสี่เอี้ยรู้ตัว แต่คิดจะห้ามปรามก็ไม่ทันแล้วยามนี้หากส่งเสียงเพียงเล็กน้อยคนภายในย่อมรู้สึกตัว เห็นนางเดินก้าวย่างแผ่วเบาตนเองยังไม่ได้ยินเสียงต้องคลายกังวลลง ครุ่นคิดขึ้น’เรากลับลืมไปว่านางมีฉายา ตีนแมวเทวดา’
จิวอวงยี้พอเข้าใกล้อารามดีดเท้าลอยตัวขึ้นบนหลังคาบรรจงทิ้งตัวอย่างนุ่มนวลไร้ซุ่มเสียงแม้เสียงเสื้อผ้าต้องลมยังไม่บังเกิด พลางหันไปยิ้มเยาะต่อลู่ซุน
ลู่ซุนถูกนางเย้ยหยันหากไม่ติดตามเข้าไปอาจเป็นที่เสื่อมเสียหน้าบังเกิดความคิดเอาชนะ เร่งเร้าพลังเทพสาดส่องบังคับการก้าวย่างสืบเท้าตามเข้าไป วิชาตัวเบาของลู่ซุนไม่อาจเทียบเท่าจิวอวงยี้แต่อาศัยกำลังภายในกล้าแข็ง บังคับถ่ายเทน้ำหนักให้เงียบเชียบเช่นนางแต่การสืบเท้าก้าวเดินดูยากลำบากกว่านางอยู่บ้าง พอบรรลุถึงก็ยิ้มขึ้นยักคิ้วให้นางคราหนึ่ง
จิวอวงยี้ตีสีหน้าบูดบึ่งครุ่นคิด ’ท่านผู้นี้ หัดรู้จักยอมผู้คนบ้างไม่ได้เลยหรือ’ แต่ไม่กล่าวกระไร นอนราบกับหลังคาก้มลงดูผ่านช่องระบายลมที่ด้านบน เห็นภายในห้อง นอกจากเล่าสี่เอี้ยแล้วยังมีหลวงจีนอีกรูปหนึ่ง หลวงจีนรูปนี้แต่งตัวแปลกแตกต่างจากหลวงจีนของจงหยวน ดูคล้ายกับลามะทางธิเบต พอเห็นถนัดชัดตา กลับเป็นหลวงจีนจอมลามกถือดาบที่ตนเองเคยเจอไม่คาดว่ามันก็อยู่ยังที่นี้
เล่าสี่เอี้ยพอเข้ามาถึงก็ถอดผ้าคลุ่มหน้าออก ทั้งสองต้องตื่นเต้นแตกตื่น ที่แท้เล่าสี่เอี้ยกลับเป็นเล็กเลี้ยงอัน เล็กไต้เฮียบคราครั้งนี้เหนือความคาดหมายยิ่ง รีบรวบรวมสมาธิสดับฟังเสียง ได้ยินเล็กเลี้ยงอันกล่าวขึ้นว่า
“ไต้ซือป๋อเสียงอุสาห์เดินทางไกลมาถึง ข้าพเจ้าไม่ได้มาต้อนรับแต่เนิ่นนับว่าเสียมารยาทแล้ว”
ป๋อเสียงไต้ซือยกมือพนมกล่าวว่า
“เล่าสี่เอี้ยกล่าวเกรงใจไปแล้ว เราตอนนี้นับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ที่อาตมาเดินทางมาในวันนี้เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ซือแป๋ข้าพเจ้าตอบตกลงรับปากช่วยเหลืองานของตั่วเอี้ยท่าน จึงให้อาตมารุดหน้ามาแจ้งข่าวก่อน ส่วนซือแป๋กับศิษย์ในสำนักจะติดตามมาในภายหลัง”
เล็กเลี้ยงอันหัวเราะอย่างปิติ รินสุราคารวะต่อป๋อเสียงไต้ซือกล่าวว่า
“นับเป็นที่น่ายินดียิ่ง หากตั่วเอี้ยได้สำนักดาบโลหิตท่านร่วมมือ ตั่วเอี้ยเราก็ดุจพยัคฆ์ติดปีกแล้ว งานใหญ่ของตั่วเอี้ยคงไม่ไกลเกินเอื้อม”
“เล่าสี่เอี้ย กล่าวชมเกินไปแล้ว”
ป๋อเสียงไต้ซือกล่าวหัวเราะร่วนร่าในคำเยินยอของเล็กเลี้ยงอันยกสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียว จิวอวงยี้ฟังแล้วต้องลอบครุ่นคิด ‘สำนักดาบโลหิตเป็นสำนักใดยังไม่เคยได้ยินมา อีกทั้งตั่วซือแป๋ก็ไม่ได้กล่าวเล่าถึง แต่ดูท่าคงมีความเป็นมาไม่ต่ำทราม’
ผิดกับลู่ซุนพอทราบว่าไต้ซือผู้นี้มาจากสำนักดาบโลหิตต้องหน้าแปรเปลี่ยนครุ่นคิด ‘ฟังจากเต็กเอี่ยเอี้ยเล่า ทราบว่าสำนักนี้เป็นสำนักอธรรมทางธิเบตที่ร้ายกาจ กระทำการสิ่งใดตามใจไม่สนถูกผิด ทั้งยังกำชับไว้ว่าหากพบเห็นศิษย์สำนักดาบโลหิตอย่าพยายามเผชิญหน้าให้หลบเลี่ยง มิฉะนั้นอาจเป็นชักนำภัยมาสู่ตัว เพลงดาบที่เต็กเอี่ยเอี้ยถ่ายทอดให้เรียกว่าเพลงดาบอสูรโลหิต ไม่ทราบเกี่ยวข้องกับสำนักดาบโลหิตหรือไม่’ จึงสดับรับฟังอย่างตั้งใจ
ป๋อเสียงไต้ซือระบายไออุ่นสุราออกจากปาก เสียงดัง อา ก่อนกล่าวสืบต่อ
“ความจริง ที่อาตมามายังจงหยวนครั้งนี้มีหน้าที่ต้องกระทำสองประการ หนึ่งคือแจ้งข่าวให้ท่านได้ทราบ สองคือติดตามหาคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้มีชื่อว่า “เต็กอุ้น” ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนหรือไม่ ”
จิวอวงยี้กับลู่ซุนต่างสะท้านกายขึ้นคราหนึ่งพอได้ยินชื่อเต็กอุ้น ชื่อนี้กลับเป็นชื่อของเต็กเอี่ยเอี้ย ต่างเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ไม่ทราบว่าสำนักดาบโลหิตตามหาท่านด้วยเรื่องใด ได้ยินเล็กเลี้ยงอันกล่าวว่า
“ชื่นนี้กลับไม่เคยได้ยินมา ไม่ทราบว่าเป็นชนชั้นใดในยุทธภพ”
ป๋อเสียงไต้ซือสีหน้าผิดหวังถอดถอนใจ กล่าวว่า
“บอกไปแล้วละอายใจอย่างยิ่ง อาตมาเองก็ไม่ทราบ เพียงแต่ได้รับคำสั่งให้มาติดตามหา ความจริงคนผู้นี้นับอายุคำนวนแล้วคงมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี ด้านวรยุทธจัดว่าล้ำเลิศ อาตามคิดว่ามันคงต้องมีชื่อเสียงอยู่ในจงหยวนไม่น้อย ไม่คาดว่าแม้แต่ท่านก็ไม่เคยได้ยินชื่อของมัน”
เล็กเลี้ยงอันมีสีหน้าครุ่นคิดกล่าวว่า
“คนผู้นี้หากอายุร่วมร้อยปี ไม่ใช่ว่าตอนนี้ตกตายไปแล้วหรือไม่”
“ต่อให้ตกตาย อาตมาก็ต้องหาที่ตั้งศพของมัน แต่ช่างเถอะ..เมื่อเล่าสี่เอี้ยไม่ทราบก็หาเป็นไรไม่”
ป๋อเสียงไต้ซือบอกตัดบทพร้อมทั้งยกสุราขึ้นดื่ม เล่าสี่เอี้ยพลันกล่าวขึ้นว่า
“คนของเรามีมากมาย หากคิดตามหาคนผู้หนึ่งยังพอกระทำได้ ไต้ซือป๋อเสียงโปรดวางใจ เรื่องเหล่านี้ไว้เป็นธุระข้าพเจ้า”
ป๋อเสียงไต้ซือยินดียิ่งกล่าวขอบคุณไม่ขาดปาก ทั้งคู่สนทนากันอยู่อีกครู่หนึ่งเล็กเลี้ยงอันก็ขอตัวอำลาออกไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ด้านประตูหลัง จิวอวงยี้คิดติดตามเล่าสี่เอี้ยไป แต่ลู่ซุนทัดทานไว้ เห็นว่าใกล้สว่างแล้วจึงชักชวนจิวอวงยี้กลับที่พำนัก จิวอวงยี้รู้สึกเสียดายแต่ก็ทำตามลู่ซุนแต่โดยดี ลู่ซุนต้องแปลกใจเล็กน้อยไฉนนางตอนนี้เปลี่ยนเป็นเชื่อฟังโดยง่าย ทั้งสองจึงค่อยๆเคลื่อนตัวลักลอบออกนอกวัด ทิ้งให้พรรคพวกของท้งเปียกและมือปราบอีกสองคนเป็นไส้ศึกภายในคอยสืบสังเกตุ
ขณะเดินทางกลับ ยังไม่ทันที่ท้องฟ้าจะสว่างฝนฟ้าก็พรั่งพรูตกลงมา ต้องรีบหาที่หลบฝน เห็นเก๋งพักร้อนข้างทางหลังหนึ่งจึงเข้าไปหลบอยู่ภายใน เสื้อผ้าของจิวอวงยี้เปียกชุมโชกยิ่งรัดสวดสั_ดให้เห็นเด่นชัด จนลู่ซุนไม่กล้าจ่องมองนางโดยตรง กริ่งเกรงเป็นที่เสียมารยาท จิวอวงยี้เองก็ทราบรู้สึกเขินอายไม่น้อยแต่ยังคงตีหน้าเรียบเฉย ทั้งคู่เงียบงันไม่กล่าววาจาชั่วขณะหนึ่ง พอคิดจะเอ่ยกลับเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน ต้องชะงักงันลงชัวครู่ ลู่ซุนพลันกล่าวว่า
“เซียวโกวเนี้ย ท่านคิดถามสิ่งใด เชิญท่านกล่าวก่อน”
“ข้าพเจ้าคิดถามท่านว่า ไฉนจึงไม่ให้ข้าพเจ้าติดตามผู้แซ่เล็กนั้น”
“เราเมื่อทราบว่า เล่าสี่เอี้ยเป็นผู้ใดแล้ว การสืบสะกดรอยยิ่งกระทำได้ง่ายยิ่ง ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงติดตามรอย จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ลู่ซุนกล่าวตอบโดยไม่ได้หันหน้ามาจึงไม่เห็นสีหน้าล้อเลียนของจิวอวงยี้ในวาจาของมันที่ฟังดูจะมีหลักการ พอมันหันหน้ามาจิวอวงยี้รีบทำสีหน้าเป็นปกติกล่าวว่า
“เมื่อครู่ท่านคิดถามสิ่งใด”
“ข้าพเจ้าคิดถามท่านว่า ในหุบเขาสิ้นชีพ มีสตรีแซ่จิวอาศัยอยู่หรือไม่ ท่านเมื่อเป็นศิษย์ของสามภูตกวนตั๋งย่อมต้องลวงรู้”
จิวอวงยี้ต้องนิ่งงันลงชั่วขณะยังไม่ได้ตอบคำ ครุ่นคิดลังเลไม่ทราบจะตอบอย่างไรดี พอเห็นมันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามย้ำจึงถามกลับไปว่า
“ท่านถามหานางไยกัน”
ลู่ซุนฟังนางกล่าวถามเช่นนี้ย่อมแสดงว่านางรู้จัก ต้องลุกขึ้นร้องโพล่งออกมาอย่างยินดี
“เช่นนั้นเป็นท่านรู้จัก ตอนนี้นางอยู่ที่ใด โปรดบอกข้าพเจ้า”
“ท่านยังไม่บ่งบอกข้าพเจ้าท่านตามหานางไยกัน”
ลู่ซุนร้องบอกว่า
“นางเป็นม่วยม่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าติดตามหานางนับสิบปี นางหายสาบสูญไปยังหุบเขาสิ้นชีพ ข้าพเจ้าไม่สามารถติดตามพบเห็น วิงวอนท่านโปรดบอกที่อยู่ของนาง”
จิวอวงยี้ได้ทีตีสีหน้าเย็นชากล่าวว่า
“ท่านติดตามหานางจริงหรือ แต่ก่อนนางก็เคยอาศัยอยู่บนหุบเขาสิ้นชีพรอคอยผู้มาช่วยเหลือ แต่คาดว่าคนผู้นั้นคงรักตัวกลัวตายไม่กล้าขึ้นไปติดตามหานาง”
ลู่ซุนหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น
“ข้าพเจ้าติดตามหานางมาเนิ่นนานปี แต่หุบเขาสิ้นชีพมีชื่อสะท้านภพผู้ย่างกายเข้าไปล้วนต้องตาย ข้าพเจ้าหาได้รักตัวกลัวตายไม่ เพียงแต่เรื่องราวของฆาตกรที่สังหารครอบครัวนางยังไม่ได้ชำระล้าง รอให้ข้าพเจ้าสืบคดีเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น จะขึ้นไปเสี่ยงชีวิตขึ้นหุบเขาสิ้นชีพดูสักครา”
จิวอวงยี้พอฟังต้องเข้าใจจิตเจตนาของลู่ซุนในบัดดล น้ำตาแทบเออคลอด้วยความปิติสีหน้าปรากฏรอยยิ้มแห่งความยินดี แต่เกรงลู่ซุนเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้ารีบหันกายไปทางอื่น ครุ่นคิดขึ้น’ที่แท้ตั่วกอคิดล้างแค้นแทนเราก่อน ค่อยไปจบชีวิตที่หุบเขาสิ้นชีพเพื่อตามหาเรา ท่านยังไม่ลืมม่วยม่วยผู้นี้จริงๆ’ รีบข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติกล่าวว่า
“ท่านไม่ต้องขึ้นสู่หุบเขาสิ้นชีพแล้ว นางไม่ได้อยู่ที่นั้น”
“แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ใด”
จิวอวงยี้แย้มยิ้ม กล่าวว่า
“ตอนนี้ข้าพเจ้ายังไม่คิดบ่งบอก หากท่านต้องการทราบว่านางอยู่ที่ใดภายหลังอย่าได้ขัดใจข้าพเจ้า ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องไปหาซังม่วยแล้ว ขออำลา”
กล่าวจบก็ทยานร่างออกไปทามกลางสายฝน ลู่ซุนกล่าวเรียกทัดทานอยู่หลายคำแต่นางกลับคล้ายไม่ได้ยินเงาร่างของนางโจนทยานออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้มันยืนอย่างร้อนรุ่มกลุ่มใจ ใคร่ทราบว่าจิวอวงยี้จิวม่วยม่วยตอนนี้อยู่ยังที่ใด
@@@@@@@@@@@@@@@@@@
จบภาค 1 ของจิวอวยี้ตีนแมวเทวดา
เนื่องจากในปลายเดือนนี้ข้าพเจ้า มีความจำเป็นต้องออกจากงานเก่าอย่างกระทันหัน และต้องเตรียมตัวหางานใหม่ ทำให้ต้องห่างหายไปจากอินเตอร์เน็ตสักระยะหนึ่ง จึงขอจบเรื่องจิวอวงยี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อน ข้าพเจ้าจะกลับมาแต่งต่อเมื่อพร้อม ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจและติดตามอ่านมาโดยตลอด และหวังว่าคงสามารถกลับมาแต่งต่อได้ในเร็ววัน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
กำลังโหลด...
ความคิดเห็น