ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
MY STORY IS A LIE (P.1)

ลำดับตอนที่ #13 : MY STORY IS A LIE::CHAPTER ELEVEN

  • อัปเดตล่าสุด 3 ธ.ค. 54


  
 

MY STORY IS A LIE:: CHAPTER ELEVEN

อีกสองอาทิตย์จะถึงวันเกิดของเจนัวแล้ว!

และยังเป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่ฉันกับเขาไม่ได้ทะเลาะกันในช่วงระยะเวลานี้พอดีอีกด้วย ฉันก็เลยตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย(มั้งนะ) ในการที่จะหาซื้อของขวัญให้เขา

 

 

ก็แอบคิดไว้หลายอย่างเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ลงตัวสักที >___<

 

 

“ไม่ทราบว่าต้องการจะได้แบบไหนเหรอคะ ดิฉันจะได้แนะนำให้ คุณผู้ชายใส่เองหรือเปล่า?” พนักงานหญิงที่คอยเดินตามมายิ้มถาม

 

 

“เปล่าครับ จะซื้อไปเป็นของขวัญให้เพื่อน J” 

 

ลืมบอกไป =O=; ตอนนี้ฉันอยู่กับอีสเตอร์น่ะ ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละฉันยังเลือกหาของขวัญให้เจนัวไม่ได้ ก็เลยขอให้อีสเตอร์มาช่วยเลือกให้ ซึ่งสิ่งที่อีสเตอร์แนะนำคือนาฬิกา

 

 

“ฉันว่าเรือนนี้ก็สวยนะ” อีสเตอร์ชี้ไปที่นาฬิกาที่ถูกวางโชว์อยู่ในชั้นข้างหน้า

 

 

“เรือนนี้เหรอ?” ฉันกอดอกยืนมองนาฬิกาเรือนที่อีสเตอร์แนะนำให้ ก่อนจะไปสะดุดตาอยู่กับนาฬิกาอีกเรือนที่อยู่ข้างๆ กันแทน “แต่ฉันว่าเรือนนั้นเหมาะกับเจนัวมากกว่า”

 

 

Rolex Sea dweller ค่ะ เรือนนี้ราคาจะสูงนิดนึงนะคะ ส่วนอีกเรือนคือ Rolex Deepsea ค่ะ จะออกแนวสปอร์ตหน่อย  แต่ถ้าเป็นRolex Sea dweller จะใส่เข้ากับทุกชุดมากกว่าค่ะ”

 

 

 

“นายว่าซื้อเรือนไหนให้เขาดี?” ฉันหันไปถามอีสเตอร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ

 

 

“เลือกเรือนที่เธอคิดว่าเหมาะกับเจนัวแล้วเธอก็ชอบมันสิ  เพราะเรือนนั้นแหละ ดีที่สุด” เขาตอบ พร้อมกับยิ้มให้

 

 

และมันก็เป็นคำตอบที่ฉันเองก็ยิ้มด้วย

 

 

นั่นสินะ เลือกเรือนที่ฉันคิดว่าเหมาะกับเจนัวที่สุด แล้วฉันก็ชอบมัน

 

“งั้นเอาเรือนนี้ค่ะ J

 

 

ร้านอาหาร B>C

“ขอบใจนายมากๆ เลยนะ ถ้าไม่ได้นายฉันคงยังไม่ได้ของขวัญให้เขาแน่” ฉันพูดประโยคนี้เป็นรอบที่ร้อยล้านแล้วเห็นจะได้ อีสเตอร์ยิ้มรับนิดๆ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเบาๆ เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

 

 

“แน่ใจนะว่าจะเป็นเจ้ามือ ฉันกินจุนะ” อีสเตอร์ถามตอนที่พนักงานของร้านเดินเข้ามา

 

 

“แน่สิ” ฉันหัวเราะแล้วตอบกลับ

 

 

“งั้นก็จัดไป”

 

ทั้งๆ ที่บอกว่ากินจุ แต่อีสเตอร์กลับสั่งอาหารมาเพียงแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น แถมยังแต่ละอย่างก็เป็นอาหารพื้นๆ ไม่ได้แพงหูฉี่เหมือนอย่างที่ฉันคิดเลยด้วย พอฉันทำท่าจะถามเขาก็ตอบสั้นๆ ว่า

 

แค่นี้ก็พอแล้ว

 

แล้วอย่างนี้มันจะคุ้มกับที่ฉันทำให้เขาเสียเวลามากับฉันมั้ยเนี่ย???

 

 

“ตื่นเต้นเหรอ?” อีสเตอร์คงถามเพราะเห็นว่าฉันเอาแต่นั่งจ้องเจ้ากล่องของขวัญกล่องเล็กอย่างไม่วางตาระหว่างรออาหารกันอยู่

 

 

“ไม่รู้สิ คิดถึงตอนแรกๆ ที่คบกับเขาจัง ความรู้สึกเหมือนกับตอนนั้นเปี๊ยบเลย อยากรู้ว่าเขาจะชอบมันมั้ย? แล้วเขาจะทำหน้ายังไง? จะยิ้มหรือเปล่า? พอคิดแล้วใจฉันก็เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะเลย” ฉันยกมือขึ้นทาบอกข้างซ้ายของตัวเองราวกับผู้หญิงที่เพิ่งมีความรักครั้งแรก

 

ให้ตายสิ ...นี่ฉันจะเพ้อเกินไปแล้วนะ

 

ฉันกับเขาเราคบกันมาตั้งห้าปีแล้ว ใช่ว่าเพิ่งคบกันใหม่ๆ ซะเมื่อไหร่ เธอบ้าเกินไปแล้วจริงๆ น้ำขิง!

 

 

“น่าอิจฉาพวกเธอสองคนจัง”

 

 

“หะ?”

 

 

“ไม่มีอะไร :)”

 

 

“ไหนเมื่อกี้บอกว่าอิจฉาไง? ฉันได้ยินย่ะ - -

 

 

“หึ เธอกับเจนัวถึงจะทะเลาะกันบ่อย แต่ยังไงต่างฝ่ายก็ต่างรักกันมากขนาดนี้ ...ฉันว่าน่าอิจฉาดี” อีสเตอร์พูด

 

 

“งั้นเหรอ... ว่าแต่เรื่องของนายล่ะ ไม่เห็นเคยเล่าให้ฉันฟังเลย ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ? นายแอบชอบเธอใช่มั้ย? แล้วบอกเธอหรือยัง??”

 

 

“อือ แอบชอบแต่บอกไม่ได้” คนโดนถามตอบอย่างไม่ได้แสดงอาการเขินอายอะไรแต่ก็ยิ้ม คือฉันหมายถึงว่า เขายิ้ม แต่ไม่ได้ยิ้มเพราะเขินน่ะ

 

เอาง่ายๆ ว่าอีสเตอร์เป็นคนยิ้มพร่ำเพรื่ออยู่แล้วน่ะนะ 

 

“ยังไง ฉันไม่เข้าใจ ทำไมถึงบอกไม่ได้?”

 

 

“ก็... ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” อีสเตอร์เลี่ยงที่จะตอบคำถาม พร้อมๆ กับที่สายตาของเขาละจากใบหน้าของฉันมองออกไปนอกร้าน

 

 

“เดี๋ยวฉันมานะ” เขาพูดกับฉันทั้งๆ ที่สายตายังจ้องมองออกไปข้างนอก

 

 

“จะไปไหน”

 

ไม่ทันที่ฉันจะได้ถามอะไรมากกว่านี้ ร่างสูงก็ก้าวเท้ายาวๆ เดินออกไปแล้ว ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วย? หรือว่าเขาเห็นใคร?

 

 

เอ๊ะ... หรือว่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้น พอคิดได้แบบนี้ฉันเลยเรียกพนักงานมาเคลียร์เรื่องค่าอาหารที่ยังทำไม่เสร็จก่อนจะเดินตามเขาออกไป

 

 

ฉันยืนเคว้งอยู่หน้าร้านอาหารกลางห้างสรรพสินค้า พยายามมองหาอีสเตอร์แต่ก็ไม่เจอ ทำไมถึงเดินเร็วอย่างนี้นะ ฉันก้าวขาเดินออกมาพลางกวาดตามองไปรอบๆ  พยายามมองหาร่างสูงที่คุ้นตา ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเจอเขาที่กำลังยืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เพราะว่าฉันยืนอยู่ด้านหลังของเธอจึงทำให้ไม่ได้เห็นใบหน้าของอีกคนว่าเป็นใคร

 

 

แต่ดูจากรอยยิ้มที่ถูกแต้มลงบนใบหน้าของอีสเตอร์แล้วก็ทำให้ฉันเดาอะไรได้ไม่ยากเลย ...อีสเตอร์ต้องชอบผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ!

 

 

ฉันยืนมองทั้งสองคนอย่างเงียบๆ ไม่คิดที่จะเข้าไปก้าวก่าย แต่ไม่นานนักก็มีผู้ชายร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆ ผู้หญิงคนนั้น หล่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้าหล่อเหลายิ้มก่อนจะคว้ามือของเธอไปจับไว้ ในขณะที่รอยยิ้มบนใบหน้าของอีสเตอร์เริ่มจางลง ฉันร้อนรนทนไม่ได้เลยพยายามเดินเข้าไปใกล้เพราะอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร อีกอย่างฉันเริ่มรู้สึกคุ้นๆ หน้าผู้ชายที่เดินเข้ามาใหม่แล้วสิ เหมือนเคยเจอที่ไหนสักที่....

 

!!!!

 

 

นั่นสามีพี่วิหยานี่!

 

ฉันก้าวเท้าต่อไม่ออก เริ่มคิดอะไรฟุ้งซ่าน ถ้าผู้ชายคนนั่นคือสามีพี่วิหยา ...งั้นผู้หญิงคนนั้นก็ต้องเป็นพี่วิหยาน่ะสิ!!!

 

 

อีสเตอร์ชอบพี่วิหยางั้นเหรอ?! บ้าน่า จะเป็นไปได้ยังไง พี่วิหยาแต่งงานแล้วนะ แล้วที่ยืนอยู่นั่นก็สามีเธอด้วย!!

 

 

ฉันยืนงงสับสนกับตัวเอง พยายามไล่เรียงเรื่องราวที่รู้เกี่ยวกับสองคนนี้ อีสเตอร์กับพี่วิหยาเคยเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน แล้วนั่นมันก็ผ่านมาตั้งเจ็ดปีแล้วด้วย!! เพราะถ้าฉันจำไม่ผิดพี่วิหยาย้ายไปเรียนต่อมหาลัยที่ต่างประเทศ อีกอย่างถ้ามองแบบเผินๆ อีสเตอร์กับพี่วิหยาไม่ได้สนิทกัน เรื่องนั้นใครๆ ก็รู้ หรือว่าเขาแอบชอบเธอตั้งแต่ตอนนั้น? ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าชอบตั้งแต่ตอนนั้นก็คงบอกเธอไปนานแล้ว แต่นี่กลับปล่อยให้เวลาผ่านมาตั้งเจ็ดปีแล้วเธอก็แต่งงานไปแล้วเนี่ยนะ?!

 

 

จะว่าไป ฉันเจอกับพี่วิหยาครั้งสุดท้ายก็ตอนที่ไปร่วมงานแต่งงานของเธอเมื่อสองปีก่อน แล้วก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย ใช่ๆ วันนั้นทุกคนในกลุ่มพี่เหมไปกันทุกคน เจนัวก็ไป แต่ฉันไม่เห็นอีสเตอร์เพราะเขาไม่ได้ไป!

 

 

และถ้าเขาชอบพี่วิหยาจริงๆ ล่ะก็  เขาต้องตัดใจไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้วสิถึงจะถูก! หรือว่าเขาไม่รู้เรื่องที่เธอแต่งงานแล้ว? เอ๊ะ... หรือว่าเขารู้ตั้งนานแล้วแต่ไม่ยอมตัดใจกันแน่!?

 

 

ฉันงงไปหมดแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน???

 

 

ฉันตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปหาอีสเตอร์เป็นจังหวะเดียวกับทีสองคนนั้นเดินแยกออกไปพอดี ก่อนที่ร่างสูงจะเป็นฝ่ายชิงพูดก่อนที่ฉันจะทันได้รัวคำถามใส่

 

 

“เอาไว้เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง”

 

  

 

“คุณเจนัวประชุมอยู่ค่ะ คือดิฉันคิดว่า...”

 

 

“ไม่เป็นไร ฉันจะรอ เธอมีหน้าที่อะไรก็ไปทำสิ จะยืนจ้องหน้าฉันอีกนานมั้ย?” ฉันทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาที่วางอยู่ในห้องทำงานของเจนัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพนักงานที่เดินตามเข้ามา

 

 

“คุณน้ำขิงเจ็บข้อเท้าไม่ใช่เหรอคะ? ให้ดิฉันนวดให้นะคะ”

 

 

“ขอบใจ แต่ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก เธอออกไปทำงานของเธอเถอะ” 

 

 

“ถ้างั้นรออีกสักครู่นะคะ คุณเจนัวคงใกล้จะประชุมเสร็จแล้วล่ะคะ” เธอพูดแล้วเดินออกไป ฉันก้มมองดูรอยช้ำที่ข้อเท้าของตัวเองนึกอยากร้องไห้อีกสักครั้ง ฉันเดินตกบันไดมาน่ะ เจ็บเป็นบ้าเลย

 

 

ตอนนี้ฉันรู้เรื่องของอีสเตอร์แล้ว และยังสงสารเขาจนนึกเกลียดพี่วิหยาขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ...ก็แค่ไม่รักเขาเท่านั้นเอง แล้วในขณะที่อีสเตอร์เล่าเรื่องของเขากับพี่วิหยาให้ฉันฟังคุณจะเชื่อมั้ยถ้าฉันบอกว่าเขายังคงยิ้มออกมาทั้งๆ ที่เรื่องที่ตัวเองเล่ามันไม่น่ายิ้มเลยสักนิด... ตลอดเวลาที่เขาพูดถึงเธอความรู้สึกที่ถูกสื่อออกมามันแสดงให้เห็นถึงความรักที่มีมากจนเอ่อล้น

 

 

อีสเตอร์เล่าความเจ็บปวดของตัวเองให้ฉันฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มในขณะที่ฉันกลับนั่งฟังเขาเล่าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา..

 

 

เพราะงั้นตอนนี้ฉันถึงได้เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงอิจฉาฉันกับเจนัว และก็เพิ่งจะเข้าใจทุกคำพูดที่เขาต้องการจะบอกฉันมาโดยตลอด แต่ฉันก็มองข้ามมันทุกครั้งและปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเสมอ

 

 

ตอนนี้ที่ฉันมาหาเจนัวไม่ใช่เพราะต้องการจะต่อว่าที่เขาไม่เคยบอกเรื่องอีสเตอร์กับฉัน แต่เป็นเพราะพอหลังจากที่ได้ฟังอีสเตอร์เล่าเรื่องของตัวเองจบ ฉันอดคิดย้อนลองมองกลับมาดูเรื่องของฉันกับเจนัวไม่ได้ และสิ่งแรกที่ฉันอยากจะทำมากที่สุดในตอนนี้คงหนีไม่พ้นการกอดเขาแน่ๆ

 

ฟังดูฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่ดีมากๆ เลยใช่มั้ย..

 

 

แกรก~

 

 

เสียงประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับที่ร่างสูงของเขาก้าวเข้ามา เจนัวขมวดคิ้วชนกันหันมามองทางฉัน แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ถามอะไรฉันก็ลุกขึ้นเดินเซโผเข้าไปกอดร่างนั้นก่อนแล้ว

 

 

ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ น้ำตาของฉันก็ไหลออกมาเสียดื้อๆ เสียงสะอื้นเบาๆ ของฉันคงทำให้เจนัวแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะร่างสูงนั้นกลับกอดตอบฉันเบาๆ เหมือนต้องการจะปลอบ  ไม่นานเขาก็ผละออก

 

 

“เห็นพนักงานบอกว่าเธอเจ็บขอเท้า ไปทำอะไรมา” เขาถามพร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้ฉันอย่างเบามือ

 

 

“เดินตกบันได้ที่ร้านของอีสเตอร์ก่อนจะมาหานาย”

 

 

“ถ้าเจ็บจนถึงขั้นร้องไห้ ฉันว่าเธอควรไปหาหมอมากกว่ามานั่งรอฉัน” เจนัวว่าพลางช่วยพยุงฉันให้กลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม ก่อนที่ร่างสูงจะคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นแล้วจัดการถอดรองเท้าส้นสูงของฉันออกและช่วยดูข้อเท้าให้

 

 

“แต่ฉันอยากเจอหน้านายมากกว่า”

 

 

“มีอะไร”

 

 

“ฉันเพิ่งรู้เรื่องของอีสเตอร์กับพี่วิหยา”

 

 

“ที่ร้องไห้ก็เป็นเพราะเรื่องนั้นสินะ”

 

 

“อือ... ฉันสงสารเขา นายรู้มั้ยตอนที่เขาพูดถึงเธอให้ฉันฟัง เขายังยิ้มอยู่ตลอดทั้งๆ ที่มันไม่ได้มีเรื่องอะไรที่ทำให้ยิ้มออกได้ด้วยซ้ำ พอยิ่งเห็นแบบนั้นกลับเป็นฉันเองที่ร้องไห้ออกมาแทนเขา ทั้งๆ ที่เจ็บปวดขนาดนั้นแต่เขาก็ยังยิ้ม ฮึก... ทำไมเขาถึงทำแบบนั้นได้นะ” ฉันว่าพลางสะอึกไปด้วย น้ำตายังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย ในขณะที่เจนัวออกแรงนวดเบาๆ ให้ที่ข้อเท้า ร่างสูงไม่ได้พูดหรือตอบอะไร เขาปล่อยฉันให้ร้องไห้และพูดพล่ามอยู่คนเดียว

 

เขาก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งนั่นแหละ

 

 

“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะเลือกอีสเตอร์” ฉันพูด เจนัวชำเลืองตาขึ้นมองดูฉันก่อนจะพูดต่อ

 

 

“แล้วถ้าสมมุติว่าฉันคือคนที่เธอรักและเป็นผู้ชายที่เธอเลือกแต่งงานด้วย เธอยังจะเลือกไอ้อีสอยู่หรือเปล่า”

 

 

 “แต่ว่าเขารักฉันนี่” ฉันพูดเสียงอ่อย

 

 

“แต่เธอรักฉันและฉันก็รักเธอ แล้วเราก็แต่งงานกันแล้วด้วย”

 

 

“............”  ฉันยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง ไม่ตอบเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบเบ้จากใส่คนที่ตั้งคำถามไล่ฉันจนจนมุม

 

 

“แล้วถ้าฉันไม่ใช่พี่วิหยา แต่เป็นฉันที่อยู่กับนายตอนนี้ และนายก็เป็นนาย นายจะขอฉันแต่งงานมั้ยล่ะ?” ฉันถามคำถามที่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องของอีสเตอร์กับพี่วิหยาเลย หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอเริ่มเต้นไม่เหมือนเดิม นี่ฉันถามอะไรบ้าๆ ออกไปเนี่ย

 

 

แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าคำตอบของเขาจะเป็นยังไง

 

 

“แล้วเธอล่ะ อยากแต่งงานกับฉันหรือเปล่า?” ร่างสูงถามพร้อมกับลากสายตาขึ้นมาสบตากับฉัน มันเป็นคำถามที่ฉันไม่คิดว่าเขาจะถาม เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่าเขาน่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วนี่

 

 

“อยาก”

 

 

“เพราะอะไร”

 

 

“ฉันรักนาย”

 

 

“...........”

 

 

“แล้วนายล่ะ ตอบฉันได้หรือเปล่า”

 

 

คราวนี้เป็นเจนัวที่เงียบไป ร่างสูงหลบสายตาของฉันที่รอคำตอบแล้วก้มหน้าลงจัดการใส่รองเท้าให้ฉันเหมือนเดิม ฉันเห็นรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากของเขา รอยยิ้มที่เขาคงจะพอใจกับคำตอบของฉันที่ตอบไปก่อนหน้า

 

 

 ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมามองฉันเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ช้าไปแล้วเพราะฉันโน้มตัวลงไปกระกบริมฝีปากกับริมฝีปากของเขาเบาๆ แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็กลับเป็นฝ่ายถูกรุกแทน

 

 

...จูบนี้แทนคำตอบของเขาได้หรือเปล่านะ?










































Talk To U 

สวัสดีค่ะ :D หายไปนานกันพอสมควรเลย ก็นะ อัพช้ายังไม่พอ ก้อยยังชอบนอกเรื่องอีก เลยทำให้ช้าไปอีกหลายเท่าตัวเลย

สำหรับตอนนี้ยอมรับเลยว่าก้อยแต่งได้นอกลู่มากๆ แถมไม่พอ ยังออกแนวงงๆ อีกด้วย เอาไว้ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ก้อยจะกลับมาแก้ไขตอนนี้แน่นอน แล้วก็ตอนหน้าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหนานเฟยคงได้โผล่ออกมาอีกสักตอน ส่วนเจนัวค่าตัวนายแพงมาก สังเกตดูว่านิยายเรื่องนี้พระเอกโผล่มาน้อยฉากเหลือเกิน เอาไว้เจอกันอีกตอนดีกว่า = =

ป.ล. ความคืบหน้าของนิยายทุกเรื่องก้อยจะไปพูดที่หน้าเพจนะคะ ถ้าเกิดมีอะไรยังไง ก้อยก็คงแจ้งในนั้นเน้อ

 

ขอเวิ่นเว้อนิดๆ เมื่อวานเจ้ก้อยเพิ่งคลอดหลาน หน้าตาน่าชังมากๆ เลย ยังไม่ได้ตั้งชื่อแต่คิดว่าจะดึงชื่อนางเอกในเชตมายสตอรี่ไปสักเรื่อง 555+

 

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture