ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Chapter12 : ความจริง
Chapter 12 : ความจริง
เช้าวันนี้ดูท่าจะไม่สดใสเลยสำหรับน้องเล็กของบ้านอย่างเรียวอุก เพราะถึงเขาจะได้ไปเรียนตามปกติแต่ฮีชอลจะเป็นคนขับรถไปรับไปส่งและทุกการเคลื่อนไหวต้องรายงานให้ฮีชอลรู้ตลอด ถึงจะเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แต่เรียวอุกกลับรู้สึกไม่ต่างจากการถูกขังอยู่เลยซักนิด
ขณะที่เรียวอุกกำลังเดินตามฮีชอลไปที่รถนั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เบอร์ที่โชว์อยู่ทำเอาเรียวอุกมีสีหน้าเครียดขึ้นทันที
“ทำไมไม่รับ” ฮีชอลที่รำคาญเสียงโทรศัพท์ของเรียวอุกหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยน่าฟังนัก ทำเอาเรียวตีสีหน้าไปถูก เขาควรจะบอกฮีชอลใช่มั้ยว่าใครโทรมา
“เยซองโทรมาครับ”
“งั้นเหรอ ก็รับซะสิ” ยืนกอดอกบอกด้วยสีหน้าเรียบๆ เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าโจกรุ๊ปคิดจะทำอะไรอยู่
“สวัสดีครับ” ทำตามคำสั่งของฮีชอลด้วยการกดรับและกรอกเสียงลงไปเบาๆ
“เปิดลำโพง” ฮีชอลขยับปากบอกโดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เรียวอุกพยักหน้าเบาๆก่อนจะทำตาม
(วันนี้นายว่างไปทานข้าวกับพี่มั้ยแฮงอุน) เสียงของเยซองที่ตอบกลับมาทำเอาฮีชอลแสยะยิ้ม ส่วนเรียวอุกนั้นก็ได้แต่เหล่ไปมองพี่ชาย เพราะตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจอะไรทั้งนั้น
ฮีชอลพยักหน้าให้เหมือนเป็นการอนุญาต ก่อนจะกระตุกยิ้มเบาๆ
“ว่างครับ”
(งั้นเจอกันที่ร้านเดิม ตอนแปดโมงนะ แล้วพี่จะไปรอ) พูดจบเยซองก็วางสายไป
เรียวอุกเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าอย่างช้าๆ หันไปมองพี่ชายก่อนจะก้มหน้ามองพื้น ตอนนี้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก ฮีชอลคิดจะทำอะไรกันแน่นะ
“ต้องโดดเรียนอีกแล้วสินะวันนี้” ฮีชอลบอกยิ้มๆก่อนจะเดินนำไปที่รถและเหมือนว่าจะดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ต่างจากอีกคนอย่างสิ้นเชิง
เมื่อมาถึงที่นัดหมายเรียวอุกก็เดินเข้าไปหาเยซองในร้านอาหารส่วนฮีชอลนั้นรออยู่ที่รถ สีหน้าของเยซองนั้นดูเคร่งขรึมกว่าทุกๆครั้งที่เจอ ส่วนเรียวอุกก็ดูไม่ค่อยร่าเริงเหมือนทุกครั้งเช่นกัน
บนโต๊ะตอนนี้มีอาหารถูกเสิร์ฟไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งเยซองและเรียวอุกยิ้มให้กันก่อนเรียวอุกจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเยซอง
“พี่ชวนนายออกมาแบบนี้ไม่เสียเวลาเรียนนายแย่เหรอ” ถึงจะถามออกไปแบบนั้นแต่จริงๆแล้วเยซองก็ไม่ได้สนใจเรื่องการเรียนของคนตัวเล็กนี่มากนัก ในหัวของเขาตอนนี้กำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะให้อีทึกได้เห็นหน้าของคนๆนี้ได้ยังไง
“วันนี้ผมมีเรียนแต่ตอนบ่ายน่ะครับ” เรียวอุกตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ แน่นอนว่าที่เขาพูดนั้นโกหก ตอนนี้สมาธิของเขาส่วนใหญ่อยู่ที่ฮีชอลที่นั่งรออยู่ในรถมากกว่า เพราะไม่รู้ว่าฮีชอลแค่มาคุมเขาเพื่อความปลอดภัยเฉยๆหรือคิดจะทำอย่างอื่นอยู่หรือเปล่า
“กินเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นซะก่อน”
และแล้วอาหารมื้อนี้ก็ได้เริ่มขึ้นท่ามกลางความเงียบเพราะไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมาเลย ต่างฝ่ายต่างคิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง จนกระทั่งอาหารมื้อนี้จบลงด้วยเวลาไม่มากนัก และอาหารก็ดูเหมือนว่าจะพร่องไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“แล้ววันนี้แฮงอุนจะไปเที่ยวกับพี่ได้มั้ย” เยซองถามขึ้น เมื่อวานคนตัวเล็กปฏิเสธเขาไป หวังว่าวันนี้คงไม่ล้มเหลวเหมือนเมื่อวานอีก
“ไปเที่ยวเหรอครับ...เอ่อ...” ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถตัดสินใจได้เองแบบนี้ทำให้เรียวอุกเลือกคำตอบให้เยซองไม่ได้ เลยได้แต่อึกๆอักๆ จะถามฮีชอลตอนนี้ก็คงไม่ได้ซะด้วย
“ได้หรือเปล่า เมื่อวานก็ปฏิเสธพี่ไปครั้งหนึ่งแล้วนะ”
“เอ่อ...เอาเป็นว่าเดินไปแล้วค่อยคิดได้มั้ยครับ คือผมอยากชมบรรยากาศรอบๆร้านซักหน่อย” เป็นทางเดียวที่เรียวอุกคิดได้ในตอนนี้ เผื่อว่าฮีชอลที่ดูสถานการณ์อยู่จะช่วยอะไรเขาได้บ้าง
“เอางั้นก็ได้ครับ” เยซองยิ้มรับก่อนจะลุกขึ้นเดินพาคนตัวเล็กออกไปย่อยอาหารชมบรรยากาศรอบๆร้าน ซึ่งถือว่าดีทีเดียว
เยซองพาเรียวอุกเดินมาหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน ตรงนี้นั้นเป็นกรงนกขนาดใหญ่ด้านข้างมีสวนน้ำตกถูกจัดเอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นมุมที่สวยที่สุดของร้านที่มักมีคนมาถ่ายรูปอยู่เบาๆ
“ถ่ายรูปกันมั้ย” เยซองออกปากชวนเพราะนี่ถือเป็นโอกาสดีของเขาแล้ว
เรียวอุกที่ตอนแรกหันหลังให้หันกลับมาเพราะคำชวนของเยซอง และห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตรของเยซองก็มีฮีชอลยืนอยู่พร้อมรอยยิ้มแสยะที่เขาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก
ฮีชอลที่พยักหน้าให้เรียวอุกทำให้คนตัวเล็กพยักหน้ากลับ เยซองจึงเข้าใจว่าเรียวอุกตอบตกลงที่จะถ่ายรูปกับตนเองจึงก้มหน้าลงเพื่อหยิบกล้องที่อยู่ในกระเป๋า
“อยู่นิ่งๆซะถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่” วัตถุสีเงินที่จ่ออยู่ที่สีข้างทำให้เยซองหยุดทุกการกระทำในทันที ก่อนจะเอี้ยวใบหน้าไปมองบุคคลที่เอาปืนจ่อเขาอยู่
“เก็บกระเป๋ามันไปเรียวอุก” ฮีชอลออกปากสั่งเรียวอุกจึงรีบทำตามทันที จากนั้นฮีชอลจึงรวบข้อมือของเยซองไว้ด้านหลังด้วยมืออีกข้างที่ว่างอยู่
“อย่าคิดจะขัดขืนเพราะฉันไม่ทำแค่ขู่แน่” กระซิบเสียงเย็นข้างหูพร้อมกับกดปากกระบอกปืนให้กระทุ้งเข้าที่สีข้างของเยซอง
เรียวอุกนั้นได้แต่ยืนก้มหน้านิ่งไม่แม้จะพูดหรือขยับหากยังไม่ได้รับคำสั่งจากฮีชอล เยซองนั้นเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อข่มอารมณ์ตัวเองที่พลาดท่าเข้าจนได้ เพราะท่าทางที่ดูไม่มีพิษมีภัยของคนตัวเล็กนี่ทำให้เขาไม่คิดระแวงอะไร จนลืมนึกไปว่าคนตรงหน้านี่คือศัตรู
“เรียวอุกเดินนำไปที่รถ ส่วนแกก็เดินตามไปดีๆ อย่าคิดที่จะหนี” ฮีชอลออกคำสั่งอีกครั้ง เรียวอุกจึงเดินเดินหน้าทั้งสองคนไป ฮีชอลปล่อยข้อมือเยซองแต่ปืนยังคงจ่ออยู่ไม่ห่างพร้อมกับใช้ปืนดันให้เยซองเดินตามคนตัวเล็กไป
เมื่อมาถึงที่รถฮีชอลจัดการผลักเยซองไปที่เบาะหลังก่อนจะมัดเอาไว้ จากนั้นจึงไปส่งเรียวอุกที่มหาวิทยาลัยก่อนจะวนกลับไปที่บ้าน แค่นี้ก็เท่ากับว่าตัวปัญหาหมดไปหนึ่ง เขาคงไม่ต้องตามติดเรียวอุกอีกต่อไป สู้ไปเล่นสนุกกับคนของโจกรุ๊ปจะดีกว่า
“ทงแฮดูนายเหม่อๆนะเป็นอะไรหรือเปล่า” ท่าทางที่ดูเหมือนสติสตางค์ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวของทงแฮนั้นทำเอาอึนฮยอกอดที่จะถามไม่ได้ ตั้งแต่ออกมาจากห้องจนมาถึงลานจอดรถทงแฮที่ทำหน้าเหม่อลอยตลอด
“เปล่าหรอก คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” ส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมกับยิ้มให้เพื่อนรัก
แต่เรื่องที่ทงแฮคิดนั้นมันไม่ใช่เรื่องเรื่อยเปื่อยเลยซักนิด เพราะมันทำให้เขาแทบจะไม่มีสมาธิทำอะไรเลย เรื่องที่คิบอมสารภาพว่าชอบเขาและขอคบเมื่อวาน แต่ก็ทำได้แค่การเลี่ยงที่จะตอบ ไม่กล้าปฏิเสธและไม่แน่ใจที่จะตอบตกลง จนตอนนี้เขาก็ยังหาคำตอบไม่ได้ คนดีๆอย่างคิบอมนั้นคบไปก็ไม่เสียหายถึงตอนนี้จะไม่ถึงขั้นชอบหรือรักแต่อนาคตมันก็พัฒนาได้อยู่แล้ว แต่ฐานะเขาในตอนนี้ไม่ควรจะคบใครจริงๆ
“ฉันเห็นเรื่องเรื่อยเปื่อยนายทีไรเป็นเรื่องใหญ่ทุกที มีอะไรบอกฉันก็ได้นะ” ถึงใบหน้าของอึนฮยอกนั้นจะดูเรียบเฉย แต่ทงแฮก็ดูรู้ว่าเพื่อนคนนี้เป็นห่วงเขามากขนาดไหน
“คือว่าฉันอยากกลับมกโพน่ะ” ทงแฮบอกออกมาเสียงเบา หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับไปที่นั่น บ้านเกิดของเขา เขาจะรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้นึกถึงหรือกลับไปที่นั่น แต่เพราะงานทำให้เขาไม่มีเวลาว่าง
“อยากกลับก็กลับไปสิ” อึนฮยอกบอกก่อนจะเปิดประตูรถออก ทงแฮเป็นคนอ่อนไหวอะไรนิดหน่อยมากระทบก็จะรู้สึกแย่ทันที แม้กระทั่งเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าทงแฮจะสามารถเป็นมือปืนได้ แต่การที่ชีวิตของทงแฮผ่านอะไรมามากมายคงทำให้เพื่อนคนนี้เข้มแข็งขึ้นมาก เพราะฉะนั้นเขาเลยอยากให้ทงแฮพักบ้างเช่นกัน
“กลับได้ที่ไหนกันล่ะนายก็รู้ ตอนนี้โจกรุ๊ปกำลังโดนเล่นงานอยู่ สถานการณ์แบบนี้จะให้ฉันไปได้ยังไง”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า โจกรุ๊ปยังมีคนมีฝีมืออีกเยอะแยะ นายทำหน้าที่ของนายได้สมบูรณ์แบบแล้ว และตอนนี้นายก็ได้เวลาที่จะพักบ้างแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้านายอยากจะกลับก็ไปเถอะ แล้วฉันจะบอกพี่อีทึกให้เอง” ตบบ่าเพื่อนรักเบาๆก่อนจะขึ้นรถและขับออกไปทันทีเพื่อไม่ให้ทงแฮแย้งอะไรออกมาอีก
“ดะ...เดี๋ยวสิอึนฮยอก!” ร้องเรียกไปก็ไม่ทันเสียแล้วตอนนี้ ทงแฮเลยได้แต่ถอนหายใจออกมาแรงๆ
“ถ้านายอยากให้ฉันพัก ฉันก็จะพัก” พูดขึ้นกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับยิ้มบางๆ บางทีช่วงนี้การหลบไปอยู่ที่สงบๆ มันก็คงจะดีกว่า ถึงแม้จะยังห่วงทางนี้อยู่ก็ตาม
จบลงแล้วสำหรับการเรียนที่หนักหน่วงของวันนี้ คยูฮยอนถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายเมื่อคิดว่าต้องกลับไปอยู่ในการดูแลของการ์ดที่อีทึกสั่งให้มาคุ้มกันเขาอีกครั้ง ยังโชคดีที่อีทึกไม่สั่งให้เข้ามานั่งเรียนกับเขาด้วย ไม่งั้นคงอึดอัดตายแน่
ของทุกอย่างถูกเก็บลงกระเป๋าอย่างไม่เร่งรีบนัก ก่อนที่คยูฮยอนจะลุกขึ้นและเดินออกจากห้องอย่างเชื่องช้า แต่เพียงก้าวเดินที่พ้นเขตประตูห้องออกมาเจ้าโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าก็ร้องลั่น เบอร์ที่โชว์อยู่นั้นทำให้คยูฮยอนรู้สึกดีใจปนสงสัยไปพร้อมๆกัน
“สวัสดีครับพี่ซองมิน....ได้ครับ....แล้วผมจะไปหานะครับ....แล้วเจอกันครับ” บทสนทนาสั้นๆจบลงพร้อมกับใบหน้าครุ่นคิดของคยูฮยอน ซองมินโทรมาชวนเขาออกไปเที่ยวด้วยกัน งานนี้เขาคงต้องหนีการ์ดออกไปซึ่งแน่นอนว่าเอารถไปด้วยไม่ได้ เขาไม่คิดจะขัดคำสั่งของอีทึกแต่เพียงแค่อยากรู้ว่าอีทึกมีเหตุผลอะไรที่ต้องสั่งห้ามเข้าใกล้ซองมินแบบนั้น
พอได้เวลาเลิกเรียนการ์ดของคยูฮยอนจะมารออยู่ที่ทางลงอาคารเป็นประจำทุกวัน เพราะงั้นทางจะหนีออกไปได้นั้นยากมากนอกจากจะกระโดดหนีออกทางหน้าต่างซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว คยูฮยอนใช้ความคิดอยู่ซักพัก ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนร่วมห้องเพื่อขอความช่วยเหลือ
“นายช่วยไปบอกผู้ชายตัวใหญ่สองคนที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าอาคารให้ทีนะว่าตอนนี้ฉันไม่สบายนอนอยู่ห้องพยาบาลให้รีบไปดูด่วน”
“ผู้ชายชุดดำนั่นใช่มั้ย” เพื่อนของคยูฮยอนชี้ไปที่การ์ดซึ่งยืนทำหน้าเคร่งอยู่ นักศึกษาส่วนใหญที่นี่ชินเสียแล้วกับการมีชายชุดดำร่างใหญ่เดินวนเวียนอยู่ภายในมหาวิทยาลัย
“ใช่ ขอบใจมากนะ” พยักหน้าตอบก่อนจะเอ่ยคำขอบคุณและยืนรอดูผลงานของเพื่อนที่ขอความร่วมมือไป และเพียงแค่เพื่อนของเขาพูดจบประโยคเท่านั้นการ์ดร่างใหญ่ของคยูฮยอนทั้งสองคนก็รีบวิ่งไปจากตรงนั้นทันที
“ขอบใจมากกวางฮี พรุ่งนี้เจอกัน” คยูฮยอนวิ่งสวนเพื่อนร่วมห้องออกไปก่อนจะวิ่งตรงไปที่หน้ามหาวิทยาลัยโบกแท็กซี่เพื่อไปยังมหาวิทยาลัยศิลปะโซลทันที การหนีการ์ดครั้งแรกสำเร็จ
ในเวลาไม่นานนักก็มาถึงหน้ามหาวิทยาลัยซึ่งซองมินก็ยืนรออยู่แล้ว
“พี่ซองมิน ขึ้นมาเลยครับ” คยูฮยอนเปิดประตูรถแท็กซี่ออกพร้อมกับเรียกซองมินให้มาขึ้นรถ ดูหน้าแล้วซองมินคงแปลกใจไม่น้อยเลยที่เห็นเขาขึ้นรถแท็กซี่มาแบบนี้
“ทำไมมารถแท็กซี่ล่ะ” เมื่อขึ้นรถมาได้ซองมินก็เอ่ยถามทันที
“พอดีว่าวันนี้รถผมเสียน่ะครับ แบบว่ามันกะทันหัน” คยูฮยอนคิดข้อแก้ตัวได้เพียงเท่านี้ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ซองมินเชื่อเท่าไหร่นัก แต่จะให้บอกว่าแอบหนีการ์ดออกมามันก็ยังไงอยู่ เขาไม่อยากซองมินรู้สึกว่าเขาตกอยู่ในอันตรายถึงขนาดต้องมีการ์ดมาคอยตามอยู่ตลอดเวลา
“แบบนี้ก็แย่สิ พี่ทำให้นายลำบากหรือเปล่าเนี่ย” บอกกลับด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนักเหมือนคนที่กำลังรู้สึกผิด
“ไม่หรอกครับ ไปแท็กซี่ก็สะดวกดีนะครับ ว่ามั้ย แถมไม่ต้องขับเองด้วย ว่าแต่เราจะไปไหนกันดี” ตอบกลับด้วยรอยยิ้มทำให้ซองมินต้องยิ้มตามไปด้วย
“ไปดูหนังกันมั้ย ช่วงนี้มีหนังเข้าใหม่หลายเรื่องเลย”
“ครับ” พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม นานแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้ออกมาเที่ยวแบบนี้ คงจะเป็นตั้งแต่ที่เริ่มเรียนมหาวิทยาลัยเพราะเขาต้องคอยช่วยงานที่บริษัทตลอดจนไม่มีเวลาว่างเลย จนบางที่เขาก็คิดอยากจะเป็นแบบซีวอนเหมือนกัน
การตัดสินใจในการเลือกเรื่องที่จะดูนั้นเป็นของซองมินซึ่งคยูฮยอนยอมตามใจเต็มที่ หลังจากเลือกได้แล้วกว่าหนังจะฉายก็อีกเกือบๆหนึ่งชั่วโมง ทั้งสองเลยใช้เวลาว่างในการเดินดูของที่ขายอยู่ชั้นล่างของโรงหนัง ซึ่งมีร้านขายของชำร่วย เสื้อผ้า กิ๊บช็อป และอื่นๆอีกหลายอย่าง
“นายว่าสวยมั้ย” ในขณะที่กำลังเดินดูนู้นนี้ไปเรื่อยเปื่อยซองมินก็หยิบนาฬิกาเรือนหนึ่งขึ้นมา มันเป็นนาฬิกาเรียบๆธรรมดา แต่ก็ดูหรูมากทีเดียว หน้าปัดล้อมด้วยคริสตัล สายเป็นหนังสีเทา ดูเรียบแต่หรู
“ครับ สวยดี พี่ชอบเหรอ” คยูฮยอนถามก่อนจะยกยิ้มเมื่อเห็นซองมินจับนาฬิกาเรือนนี้หมุนดูซ้ายขวาไม่ยอมวางซักที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชอบแน่ๆ
“พี่ว่ามันสวยดีน่ะ” พูดจบก็วางมันลงไว้ที่เดิมและเดินไปดูของที่ร้านอื่น
คยูฮยอนมองตามซองมินไปก่อนจะหันกลับมามองที่นาฬิกาเรือนนี้อีกครั้ง ถ้าซื้อให้แล้วซองมินจะดีใจมั้ยนะ
“ผมขอเรือนนี้นะครับ” คยูฮยอนชี้ไปที่นาฬิกาเรือนที่ซองมินหยิบมันขึ้นมาดูเมื่อกี้นี้ ถือซะว่าเป็นของขวัญที่ได้เจอกันหลังจากที่ห่างกันมาหลายปีก็แล้วกัน
เมื่อได้ของมาแล้วคยูฮยอนก็เก็บมันเอาไว้ในกระเป๋า เพื่อเอาไว้เซอร์ไพร์ซองมินทีหลัง เขาอยากเห็นหน้าซองมินตอนดีใจคงจะดูดีไม่น้อยเลย
ตลอดเวลาที่เดินดูของด้วยกันนั้นคยูฮยอนคอยจับตาดูพฤติกรรมของซองมินตลอด แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่นิด ทั้งการพูด ทั้งท่าทางดูเป็นธรรมชาติและเหมือนตอนเด็กๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันไม่มีผิดเพี้ยน ถึงเวลาเหล่านั้นมันจะไม่ได้มากมายอะไรและก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังจำมันได้ขึ้นใจ
อีกเพียงไม่ถึงสิบนาทีก็จะได้เวลาที่หนังจะฉายทั้งสองคนจึงกลับขึ้นมาที่โรงหนัง ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของคยูฮยอนก็ดังขึ้น เจ้าตัวจึงต้องปลีกตัวออกมาคุย
(คยู! ตอนนี้นายอยู่ไหน) เพียงแค่กดรับเท่านั้นปลายสายก็ตวาดกลับมาทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้คนที่โทรมาอยู่ในอารมณ์ไหน
“โรงหนังครับ” คยูฮยอนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่ได้หวั่นกลัวกับน้ำแสดงที่แสดงถึงความโมโหของพี่ชายคนสวยเลยแม้แต่น้อย การ์ดคงจะไปบอกแล้วสินะว่าหาตัวเขาไม่เจอ
(ไปกับใคร) อีทึกยังคงใช้น้ำเสียงในระดับเดิม เขาโมโหที่คยูฮยอนหนีการ์ดออกไปไหนคนเดียว ไม่เข้าใจเลยว่าคยูฮยอนกลายเป็นเด็กดื้อแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“พี่ซองมินครับ”
(ซองมินงั้นเหรอ! พี่สั่งห้ามไม่ให้นายเข้าใกล้เค้า นายไม่เข้าใจหรือไง!”) เมื่อรู้ว่าตอนนี้คยูฮยอนอยู่กลับใครก็ยิ่งเพิ่มความโกรธให้อีทึกเข้าไปอีก หนีไปไม่พอยังไปอยู่คนกับที่เขาสั่งห้ามอีก
“ไม่เข้าใจครับ ผมไม่เข้าใจเหตุผลที่พี่สั่งแบบนั้น” คยูฮยอนเองก็เริ่มจะรู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง จะมาสั่งหรือบังคับเขาอย่างน้อยก็ควรบอกเหตุผลให้รู้กันบ้าง
(โจคยูฮยอน!) อีทึกตะคอกกลับมาด้วยความโกรธอย่างที่สุด เขาไม่เคยนึกเลยว่าคยูฮยอนจะดื้อกับเขาได้ถึงขนาดนี้ ความเป็นห่วงของเขาคยูฮยอนไม่เคยรับรู้เลยหรือไง
“ครับ นั่นชื่อผม ถ้าพี่ไม่มีอะไรแล้วแค่นี้นะครับ และถ้าอยากจะให้ผมทำตามก็ขอเหตุผลที่มันเข้าท่าด้วยนะครับ” พูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที ที่ผ่านมาคยูฮยอนไม่เคยทำกริยาก้าวร้าวแบบนี้กับใครมาก่อน และอีทึกเองก็ไม่เคยตะคอกใส่เขาแบบนี้เช่นกัน เขาเองก็ไม่ได้ต่างจากเด็กเก็บกดนัก ไม่สามารถเที่ยวได้เหมือนเด็กรุ่นเดียวกัน ต้องทำงานตั้งแต่อายุเพียงสิบแปดโดยมีคนมากมายที่ต้องปกครอง ถ้าโดนคนรอบข้างกระตุ้นมากๆเขาอาจจะระเบิดเข้าซักวันก็ได้
ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงหนังกว่าสองชั่วโมงคยูฮยอนไม่ได้สนใจสิ่งที่ฉายอยู่ตรงหน้าเท่าไหร่นัก เพราะอีทึกเอาแต่โทรจิกจนเขาต้องปิดเครื่องไป ซองมินเองก็สังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้ทักอะไรออกมา จนกระทั่งหนังจบคยูฮยอนก็อาสาจะไปส่งซองมินที่บ้านแต่กลับโดนปฏิเสธไป
“อย่าลำบากเลย นายไม่ได้เอารถมานี่” ซองมินบอกด้วยสีหน้าเกรงใจ พลางมองหาแท็กซี่เพื่อจะโดยสารกลับบ้าน
ตอนนี้ทั้งสองคนนั้นยืนอยู่หน้าโรงหนัง เวลาตอนนี้เกือบสองทุ่มแล้ว ท้องฟ้าตอนนี้มืดสนิท ไฟตามท้องถนนถูกเปิดเป็นแนวยาวเพื่อให้ความสว่างไสว ผู้คนที่ชอบเที่ยวในยามค่ำคืนแบบนี้ก็เริ่มเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ
“ก็ได้ครับ” คยูฮยอนยิ้มรับ ยอมตามใจซองมินไม่ดื้อดึงไม่ส่งเพราะตัวเขาเองนั้นก็ไม่สะดวกอย่างที่ว่าจริงๆ อีกอย่างที่บ้านเขาตอนนี้คงวุ่นวายกันน่าดู กลับไปไม่รู้จะโดนอะไรบ้าง
“งั้นพี่ไปก่อนนะ” บอกก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถแท็กซี่ที่โบกมาจอกเมื่อซักครู่นี้ ถ้าไม่ติดว่าคยูฮยอนรั้งข้อมือเอาไว้ซะก่อน
“พี่ซองมินครับ” มือข้างหนึ่งรั้งข้อมือเล็กไว้ส่วนมืออีกข้างก็หยิบถุงพลาสติกที่บรรจุกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆออกมาจากกระเป๋าก่อนจะยื่นไปให้คนตรงหน้า
“อะไรน่ะ” มองของที่อยู่ในมือกับหน้าของคยูฮยอนสลับกันไปมาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ของขวัญจากผม....กลับบ้านดีๆนะครับ” ยื่นของไปตรงหน้าซองมินอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายรับแล้วเรียบร้อยก็ทำการดันหลังให้เดินไปที่รถ เปิดประตูดันให้เข้าไปในรถบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับและปิดประตูให้เรียบร้อย
เมื่อส่งซองมินกลับบ้านแล้วคยูฮยอนก็เอาแต่ยืนยิ้มอยู่กับตัวเอง ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยซื้อของขวัญให้ใครมาก่อน เพราะปกติจะเป็นแต่ฝ่ายรับเท่านั้น เลยรู้สึกว่าทำอะไรไม่ค่อยถูก จากที่คาดว่าอยากจะได้เห็นรอยยิ้มของซองมิน เขากลับลนลานรีบให้ซองมินกลับไปหลังจากให้ของเสร็จ
“หวังว่าพี่จะรักษามันอย่างดีนะครับ” พูดขึ้นกับตัวเองเบาๆก่อนจะเรียกแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน และจากใบหน้าที่ดูมีความสุขเมื่อกี้นี้ก็เปลี่ยนไปในทันทีเมื่อนึกถึงบุคคลที่ต้องกลับไปเผชิญหน้า ขัดคำสั่งแถมก้าวร้าว อีทึกต้องแจ้งเรื่องนี้ให้พ่อเขารู้เป็นแน่
“คิดไว้ไม่ผิดจริงๆว่านายต้องซื้อมัน” กล่องสี่เหลี่ยมที่บรรจุนาฬิกาเรือนสวยไว้ดานในถูกเปิดออก ซองมินหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะพึมพำขึ้นกับตัวเอง ตอนที่ดูนาฬิกาเรือนนี้เขาจงใจพูดออกไปแบบนั้น แต่นั้นก็เพราะเขาชอบมันจริงๆ และคิดว่าคยูฮยอนต้องซื้อมันให้แน่ๆ
“ถ้าไม่ติดว่านายเป็นลูกของมันฉันคงหลงรักนายไปแล้วคยูฮยอน” มองดูนาฬิกาเรือนนี้อีกครั้งก่อนจะเก็บมันไว้ที่เดิม ไม่แปลกเลยจริงๆที่ใครต่อใครก็หลงรักคนๆนี้
การเดินทางสิ้นสุดลงแล้ว คยูฮยอนก้าวลงมาจากรถยืนมองบ้านหลังใหญ่โตที่เขาอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็ก การ์ดร่างใหญ่สองคนที่เขาคุ้มกันเขามาตลอดหลายวันรีบวิ่งเขามาหาทันทีเมื่อเห็นเขายืนอยู่ ประตูรั้วๆค่อยๆเลื่อนเปิดออกทีละน้อย คยูฮยอนเดินตรงเข้าไปภายในโดยไม่สนใจการ์ดที่วิ่งเข้ามาซักถามด้วยความเป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย
“กลับมาได้แล้วเหรอ!” ฮยอนจินเค้นถามเสียงต่ำเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กของตนเดินเข้ามาภายในห้องรับแขก
คยูฮยอนไม่ได้ตอบอะไรกลับไปยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น สายตานิ่งเรียบกวาดมองไปรอบห้อง ในที่นี่มีเพียงพ่อ อีทึกและอึนฮยอกอยู่เท่านั้น
“ทำไมแกถึงขัดคำสั่งของอีทึก!! แกคิดจะทำอะไรถึงได้ไปกับซองมินแบบนั้น!!” ฮยอนจินลุกขึ้นจากที่นั่งถลาเข้ามาหาคยูฮยอน เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกคว้าคอเข้ามากระชากถามด้วยอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วพ่อคิดอะไรอยู่ล่ะครับถึงได้สั่งห้ามผม” ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนใดๆเลยแม้แต่น้อย แต่สายตาที่ไม่อยู่ในโอวาทของคยูฮยอนนั้นยิ่งเพิ่มอารมณ์โกรธของฮยอนจินเข้าไปอีก
“โจคยูฮยอน!!!” ตะคอกใส่หน้าลูกชายเสียงดังลั่นจนอีทึกกับอึนฮยอกต้องเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน เพราะถ้าขืนปล่อยให้ฮยอนจินทำอยู่แบบนี้อาการป่วยอาจจะทรุดเอาก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าคยูฮยอนจะไม่ได้ทำอะไรรุนแรงโต้ตอบกลับมาก็ตาม
“พอเถอะครับ ผมว่าคุยกันดีๆ จะดีกว่านะครับ” อีทึกพยุงฮยอนจินให้กลับมานั่งลงที่เดิม ส่วนอึนฮยอกก็พาคยูฮยอนไปนั่งอยู่อีกฝั่งของโซฟา
“เอาล่ะคยู ถ้านายอยากรู้เหตุผลที่พี่สั่งออกไปแบบนั้น นายกับอึนฮยอกก็จะได้รู้พร้อมกันตอนนี้” พูดจบอีทึกก็เปิดโน้ตบุ๊กพร้อมกับหยิบเอกสารทุกอย่างออกมา รวมไปถึงเหรียญและมีดที่สลักรูปตัว L ไว้ด้วย
“เหรียญกับมีดนี่ครอบครัวลีเป็นคนสั่งทำ และเหรียญนี้พี่เก็บมันได้ตอนที่นายพาซองมินมาที่บ่อน มันตกอยู่ตรงที่ที่ซองมินนั่งอยู่พอดี” อีทึกวางเหรียญอีกเหรียญไว้บนโต๊ะก่อนจะเริ่มเล่าต่อ
“และเยซองก็มาบอกกับพี่ว่าเขารู้จักคนชื่อมุนอาซึ่งจริงๆแล้วคนๆนั้นคือซองมิน โดยรู้จักผ่านเด็กที่ชื่อแฮงอุนแต่คิดว่าน่าจะเป็นชื่อปลอมที่ถูกตั้งขึ้นมา ตอนนี้พี่ให้เยซองไปสืบเรื่องของเด็กคนนี้อยู่แต่ยังไม่ได้อะไรกลับมา ส่วนผู้ชายคนนี้ชื่อคิมคิบอมคาดว่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับครอบครัวลี”รูปที่เยซองถ่ายได้ถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ คยูฮยอนหยิบรูปพวกนั้นขึ้นมาดูแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น
“พี่พูดเรื่องอะไรของพี่ครับ พี่จะบอกว่าเรื่องการลอบทำร้ายคนของเราเป็นฝีมือของซองมินงั้นเหรอ” ทิ้งรูปที่ดูอยู่ลงที่เดิมก่อนจะถามพี่ชายเสียงเครียด
“อย่างที่นายเข้าใจนั่นแหละคยู คนที่เราตามหากันมานานที่แท้ก็อยู่ใกล้ตัวเราแค่นี้ ทุกๆครั้งเป็นฝีมือของครอบครัวลี พี่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงมือบ้าง แต่หนึ่งในนั้นคือซองมิน และที่เขาเข้ามาตีสนิทกับนายแบบนี้ มันไม่ปลอดภัยสำหรับนาย”
“พี่จะให้ผมเชื่องั้นเหรอ แล้วเหตุจูงใจล่ะครับ มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำกันถึงขนาดนี้” คยูฮยอนยังคงไม่เชื่อกับสิ่งที่ตนเองได้ยิน ถึงหลักฐานจะมากองอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม ทั้งใบสัญญาจ้างทำเหรียญกับมีด รวมไปถึงรูปและประวัติ ส่วนอึนฮยอกนั้นก็ได้แต่นั่งฟังอยู่เงียบๆ
“นายคงรู้ว่าครอบครัวลีหายไปเมื่อห้าปีก่อน แต่ที่นายไม่รู้คือลีซองวอนพ่อของซองมินนั้นโดนยิงตาย” อีทึกเว้นจังหวะในการพูดหันไปมองฮยอนจิน เพราะเขาคิดว่าให้เจ้าตัวพูดออกมาเองน่าจะดีกว่า
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะครับ” เมื่อมีช่องว่างคยูฮยอนก็แย้งขึ้นทันที ความจริงแบบนี้เขารับมันไม่ได้หรอก
“เพราะสาเหตุที่ทำให้ซองวอนตายคือฉันเอง” ฮยอนจินโผล่งขึ้นมาเมื่อคยูฮยอนพูดจบทำเอาคนที่หุนหันถามออกมาเมื่อกี้เงียบไปในทันที
“พ่อว่าไงนะครับ” ถามกลับออกมาเสียงเบา พ่อของเขาเป็นคนทำให้พ่อของซองมินตายอย่างนั้นเหรอ
“ฟังไม่ผิดหรอกคยูฮยอน พ่อเป็นต้นเหตุที่ทำให้ซองวอนตาย ทั้งที่เป็นเพื่อนสนิทกันแต่พ่อกลับช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เพราะความกลัวและความรู้สึกผิดทำให้พ่อไม่กล้ากลับไปสู้หน้าครอบครัวลี ไม่แปลกที่เขาจะกลับมาทำกับเราแบบนี้” ฮยอนจินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมากทีเดียว ถึงเรื่องราวมันจะผ่านมานานเท่าไหร่จะความรู้สึกผิดมันก็ยังไม่เคยจางหายไป
มาถึงตอนนี้ทั้งห้องก็เงียบกริบ คยูฮยอนดูเหมือนจะเป็นคนที่ช็อคที่สุดเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด ทั้งเรื่องซองมินที่กลับกลายเป็นผู้ร้าย และพ่อของเขาที่กลายเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่องบ้าๆแบบนี้ขึ้น
“ตอนนี้ฉันจะไม่สั่งให้พวกเรากลับไปโจมตีครอบครัวลีกลับหรอกนะ แต่ถ้าครอบครัวลีมีการลงมืออีกเมื่อไหร่ ให้เราโต้กลับทันที”
kr...Talk
อ๊ากก!!! และแล้วกี้ของเราก็รู้ความจริงซะแล้ว
คราวนี้กี้กับมินจะเจอกันงัยเนี่ย
เรื่องราวชักเจ็มจ้นมากขึ้นแล้ว
สำหรับเม้นที่เดาว่าอุกกี้โดนจับ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะจ๊ะ
ถ้าตอบถูกไรเตอร์กะจะหาของรางวัลให้ซะหน่อย
ถ้าคิมฮีเราได้ออกโรงละก็ ได้โปรดอย่าคิดว่าเรื่องนี้จะมีความโชคดีและปราณีเลย(โหดไปไหม)
แล้วเค้าจะจับพี่เย่ไปทำอะไรกัน ข่มขืนเหรอ?
ฝั่งด๊องคงยังค้นหาคำตอบของใจตัวเองไม่ได้ เลยต้องหนีไปที่อื่นเลย
ความจริงไรเตอร์มีจุดประสงค์
โฮะๆๆ ฮยอกของไรเตอร์โหดได้ใจมาก เข้ากับหน้าตาปัจจุบันของฮยอกจริงๆ
ไปยิงเค้า แล้วตัวเองล่ะจะโดนอะไร ดูตื่นเต้นไปหมดจริงๆ
เจอกันครั้งหน้าดีกว่า
ห้ามลืม อ่าน+เม้น+โหวต+ป่าวประกาศ
ความคิดเห็น