ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามโลกและยุโรป(ประวัติศาสตร์)

    ลำดับตอนที่ #13 : 01__สถาปัตยกรรมคลาสสิคคลาสสิค

    • อัปเดตล่าสุด 17 มี.ค. 54


    สถาปัตยกรรมคลาสสิค

     

    สถาปัตยกรรมกรีกโบราณ

     

      

    Stoa of Attalus ที่ได้รับการบูรณะที่เอเธนส์

     

     

    สถาปัตยกรรมกรีกโบราณ (อังกฤษ: Architecture of ancient Greece) เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่สูญหายไปจากกรีซมาตั้งแต่ปลายสมัยเฮลลาดิค (Helladic period) หรือสมัยไมซีเนียน (ราว 1200 ก่อนคริสต์ศักราช) มาจนกระทั่งราว 700 ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อชาวโรมันมีความมั่งคั่งและฟื้นตัวขึ้นจนถึงจุดที่เริ่มมีการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสำหรับสาธารณชนขึ้นได้อีก แต่ในเมื่อสิ่งก่อสร้างของกรีกหลายแห่งในสมัยอาณานิคม (800-600 ก่อนคริสต์ศักราช) สร้างด้วยไม้หรือ อิฐดินเหนียว หรือ ดินเหนียว จึงทำให้ไม่มีที่ใดที่ยังเหลือหรอให้ได้เห็น นอกจากแผนผังบนพื้นอยู่สองสามแห่ง และไม่มีหลักฐานทางลายลักษณ์อักษรที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมสมัยแรกหรือคำบรรยายเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ที่ยังคงอยู่

     

    วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโดยทั่วไปจะเป็นไม้ ที่ใช้ในการรองรับคานที่รับหลังคา, พลาสเตอร์สำหรับอ่างและอ่างอาบน้ำ, อิฐดิบสำหรับก่อผนังโดยเฉพาะสำหรับบ้านเรือนที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล, หินปูน และ หินอ่อน ในการก่อสร้างเสา, กำแพง หรือตอนบนของเทวสถาน หรือ ตึกที่ทำการสาธารณะ, “เครื่องดินเผาสีหม้อใหม่[1]ที่ใช้เป็นกระเบื้องปูหลังคาและเครื่องตกแต่ง และโลหะโดยเฉพาะสัมริดที่ใช้ในการตกแต่งรายละเอียด สถาปนิกใช้วัสดุดังกล่าวในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างอย่างง่ายๆ ห้าประเภท: ศาสนสถาน, ที่ทำการราชการ, ที่อยู่อาศัย, ที่เก็บศพ และ สถานที่เพื่อการบันเทิง

     

     

    สถาปัตยกรรมกรีก

    เมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช กลุ่มชนรุ่นแรกได้อพยพเข้าสู่คาบสมุทรกรีก สถาปัตยกรรมของกลุ่มชนเหล่านี้มีลักษณะเรียบง่าย ไม่มีอะไรน่าสนใจเมื่อเทียบกับ ชาวกรีกยุคคลาสสิก ... พวกเขาก่อสร้างบ้านเรือนในหลากหลายรูปแบบ ทั้งรูปทรงกลม รูปทรงไข่ รูปทรงสี่เหลี่ยม วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างมักทำมาจากโคลน โดยปราศจากการใช้ปูนในการก่อสร้าง ภายในบ้านส่วนใหญ่จะมีเพียงแค่ห้องเดียว

     


    ชาวกรีกโบราณมีวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่มานานกว่าพันปีในครีต สถาปัตยกรรมมิโนอันมีให้เห็นกันมากในรูปแบบที่อยู่อาศัย พวกเขาไม่นิยมสร้างวัดและสถานที่สาธารณะ ไม่เหมือนกับชนกลุ่มโบราณ ซึ่งในบ้านเรือนของพวกเขานั้นมักจะสร้างให้มีหลายห้องและมีมากกว่า 1 ชั้น การกั้นห้องจะใช้เสาเป็นตัวกั้น ลักษณะภายในบ้านจะค่อนข้างเปิดโล่ง บันไดถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในบ้าน จากนี้ไปจะเป็นสถาปัตยกรรมในช่วงกรีกโบราณ

     

    สถาปัตยกรรมกรีกยุคคลาสสิคที่สำคัญ มีแตกต่างกัน 3 ประเภทที่พวกเราคงเคยได้ยินได้เห็นกันมาบ้างแล้วจากตำราเรียนสมัยมัธยม นั่นก็คือ สถาปัตยกรรมแบบ Doric, Ionic, and Corinthian ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบ Corinthian นั้นจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมกว้างขวางเท่ากับสถาปัตยกรรมแบบ Doric, Ionic เพราะว่าสถาปัตยกรรมแบบ Corinthian นั้นมีความสลับซับซ้อนและมีรายละเอียดเยอะมาก 

     

    สถาปัตยกรรมแบบ Doric เป็นที่รู้จักเพราะชาวสปาตันนิยมใช้ มันสร้างขึ้นจากด้ามไม้ซึ่งภายหลังกลายเป็นหิน ตอนบนของด้ามไม้จะมีบุที่มีบล็อคไม้ทรงสี่เหลี่ยมอยู่ เสาค้ำขื่อที่เรียกว่า architrave  

    เสา Ionic จะมีลักษณะเรียวกว่าเสา Doric การสร้างต้องใช้แม่แบบและการตกแต่งโดยการแกะสลักด้วยศิลปะที่พริ้วไหว ส่วนบนสุดของผนังมีรายละเอียดที่สวยงาม  

    เมื่อพูดถึงวัดกรีก เราจำเป็นต้องรู้ว่าความเชื่อทางศาสนาของชาวกรีกนั้นไม่เหมือนชาวคริสเตียน ประเด็นแรก ชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าของพวกเขามีธรรมชาติที่เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ว่าเทพเจ้าเหล่านั้นจะพิเศษกว่าทางด้านความเฉลียวฉลาดและความแข็งแกร่ง ประเด็นที่สอง ชาวกรีกเชื่อว่าวัด โบสถ์ของพวกเขาคือที่อยู่อาศัยของเทพเจ้าที่พวกเขาศรัทธา ดังนั้นสถานที่เหล่านี้จึงต้องมีความสวยงามกว่าบ้านเรือนทั่วไป ประเด็นต่อมา ชาวกรีกไม่ได้รวมตัวกันเพื่อสรรเสริญพระเจ้าในวัดหรือโบสถ์ของพวกเขา เหมือนอย่างคริสตศาสนนิกชนประเด็นสุดท้าย การบูชายัญและการบวงสรวง ถือเป็นคำสั่งของเทพเจ้า ดังนั้นทุกวัดหรือโบสถ์จะมีแท่นบูชาอยู่บริเวณชานวัดเพื่อจัดพิธีกรรม

     

     

     



    วิหารพาร์ทีนอนบนภูเขาเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งที่มีความสวยงามและมีชื่อเสียงอย่างมาก ในขณะเดียวกันสถาปัตยกรรมก็แสนจะเรียบง่าย วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นระหว่าง 438 - 447 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งอยู่บนภูเขา Acropolis ในกรุงเอเธนส์ รูปแบบการสร้างวิหารพาร์ทีนอนนี้เรียกว่า octostyle peripteral เพราะมันมีทั้งหมด 8 เสา อยู่บริเวณด้านหน้าและด้านหลัง และยังถูกล้อมรอบด้วยแนวเสาระเบียง หรือที่เรียกกันว่า peristyle ภายใน มีการก่อสร้างในลักษณะเช่นเดียวกับโบสถ์ส่วนใหญ่ ส่วนของห้องโถงกลาง หรือ cella มีรูปปั้นเทพีอะเธเน (เทพีแห่งปัญญาและศิลปวิทยาของกรีก) สร้างขึ้นมาจากทองและงาช้าง นอกจากนี้ยังมีระเบียงอยู่ทางทิศตะวันออก และทิศตะวันตกทั้งสองด้าน ทางด้านหลังของวัดเป็นห้องโถง เรียกว่า พาร์ทีนอน ซึ่งเป็นสถานที่จัดไว้เพื่อพิธีการบวงสรวง บูชา-ยัญ พิธีกรรมและความเชื่อต่างๆเหล่านี้มีเกิดขึ้นเป็นธรรมดาในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ในสมัยนั้น

     สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งที่มีความสลับซับซ้อนนั่นก็คือ The Great Palace of Knossos หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า Knossos เป็นชื่อเมืองโบราณบนเกาะครีต ส่วนกลางเป็นเมืองหลวงของอารยธรรมมิโนอันโบราณ มันเริ่มขึ้นจากการเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างล้อมรอบจัตุรัสและค่อยๆเติบโตขึ้นเป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยอารยธรรมมากมาย  

     อย่างที่คนทั่วไปทราบกัน วัดกรีกนั้นมีหลากหลายรูปแบบ แต่ถึงกระนั้นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน และสิ่งที่พวกเราเห็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนชาวกรีกได้สร้างสิ่งก่อสร้างที่น่าอัศจรรย์มากมาย ด้วยความรอบคอบในการวางแผนและความสามารถในการสร้างสรรค์ บางทีอัจฉริยะที่แท้จริงอาจเป็นสถาปนิกชาวกรีกในยุคนั้น หาใช่นักปรัชญาไม่

     

     

    สถาปัตยกรรมโรมัน

     

     

       

    โคลอสเซียมในกรุงโรม

     

    สถาปัตยกรรมโรมัน (อังกฤษ: Architecture of ancient Rome) เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมของโรมันโบราณที่ประยุกต์มาจากสถาปัตยกรรมกรีกตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 12 ก่อนคริสต์ศักราชมาเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมของตนเอง ลักษณะสถาปัตยกรรมทั้งสองถือว่าเป็น สถาปัตยกรรมคลาสสิค

    นอกจากลักษณะสถาปัตยกรรมที่นำมาจากกรีกแล้วโรมันยังรับอิทธิพลเกี่ยวเนื่องเช่นการสร้าง “ห้องทริคลิเนียม” (Triclinium) ในคฤหาสน์โรมันเป็นห้องกินข้าวอย่างเป็นทางการ และจากผู้ที่มีอำนาจมาก่อนหน้านั้น--วัฒนธรรมอีทรัสคัน--โรมันก็นำความรู้ต่างทางสถาปัตยกรรมมาประยุกต์ใช้เช่นการใช้ระบบไฮดรอลิคและการก่อสร้างซุ้มโค้ง

     

    ปัจจัยทางสังคมเช่นความมั่งคั่งและจำนวนประชากรที่หนาแน่นในมหานครทำให้โรมันต้องพยายามหาหนทางใหม่ในการแก้ปัญหาทางสถาปัตยกรรมอันเป็นผลที่ตามมา การใช้ ยอดโค้ง (Vault) และ ซุ้มโค้ง ประกอบกับความรู้เกี่ยวกับวัสดุสำหรับการก่อสร้างเป็นต้นที่สามารถทำให้โรมันประสบกับความสำเร็จเช่นที่ไม่เคยมีมาก่อนในการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตน่าประทับใจสำหรับสาธารณชน ตัวอย่างเช่นสะพานส่งน้ำโรมัน, โรงอาบน้ำไดโอคลีเชียน และ โรงอาบน้ำคาราคัลลา, บาซิลิกา และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือโคลอสเซียมในกรุงโรม ซึ่งกลายมาเป็นแบบจำลองในการสร้างสถาปัตยกรรมแบบเดียวกันที่มีขนาดย่อมกว่าตามมหานครและนครต่างๆ ไปทั่วทั้งจักรวรรดิ สิ่งก่อสร้างบางชิ้นก็ยังหลงเหลืออยู่ในรูปแบบที่เกือบสมบูรณ์เช่นกำแพงเมืองลูโกในฮิสปาเนียทาร์ราโคเนนซิสทางตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน  

     

    การก่อสร้างสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตนอกจากจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางสถาปัตยกรรมแล้วก็ยังเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อถึงความเป็นมหาอำนาจของจักรวรรดิโรมันอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากตึกแพนธีอันโดยเฉพาะในการสร้างใหม่ตามแบบของจักรพรรดิเฮเดรียนที่ยังคงตั้งอยู่อย่างสง่างดงามเช่นเมื่อสร้างใหม่ นอกจากแพนธีอัน จักรพรรดิเฮเดรียนก็ยังทรงทิ้งร่องรอยทางสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ไว้ทางตอนเหนือของบริเตนในรูปของกำแพงเฮเดรียนที่ใช้เป็นเส้นพรมแดนทางตอนเหนือสุดของจักรวรรดิ และเมื่อพิชิตสกอตแลนด์เหนือขึ้นไปจากกำแพงเฮเดรียนได้ ก็ได้มีการสร้างกำแพงอันโตนินขึ้น

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×