ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : คราถึงวัยสะพรั่ง (๑)
คราถึงวัยสะพรั่ง . . .
เพลาก่อนหน้า
นัยน์เนตรผู้ประทับยังชั้นสุรบถทอดลงแลเหล่ากุมารีผู้อุบัติขึ้นจากมาลาสวรรค์ถึงเบื้องใต้อจลา เหตุอันนำพาให้นัยนาเพ่งพิศถึงเบื้องใต้นั้นด้วยเพราะว่านผกาที่ห่าทานพได้พบถึงสองดอกในรอบหลายปี ราพณะมันจึงนำกุมารีผู้มีรัศมีสุวรรณยื่นหัตถ์ออกวางเหนือธารากูณฑ์ แม้ท้าวผู้เป็นใหญ่แห่งอสูรจะเลี้ยงดูกุมารีรัศมีสุวรรณดีเยี่ยงไร ทว่ากรชะแหลมคมมันกลับกรีดลงหัตถ์น้อยกุมารีได้อย่างมิเห็นใจในเสียงร่ำไห้ของนางเลยสักน้อย
หลังจากที่ธารเพลิงกวนผสมรุธิระกับว่านผกาเข้าด้วยกันจนหวนกลับมามีคุณต่อการบำรุงรักษ์ผกาพิษ ราพณะมันจึงกระหึ่มสุรเสียงว่าสั่งให้เหล่ากุมารีได้เร่งตักตวงนีราร้อนขึ้นรดทำลายผกาสีขจีเบื้องบนให้สิ้นพลัน
“ยิ่งได้แลเห็นเราก็ยิ่งเจ็บปวดฤทัย ที่สองหัตถ์ของผู้เป็นมาลาสวรรค์จะต้องไปโอบอุ้มบำรุงรักษ์ผกาพิษ” นัยนาพระเทวีสุคันธมาทน์ละขึ้นจากภาพความเป็นไปเบื้องใต้พสุธา คราเมื่อกรชะราพณะลากกรีดหัตถ์กุมารีรัศมีสุวรรณด้วยความเวทนา
“คงเป็นไปด้วยกรรมที่เวียนวนนั้นแหละเพคะพระเทวี” ผัลย์สุภากล่าววาจาตอบอย่างนอบน้อมต่อพระเทวีผู้เป็นใหญ่เหนือตน
คราเมื่อได้ตรับฟังวัจน์จากผัลย์ศุภาภาพดวงจิตผู้วางวายจากเหตุสงครามหลายภพปีผ่านมา จึงวนเวียนฉายซ้ำขึ้นในห้วงคะนึงคิดขององค์เทวีสุคันธมาทน์ ทั้งดวงจิตเด็กเล็กอิตถีหญิงชราผู้วายวางจากการสงคราม ล้วนแล้วแต่ถูกโอบอุ้มเอาไว้ด้วยจิตเมตตาจากพระเทวีสุคันธมาทน์ มิว่าจะก่อนหรือหลังสงครามจากราพณะ หรือแม้แต่การรำบาญระหว่างแว่นแคว้นน้อยใหญ่ พระเทวีล้วนแล้วแต่โอบอุ้มเอาไว้ด้วยเมตตาจิต หวังเพียงหากเมื่อโลกาสิ้นสงครามลงแล้วคราใด ครานั้นพระเทวีจึงจักประโปรยดวงจิตผู้มิใฝ่ในสงคราลงประภพเกิดอีกคราหนึ่ง
แต่ทว่าด้วยเหตุใดกันท้าวเทวราชท่านจึงมีรับสั่งให้ประโปรยมาลาสุราลัยลงประภพในคราที่โลกายังคงเต็มไปด้วยความอนธการ แลด้วยเหตุใดกันมาลาสุราลัยจำนวนหนึ่งจึงต้องพรากไปจากนิวาสสถานตน
“พระเทวีทรงทอดพระเนตรเบื้องล่างดูสักหน่อยเถิดเพคะ” คันธนีรากราบทูลต่อพระเทวีให้ลองเหลียวพระพักตร์ลงแลยังเบื้องล่างดูอีกสักครา
ครั้นเมื่อพระเทวีสุคันธมาทน์ทอดพระเนตรลงแลตามคำรัมภา สุดปลายสายพระเนตรพระเทวีจึงได้แลเห็นสองหัตถ์น้อยกำลังค่อยเอื้อมออกช้อนช่อมาลาเข้าโอบอุ้มไว้ด้วยฤทัยโอบอ้อม
“ปสพสุวรรณ” ฝ่าหัตถ์สุขุมจากกุมารีผู้เคยบำรุงรักษ์มาลา เพียงแตะต้องก็ทำให้ช่อผกาฟื้นจากเหี่ยวแห้งได้ เหตุนั้นจึงทำให้พระเทวีสุคันธมาทน์หวนคืนมีพระหฤทัยชื่นเย็น
“หากอดีตเทพธิดาทรงกระทำเช่นนั้น จะมิใช่การนำภัยมาสู่ตนเองหรอกหรือพระเจ้าค่ะ”
เพราะในทุกคราที่กุมารีผู้อุบัติขึ้นจากมาลาสุราลัยแสดงออกถึงความชมชอบต่อดอกไม้สีขจีอันต่างไปจากผกาพิษใต้พสุธา กุมารีเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่ถูกราพณะลิดรอนอิสระมิให้ขึ้นจากแหล่งธรามาเห็นเดือนเห็นตะวัน ให้อยู่แต่เพียงเบื้องใต้คอยบำรุงรักษ์ผกาพิษอยู่เช่นนั้นมิให้รู้วันรู้คืน ด้วยร้อนรนเกรงว่าปสพสุวรรณอาจถูกกระทำเช่นเหล่านางพรหมาณฑ์จึงกราบทูลถามต่อพระเทวี
“พระธิดาออกวิ่งแล้วเพคะ” คันธนีราร้อนรนไหวพักตร์ขึ้นกราบทูลต่อพระเทวียามที่พระนางละพระพักตร์ขึ้นครุ่นคิดจากเบื้องโลกา
“แล้วแร้งไตรตราเล่า” เมื่อได้ยินคำนางรัมภาสหาย ทรรศนจึงเร่งไหวพักตร์ตนลงทอดมองเบื้องล่ามตาม
“ก็ติดตามมามิห่าง”
“ในหัตถ์ปสพสุวรรณก็ได้โอบอุ้มมาลามาพร้อมด้วยเพคะ” นัยน์เนตรพระเทวีทอดลงแลตามกุมารีผู้กำลังวิ่งหนีให้พ้นจากห่าแร้งอย่างนิ่งพินิจ ในฤทัยพระนางก็พลางตรึกคิดว่าทั้งที่กุมารีถูกชี้นำไปในทางที่ผิด ทว่าหยั่งลึกในดวงจิตกลับยังคงกระสันต่อมาลาสีขจีอยู่มิคลาย
พระเทวีสุคันธมาทน์ทอดพระเนตรแลมาลาในหัตถ์กุมารีที่ถูกยื่นให้แก่ยุวานผู้หนึ่ง แค่เพียงชั่วครู่แล้วพระนางจึงทะยานทิพยกายาตนลงไปสู่ภพภูมิเบื้องล่างพลัน ด้านเทวารัมภาที่มิได้ติดตามจึงเกิดฉงนขึ้นมิต่างกัน แต่มิได้ฉงนต่อเมตตาที่พระเทวีท่านหวังช่วยเหลือปสพสุวรรณ ทว่ากลับฉงนต่อยุวานผู้ผ่านทางมาพบกันเสียมากกว่า
“หรือสองดวงจิตอันเคยผูกสัมพันธ์จะเปลี่ยนไปแน่แท้แล้ว” ประโยคความนั้นจากผัลย์ศุภาหมายถึงสองดวงจิตี่ยังคงกระสันหากัน อาจมิได้เป็นเหมือนดั่งคราเคยประทับสรวงสันต์เช่นเดิมแล้ว
กายกุมารีผู้เร่งรี่วิ่งหนีห่าแรงค่อย ๆ ผ่อนเบาแรงกำลังลงตามความอ่อนล้า แม้ฤทัยนางจะมุ่งมั่นหวังหนีให้พ้นจากฝูงมาร ทว่าแรงในวรกายนางกลับโรงราลงแล้วเต็มทน ร่างนางน้อยไหวโอนเอนคล้ายจะทรุดลง เพลาเสียงหลากบาทากรูกระทบพื้นก็ยังคงมิหยุดยั้งลงเลย
ด้วยอ่อนล้านักหากตัวนางยังคิดหนีต่อไปก็คงจะมิพ้น ร่างน้อยจึงยอมทรุดลงหวังจะพักกาย แต่แล้วในครานั้นจึงคล้ายมีไอเย็นชายเข้าโอบชโลมกายให้ชื่นฉ่ำ พร้อมกันกับที่ห่าแร้งมันได้วิ่งผ่านพักตร์ปสพสุวรรณไปราวแลนางมิเห็น
ครั้นเมื่อห่าแร้งมันกรูกันผ่านไปจนไกลลับเนตร ทิพยกายาพระเทวีสุคันธมาทน์จึงได้เผยออกให้ปสพสุวรรณได้แลเห็น วรองค์งดงามประดับด้วยรัศมีเลื่อมพรรณราย รูปพระพักตร์ไฉไลวิราม แล้ววงกรผู้ประทับสรวงสันต์จึงค่อยคลายออกจากร่างกุมารี ครานั้นสองดวงพักตร์จึงได้สบประสานกันนิ่ง สัมผัสคราต้องกายก็คล้ายว่าเคยพบกันมาเนิ่นนาน
แล้วหัตถ์พระเทวีจึงเอื้อมลงคว้ากรน้อยปสพสุวรรณ ก่อนจะหันวรกายกลับหลังพลางไหววาดพระหัตถ์ซ้ายผ่านเพิงผาศิลาเบื้องหลัง แล้วพลันทันใดจากเพิงศิลาสูงจึงเกิดเป็นไม้เถาสีแห้งกร้านเลื้อยลงปกคลุมเพิงผาแถบนั้น กลืนไปกับสีพืชพรรณของโลกาในเพลานี้
จากนั้นพระเทวีผู้ประทับแดนสวรรค์จึงจับกุมกรน้อยย่างผ่านม่านบดบังเข้าไปสู่ แล้วเบื้องพักตร์กุมารีผู้โอบอุ้มมาลาหนีห่าแร้งจึงได้แลเห็นแหล่งพนาสีขจีภายใน ปสพสุวรรณน้อยกวาดเนตรตนแลรายรอบกาย ยลชมในความวิจิตรอันน่าทัศนา หลังม่านมนตราที่พระเทวีท่านร่ายเสกครอบคลุมพื้นที่แห่งนี้เอาไว้ด้วยผนังศิลาคล้ายอย่างถ้ำ มีไม้เถาเลื่อนพันเกาะเกี่ยวขึ้นไปตามผนังศิลานั้น แม้นภายในจะมิได้มีรุกษะยืนต้นตั้งทว่าก็ยังมีมาลางามออกดอกงอกเงยประดับอยู่มากมาย อีกทั้งมีนทีแทรกซึมหลากไหลลงมาตามผนังศิลา
“ที่แห่งนี้เราให้เจ้า” พระเทวีท่านกล่าวพลางร่ายโอษฐ์ออกเผยรอยยิ้ม
“ให้ปสพสุวรณหรือเจ้าคะ” ดวงพักตร์น้อยเชยช้อนขึ้นแลวงพระพักตร์หมดจดของพระเทวีราวถามว่าด้วยเหตุใด ครานั้นทิพยกายาพระนางจึงเลื่อนลดลงเทียบเพียงปสพสุวรรณ ก่อนจะประคองหัตถ์น้อยนางขึ้นพลางลูบไล้อย่างถนอมบาดแผล เพียงชั่วครู่เท่านั้นรอยบาดจากกรชะราพณะจึงได้พลันสมานสนิท อีกทั้งยังสิ้นไร้รอยแผลเป็นฝากเอาไว้บนหัตถ์น้อยนั้นด้วย
“เรามอบให้เจ้าไว้เป็นที่พักพิง” ยามเมื่อปัดเป่าบาดแผลให้แก่ปสพสุวรรณแล้วจนไร้เจ็บ หัตถ์พระเทวีจึงได้เลื่อนขึ้นลูบศิระกุมารีรัศมีสุวรรณอย่างโอบอ้อม
“หากว่าพฤกษาทั่วโลกามีสีขจีเช่นนี้คงจะเป็นสุนทรียะอันน่าทัศนายิ่ง ใช่หรือไม่เจ้าคะ” ทั้งที่ยังคงเยาว์วัยทว่าท่าทีนางนั้นช่างคล้ายว่าเข้าใจอะไรได้ง่ายดายนัก นัยนาปสพสุวรรณเหลียวแลมองไม้เถาอีกทั้งมาลากลีบอ่อนเหล่านั้น พลางนึกคิดไปถึงพงพนัสภายนอกที่มากมีไปด้วยสีมืดมัว
“กาลก่อนนานมาพฤกษาก็เคยงามขจี...” ดวงพักตร์น้อย ๆ เงยขึ้นสบพระพักตร์พระเทวีอีกครา ยามเมื่อวาจาพระนางเกริ่นกล่าวความขึ้นพาให้อยากจะล่วงรู้
แล้วนับแต่ครานั้นเรื่องเล่าอันเป็นดั่งนิทานจึงถูกร้อยเรียงออกมาจาโอษฐ์พระเทวีสุคันธมาทน์ เริ่มที่ว่าด้วยเหตุแห่งอัคนิรุทรลุกลามกระทั่งมอดดับจนทิ้งความมืดดำเอาไว้ ทว่าทุกคราที่เล่าไปพระเทวีกลับมิเคยจะเอื้อนเอ่ยถึงนามของผู้ก่อกระทำเลยสักครา เพียงแต่กล่าวเอาไว้ว่าคือผู้ที่มีจิตฤทัยทุกข์ระทม
ทว่าเมื่อนิทานยังมิทันถูกเล่าจนจบ ปสพสุวรรณน้อยนางก็ได้ผล็อยหลับลงแนบตักพระเทวีเสียแล้ว
“ปสพสุวรรณ”
ดวงพักตร์อิ่มพริ้มค่อยคลี่เปิดเปลือกเนตรขึ้นตามสำเนียงเสียงกล่าวเรียกนาม รอบกรอบพักตร์ก็พลางสัมผัสได้ถึงเรียวองคุลีที่เกลี่ยกรีดเก็บปอยเกศาให้แต่ตนพร้อมด้วย ยามเมื่อเปลือกเนตรคลี่ออกแล้วจึงได้พบพระพักตร์วิรามกริ่มยิ้มให้แก่นางรออยู่ เป็นดั่งเช่นทุกคราที่ได้ตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราอันสุขสงบ
“ปสพสุวรรณหลับไปนานเท่าไหร่กันเพคะ” ยุพเรศผู้ที่เพิ่งจะตื่นขึ้นจากการปิดเนตรลงงีบพัก พลันใช้สองหัตถ์ตนยันร่างยกศิระขึ้นจากหน้าตักของพระเทวี
“มินานเท่าไหร่หรอก แต่เจ้าไม่เคยจะฟังนิทานจากเราจนจบเลยสักครา” พระเทวีสุคันธมาทน์แลเนตรยลชมวงพักตร์เพรี้ยมพริ้มของยุพเรศผู้หยัดกายขึ้นนั่งบนแท่นปาษาณแนบข้างพระองค์
“ก็เพราะสุรเสียงจากพระเทวีนั้นเย็นฉ่ำ คล้ายเป็นดั่งโอสถบรรเทาทุกข์ให้แก่ปสพสุวรรณได้ยังไงล่ะเพคะ” ปสพสุวรรณว่าพลางร่ายรอยยิ้มออกเริงร่า
“รู้จักพูดให้ผู้อื่นเขาชื่นกรรณดีจริง”
“เพราะพระเทวีสอนเอาไว้ให้รู้จักอ่อนหวาน ผู้ใหญ่ท่านจะได้เอ็นดู”
“เอาเถอะ ป่านนี้ไตรตราคงจะตามหาเจ้าอยู่ ส่วนดอกว่านที่ได้พบนี้เราจะนำไปมอบถวายให้แก่องค์เทวราชเอง”
“เพคะ” แล้วหัตถ์สีนวลจึงกระพุ่มขึ้นอย่างกชกรน้อมไหว้ต่อองค์เทวี ก่อนเจ้าของเรือนร่างงามระหงจะหยัดยืนขึ้นจากแท่นปาษาณในแหล่งพักพิง แล้วจึงก้าวย่างผ่านออกมาจากม่านพระเวทบดบังอำพรางพนามา
วันเวลาผันผ่านมาเนิ่นนานเท่าไหร่แล้วกัน พระเทวีพระองค์ท่านมิเคยจะได้นับเอาไว้เลยสักครา พระนางเพียงเวียนแวะลงพบกุมารีรัศมีสีสุวรรณเช่นนี้เป็นประจำทุกครา คอยพร่ำสอนทุกสิ่งสรรพอันเหมาะสมให้แก่นางเรื่อยมา จวบจนกระทั่งวันเวลาผ่านพ้นพาให้กุมารีเติบใหญ่ขึ้นสู่ยุพเรศ ผู้มีแวววรลักษณ์วิลาวัณย์เด่นเหมือนอย่างเช่นภพกาลก่อนอันเคยเป็นมา
หนึ่งบุรุษผู้เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์มีรูปพรรณสง่า อุระผึ่งผายรูปลักษณ์วรกายภูมิฐาน พระโฉมวิรามเครื่องพระพักตร์ครบพร้อมด้วยแววคมคาย เหมาะสมอย่างผู้เป็นเชื้อสายพระผู้ครองราชย์แล้ว
พักตร์พระหน่อเนื้อทอดนัยน์เนตรนุ่มนวลออกพิศมาลาสีหริณะที่ชูช่อดอกขึ้นงดงามอย่างเช่นเคยในทุกทิวา มาลาที่ถูกปลูกลงไว้ใส่กระถางวางประดับเหนือแท่นศิลาสูงเทียมบานบัญชร ในโถงทางทอดผ่านไปสู่ห้องบรรทมของตนเอง เพื่อให้แสงรังรองจากดวงสุรีย์ได้สาดส่องโอบล้อมผกาให้ชูช่อขึ้นบานชื่นมิเหี่ยวแห้งลง
ยิ่งช่อผกาชูช่อชื่นพระโอรสก็ยิ่งหวนคะนึงถึงคราแรกที่ได้รับมาลาเข้าไว้โอบอุ้มในหัตถ์
“เห็นมาลาดอกนั้นแล้ว พาให้พี่นึกถึงคราที่เจ้านำพาแร้งมาจนถึงนคร” สุรเสียงว่าอย่างหยอกเย้าดังขึ้นจากเบื้องหลัง ทำให้พระโอรสผู้ทอดเนตรพิศมาลาอยู่อย่างสงบงัน ได้ละเนตรออกจากช่อมาลาพลางแลเหลียวพักตร์เข้าหาเจ้าของสุรเสียง
“ป่านนี้ไม่รู้ว่ากุมารีผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง”
“หากว่านางยังมีชีวิตนางคงจะเติบใหญ่ขึ้นเฉกเช่นเจ้า แต่ถ้าหากว่านาง...” วราธรโอรสองค์กลางเอ่ยวาจาตอบคำอนุชาตน ก่อนจะยั้งวาจาอันมิควรนั้นลงไว้พลัน
“วราธร บางครั้งบางครา...บางสิ่งที่เจ้าครุ่นคิดนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวมันออกมาก็ได้นะ” ทักษรักษ์พระโอรสผู้เป็นพี่กล่าววัจน์ขึ้นติเตียนอนุชาในสิ่งอันมิควรจะกล่าวให้ผู้อื่นเกิดมีพะวง
“น้องก็ยับยั้งวาจาลงไว้แล้วยังไงล่ะพระเจ้าค่ะ”
“เอาเถอะพระเจ้าค่ะ น้องรู้ว่าเจ้าพี่วราธรไม่ได้ตั้งใจ แล้วอย่างไรสิ่งที่เจ้าพี่วราธรทรงกล่าวก็ล้วนแล้วแต่เป็นจริงทั้งสิ้น” พระโอรสพระองค์สุดท้าย โอรสผู้ที่โอบอุ้มมาลานำกลับมาบำรุงรักษ์ไว้ภายในตจสาร ว่ากล่าววาจาพลางเหลียวพักตร์กลับพิศแลมาลา
“แต่อย่างไรนะกรณ์รบส มาลาที่นางมอบให้เจ้ามาก็นับว่าเป็นกุศลยิ่งแล้ว หานางได้รู้ว่าเจ้าบำรุงรักษ์เอาไว้ดีอย่างไร นางก็คงจะดีใจเช่นพี่” ทักษรักษ์เคลื่อนกายเข้าให้ใกล้อนุชา พร้อมยกหัตถ์ขึ้นต้องอังสาเพื่อให้อนุชาได้คลายจากพะวงอันนึกถึงกุมารีน้อยผู้ให้ผกา
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ออกไปพบพระพักตร์เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ได้แล้ว เพราะถ้าหากว่าพระธิดาทั้งสี่ร่ายรำเรียกพระพายแล้วเสร็จ พวกเราจะได้ล่ำลาทั้งสองพระองค์ยามเมื่อต้องติดตามเสด็จไปส่งชาวศุวิลบุรีให้กลับถึงภารา”
หลังอนุชาว่ารับคำ ทักษรักษ์ผู้เป็นเชษฐาจึงไหวกายาตนกลับหลัง พลางเยื้องย่างก้าวบาทมายังอีกฝั่งอันตรงข้ามกับแท่นศิลาวางประดับกุสุมา หยัดยืนกายทอดเนตรตนลงจากชานระเบียงอันสะลักลายสวยสง่าพร้อมทอดนัยนาลงพิศยังลานพิธีกว้างเบื้องหน้าราชวัง ที่มีสี่นางผู้เป็นยุพเรศร่ายรำเรียกสายวาโยให้โบกพัดโอบล้อมตจสารนครอยู่อย่างอ่อนละไม
“ออกจากตจสารนครครานี้ น้องมีสังหรณ์ว่าอาจมิได้ราบรื่นเช่นคราออกหาพืชพรรณ” วาจาอันฟังมิชื่นกรรณจากวราธรถูกกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“วราธร!”
“ขออภัยพระเจ้าค่ะ แต่น้องรู้สึกเช่นนั้นจริง ทุกคราที่ออกหาพืชพรรณนำกลับเข้ามาบำรุงรักษ์ยังตจสาร สามเราต่างมิได้ออกไปห่างไกลนครมากนัก ทว่าบัดนี้กลับจำต้องติดตามไปส่งทั้งสี่พระธิดาไกลถึงศุวิลบุรี” วราธรกล่าวเพิ่มเติมต่อจากวาจาอันมิเป็นมงคลของตนก่อนหน้า
“ได้ออกไปไกลจากตจสารนครบ้างน้องว่าก็ดีเหมือนกันนะพระเจ้าค่ะ จะได้คลายสังหรณ์ในพระทัยเจ้าพี่วราธรลงได้บ้าง”
“กรณ์รบส พี่ไม่ได้กล่าวเล่นเลยนะ”
“ไม่ว่าเจ้าจะมีสังหรณ์หรือไม่มีสังหรณ์ อย่างไรเสด็จพ่อก็ต้องให้ติดตามไปถวายความปลอดภัยให้แก่ท้าวอศลย์กับพระนางกมลมาลย์ รวมถึงพระธิดาทั้งสี่ที่ร่ายรำให้กลับถึงศุวิลบุรีเช่นเดิม”
ทักษรักษ์โอรสผู้พี่ละเนตรออกจากการยลชมสี่ธิดาที่กำลังร่ายรำ ก่อนเหลียวพักตร์ตนแลกลับหาสองอนุชาที่เบื้องหลังพร้อมกล่าวความขึ้นให้สองอนุชาได้รู้ชัดว่ากระแสรับสั่งจากผู้เป็นบิดานั้นมิอาจค้านขัดได้ แล้วตัวทักษรักษ์จึงได้มุ่งนำสองอนุชาไปเพื่อเข้าเฝ้าพระบิดามารดายังลานพิธี
ฝ่ายวราธรผู้เป็นโอรสรองนั้นก็ทำได้เพียงแสดงสีพักตร์กระบอนกระบึงตามหลังเชษฐาไป เมื่อฝ่ายทักษรักษ์แสดงออกอย่างมิคิดใส่ใจในสังหรณ์ตน ส่วนกรณ์รบสก็จำใจต้องเดินห่างจากมาลามา โดยหวังว่าคราที่เขามิอยู่นั้นไพร่พลจะคอยบำรุงรักษ์มาลาได้ดีอย่างตน
ความคิดเห็น