ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันเหนืออสงไขย ภาคลบล้างคำสาปต้นตระกูล

    ลำดับตอนที่ #13 : เด็กหญิงตะวันผู้ทำให้ทุกคนเป็นห่วง(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ค. 66


    เช้ามืดวันต่อมายังไม่ทันที่แสงแรกของวันจะปรากฏ ภายในเรือนครัวของบ้านหลังใหม่ หญิงต่างวัยทั้งสี่คนต่างกำลังช่วยกันทำกับข้าว ย่าโขลกเครื่องแกงในครกดินเผาเสียงดังเหมือนประกาศให้รู้ว่าตนยังคงแข็งแรงดีอยู่

    ส่วนแม่ก็กำลังรินน้ำข้าวออกจากหม้อข้าวดินเผาใบขนาดกลาง จากนั้นก็ปิดฝาหม้อนำไม้ไผ่มาขัด ครั้งแรกที่ตะวันเห็นการหุงข้าวแบบนี้ก็รู้สึกงุนงงเนื่องจากตนไม่เคยเห็นและก่อนที่จะย้อนเวลามาก็ไม่มีใครสอนเรื่องนี้

    เด็กหญิงจำได้ว่าในตอนนั้นตัวเองจึงได้ซักแม่ของตนว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้คนเป็นแม่ก็สอนลูกสาวตัวเล็กอย่างละเอียด และครั้งต่อมาจึงให้เด็กหญิงตะวันลองหุง

    ผลออกมาคือได้ข้าวกึ่งสุกกึ่งดิบทำให้คนเป็นแม่จึงคิดว่ารอให้ลูกสาวโตกว่านี้อีกสักหน่อยค่อยสอนกันใหม่

    เพราะไม่อย่างนั้นคงจะได้กินข้าวต้มกันอีกหลายมื้อ แม้ว่าเด็กหญิงจะหุงข้าวแบบเช็ดน้ำไม่เป็น แต่ทว่าเรื่องการทำกับข้าวนั้นกลับไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอน

    อย่างเช่นวันนี้ที่เด็กผมจุกกำลังจะทำต้มยำปลาช่อนรสแซ่บที่พ่อกับอาเสือแอบไปหามาไว้ให้

    ส่วนปลาที่เหลืออีกสามตัวตะวันคิดว่าจะให้แม่ทาเกลือเพื่อทำปลาแดดเดียวเอาไว้ทอดกินวันพรุ่งเนื่องจากวันนี้ดูแล้วแดดน่าจะแรง

    “แม่จ๋าปลาช่อนอีกสามตัวแม่ก็เอาทาเกลือ ทำเป็นปลาแดดเดียวเถอะแดดน่าจะแรงพรุ่งนี้เราจะได้เอามาทอดกิน” เด็กหญิงตัวน้อยบอกแม่โดยไม่ละไปจากงานของตน

    สร้อย นิด และกระถินหลังจากได้ยินคำกล่าวของลูกสาวหลานสาวพวกเขาก็ต่างพากันหยุดงานในมือก่อนที่สองสาวต่างวัยจะหันไปมองสร้อย

    “ปลาแดดเดียวมันเป็นยังไงลูกไม่เหมือนปลาแห้งหรอกหรือ” สร้อยที่ถูกมองก็เข้าใจว่าคงจะให้ตัวเองเป็นคนถามว่ามันคืออะไรกับเจ้าตัวน้อย

    ตะวันผู้ได้ยินคำถามถึงกับมึนงงจะว่าไปในตอนนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมาอยู่ที่ไหน เพราะมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่แปลกจากที่ตัวเองเคยเรียนรู้มาจากยุคอนาคต

    เมื่อคิดได้ดังนี้เด็กหญิงจึงยังไม่ได้ตอบคำถามของมารดาแต่ได้ลองถามในเรื่องที่ตนสงสัยออกมาก่อนเพื่อจะได้รับมือได้ถูกว่าตัวเองควรทำตัวอย่างไร

    “แม่จ๋าเมืองที่เราอยู่ตอนนี้มีชื่อว่าอะไรหรือจ๊ะ” หลังจากจบคำของเด็กหญิง ทั้งแม่ ย่า อาสะใภ้รวมถึงน้องชายผู้มาทีหลังที่กำลังรอฟังคำตอบอยู่ต่างพากันตกตะลึงไปตาม ๆ กัน

    โดยเฉพาะเจ้าอรุณที่มีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้พร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและวิ่งออกจากครัวไปด้านนอกทันที

    “พ่อ ปู่ อาเสือ พี่ตะวันแย่แล้วทุกคนมาในเรือนครัวเร็ว ๆ ขอรับ” เด็กชายผมแกละหน้าตาตื่นตะโกนเรียกผู้ใหญ่ที่อยู่ภายนอกเสียงดัง

    สามหนุ่มต่างวัยที่กำลังถางหญ้าแนวป่าห่างจากบ้านพอสมควรเมื่อได้ยินเสียงของเด็กชายที่กำลังตะโกนเรียกพวกตนอยู่อย่างขวัญเสียต่างก็พากันหยุดงานในมือ

    “อรุณพี่สาวลูกเป็นอะไรตอนนี้อยู่ที่ไหน” หาญรีบทิ้งมีดในมือวิ่งมาหาลูกชายถามออกมาอย่างร้อนใจ

    หินกับเสือก็วิ่งหน้าเริดเข้ามาหาหลานชายตัวน้อยเช่นเดียวกันเนื่องจากความเป็นห่วงหลานสาว

    “ในเรือนครัวจ้ะ พี่ตะวันจำเมืองของเราไม่ได้” เด็กผมแกละตอบพ่อใบหน้าเศร้าหมอง

    ทันทีที่ได้ยินคำตอบออกมาจากปากของลูกหาญก็อุ้มลูกชายหนีบเข้าเอวก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังเรือนครัวโดยมีพ่อผู้ชรากับน้องชายของตนสาวเท้าตามมาติด ๆ 

    เมื่อสมาชิกในครอบครัวของบ้านมาถึงแล้วรวมทั้งวิญญาณตาคง และวิญญาณที่อยู่ภายในบริเวณบ้านต่างก็แห่แหนกันมาอยู่ภายในห้องครัวด้วย

    ตะวันที่มองเห็นทั้งคนและวิญญาณเธอก็มีสีหน้ากังวลว่าตัวเองทำสิ่งใดผิดหรือว่าเรื่องที่ถามว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ไหนเป็นเรื่องต้องห้ามเด็กหญิงคิดไปใบหน้าก็เริ่มซีดด้วยความกลัว

    หาญที่มองเห็นใบหน้าอันซีดเซียวของลูกสาวเขาก็วางลูกชายคนเล็กให้ยืนก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าไปสำรวจเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความเป็นห่วง

    “ตะวันหนูเป็นอะไรบอกพ่อสิเกิดอะไรขึ้นกับลูก” หาญถามลูกสาวอย่างอ่อนโยน

    ด้านคนเป็นปู่ที่ยืนมองหลานสาวอยู่รอบนอกก็มองหลานตัวน้อยด้วยดวงตาฉายแววแห่งความกังวลกลัวหลานจะเจ็บป่วยจึงได้พูดออกมา

    “เอ็งก็ใจเย็นก่อนลองให้ข้าเข้าไปตรวจหลานดูเสียหน่อยว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่าอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้” พ่อผู้ชราพูดกับคนเป็นลูกพร้อมกับเดินเข้าไปจับชีพจรหลานสาวตัวน้อย

    “ชีพจรสับสนนิดหน่อยแต่อย่างอื่นก็ปกติดี ตะวันไหนบอกปู่สิว่าหลานเป็นอะไรเจ็บปวดตรงไหน” เฒ่าชราถามหลานอย่างอ่อนโยนแววตาเจือไปด้วยความกังวล

    “ตาเฒ่า ตะวันหลานของเราน่าจะความจำเสื่อมไปเสียแล้ว” คนเป็นคู่ชีวิตตอบคำถามของสามีผู้ชราน้ำตาซึมด้วยความสงสารหลาน

    “หมายความว่ายังไงข้าก็เห็นว่าหลานปกติดีนี่ จำทุกคนก็ได้อีกทั้งยังท่องคาถาของเจ้าคงได้อีกจะความจำเสื่อมไปได้ยังไง ชีพจรก็ไม่ได้สับสนถึงขั้นนั้น” สามีผู้ชราแย้ง

    “คือว่าแบบนี้จ้ะพ่อ ตะวันถามกับฉันว่าที่นี่มีชื่อว่าเมืองอะไร พวกเราก็เลยตกใจเพราะเรื่องนี้ใคร ๆ ต่างก็รู้กันตั้งแต่รู้ความแล้ว เจ้าอรุณก็คงเป็นห่วงพี่จึงได้วิ่งออกไปตามทุกคนเข้ามา” สร้อยเป็นผู้ตอบคำถามพ่อสามี

    “เรื่องนี้มัน..” หินพูดได้แค่นั้นก็มองจ้องไปยังหลานสาว เพื่อดูให้แน่ใจว่าเด็กคนนี้เป็นหลานสาวของตนจริงใช่ไหม เหตุใดเรื่องแบบนี้ถึงได้หลงลืม

    ตาคงก็จ้องไปยังตะวันเช่นเดียวกันเขาก็เห็นวิญญาณด้านในก็เป็นหลานสาวหน้าตาเหมือนกับด้านนอกไม่มีผิดจะว่าถูกวิญญาณอื่นเข้าสิงร่างก็ไม่น่าใช่

    เพราะหากไม่ใช่สายเลือดของเขาย่อมที่จะสืบทอดวิชาอาคมรวมทั้งเปิดกล่องของขลังเหล่านั้นไม่ได้อย่างแน่นอน แต่เหตุใดผู้เป็นหลานจึงจำเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อันนี้ก็สุดแท้ที่ตนจะรู้ได้เช่นกัน

    “คือว่าหนูลืมจ้ะหรือว่าชื่อเมืองเป็นเรื่องต้องห้ามหรือจ๊ะ ทุกคนถึงได้ตกใจ” เด็กหญิงที่รู้แล้วว่าทุกคนตกใจเรื่องอะไรแสร้งถาม

    “มันไม่ผิดหรอกลูกแต่ว่าพวกเราแค่เป็นห่วงว่าทำไมลูกจึงได้หลงลืมแม้กระทั่งเมืองเกิดของตนต่างหาก ถ้าเรื่องนี้เอ็งไปถามเอาข้างนอกเขาจะหาว่าหลานวิปลาสเอาได้” ผู้เป็นย่าเมื่อเห็นว่าหลานยังพูดจาเป็นปกติดีตอบ

    เด็กหญิงจึงได้เข้าใจพร้อมคิดว่าคราวหลังหากมีเรื่องสงสัยอะไรให้ค่อย ๆ หลอกถามอย่าได้ถามอะไรโต้ง ๆ แบบนี้อีก

    หาญเมื่อได้ยินว่าลูกของตนน่าจะความจำคลาดเคลื่อนเขาจึงเอามือหยาบจากการทำงานหนักลูบหัวลูกสาวแผ่วเบาแววตาเต็มไปด้วยรักและสงสารลูกสาวตัวน้อย

    ทำให้เด็กหญิงที่จากบ้านของตนมาไกลเมื่อได้รับรู้ถึงความห่วงใยจากคนในครอบครัวก็บ่อน้ำตาแตกปล่อยโฮออกมาเสียงดัง

    คราวนี้ก็เลยเกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้งไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ น้องชาย ปู่ ย่า เสือ และกระถินต่างพากันรุมล้อมอยู่รอบตัวเด็กหญิงผมจุกเป็นการใหญ่

    “ไม่ต้องร้องนะลูก หนูเป็นอะไรบอกพ่อมาอย่าร้องไห้แบบนี้ พ่อรู้สึกเจ็บในอก” คนเป็นพ่อกอดลูกสาวอย่างปลอบประโลม

    “พี่ตะวันเป็นอะไรร้องไห้ทำไมฮึก ๆ ” เด็กชายวัยหกขวบที่เห็นพี่สาวร้องไห้ตัวเองก็ร้องไห้ตามทำให้ผู้เป็นแม่ต้องเดินเข้าไปโอบกอดเจ้าตัวเล็กเพื่อปลอบโยน

    “เงียบเสียนะลูกสาว เจ็บปวดตรงไหนบอกแม่มา อรุณก็เงียบเสียหากหนูร้องเดี๋ยวพี่ก็ไม่หยุดร้องนะ” สร้อยที่กอดลูกชายอยู่ถามลูกที่อยู่ไม่ห่างกันน้ำตาซึมด้วยความสงสารลูกจับใจพร้อมบอกกับลูกชายที่กลั้นสะอื้นอยู่ในอ้อมอกตน

    หลังจากที่เด็กหญิงร้องไห้ไปสักพักเจ้าตัวก็พยายามสะกดกลั้นน้ำตาแต่เสียงที่เปล่งออกมายังเจือสะอื้นอยู่เล็กน้อย

    “หนะ..หนูไม่ได้เป็นอะไรจ้ะ หนูแค่รู้สึกซาบซึ้งที่ทุกคนเป็นห่วง” เด็กหญิงก้มหน้าอ้อมแอ้มตอบ

    “จริงนะลูก พ่อก็ตกใจหมด เอาล่ะถ้าไม่เป็นอะไรลูกก็เงียบเสียเถอะอย่าร้องไห้อีกเลยตอนนี้หากลูกอยากรู้อะไรพ่อกับแม่จะตอบลูกทั้งหมด” หาญที่คลายอ้อมกอดของตนออกจากลูกสาวแล้วก็ได้ส่งสายตาให้กับเมียรักก่อนจะพูดออกมา

    เมื่อทุกคนเห็นเด็กหญิงหยุดร้องไห้แล้ว พวกเขาก็รู้สึกคลายใจไปตาม ๆ กัน ย่าจึงได้เอ่ยปากออกมาด้วยเสียงอันแหบแห้ง 

    “ย่าว่าเอ็งไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะหลังจากกินข้าวปลากันแล้วเอ็งอยากรู้อะไรก็ถามมาหากย่ารู้ย่าจะตอบให้ฟัง” นิดกล่าวพลางเอามืออันเหี่ยวย่นลูบหัวหลานสาวอย่างปลอบโยน

    ที่ทุกคนต่างรักและเป็นห่วงเด็กสาวก็เพราะแรกเกิดนั้นเด็กหญิงผู้นี้เป็นเด็กเกิดก่อนกำหนดตอนแรกคลอดก็ตัวเล็กนิดเดียวเสียงร้องเหมือนลูกแมว

    นิดนึกไปถึงช่วงเวลานั้นก็ยิ่งรู้สึกเมตตาหลานสาวคนนี้มากขึ้นเพราะตะวันไม่ดื้อเหมือนเด็กคนอื่นเชื่อฟังและช่วยงานพ่อแม่มาตั้งแต่รู้ความ

    “จ้ะย่า” เด็กหญิงผมจุกตอบรับอย่างเชื่อฟัง หลังจากนั้นคนในครอบครัวก็ช่วยกันยกกับข้าวที่ทำเสร็จแล้วออกมายังโต๊ะกินข้าวหน้าบ้านที่อยู่ใต้ถุนของเรือนหลังนี้

    โดยที่ตะวันก็ไม่ลืมที่จะแบ่งกับข้าวไหว้ตาคงและเหล่าดวงวิญญาณที่อยู่รอบบริเวณบ้านตามที่ผู้เป็นตาบอกแม้จะยังไม่รู้จักกันก็ตาม

    และเมื่อทุกคนกินข้าวเช้าเสร็จและเก็บถ้วยชามนำไปล้างเรียบร้อยแล้วพ่อ แม่ ปู่ ย่า อาทั้งสองรวมถึงน้องชายที่เดินมาจับจูงมือน้อยของผู้เป็นพี่เพื่อให้เดินไปด้วยกันมานั่งที่แคร่หน้าบ้านใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาอันร่มรื่นให้ผู้คนได้อาศัยร่มเงา

    หลังจากสมาชิกในครอบครัวลงนั่งกันเรียบร้อย ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าดวงวิญญาณที่พากันมานั่งฟังสิ่งที่คนเหล่านี้กำลังจะสนทนากันอย่างอยากรู้อยากเห็น

    “เอาล่ะ ตะวันหนูอยากรู้เรื่องอะไรหรือหลงลืมอะไรไปถามออกมาได้เลยปู่กับทุกคนจะตอบคำถามในสิ่งที่หลานอยากรู้เอง” ปู่ผู้ชรากล่าวกับหลานสาวด้วยถ้อยคำอันปรานี

    “ได้จ้ะ คือหนูอยากรู้ว่าเมืองที่เราอยู่มีชื่อว่าอะไร แล้วปีนี้เป็นปีอะไร และหนูได้ไปโรงเรียนหรือเปล่า” เด็กหญิงตัวน้อยถามคำถามในสิ่งที่ตนสงสัยเพราะตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ในร่างนี้ได้เกือบเดือนยังไม่เคยไปโรงเรียนเลยสักครั้ง

    แม้ว่าคนในครอบครัวจะสงสัยในสิ่งที่ลูกและหลานของตนถามแต่ในเมื่อได้บอกออกไปแล้วว่าจะตอบทุกคำถามก็จะต้องทำตามนั้น

    “เอาล่ะเรื่องพวกนี้พ่อจะเป็นคนบอกลูกเอง เมืองที่เราอยู่ปัจจุบันมีชื่อว่าแคว้นศรีสยาม เมืองที่เราอยู่มีชื่อว่าพนาปุระธานีหรือชาวบ้านเรียกว่าเมืองพนา หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านพนาไพร

    ส่วนป่าที่อยู่ติดกับที่ดินท้ายบ้านของเราลากยาวมาถึงที่นี่มีชื่อว่าป่าดงพนา

    ส่วนเรื่องเรียนนั้นหนูอยู่ชั้นป.1ที่นี่เรียนกันถึงป.3หากหนูอยากเรียนสูงกว่านี้จะต้องเข้าไปในตัวเมืองพนาซึ่งห่างจากบ้านเราไปไกลอยู่ ปีนี้เป็นปีศรีสยามที่2456

    ที่ลูกยังไม่ไปโรงเรียนเพราะพ่อแม่เห็นว่าร่างกายของลูกไม่ค่อยแข็งแรงจึงได้ให้หยุดเรียน แต่ปีหน้าหากลูกจะกลับไปเรียนก็ได้จะได้ไปพร้อมอรุณ” หาญตอบคำถามของลูกสาวช้า ๆ เมื่อเห็นว่าลูกสาวเหมือนจะตกใจเรื่องอะไรบางอย่าง

    “ตะวันหนูเป็นอะไรไปทำไมหน้าซีดอย่างนั้น รู้สึกไม่สบายตรงไหน” สร้อยที่นั่งมองหน้าลูก เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็กหญิงหล่อนจึงได้ถามลูกสาวด้วยใจคอไม่ดีนัก

    ตะวันที่รู้สึกตัวได้หันไปทางผู้เป็นแม่ก่อนที่เด็กน้อยจะกล่าวออกมา 

    “หนูสบายดีจ้ะ หนูแค่คิดว่าทำไมหนูถึงหลงลืมได้มากขนาดนี้” เด็กหญิงยิ้มเพื่อเป็นการยืนยัน

    แต่ภายในความคิดของเด็กหญิงนั้นกับรู้สึกสับสนเป็นอย่างมากกับเรื่องที่ตนเพิ่งได้รู้หากเป็นอย่างที่พ่อบอกเธอก็ไม่รู้สึกแปลกใจแล้วว่าทำไมชื่ออาหารบางอย่างคนที่บ้านถึงไม่รู้จัก

    ไม่แน่ว่าบางทีการนั่งยานย้อนเวลาของตนอาจทำให้ได้หลงเข้ามาอยู่คนละมิติกับสถานที่ตัวเองอยู่ก็เป็นได้

    แต่ในเมื่อบรรพบุรุษอยู่ที่นี่ก็ทำหน้าที่ตัวเองให้สำเร็จก็แล้วกัน บางทีการอยู่ต่างมิติอาจจะมีหนทางทำมาหากินได้มากขึ้นก็เป็นได้ใครจะรู้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×