ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn Hero - เกิดอีกที ครั้งนี้ต้องลุย

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 11 : หลอกล่อ

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ย. 64


    ตกดึก ในวันนั้นกลุ่มของนาวินต่างก้แยกย้ายกันไปพักผ่อน บางส่วนก็แยกไปที่ห้องของพวกเขา บางส่วนก็ยังคงมานั่งคุยกันรวมถึงทำกิจกรรมกันไปด้วย ที่ห้องของนาวิน ตัวของนาวินอยู่ในห้องพร้อมกับโทรศัพท์หาใครบางคนไปด้วย

    “โอเคครับคุณเสริม ยังไงผมฝากเรื่องที่เหลือด้วยก็แล้วกัน” 

    “ก๊อกๆๆๆ!!”

    “แค่นี้ก่อนนะครับคุณเสริม เอาไว้ค่อยคุยกัน” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็วางสายโทรศัพท์ไป แล้วก็รีบไปเปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว

    “คุณวินคะ” เวียนซึ่งอยู่หน้าประตูห้องได้พูดขึ้น

    “อ้าว คุณเวียน มีใครเรียกผมเหรอครับ??” นาวินถามอย่างสงสัย

    “อ้อ เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่อยากมาหาคุณเอง ฉันขอเข้าไปข้างในหน่อยนะคะ” เวียนพูดขึ้น และนาวินก็ให้เธอเข้ามาในห้องทันที 

    “คุณอยากมาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ??” นาวินถามเวียนไป

    “อ้อ ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่อยากมาขอบคุณคุณ รวมถึงอยากเจอคุณด้วยค่ะ” เวียนพูดขึ้น

    “อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ มันไม่เหนือบ่ากว่าแรงผมด้วย” นาวินพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเวียนก็ค่อยๆสวมกอดนาวินอย่างเบาๆแต่หวานซึ้ง

    “ฉันชอบคุณ ฉันรักคุณค่ะคุณวิน คุณรู้หรือเปล่า ฉันไม่เคยไว้ใจผู้ชายคนไหนเลยในชีวิต ยกเว้นคุณ มีแต่คุณที่ฉันไว้ใจค่ะ” เวียนพูดขึ้น

    “แต่ผม...” นาวินจะพูดต่อ แต่ในตอนนั้นเวียนก็พูดต่อ

    “ไหนๆคุณก็หัวใจว่างเปล่าอยู่แล้ว ให้ฉันเติมเต็มมันให้คุณดีกว่านะคะ” เวียนพูดขึ้น ตัวของนาวินที่หัวใจกำลังว่างเปล่าก็ค่อยๆสวมกอดเธอเข้าไปด้วย จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็นอนลงด้วยกันบนเตียงในห้อง แล้วค่อยๆบรรเลงเพลงรักกันอย่างหวานชื่นราวกับโลกจะถล่ม

    “ฉันเป็นของคุณแล้วคุณวิน..” เวียนพูดขึ้นในขณะที่เธอประกบปากกับเขา

     

    และที่ด้านนอก บนชั้นใต้ดาดฟ้า ตัวของอากิระก็กำลังนั่งเงียบๆอยู่แถวนั้น แล้วก็คิดอะไรไปเรื่อย แต่ในตอนนั้น จู่ๆ เสี่ยวหลงก็เดินมาหาเขา จากนั้นก็มานั่งข้างๆกับเขาไปด้วย

    “นายโอเคนะ อากิระ??”

    “อ้อ ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้สบายอยู่แล้ว” อากิระพูดขึ้น

    “ฉันรู้ว่านายเจออะไรมาบ้าง แต่นายควรจะมาหาฉันบ้างนะ ทุกคนคิดถึงนาย” เสี่ยวหลงพูดไป

    “ไม่ต้องพูดหรอก ไม่ต้องพูดอะไรหรอก” อากิระพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็ลุกขึ้นมา แต่เสี่ยวหลงก็จับมือเขาเอาไว้ก่อน

    “ดึงฉันขึ้นหน่อยสิ” เสี่ยวหลงพูดกับอากิระด้วยสายตาเว้าวอน อากิระได้แต่กัดฟันแล้วดึงมือของเสี่ยวหลงขึ้นมา

    “เออ แค่นี้ก็พอแล้วนะ” 

    “เอาเถอะ เดี๋ยวมันจะมีมากกว่านี้แล้วนะ เชื่อมั้ยหล่ะ” เสี่ยวหลงพูดไป

    “ว่าแต่อัญชันไม่มาด้วยงั้นเหรอ??” อากิระถามไป

    “อ้อ เธอคงนอนพักอยู่ในห้องหน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงเธอก็ไม่มีขัดเราสองคนอยู่แล้ว” เสี่ยวหลงพูดขึ้น

    “เออ เอาที่นายสบายใจเลย ฉันไม่ยุ่งด้วยแล้ว” อากิระพูดขึ้น และในตอนนั้น ตัวของอากิระก็เดินออกไปจากเสี่ยวหลง

    “นี่ นายจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน??” เสี่ยวหลงถามอากิระไป

    “ช่างมันเถอะ ขอฉันอยู่คนเดียวหน่อยเถอะนะ” อากิระพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เดินออกห่างจากเสี่ยวหลงไป โดยที่เสี่ยวหลงก็ได้แค่ทำตาละห้อยมองเขาไป

     

    ในห้องพักของอัญชัน ซึ่งตัวของอัญชันก็ได้นอนอยู่บนเตียงของเธอไปเรื่อย บางทีก็คิดนั่นคิดนี่ไปตามประสาคนโสด รวมถึงก็ได้พูดอะไรบางอย่างออกมาด้วย

    “เสี่ยวหลง นายน่าจะรีบบอกอากิระไปนะ”

    “ตู๊ดๆๆๆ!!” เสียงโทรศัพท์ของเธอได้ดังขึ้น ตัวของเธอก็ได้รับสายอย่างรวดเร็ว

    “คุณอัญชันคะ”

    “อ่า นั่นใครพูดคะ??”

    “ฉันพัตติยาเองค่ะ”

    “อ้าว คุณพัตติยาเหรอคะ เป็นยังไงบ้างคะ ปลอดภัยหรือเปล่า ฉันเป็นห่วงนะคะ??”

    “อ้อ ฉันปลอดภัยค่ะ ฉันก็เป็นห่วงคุณอัญชันนะคะ ฉันไม่อยากรอถึงพรุ่งนี้เลยโทรมาหาคุณ”

    “อ้าว แล้วคุณโทรมาได้ยังไงกันหล่ะคะ??” อัญชันถามไป

    “จำไม่ได้เหรอคะว่าคุณให้เบอร์ฉัน ฉันเลยโทรมาค่ะ ตอนนี้ฉันปลอดภัยดี ฉันจะมาบอกว่า พรุ่งนี้คนที่ฉันนัดไว้จะไปหาพวกคุณค่ะ” พัตติยาพูดอย่างตื่นเต้น

    “อ้อค่ะ ไว้ฉันจะรอนะคะ” อัญชันพูดขึ้น

    “ค่ะ ฉันเองก็อยากเจอคุณนะคะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “อ้อ ไม่ต้องกลัวนะคะ ถ้าฉันยังอยู่ ฉันจะพยายามตามหาคุณเองค่ะ” อัญชันพูดขึ้น

    “แหม่ คุณอัญชัน ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก” พัตติยาตอบไป

    “แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนเหรอคะ??” อัญชันถามอย่างสงสัย

    “อ้อ ฉันมีบ้านเพื่อที่ไว้ใจได้อยู่ ฉันไปกบดานที่นั่น เอาไว้เราเจอกันก่อนดีกว่านะคะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “ค่ะ นานแค่ไหนก็จะรอนะคะ” อัญชันตอบกลับไป

     

    และอีกด้านหนึ่งของตึก ฮารุเกิดนอนไม่อยากพักผ่อน เธอจึงลองไปขับมอไซค์จำลองซึ่งดันเต้ได้ทำขึ้น ซึ่งฮารุได้ใส่หมวกอะไรบางอย่างครอบหัวไว้ รวมถึงขี่ตัวมอไซค์ซึ่งมันโยกไปมา ตัวของเธอขับขี่มันอย่างคล่องแคล่ว และไม่นานนัก รถที่เธอทดลองขับก็เข้าสู่เส้นชัยได้อย่างงดงาม

    “โห 3 นาที 51 วิ สถิติใหม่เลยนะเนี่ยพี่” ภาภินที่ช่วยเธอวัดสถิติตรงนั้นพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

    “เฮ้อ แค่นี้เล็กน้อยน่า” ฮารุพูดขึ้น ในขณะที่ตัวของเธอก็ลงจากมอเตอร์ไซค์มาด้วย

    “ผมเคยลองขี่แล้ว 5 นาทีกว่าๆ โคตรยากเลย” ภาภินพูดขึ้น

    “มันไม่ยากหรอก ถ้านายจะลองดูหน่ะ” ฮารุพูดขึ้น

    “ไม่รู้สิ ผมว่าผมนั่งอยู่หน้าจอคอมเหมือนเดิมดีกว่า” ภาภินบอกกับฮารุไป

    “เอาน่า ลองไปยืดเส้นยืดสายซักหน่อยไม่เป็นไรหรอก มันยังมีอีกหลลายอย่างที่หน้าจอคอมไม่มีนะ” ฮารุพูดขึ้น

    “อืม มันก็น่าลองนะครับ ผมไม่รู้ว่าต่อไปเราจะต้องเจออะไรอีก บางที ผมอาจจะคิดผิดที่ฆ่าตัวตายมาแบบนี้” ภาภินพูดขึ้น

    “แต่นายก็ทำเพื่อครอบครัวนายนี่ ไม่เหมือนฉันที่แค่ทำเพื่อต้องการจะหนีปัญหา” ฮารุพูดขึ้น

    “อืม ผมเข้าใจนะพี่ แต่ถ้าเกิดมันไม่หนักหนาอะไรมาก หนีๆมันบ้างก็ดีนะพี่” ภาภินพูดขึ้น

    “แต่ช่างเถอะ ต่อไปนี้พี่จะไม่หนีปัญหาแล้วหล่ะ” ฮารุพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็ตบไหล่ภาภินไปหนึ่งที จากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

     

    และที่ห้องพักผ่อน ในตอนนั้นตัวของลุ้นกำลังนั่งเล่นไพ่กับโลร็องต์และลูโดวิกอย่างสนุกสนาน แต่ดูเหมือนว่าสองพี่น้องจะหัวเสีย เนื่องจากว่าทั้งคู่มัวแต่เสียไพ่ให้กับนายลุ้น 

    “ป๊อกเก้าสองเด้ง!!” นายลุ้นตะโกนออกมาแล้ววางไพ่

    “โห บ้าเอ้ย โดนกินอีกแล้ว!!” โลร็องต์ตะโกนออกมามาลั่น ในขณะที่ลูโดวิกก็แทบไม่ต่างกัน

    “ใจเย็นสิ นี่ขนาดไม่เสียเงินนะเนี่ย ถ้าเล่นพนันจริงๆจะขนาดไหน” ลูโดวิกพูดพลางเกาหัวไปด้วย

    “ฮ่าๆๆ เอาเถอะ วันหนึ่งพวกนายก็ชนะได้ ไม่ต้องห่วงหรอก” นายลุ้นพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ นายลืมที่เดินอยู่แถวนั้นก็เดินมาดูวงไพ่ของพวกเขา และในตอนนั้น เขาก็หยิบไพ่ใบหนึ่งมาดูด้วย 

    “เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่าพวก??” โลร็องต์ตะโกนถามนายลืมไป แต่ในตอนนั้น ลูโดวิกก็หยิบเอากล้องของนายลืมมา จากนั้นก็ลองถ่ายรูปของนายลืมไป จนได้รูปมารูปหนึ่ง ซึ่งมันเป็นรูปกลุ่มชายหญิงกำลังนั่งล้อมวงเล่นไพ่กัน และเมื่อเขาเอารูปให้นายลืมไป นายลืมก็นึกอะไรขึ้นมาได้

    “จะว่าไป ฉันเหมือนจำได้ว่าเห็นพ่อกับแม่เล่นมัน บางทีก็ทะเลาะกันด้วย” นายลืมพูดขึ้น ทำเอาพวกของนายลุ้นถึงกับพูดไม่ออก

    “อ้อ ดูเหมือนจะไม่ใช่ครอบครัวที่ดีเท่าไหร่นะเนี่ย” ลูโดวิกพูดขึ้น

    “เออ เอาเถอะ นายไม่ต้องจำหรอกเรื่องพวกนี้” นายลุ้นพูดขึ้น จากนั้นก็ดึงเอารูปนั้นกลับมาในทันที

    “อืม พวกนายสอนฉันเล่นหน่อยสิ” นายลืมพูดขึ้น

    “เฮ้อ อย่าดีกว่า เดี๋ยวนายก็ลืมอีก แล้วฉันก็ต้องสอนนายเล่นเรื่อยๆ ไม่เอาดีกว่า” โลร็องต์พูดขึ้น จากนั้นก็ส่งสายตาให้กับนายลุ้น นายลุ้นรู้ก็รีบเก็บไพ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบเอาไพ่เก็บไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบเดินหนีนายลืมไป

    “เอาเถอะ นายอยู่แบบนี้ดีแล้วหล่ะ” ลูโดวิกพูดขึ้นจากนั้นก็แตะไหล่นายลืมไป

    “เอ๊ะ เป็นแบบไหน แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย??” นายลืมถามไป ถึงแม้ว่าคนอื่นๆจะปวดกบาลกับเขา แต่ในตอนนี้กลับไม่มีใครรำคาญเขาได้ลง แต่ในขระเดียวกัน ลาลินเองก็เดินเข้ามาหาทุกคน จากนั้นเธอก็ถามทุกคนไป

    “ดีค่ะทุกคน ทำอะไรกันอยู่เหรอคะ??” 

    “อืม ผมก็ไม่รู้เหมือนครับ อันที่จริง ผมก็ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” นายลืมพูดต่อ จากนั้นพวกเขาก็พากันแยกย้ายอย่างรวดเร็ว

    “เออ แปลกคนดีนะ แต่ช่างมันเถอะ ขอไปไถทวิตต่อดีกว่า” ลาลินพูดขึ้น

     

    และอีกด้านหนึ่ง โจไซอาห์ซึ่งมองกลุ่มของนายลุ้นอยู่ห่างๆพร้อมกับอินเนสซ่า เมื่อพวกของนายลุ้นต่างแยกย้ายกัน โจไซอาห์และอินเนสซ่าก็รีบเดินออกไปด้วยกัน

    “เฮ้อ จะว่าไปก็สงสารเจ้าลืมเหมือนกันนะเนี่ย” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “นั่นสิ ลุ้นเองก็พูดถูกแล้วหล่ะ บางอย่างลืมไปได้หน่ะดีแล้ว” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “เมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบลงนะ ผมกับคุณจะได้อยู่ด้วยกันซะที??” โจไซอาห์พูดไป

    “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงฉันกับคุณก็คงไม่มีทางแยกกันอยู่แล้ว” อินเนสซ่าตอบไป

    “อืม นั่นสิครับ ผมคงคิดมากไปเอง” โจไซอาห์พูดขึ้นมา

    “ตอนนี้เราก็คงต้องรอเวลาซักหน่อยหล่ะค่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “ไม่เป็นไรครับ ไม่ว่านานแค่ไหนผมก็จะรอครับ” โจไซอาห์บอกไป

    “ค่ะ คุณรู้ไหม ฉันตามหาคุณมานานมากเลยนะคะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “ผมรับรองว่าทุกอย่างต้องคุ้มค่าแน่นอนครับ” โจไซอาห์พูดออกไป และในตอนนั้น อินเนสซ่าก็ยิ้มตอบกลับให้แล้วจับมือกับโจไซอาห์ด้วย

     

    ทางด้านของดันเต้ ในตอนนั้นตัวของเขาก็กำลังเชื่อมต่อหน้าจอของเขาเข้ากับระบบการติดต่อ เพื่อทำการติดต่อกับใครบางคน และในตอนนั้น หน้าจอของคนที่พวกเขาอยากติดต่อด้วยก็ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    “สวัสดีค่ะ คุณดันเต้ ลันโทส!!”

    “คุณเบ็ตตี้ คุณปลอดภัยดีนะครับ??” ลันโทสถามอย่างสงสัย

    “อ้อ ฉันไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้กำลังกบดานอยู่” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “ครับ ดีแล้วที่คุณปลอดภัย แล้วตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง??” ดันเต้ถามไป

    “ตอนนี้กลุ่มของเราแตกกระจายกันไปคนละทิศละทาง แล้วอีกอย่าง ทางตำรวจได้ตรวจค้นตึกของเรา พวกนั้นเจอเครื่องผลิตเฮโรอีนด้วย”

    “ห่ะ เฮโรอีน เป็นไปได้ยังไงกันครับ??” ซีโร่ถามอย่างสงสัย

    “ฉันเองก้อยากรู้ ฉันลองไปสอบถามกับกลุ่มต่างๆ ก็ไม่เห็นมีใครจะรู้เรื่องอะไรเลย ไม่แน่ตำรวจอาจจะยัดคดีให้เราก็ได้” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “ผมว่าไม่หรอกครับ เครื่องจักรแบบนั้นต้องใช้เวลาเกินวันกว่าจะติดตั้งได้ ถ้ามีการติดตั้งกัน คนในก็ต้องรู้สิครับ ผมว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในแน่นอน” ดันเต้พูดขึ้น

    “อืม ถ้าอย่างงั้น คุณเบ้ตตี้จะทำยังไงต่อครับ??” ลันโทสถามอย่างสงสัย

    “ฉันจะลองสืบหาไอ้คนที่มันเล่นไม่ซื่อเอง ถ้าฉันจับได้ ฉันไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่” เบ็ตตี้พูดขึ้น

    “รับทราบครับผม แล้วพวกผมจะช่วยสืบให้ด้วยครับ” ซีโร่พูดไป

     

    บริเวณตึกที่เกิดเหตุช่วงเดียวกันนั้น ตัวของไคก็ได้เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ แต่ในตอนนี้ ตัวของเธอก็พบว่ามีตำรวจมากมายคอยป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆบริเวณนั้น และดูเหมือนว่าพวกนั้นจะปิดเส้นทางเข้าออกเอาไว้ทั้งหมดด้วย ไครีบไปคุยกับตำรวจที่อยู่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

    “สวัสดีค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ??” 

    “อ้อ คุณผู้หญิงมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ??” ตำรวจคนหนึ่งถามไป

    “อ้อ คือ ฉันเป็นนักข่าวหน่ะค่ะ” ไคแกล้งพูดไป

    “นักข่าวเหรอครับ ที่นี่ห้ามทำข่าวนะครับ เพราะที่นี่กำลังถูกควบคุมสูงสุดครับ”

    “อ้าว ทำไมหล่ะคะ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ??” ไคถามต่อไป

    “มีรายงานว่าที่นี่มีการผลิตยาเสพติดครับ ด้านในตรวจพบว่ามีเครื่องจักรผลิตยาเสพติดมากมายเลยครับ” 

    “อย่างงั้นเหรอคะ??”

    “ว่าแต่ คุณมีบัตรนักข่าวหรือเปล่าครับ??” ตำรวจถามกลับไป 

    “คือ ฉันลืมเอาบัตรมาหน่ะค่ะ ขอตัวนะคะ” 

    เมื่อไคพูดจบ ตัวของเธอก็รีบเดินออกไปจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว โดยที่ตำรวจก็ยังแปลกใจว่าเธอเป็นใครกันแน่ ในตอนนั้นไครีบไปหลบอยู่ในป่าละเมาะแถวนั้น แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ เธอก็เห็นชายคนหนึ่งซึ่งกำลังหลบอะไรบางอย่างแถวนั้น เธอสัมผัสได้ว่าชายคนนั้นคือผู้เกิดใหม่ เธอรีบไปคุยกับชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว

    “นี่คุณ คุณมาทำอะไรที่นี่??” ไคถามอย่างสงสัย

    “พวกตำรวจมันบุกมาจัดการเรา พวกมันฆ่าผู้เกิดใหม่อย่างเรา คุณรีบหนีไป ที่นี่ไม่ปลอดภัย”

    “อ้าว ไหนว่าที่นี่มีค้ายากันไงคะ??” ไคถามอย่างสงสัย

    “นี่คุณเชื่อมันงั้นเหรอ พวกมันมีข้ออ้างเสมอที่จะจัดการกับเรา”

    “แล้วพวกคุณไปที่ไหนกันหมดงั้นเหรอ??” ไคถามอย่างสงสัย

    “ผมก็ไม่รู้ แต่ที่นี่ไม่ปลอดภัย” ชายคนนั้นพูดขึ้น แต่ในตอนนั้น จู่ๆ พวกตำรวจก็เกิดเอะใจอะไรบางอย่าง ตำรวจจึงลองเดินมาดูอย่างรวดเร็ว ชายคนนั้นเลยผลักไคออกไปจากพื้นที่ จากนั้นเขาก็วิ่งไปหาตำรวจ

    “เฮ้ย ทางนี้เว้ย!!”

    “ปัง!!” ชายคนนั้นพยายามยิงปืนใส่ตำรวจ แต่ตำรวจก็ชักปืนออกมากระหน่ำยิงใส่ชายคนนั้นจนล้มลง ในตอนนั้นไคก็รีบหนีออกจากพื้นที่อย่างรวดเร็วก่อนที่ตำรวจจะตามเธอไป

     

    ตกดึก ณ สถานรับเลี้ยงเด็กซึ่งซูซาคุได้รับเบาะแสมา แต่เมื่อเธอกลับไปที่นั่น เธอก็พบว่ามันได้เปลี่ยนตัวคนบริหารแล้ว รวมถึงเธอก็ไม่ได้รับเบาะแสอะไรเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่เธอกำลังหาตัวอยู่ ทำเอาตัวของเธอถึงกับคอตก แล้วเดินกลับมาที่รถของเธออย่างรวดเร็ว โดยที่ผู้ช่วยของเธอก็ตามเธอมาด้วย

    “เฮ้อ ดูเหมือนว่าจะไม่เจอเขาสินะครับ” 

    “นั่นสิฮันเตอร์ แต่ก็ไม่แปลกใจหรอก นี่มันก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว” ซูซาคุพูดขึ้น

    “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นเหรอครับ??” ฮันเตอร์ถามไป

    “ก็ไม่มีอะไรหรอก ญาติของฉันคลอดเขาออกมา แต่เพราะเรื่องที่บ้าน เธอเลยต้องเอาเขามาไว้ที่นี่ ก่อนตาย เธอบอกให้ฉันตามหาเขา แล้วก็ขอโทษเขาแทนเธอหน่อย” ซูซาคุพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ก็มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินมาล้อมพวกเขาเอาไว้ จากนั้นพวกมันก็พูดขึ้น

    “โห รถสวยนี่หว่า!!”

    “เฮ้ย มึงคิดว่าพูดอยู่กับใครวะ??” ฮันเตอร์ตะโกนกลับไป แต่ในตอนนั้นซูซาคุก็ยกมือขึ้นห้าม จากนั้นก็เดินไปหาเด็กวัยรุ่นคนนั้น

    “ตุ๊บ!!”

    ซูซาคุต่อยหน้าเด็กคนนั้นจนกระเด็นลงพื้น เด็กอีกคนจะใช้ไม้ฟาดเธอ แต่ซูซาคุก็ใช้ส้นสูงเตะเข้าที่ก้านคอต่อ แล้วก็ถีบหน้ามันซ้ำอีกที

    “เฮ้ย มากไปแล้วนะเว้ย!!”

    “ปัง!!” ก่อนเหตุการณ์จะบานปลาย ฮันเตอร์จึงรีบหยิบปืนขึ้นมาแล้วยิงขึ้นฟ้า ทำเอาเด็กพวกนั้นวิ่งหนีกันไปคนละทาง 

    “คุณซูซาคุครับ ไปกันเถอะครับ!!”

    “เฮ้อ เสียดาย อดยืดเส้นยืดสายเลย” ซูซาคุพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็รีบพากันขึ้นรถ แล้วขับออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว

     

    เช้าวันต่อมา หลังจากที่ทุกคนพักผ่อนกันเสร็จแล้ว ที่ห้องของนาวิน เขาลุกขึ้นมาโดยที่ร่างกายยังเปลือยเปล่า ตัวของเขาค่อยๆปลุกเวียน จนกระทั่งเธอตื่นขึ้นมา

    “ตื่นแล้วเหรอคะคุณวิน??”

     “ครับ ผมว่าเราใส่เสื้อผ้ากันดีกว่า ไม่รู้ว่าวันนี้มีงานอะไรบ้าง” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขากับเวียนก็เข้าไปอาบน้ำด้วยกัน รวมถึงรีบแต่งตัวกันจนเสร็จเรียบร้อย และพวกเขาทั้งคู่ก็เดินควงกันไปสมทบกันคนอื่น ซึ่งในตอนนี้พวกเขาก็มารอนาวินกันอยู่แล้ว

    “ตื่นสายนะคะวันนี้พี่วิน พี่เวียน” ลาลินพูดขึ้น ทำเอาทั้งนาวินและเวียนถึงกับยิ้มหน้าแดงไป

    “อ้อ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่วันนี้เราต้องทำอะไรบ้างครับ??” นาวินถามไป

    “ครับ ตอนนี้เรากำลังจะเจองานใหญ่แล้ว ภา บอกทุกคนไปหน่อยสิ” ดันเต้พูดขึ้น

    “ครับผม คือว่าผมดักฟังการติดต่อของพวกมัน พวกมันกำลังจะส่งกำลังเสริมมาเพิ่ม แต่คราวนี้ ผมได้ยินมันพูดถึงโปรเจ็กค์ The S อะไรของมันด้วยนี่หล่ะครับ” ภาภินพูดขึ้น

    “เรื่องกำลังเสริมเราไม่ห่วงหรอก แต่ The S นี่มันคืออะไร อาวุธลับเหรอ??” เวียนถามอย่างสงสัย ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ดันเต้ก็ยังนึกไม่ออก

    “ตอนนี้เราคงต้องรู้ว่าอาวุธลับของพวกมันคืออะไร มันคงจะลงมืออีกแน่นอน” ลันโทสพูดขึ้น

    “จะว่าไป เมื่อวาน สถานที่ที่เราไปนัดชุมนุมกัน พบว่ามีการค้ายาเสพติดกันที่นั่นด้วย ผมเพิ่งจะดูข่าวมา” ซีโร่พูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของอากิระก็ทำหน้าเหมือนกับว่านึกอะไรบางอย่างออก

    “อากิระ นายคิดอะไรออกงั้นเหรอ??” เสี่ยวหลงถามไป

    “จะว่าไป ไอ้ของที่ฉันเจอตอนที่ไอ้บ้านั่นทำตก มันเหมือนกับผงขาวเลยแหะ” อากิระพูดขึ้น

    “อ้อ ไอ้คนที่ชนเราเมื่อวานนี่ สงสัยพวกนั้นคงกำลังเอาหลักฐานไปทำลายแน่ๆ” อัญชันพูดขึ้น

    “นี่แสดงว่าพวกใต้ดินเองก็ทำธุรกิจผิดกฎหมายงั้นเหรอ??” ฮารุถามอย่างสงสัย

    “แบบนี้พวกนั้นก็มีข้ออ้างในการเล่นงานเราแล้ว ไม่น่าเลย” นายลุ้นพูดขึ้น

    “อืม จะว่าไป ยาบ้าเป็นสิ่งไม่ดีนะครับ” นายลืมพูดขึ้น 

    “เออ รู้แล้วน่า ไม่ต้องบอกก็รู้” โลร็องต์พูดอย่างหัวเสีย

    “เอาเถอะ แล้วคราวนี้เราจะเอายังไงกันต่อหล่ะ??” โจไซอาห์ถามอย่างสงสัย

    “ตอนนี้เราก็คงต้องกบดานกันไปก่อนหล่ะครับ” ลูโดวิกตอบไป

    “ตอนนี้เราจะโจมตีก็ไม่ได้ เพราะเรากำลังตกเป็นจำเลยสังคมอยู่ คงทำได้แค่รอตั้งรับพวกมัน” อินเนสซ่าพูดไป

    “ก็คงจะเป็นอย่างงั้นครับ ตอนนี้เราก็ต้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน รอมีโอกาสค่อยว่ากันอีกทีครับ” นาวินบอกกับทุกคนไป

     

    เช้าวันต่อมา สถานที่กบดานของหน่วย UNASO หลังจากที่พวกเขาได้พักผ่อนกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวกันก่อนที่พวกเขาจะออกปฏิบัติภารกิจ ทางด้านของฮาเวิร์ด ในตอนนั้นตัวของเขาและเวอร์รีนก็มานั่งคุยกันถึงภารกิจที่พวกเขากำลังจะทำ รวมถึงตรวจสอบอาวุธของพวกเขาด้วย

    “คุณฮาเวิร์ดคะ ดิฉันว่าภารกิจวันนี้ต้องมีลับลมคมในแน่นอนค่ะ” เวอร์รีนพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็ชาร์จแบตอาวุธของเธอ

    “ฉันก็คิดเหมือนกัน แต่เราจะทำอะไรได้หล่ะ??” ฮาเวิร์ดถามไปในขณะที่เขากำลังลับมีดของเขา

    “คอยดูเถอะ ฉันจะแฉเธอให้เบื้องบนได้รู้” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “อย่าเลย ฉันว่าคนพวกนี้ต้องมีเส้นใหญ่พอตัวเลยหล่ะ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น

    “ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครมันอยู่เบื้องหลังยัยนั่น” เวอร์รีนพูดขึ้น

    “อีกไม่นานเราก็คงได้รู้กันหล่ะ” ฮาเวิร์ดตอบกลับเธอไป

     

    ทางด้านของรูกี้ ในตอนนั้นตัวของเขาก็กำลังนั่งปลีกวิเวกอยู่คนเดียว โดยที่ตัวของเขาได้เอารูปใบหนึ่งออกมาดู มันเป็นรูปของเขาที่ถ่ายร่วมกับหญิงสาวคนหนึ่ง รวมถึงเด็กน้อยทั้งสองคน ดูราวกับเป็นครอบครัวที่มีความสุข

    “พ่อขา ช่วยหนูด้วย!!”

    “ไม่!!”

    “เฮ้ ไงพวก ดูรูปหญิงคนไหนอีกวะ??” วูฟตอนนั้นที่เดินผ่านมาก็ตะโกนแซวไป

    “เฮ้ย มึงอย่างมายุ่ง นี่ครอบครัวกูนะเว้ย!!” รูกี้ตอบกลับไป และกาลีน่าซึ่งเดินผ่านมาแถวนั้น เห็นทั้งสองคนกำลังฟาดปากกันก็พูดขึ้น

    “พวกนายสองคนนี่ ไม่ทะเลาะกันซักวันมันจะตายหรือไง ฉันว่านายไม่ควรไปเล่นกับครอบครัวคนอื่นแบบนั้นนะ” กาลีน่าพูดกับวูฟไป

    “เออๆ เอาเถอะ ว่าแต่พวกนั้นไปไหนซะแล้วหล่ะ??” วูฟถามอย่างสงสัย

    “ขึ้นสวรรค์กันทั้งหมดแล้ว พอใจหรือยังหล่ะ??” รูกี้ตะโกนถามไป

    “อ้าว แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหล่ะ??” กาลีน่าถามอย่างสงสัย

    “ก็ไม่มีอะไร จู่ๆ วันที่ฉันกลับบ้านมา ฉันเห็นบ้านฉัน โดนไอ้พวกผู้เกิดใหม่กำลังรุมเผา ลูกเมียฉันก็อยู่ด้านในนะ” รูกี้พูดขึ้น

    “อ้อ มิน่าหล่ะทำไมนายถึงไล่ฟัดไอ้พวกนั้นจัง เอาเถอะ ไปหล่ะ ถือว่าสงสารแล้วกัน” วูฟพูดขึ้น จากนั้นตัวของหมอนั่นก็หันหลังเดินกลับไปในทันที

    “โธ่ ไอ้หมาบ้าเอ้ย” กาลีน่าสบถไล่หลังวูฟไป

     

    ทางด้านของแสงจันทร์ หลังจากที่ตัวของเขาโทรศัพท์หาครอบครัวของเขาแล้ว ในตอนนั้นรูกิก็เดินมาหาเขา ตัวของแสงจันทร์ได้วางสายไปในทันที รูกิในตอนนั้นเดินเข้ามาใกล้และนั่งข้างๆเขา ทำเอาเขาถึงกับตกใจเล็กน้อย

    “นี่ ขอบใจนะที่ช่วยฉันเมื่อวาน” 

    “อ้อ ไม่เป็นไรหรอก มันก็ต้องช่วยอยู่แล้วหล่ะ” แสงจันทร์พูดขึ้น และในตอนนั้น รูกิก็จูบเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาแสงจันทร์ถึงกับทำตัวไปไม่ถูก

    “จูบแรกงั้นเหรอ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะมียิ่งกว่านี้อีกนะ” รูกิพูดขึ้นพลางส่งสายตาให้แสงจันทร์

    “นี่ เธอ เธอทำอะไรเนี่ย??”

    “นี่ ถึงฉันจะเป็นหุ่นดรอยด์ แต่ฉันก็มีสัมพันธ์กับคนได้ อยากลองมั้ยหล่ะ เอาไว้ว่างๆมาลองกันนะ” รูกิพูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว 

    “อะไรของเธอกันนะ??” แสงจันทร์ถามไปแบบงงๆ

     

    และอีกด้านหนึ่ง จ่าชัยและยูริซึ่งในตอนนั้นพวกเขามารวมตัวกันเพื่อปรึกษาถึงงานต่อไปที่พวกเขาจะได้รับ ซึ่งดูเหมือนพวกเขาจะสงสัยว่าเรื่องนี้จะมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง

    “นี่ ฉันว่างานนี้มันแปลกๆ นายว่ามั้ย??” จ่าชัยถามอย่างสงสัย

    “ฉันก็พอเดาได้ แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี” ยูริพูดขึ้น

    “ไม่รู้สิ บางทีฉันก็อยากถอนตัวนะ” จ่าชัยพูดขึ้น

    “เออ เอาเถอะ ฉันเองก็หวังว่าเมื่อไหร่งานนี้จะจบซะที” ยูริพูดไป

    “ถ้าอย่างงั้น ก็มารอดูกันว่าจะยังไงต่อ” จ่าชัยพูดขึ้น จากนั้นก็ใส่กระสุนปืนของเขาอย่างรวดเร็ว

    “นั่นสิ ฉันยังไม่ยอมแพ้แค่นี้หรอก” ยูริพูดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนั้น จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงสัญญาณอะไรบางอย่างดังขึ้น ซึ่งมันเป็นสัญญาณเรียกระดมพล กลุ่มของฮาเวิร์ดรีบไปที่ห้องทำงานของคริสเตียลอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก พวกเขาก็มารวมตัวกันจนหมด พวกเขาก็พบกับคริสเตียล และลีน่าที่กำลังยืนข้างๆเขา 

    “เอาหล่ะทุกคน วันนี้คุณลีน่าจะสรุปภารกิจให้เราได้ฟังนะครับ” คริสเตียลพูดขึ้น

    “ค่ะ สายของเรารายงานมาว่า พื้นที่บริเวณนี้ เป็นแหล่งกบดานของด็อกเตอร์ดันเต้ ซึ่งพวกเขาเป็นตัวอันตรายของเราในตอนนี้ แต่ความจริง เรายังต้องการเขา เพราะเขายังมีความสามารถอยู่ งานของพวกคุณก็คือสำรวจแนวป่านี้ ตามหาแหล่งกบดานของดันเต้ซะ แล้วทำลายให้หมด” ลีน่าพูดขึ้น

    “อืม แต่ว่าคนอย่างดันเต้จะอยู่แถวนั้นเหรอครับ??” ฮาเวิร์ดถามไป

    “ถึงยังไงเราก็ต้องลองไปดูก่อน มีความเป็นไปได้สูงที่พวกมันจะมีฐานทัพใต้ดินที่นั่น เอาหล่ะ พวกคุณเตรียมอาวุธกันได้ เราจะออกเดินทางกันเย็นนี้” ลีน่าบอกกับทุกคนไป จากนั้นตัวของเธอก็เดินกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว 

    “เอาหล่ะ เย็นนี้เราจะออกเดินทางกัน เตรียมอาวุธให้พร้อมหล่ะ” คริสเตียลบอกกับทุกคนไป และด้านในห้องของลีน่า ในตอนนั้นตัวของเธอก็เอาโทรศัพท์ของเธอขึ้นมา จากนั้นก็คุยแชทกับใครบางคนไป

    “ที่รักคะ ฉันมีข่าวดีค่ะ”

    “ข่าวดีเหรอ ข่าวดีอะไรหล่ะ??”

    “ไม่เกินพรุ่งนี้ ของๆที่รักจะได้คืนมาแน่นอนค่ะ” 

    “จริงเหรอ นี่เธอแน่ใจนะ??”

    “แน่นอนค่ะ แล้วฉันจะรีบส่งรูปไปให้ที่รักดูนะคะ” 

    “ดี ถ้าเธอทำได้ ฉันจะรีบออกเดินทางไปเมืองไทยเลย”

    “รีบๆมานะคะ คิดถึงที่รักจังเลย”

    “ไม่ต้องห่วง แล้วฉันจะรีบไป ถ้างานสำเร็จ เอาไว้เจอกัน”

     

    ณ ตึกร้างแหล่งกบดานของกลุ่มผู้เกิดใหม่ หลังจากที่กลุ่มตำรวจพากันออกจากพื้นที่หมดแล้ว พวกของเบลก้แอบไปพักกันในตึก และในเช้าวันต่อมา ในขณะที่แก้วกำลังนอนพักอยู่ จู่ๆ เบลและเกเบรียลก็วิ่งมาหาเธออย่างรวดเร็ว 

    “แก้ว ตื่นเร็ว เราต้องไปแล้ว” เบลพูดขึ้น

    “ทำไม เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ??” แก้วถามอย่างสงสัย

    “มีตำรวจมาที่นี่ เราต้องซ่อนตัวกันก่อน” เกเบรียลพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็รีบวิ่งลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว พวกเขาไปอยู่กันที่ชั้นสอง แต่ในตอนนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตำรวจที่กำลังเดินขึ้นมา ในตอนนั้นพวกเขาก็รีบเข้าไปหลบในห้องๆหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบล็อคประตูห้องเพื่อไม่ให้ตำรวจบุกเข้ามาได้

    “บ้าเอ้ย พวกมันจะมาที่นี่ทำไมอีกเนี่ย??” เบลถามอย่างสงสัย

    “นั่นสิ หรือว่ามันมาตามหาอะไรหรือเปล่า??” เกเบรียลถามอย่างสงสัย และในขณะเดียวกันนั้นเอง ตัวของแก้วก็หันไปมองกองขี้เถ้า รวมถึงกระดาษบางส่วนซึ่งถูกเผาไม่หมด ในตอนนั้นตัวของแก้วก็ลองไปค้นด้านในกองเอกสาร แล้วก็พบว่ามีเอกสารตัวหนึ่งซึ่งถูกหนังสือปกแข็งทับไว้ จากนั้นเธอก็หยิบมาอ่านในทันที

    “เอกสารงั้นเหรอ??”

    “เฮ้ แก้ว เธออ่านอะไรอยู่งั้นเหรอ??” เบลถามอย่างสงสัย

    “มันเหมือนเอกสารการซื้อขายของหน่ะ” แก้วพูดขึ้น และในตอนนั้นเธอก็พบว่ามันเป็นสารเคมีอะไรบางอย่าง

    “มันคือของอะไรงั้นเหรอ??” เกเบรียลถามอย่างสงสัย

    “สารตั้งต้นทำยาเสพติดนี่หน่า” แก้วพูดขึ้น

    “ห่ะ หมายความว่า ที่นี่มีการผลิตยาเสพติดอย่างงั้นเหรอ??” เบลถามไป

    “มิน่าหล่ะ ตำรวจถึงได้มากันเยอะขนาดนี้” เกเบรียลพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ พวกเขาก็ได้เสียงกระแทกประตูมาจากด้านหน้า

    “ปังๆๆๆ!!”

    “แย่แล้ว เอาไงต่อดีหล่ะ??” แก้วถามไป

    “ไปซ่อนในตู้กันก่อน เร็ว” เกเบรียลพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็รีบพากันเข้าไปหลบในตู้อย่างรวดเร็ว พวกเขาพยายามยัดตัวเข้าไปด้านในอย่างทุลักทุเล และไม่นานนัก ตำรวจก็บุกเข้ามาด้านใน พวกตำรวจพยายามมองไปทางนั้นทีทางนี้ที และไม่นานนัก จู่ๆ พวกเขาก็เจอกับเอกสารที่แก้วทิ้งไว้ พวกนั้นรีบหยิบมาอ่าน และไม่นาน พวกเขาก็รีบเดินออกไปด้านนอกในทันที และพวกของเบลก็โผล่ออกมาจากตู้หลังจากนั้น และพากันถอนหายใจไปคนละเฮือกใหญ่

    “โห เกือบไปแล้วมั้ยหล่ะ” เบลพูดออกมา

     

    กลับมายังบ้านพักของอีสครินน่าในเช้าวันต่อมา หลังจากที่ทนการรบเร้าของพัตติยาไม่ไหว เธอก็ต้องระดมคนเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ของดันเต้ซึ่งพัตติยาได้รู้มา หลังจากที่ลูอีสระดมคนได้จนสำเร็จ พวกเขาก็รีบไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นขบวนรถก็ค่อยๆออกเดินทางจากบ้านเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง

    “ผมต้องใช้เส้นทางที่อ้อมไปหน่อย เพื่อความปลอดภัยนะครับ” ลูอีสพูดขึ้นในขณะที่กำลังขับรถ

    “เออนี่ เมื่อคืนเธอเป็นยังไงบ้างหล่ะ??” อีสครินน่าถามพัตติยาไป

    “อ้อ ไม่มีอะไรหรอก” พัตติยารีบปฏิเสธไป

    “นี่ ฉันได้ยินเสียงเธอคุยโทรศัพท์อยู่นะ” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “อ้อ ไม่มีอะไรหรอก” พัตติยาพูดขึ้น

    “เธอต้องระวังตัวหน่อยนะ พวกมันอาจจะแกะรอยจากโทรศัพท์ก็ได้” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ฉันรู้ แต่ว่ามันอดไม่ได้นี่หน่า ว่าแต่ ถ้าเธอไปพบเขาแล้วเธอจะทำยังไงต่อหล่ะ??” พัตติยาถามไป

    “อืม เรื่องนั้นไว้ฉันจัดการเอง” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ดูเหมือนว่าช่วงนี้พวกเราจะเหนื่อยๆกันหน่อยนะ” พัตติยาพูดขึ้น

    “ก็แน่หล่ะ ตอนนี้ไอ้พวกบ้านั่นมันเริ่มเอาจริงแล้ว ลูอีส เราคงต้องจัดกำลังคนคุ้มกันให้มากขึ้นนะ” อีสครินน่าพูดไป

    “รับทราบครับ ตอนนี้ผมกำลังเตรียมระดมคนอยู่ครับ” ลูอีสพูดขึ้น

    “อืม แล้วช่วงนี้มีข่าวอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าคุณลูอีส??” อีสครินน่าถามไป

    “ตอนนี้มีข่าวว่าทาง UNASO กำลังจะส่งกำลังเสริมมาที่นี่ครับ” ลูอีสพูดขึ้น

    “โห สงสัยคราวนี้กรุงเทพคงเละเทะแน่ๆ” พัตติยาพูดขึ้น

    “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย” อีสครินน่าพูดขึ้น

    “ก็ขอให้เป็นอย่างงั้นเถอะ” พัตติยาพูดขึ้น และในตอนนั้นเธอก็หยิบเอาโทรศัพท์ของเธอมาไถเล่นต่ออย่างรวดเร็ว 

    “อยากรู้จริงว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่นะ” อีสครินน่าบ่นออกมา

     

    ณ ย่านลำลูกกา ปทุมธานี รถซึ่งมิกิโดยสารมาด้วยได้ขับมาเรื่อยๆ ตามถนนเส้นหลัก ต่อมาก็เลี้ยวเข้าไปในซอยแห่งหนึ่ง ซึ่งข้างทางเป็นป่าละเมาะ พวกเขาขับรถเข้ามาเรื่อยๆ จนมาถึงบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางป่าแห่งนั้น

    “เออนี่ คุณเบ็ตตี้อยู่ที่นี่เหรอ??” มิกิถามอย่างสงสัย

    “ตามมาแล้วคุณจะรู้เอง” ชายคนนั้นพูดขึ้น และไม่นานนัก ชายคนนั้นก็จอดรถบริเวณลานกว้าง จากนั้นก็พามิกิลงจากรถในทันที แล้วพาเธอเดินเข้าไปด้านในบ้าน และที่ห้องรับแขก ซึ่งในตอนนั้น มิกิก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังอยู่กับกลุ่มชายฉกรรจ์ติดอาวุธมากมายที่ยืนรอเธอ

    “สวัสดีคุณมิกิ”

    “คุณสินะ คุณเบ็ตตี้ ที่มีข้อเสนอกับฉัน” มิกิพูดขึ้น

    “ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งจะหนีจากพวกมันมาได้ เลยเหนื่อยๆหน่อย อย่าคิดมากหล่ะ” 

    “ว่าแต่ คุณมีอะไรหรือเปล่าถึงอยากพบฉัน??” มิกิถามไป

    “ได้ข่าวว่าคุณมีข้อมูลสำคัญอยู่ในมือ เกี่ยวกับพวก UNASO หน่ะ” 

    “ใช่แล้วค่ะ แต่ต้องจ่ายมากพอนะคะ แล้วต้องพาฉันออกนอกประเทศด้วย” มิกิพูดขึ้น

    “อืม ก็พอเข้าใจได้ 50 ล้านน่าจะพอนะ” 

    “ค่ะ แล้วฉันอยากไปกบดานที่มาเก๊าซักพักด้วย” มิกิพูดขึ้น

    “เลือกสถานที่ได้ดีนี่ ประเทศจีน ที่ไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดน”

    “คุณก็ทำการบ้านมาดีเหมือนกันนะคะเนี่ย” มิกิตอบไป

    “จะว่าอะไรหรือเปล่าคะถ้าฉันอยากเห็นข้อมูลก่อน??” เบ็ตตี้ถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเอง ตัวของมิกิก็โชว์เอาฮาร์ดดิสก์พกพาออกมาให้เบ็ตตี้ดู

    “อืม แล้วข้อมูลด้านในหล่ะ??” เบ็ตตี้ถามไป

    “ฉันขอมัดจำข้อมูล 25 เปอร์เซ็นต์ก่อน ที่เหลือ ตอนที่ฉันได้เงินแล้ว คุณเอานี่ไปเลย” มิกิพูดขึ้น

    “ก็ได้ ถ้าอย่างงั้นก็ลองเอาข้อมูลใส่โน๊ตบุ๊คให้ฉันหน่อยสิ” เบ็ตตี้พูดขึ้นพลางยื่นโน๊ตบุ๊คให้กับมิกิ จากนั้นไม่นานมิกิก็ใส่ข้อมูลส่วนหนึ่งของเธอลงในโน๊ตบุ๊ค จากนั้นก็เอาคืนให้เบ็ตตี้ไป เบ็ตตี้รีบเปิดไฟล์อ่านมันในทันที

    “เป็นยังไงบ้างคะ??” มิกิถามอย่างสงสัย

    “ไม่ผิดหวังเลยจริงๆค่ะ” เบ็ตตี้ตอบกลับไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งในเขตธัญบุรี หลังจากที่เซนขับรถไปยังที่หมายเพื่อตามหาคนที่เขาต้องการจะฆ่า แต่เมื่อเขาไปถึงก็กลับไม่มีใครแล้ว มีแต่ตำรวจที่คอยเฝ้าพื้นที่ เซนจึงตัดสินใจขับรถไปในเขตเมือง จากนั้นก็หาโรงแรมเพื่อพักผ่อนซักวันสองวัน มันเป็นโรงแรมม่านรูด เซนจอดรถและเปิดประตูลงไปกับคิฮาระ และในตอนนั้น เด็กของโรงแรมคนหนึ่งก็มาดูพวกเขาทั้งคู่

    “พี่ๆ ชอบห้องแนวไหนบอกได้นะพี่!!”

    “แนวไหนก็ได้เรื่องของฉันเถอะ” เซนตอบกลับไปจากนั้นก็ควักเงินให้กับเด็กโรงแรมไป เมื่อหมอนั่นได้เงินจึงยิ้มและเดินออกไป ส่วนคิฮาระเองก็ตามเซนเข้าไป ในตอนนั้นตัวของเซนก็ไปนั่งบนโต๊ะตัวหนึ่ง ก่อนที่จะเอากองเอกสารวางไว้ตรงนั้น และในตอนนั้น ตัวของเขาก็ไปเจอกล่องอะไรบางอย่างบนโต๊ะมา โดยเข้าใจว่าจะเป็นกระดาษทิชชู่ แต่ด้านในดันเป็นถุงยางอนามัย ทำเอาตัวของเซนพยายามจะเก็บ แต่ในตอนนั้นคิฮาระก็มาเจอเข้าก่อน

    “หาอะไรอยู่เหรอ??” คิฮาระถามไป

    “อ้อ หาของอยู่หน่ะ” เซนตอบไป

    “แต่นั่นมันถุงยางนะ”

    “อ่า ฉันจะหาทิชชู่หน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เซนพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นคิฮาระก็เดินไปหยิบเอาถุงยางกล่องนั้นมาดูอย่างรวดเร็ว

    “นายเคยมีอะไรกับผู้หญิงหรือเปล่า??” คิฮาระถามไป

    “ก็ต้องไม่เคยอยู่แล้วสิ เธอนี่ถามแปลกๆนะ” เซนพูดขึ้น

    “ฉันไม่ว่าหรอกนะถ้านายอยากจะมีอะไรกับฉัน” คิฮาระพูดขึ้น

    “เฮ้ยเดี๋ยว ทำไมต้องแบบนั้นหล่ะ??” เซนถามไป

    “ไม่รู้สิ ถ้าวันหนึ่งฉันต้องตาย ฉันก็อยากมีอะไรกับคนที่ฉันอยากมีก่อน” คิฮาระพูดขึ้น

    “เอ้า ก็เรื่องของเธอสิ” เซนพูดขึ้น

    “โธ่ อย่าไก่อ่อนนักสิ จะกลัวอะไร หรือต้องให้ฉันบอกว่าฉันชอบนาย??” คิฮาระถามไป และในตอนนั้น ตัวของเขาก็หยิบเอาถุงยางในนั้นมาหนึ่งกำมือ จากนั้นก็เดินมาอยู่ตรงหน้าคิฮาระ คิฮาระรีบถอดเสื้อต่อหน้าเขาอย่างรวดเร็ว

    “เธอบังคับฉันเองนะ”

    เซนเดินเข้าไปประกบปากกับคิฮาระอย่างรวดเร็ว ส่วนคิฮาระเองก็จูบตอบกับเขาไป

     

    ณ ที่ไหนซักแห่งบนถนนพหลโยธิน รถแท็กซี่คันหนึ่งได้ขับไปตามถนน และด้านใน เพี้ยนก็คือผู้โดยสารนั่นเอง ตัวของเพี้ยนได้ลงจากรถที่ป้ายรถเมล์แห่งหนึ่งในเขตธัญบุรี เพี้ยนให้เงินค่าโดยสาร จากนั้นรถแท็กซี่ก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว

    “มาตอนนี้สายไปหน่อยนะไรท์ ทุกคนแยกย้ายสลายตัวกันหมดแล้วนี่”

    ตัวของเพี้ยนเดินไปตามถนนต่อเรื่อยๆ เพื่อตามหาอะไรบางอย่าง รวมถึงในตอนนั้นเพี้ยนก็ได้ยืดเส้นยืดสายไปแถวๆนั้นด้วย

    “เฮ้ย สบายจริงๆนะไรท์ อีกไม่นานเราก็คงโดนจับสินะ” 

    เพี้ยนพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ ตำรวจสองคนก็เดินมาล้อมตัวเขาไว้ ทำเอาตัวของเพี้ยนถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก

    “โห ไม่ให้ตั้งตัวเลยนะไรท์!!”

    “ขออนุญาตนะครับ มีคนแจ้งว่าคุณเป็นคนบ้า เราขอเชิญตัวคุณไปโรงพยาบาลด้วยครับ!!” ตำรวจคนนั้นพูดขึ้น

    “นั่นไง เอะอะก็หาว่าบ้า ไรท์นี่อะไรของไรท์เนี่ย??”

    “เออ ยังไงก็ขอเชิญตัวด้วยครับ” ตำรวจคนนั้นพูดต่อ

    “เฮ้อ สงสัยคงจะขัดขืนไม่ได้แล้วหล่ะ แต่ช่างเถอะ ถึงยังไงเราก็คงไม่ได้ไปโรงบาลบ้าอยู่ดี ใช่หรือเปล่าไรท์ ไรท์กำลังจะให้เราไปหาใครคนหนึ่งใช่หรือเปล่าหล่ะ??” 

    เพี้ยนพูดต่อ ทำเอาตำรวจสองคนนั้นถึงกับปวดหัว

    “โธ่เอ้ย ท่าทางจะหนักนะเนี่ย น่าสงสาร หน้าตาก็ดี แต่งตัวก็ดี” 

    “ดูท่าจะเป็นลูกคนรวย ต้องติดต่อพ่อแม่หน่อยแล้วหล่ะ” ตำรวจอีกคนตอบไป

    “เฮ้อ ชมว่าเราหน้าตาดี คราวนี้ให้อภัยนะไรท์” เพี้ยนพูดต่อ และในตอนนั้นเอง พวกตำรวจก็เอาตัวเพี้ยนเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว โดยที่มีตำรวจคนหนึ่งคอยเป็นคนขับรถให้

    “เอาเถอะ หวังว่าคุกที่ไปนี่จะสบายนะไรท์”

    “เฮ้อ เอาเถอะ อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา” ตำรวจคนขับพูดขึ้นพลางส่ายหัวไป

    “ที่ไรท์ให้เราโดนจับแบบนี้แสดงว่ากำลังจะมีตัวละครสำคัญโผล่มาสินะ แหม่ๆๆ ไม่เห็นต้องรุนแรงกันขนาดนี้เลยนี่ไรท์” เพี้ยนพูดต่อ ในขณะที่ตำรวจก็ยังคงส่ายหัวกับเพี้ยนไปตลอดทาง

     

    ณ ห้องพยาบาลของนายแสน ลูกชายสส.สุรสิงห์ ในตอนนี้ตัวของสิงห์ได้มาเยี่ยมลูกชายซึ่งอาการในตอนนี้แย่ลงเรื่อยๆ เนื่องจากว่ามีบาดแผลหลายจุด รวมถึงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตัวของนายแสนเห็นลูกชายของเขาก็สงสาร อยากจะช่วยเหลือเขา เพียงแต่ในตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้มากนอกจากคุ้มกันเขา และในขณะเดียวกันนั้นเอง มีโทรศัพท์เข้ามาหาเขา เขารีบรับสายในทันที

    “ครับ ท่านนายก”

    “คุณสิงห์ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่คุณจะแก้ไขยังไงต่อ??”

    “ครับท่าน ตอนนี้ผมกำลังพยายามจัดการให้จบไปอยู่ครับ”

    “คุณรู้ไหมว่าอีกไม่กี่วัน ฝ่ายค้านจะเอาอะไรมาเล่นงานเรา ถ้าเราโดนถล่มเรื่องนี้เมื่อไหร่หล่ะก็พวกเราชิบหายแน่ คุณรู้หรือเปล่า”

    “พวกฝ่ายค้านมันมีอะไรน่ากลัวเหรอครับ??”

    “มันก็กำลังจะโจมตีเรื่องที่คุณทำนั่นแหละ คุณรู้มั้ยว่าหนึ่งในคนที่คุณจัดการมีนักเคลื่อนไหวด้วย ถ้าเกิดเราตอบคำถามไม่ได้ พวกเราไม่เหลือแน่ๆ”

    “อ้าว ถ้าอย่างงั้นก็ต้องตามหาตัวเขาแล้วหล่ะครับ”

    “มันจะไปทันอะไร อีกไม่กี่วันก็จะอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว งานนี้ถ้าคุณพลาดอีก ผมรับรองว่าคุณได้หมดอนาคตทางการเมืองแน่” ปลายสายพูดขึ้นจากนั้นก็วางสายไป ในตอนนั้นมันก็ทำให้สส.สุรสิงห์ถึงกับหัวเสีย และในตอนนั้น นายแสนก็พูดขึ้น

    “เกิดอะไรขึ้นป๊า??”

    “ฉันคงจะหมดอนาคตทางการเมืองอีกไม่นานแล้ว ก็เพราะแกนั่นแหละ!!” 

    “โธ่ป๊า เรากลับมาทำธุรกิจเหมือนเดิมก็ได้นี่หน่า ยังไงเราก็ยังมีกินมีใช้ไปทั้งชาติ” นายแสนพูดขึ้น

    “แกนี่มันไอ้ลูกล้างลูกผลาญจริงๆ”

    “ป๊า ป๊าทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ นี่พวกเรายิ่งใหญ่แค่ไหนป๊าลืมไปแล้วเหรอ??” นายแสนถามไป

    “แกนี่นะ ต้องให้ฉันบอกแกกี่รอบกัน สมัยนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว สมัยก่อน เราอาจจะมีอำนาจเหนือคนอื่นได้ แต่ทุกวันนี้ ทุกคนรู้หมดว่าความเท่าเทียมคืออะไร วิถีทางของเรา รวมถึงของแก มันใช้ไม่ได้แล้วกับโลกใบนี้ แกเข้าใจซะด้วย” 

    “เฮ้อ ฟังดูน่าเบื่อชะมัด” นายแสนสบถออกมาสั้นๆ

     

    กลับมายังถ้ำของวิบัติ ในตอนนี้ตัวของวิบัติยังคงนั่งสมาธิเพื่อทำงานของเขา รวมถึงหาตัวใครคนหนึ่งด้วย แต่ในระหว่างที่ตัวของเขากำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น จู่ๆ ตัวของเขาก็รู้สึกตัวอะไรบางอย่างขึ้นมา ทำเอาตัวของเขาถึงกับต้องหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง

    “ท่านวิบัติ เกิดอันใดขึ้นขอรับ??”

    “ข้ารู้สึก เหมือนมันกำลังจะปรากฏตัวขึ้น” วิบัติพูดขึ้น

    “ผู้ใดจักปรากฏตัวขอรับ??”

    “ข้าเองก็หารู้ไม่ เพียงแต่ในครานี้ มันพยายามใช้จิตติดต่อกับข้า” วิบัติพูดขึ้น

    “จักให้พวกข้าไปจัดการหรือไม่ขอรับ??”

    “ไม่ต้อง เจ้าสู้มันมิได้ดอก ข้าคงต้องไปเตือนภัยพวกของเจ้านาวินเสียแล้วหล่ะ” วิบัติพูดขึ้น

    “เหตุไฉนต้องเป็นพวกนั้นขอรับ??”

    “เพราะพวกนั้นมีฝีมือพอจักขับเขี่ยวกับมันได้หน่ะสิ หากมันปรากฏตัว โลกใบนี้อาจถึงกาลวิบัติแน่” วิบัติพูดขึ้น

    “แล้วท่านจักสู้กับมันหรือไม่ขอรับ??”

    “หากข้าต้องสู้กับมัน ข้าคงต้องฝึกปรือวิชาขั้นสูงกับมัน” วิบัติพูดขึ้น

    “แต่นั่นมันสุดยอดวิชาที่แม้แต่พ่อของท่านยังฝึกมิสำเร็จนะขอรับ”

    “อยากไรก็ต้องลอง หากจักต่อสู้กับมันได้” วิบัติพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็กลับไปนั่งสมาธิที่แท่นนั่งของตัวเองต่อ เพื่อพยาย่ามติดต่อกับกลุ่มของนาวิน

     

    กลับมายังสำนักงานใหญ่ UNASO หลังจากที่ The Green ออกคำสั่งให้มนุษย์ทดลองที่เธอทำการทดลองส่งไปยังเมืองไทยเพื่อตามล่าผู้เกิดใหม่ ในตอนนั้น ตัวของเธอก็เรียกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดมาถกกันเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขากังวลที่สุดในตอนนี้

    “เอาหล่ะ ในเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้ากันแล้ว ดิฉันก็ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ตอนนี้สายของเรายืนยันข่าวมาแล้วว่า Project S เริ่มจะเคลื่อนไหวแล้ว!!”

    และเมื่อ The Green พูดขึ้น ทำเอาบรรดานักวิทยาศาสตร์แถวนั้นถึงกับหันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ

    “ใช่แล้วค่ะ ถ้าเกิดว่ามันเคลื่อนไหว งานของเราอาจจะพังทั้งหมดก็ได้” 

    “แต่ได้ยินมาว่า ตอนนี้ไม่มีใครทำอะไรเขาได้นี่ครับ แม้แต่ทางการสหรัฐอเมริกาเอง??” นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งถามไป

    “แต่ถึ

    “ยังไงเราก็ต้องทำอะไรซักอย่าง” The Green พูดขึ้น

    “นี่แสดงว่า เราจะขัดเจตนารมณ์ของทางการสหรัฐเหรอครับ??”

    “มันจำเป็นหน่ะ ตอนนี้เราคงต้องรีบพัฒนามนุษย์ทดลองเพื่อจัดการกับมัน” The Green พูดขึ้น

    “แต่ว่ามนุษย์ทดลองกี่ตัวๆ ก็จัดการกับมันไม่เคยได้เลยครับ ในการทดลองครั้งนั้น” นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งยกมือขึ้นพูดออกมา

    “ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องทำให้ได้ ต่อให้ฉันต้องไปเมืองไทยเองฉันก็ยอม ติดต่อคริสเตียลให้ฉันที” The Green พูดขึ้น

    “นี่ คุณจะไปเมืองไทยจริงๆเหรอครับ??”

    “ก็คงต้องเป็นแบบนั้น ถ้าไม่มีใครทำอะไรซักอย่าง ฉันจะจัดการเอง เตรียมเครื่องไปเมืองไทยให้ฉันที” the Green พูดขึ้น จากนั้นตัวของเธอก็เดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

     

    ณ น่านฟ้าแห่งหนึ่งในเขตปทุมธานี หลังจากที่กลุ่มของคริสเตียลได้จัดการเตรียมอาวุธเพื่อเดินทางไปยังเป้าหมายที่ลีน่าได้นัดแนะ พวกเขาก็ขึ้นยานบินเพื่อออกเดินทางกัน โดยที่ลีน่าได้โดยสารมากับเครื่องอีกลำหนึ่ง และไม่นานนัก พวกเขาก็ใกล้จะเดินทางมาถึงเป้าหมายแล้ว

    “อีก 10 นาทีถึงที่หมายครับ!!” นักบินได้พูดขึ้น

    “ดี คุณลีน่าครับ อีก 10 นาทีเราจะถึงเป้าหมายครับ” คริสเตียลบอกกับลีน่าไป

    “ค่ะ พวกคุณนำร่องไปก่อน ส่วนฉันจะขอค้นหาอีกพื้นที่หนึ่ง ถ้ามีอะไรฉันจะส่งความช่วยเหลือไปค่ะ” ลีน่าตอบกลับทางวิทยุมา

    “อะไรกัน ทำไมเธอถึงไม่มากับเราหล่ะ??” แสงจันทร์ถามอย่างสงสัย

    “นั่นสิ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะไปค้นหาพวกมัน เธอน่าจะไปทำอะไรซักอย่าง” รูกิพูดขึ้น

    “นี่ อย่าเสียมารยาทสิ เรามีหน้าที่แค่จัดการกับพวกมัน” คริสเตียลพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ฉันจะฆ่าพวกมันให้หมดเลยถ้าเจอ” วูฟพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เตรียมแปลงร่างต่อ

    “อย่าเพิ่งแปลงร่างตอนนี้แล้วกัน รอเจอพวกมันก่อน เดี๋ยวแกกินคนในหน่วยมั่วซั่วอีก” กาลีน่าพูดไป

    “แต่ฉันว่างานนี้มันแปลกๆนะ สังหรณ์ของฉันไม่เคยพลาด” รูกี้พูดขึ้น

    “เอาน่า มันเป็นหน้าที่นี่หว่า เราจะทำอะไรได้” ยูริพูดไป

    “ว่าแต่ เราจะไปคว้านหามันทั้งป่าเลยงั้นเหรอ??” จ่าชัยถามอย่างสงสัย

    “เอาน่า พวกเราน่าจะพอแกะรอยมันได้อยู่” เวอร์รีนพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง จู่ๆ นักบินก็บอกกับพวกเขา

    “เตรียมลงจอดแล้วครับ!!”

    “เอาหล่ะครับ ลุยกันเลยแล้วกันครับ” ฮาเวิร์ดพูดขึ้น จากนั้นไม่นานคริสเตียลก็นำทีมออกลุยอย่างรวดเร็ว เพื่อค้นหาที่มั่นของดันเต้

     

    และอีกด้านหนึ่ง แหล่งกบดานของดันเต้ ในตอนที่กลุ่มของนาวินกำลังพากันพักผ่อนรวมถึงหาข่าวเพิ่มเติม ในตอนนั้นพวกเขาก็ได้สัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง ทำเอาทุกคนไปรวมตัวกันที่หอบังคับการของดันเต้ในทันที เพื่อไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    “ด็อกเตอร์ครับ เกิดอะไรขึ้นครับ??” นาวินถามาอย่างสงสัย

    “ผมได้รับความเคลื่อนไหวของกลุ่มข้าศึก แต่มันอยู่ห่างจากเรา 2 กิโลเมตรจากที่นี่หน่ะครับ” ภาภินพูดขึ้น

    “อะไรกัน ทำไมพวกมันถึงไปที่นั่นหน่ะ??” ลันโทสถามไป

    “หรือว่ามันพยายามจะค้นหาตำแหน่งของเราหล่ะครับ??” ซีโร่ถามไป

    “ฉันว่ามันแปลกๆนะคะ คุณวิน เชื่อฉันสิ” เวียนพูดขึ้น

    “จริงด้วยค่ะ แต่ถ้าเกิดเราไม่ไปสกัดพวกมัน พวกมันอาจจะเห็นที่ตั้งของพวกเราก็ได้” ฮารุพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น เราก็ออกไปลุยกับพวกมันเลยสิ ฉันอยากไปฆ่าไอ้คริสเตียล” อากิระพูดขึ้น

    “ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้มาก ขออยู่ที่นี่ก็แล้วกันนะ” อัญชันพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น เธอพกปืนนี่ติดตัวไปด้วยนะ” เสี่ยวหลงพูดขึ้นพลางยื่นปืนให้เธอไป

    “หรือว่างานนี้มันพยายามจะหลอกเรากันนะ??” ลูโดวิกถามไป

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ที่นี่ปลอดภัย ถึงพวกมันจะมาที่นี่ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก” โลร็องต์พูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้น พวกคุณไปกันเถอะ ผมกับพวกผมจะเฝ้าที่นี่เอง” ดันเต้พูดขึ้น

    “งานนี้พวกมันคงจะเอาจริงแล้วหล่ะค่ะ” ลาลินพูดขึ้น

    “ถ้าถึงตอนนั้น ฉันจะเล่นงานพวกมันให้หมด ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหน” โจไซอาห์พูดขึ้น

    “ใช่ ถ้ามันแรงมาก็คงต้องแรงไป ไม่มีทางเลือกแล้วหล่ะ” อินเนสซ่าพูดขึ้น

    “ยังไงก็ระวังตัวกันด้วยนะครับ” นายลืมพูดขึ้น และในตอนนั้น จู่ๆ นายลุ้นก็หยิบไพ่ของเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    “TRICK!!”

    “ผมว่างานนี้เราอาจจะโดนหลอกได้นะครับ” นายลุ้นพูดขึ้น

    “เอาเถอะ ถึงยังไงก็ต้องลองเสี่ยง เราจะไปจัดการกับพวกนั้น ส่วนพวกของคุณดันเต้ก็คุมที่นี่เอาไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ให้วิทยุบอกพวกเรานะครับ แล้วเราจะรีบกลับมา” นาวินพูดขึ้น จากนั้นตัวของเขาก็เตรียมอาวุธและออกไปต้านศัตรูเอาไว้ในทันที

     

    และอีกด้านหนึ่งของพื้นที่ ยานบินของลีน่าได้ลงมาจอดบริเวณลานกว้างแห่งหนึ่ง จากนั้นไม่นานตัวของเธอก็รีบแต่งตัวให้ดูด้วยชุดดำตามที่สายของเธอรายงานมา หลังจากที่เธอแต่งตัวเสร็จ ตัวของเธอก็เดินออกมาพร้อมกับคนของเธออีก 3 คน เดินออกจากยานไปในทันที

    “ทางท่อระบายน้ำใต้ดินสามารถใช้เข้าออกตึกนั้นได้ครับ!!” ชายคนหนึ่งวิทยุคุยกับลีน่าไป

    “ดีมาก ถ้าฉันเข้าไปถึงด้านใน จัดการตามที่บอกแล้วกัน” ลีน่าตอบกลับไป จากนั้นตัวของเธอก็เดินเข้าไปพร้อมกับลูกน้องของเธอ

    ===================================================================

    ดูเหมือนว่าพวกของนาวินกำลังถูกหลอก และพวกเขาจะรู้ตัวและกู้สถานการณ์ได้ทันหรือไม่ อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

    https://ko-fi.com/shinobinon ถูกใจนิยาย อยากเลี้ยงกาแฟผม จัดเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×