คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #134 : Kazamidori (風見鶏) / Michishirube (道標)
เมื่ออาทิตย์อัสดงคล้อยต่ำลาลับไปจากท้องนภา แสงสีทองเช่นเดียวกับเหล่ากองหญ้าแห้งที่เฉาอยู่ในทุ่งก็แผ่ขยายโอบล้อมไปทั่วอาณาบริเวณภายในเมืองเล็กๆ แต่ทว่าอบอุ่นในพื้นที่ทางใต้สุดของเขตโทโฮะกุ เมืองฟุกุชิมะที่มีผู้อยู่อาศัยแค่เพียงเบาบาง แม้ในเวลานี้ก็ช่างเงียบเหงา
ป้ายรถเมล์เก่าๆ สำหรับสัญจรสู่จังหวัดอื่นที่เจริญและห่างไกลกว่ามีเพียงหนึ่งชีวิตที่นั่งทอดลมหายใจลำพัง เธอนั่งนิ่งปล่อยให้แสงอาทิตย์เรืองรองสะท้อนชัดอยู่ในแววตาที่ส่องประกาย ไม่ใช่จากความรู้สึกปลื้มปีติหรือยินดี หากมาจากหยดน้ำใสที่กลิ้งอยู่ในนั้น
และเมื่อกะพริบตาหนึ่งครั้ง หยาดน้ำตาก็ไหลรินลงมาอาบแก้มขาวเนียนนั้นเป็นทางยาว
ก่อนที่มันจะหลั่งรินลงมามากขึ้น...และมากขึ้นราวกับว่ามันจะไม่มีวันจบสิ้น
ร่างแบบบางสั่นไหวไปด้วยแรงสะท้านจนในที่สุดเธอต้องก้มหน้าลงไปยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปกปิดใบหน้าของตัวเอง เสียงสะอื้นระคนไปกับความเสียใจพร่างพรูออกมาไม่หยุดหย่อน แม้จะรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ขาดห้วงและความรู้สึกเจ็บแปลบราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ชั่ววินาทีหนึ่ง เธอคิดว่ามันคงจะดีเสียกว่าถ้าลมหายใจและหัวใจของเธอจะหยุดการทำงานไปเลย
ไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องอยู่เพียงลำพัง
ในโลกที่ไร้ซึ่งเขา
ก่อนสายลมอ่อนโยนจะพัดมาหอบหนึ่ง ไม่ใช่กลิ่นของหญ้าแห้งในฤดูใบไม้ร่วงและไม่ใช่ความรู้สึกที่หนาวเย็นเหมือนเช่นที่เป็นมา
เมื่อเธอเงยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาขึ้นมอง สายลมก็คล้ายกับจะวนเวียนและโอบล้อมเธอไว้อยู่ไม่ห่าง
กลิ่นหญ้าแห้งและพื้นดินหลังจากฝนตกแม้จะบางเบาและความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้าไปถึงในหัวใจ เมื่อยามที่อ้อมแขนแข็งแรงของเขาได้คอยโอบกอดเธอไว้เสมอมา
เป็นไปไม่ได้!
และเมื่อเธอผลุนผันลุกขึ้นยืนพร้อมกับใช้หลังมือปาดน้ำตาที่บดบังทัศนียภาพเบื้องหน้าทิ้งไป สายลมก็หมุนตัวจากไปอย่างแรงที่สุดจนเส้นผมของเธอปลิวไสวไปตามแรง
ทุกอย่างดำเนินไปในเส้นทางที่มันควรจะเป็น ต้นหญ้าไหวเอนไปมาในยามที่แสงอาทิตย์ค่อยๆ อ่อนแรง สาดแสงสีเข้มที่สามารถมองเห็นเงาของตัวเองทอดยาวไปตามท้องถนนที่อ้างว้าง
เธอหยุดนิ่งอย่างเนิ่นนานกระทั่งเสียงหวูดเตือนสัญญานของเที่ยวรถเมล์จะดังขึ้น เธอเหลียวตัวหันกลับมาในเส้นทางเบื้องหน้าเช่นเดิมอีกครั้งท่ามกลางความแปลกใจต่อสุ้มเสียงที่ยังคงดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยได้โดยสารรถเมล์ไปยังต่างเมือง แต่เธอก็รู้ดีว่าเมืองนี้มีรถเมล์แค่เพียงสองเที่ยวต่อวันในเวลาสิบโมงเช้าและสองโมงเย็นเท่านั้น กระนั้น เธอก็เฝ้ามองรถบัสสีเหลืองอ่อนคันเก่าเคลื่อนมาตามทางเดินจนหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าเธอที่ป้ายรถเมล์พอดิบพอดี
เมื่อสายตาได้ประสบเข้าให้กับผู้โดยสารที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างแถวหลังสุด ช่วงเวลาและห้วงสรรพสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็คล้ายว่าจะพลันหยุดนิ่งลงไป
ไม่มีคำพูดหรือสิ่งอื่นใดนอกไปเสียจากหยาดน้ำใสที่ไหลรินลงมาอย่างเชียบงันอีกครั้ง
ด้วยรอยยิ้มของเขาที่ยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
ไม่รู้ว่าเป็นช่วงเวลาที่นานเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีหรือยาวนานนับชั่วโมง จนเมื่อสายลมวูบใหญ่พัดเข้ามาให้เธอต้องหลับตาลง หากครั้งครานี้เป็นเพียงแค่ชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างเบื้องหน้าก็พลันว่างเปล่า
แต่ชั่วยามนี้ เธอได้รับรู้ถึงมันแล้ว รับรู้ถึงความหมายสุดท้ายต่อสิ่งที่เขาต้องการ
และแม้น้ำตาจะรินไหล หากในครั้งนี้ เธอยิ้ม มองดูสนธยาโอบล้อมตัวเมือง เป็นภาพที่สวยงามราวกับความฝัน ถึงจะต้องอยู่ลำพังหากก็ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป
_______________
ที่นี่...ไม่เคยเป็นจุดมุ่งหมายของฮานาโมริ โมโมเอะมาก่อน
จนกระทั่งความคิดถึงที่ร่ำร้องได้เร่งเร้า เปลี่ยนกลายเป็นความเร่งด่วนให้เธอจับรถไฟเที่ยวเช้าของวัน โดยมีจุดหมายปลายทางเป็นบ้านเกิดของเขา
‘เขา’ ที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอตลอดช่วงเวลาสามปีที่ร่ำเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน
‘เขา’ ที่เธอตกหลุมรักนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้สบตา
และ ‘เขา’ ที่ทำร้ายจิตใจของเธอ ด้วยการไปคบหากับรุ่นพี่คนที่หาเรื่องกวนประสาทเธอนับตั้งแต่วินาทีแรกที่หล่อนรู้ว่าตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน พลอยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต้องมาแตกหักเอาในชั้นปีที่สาม ขนาดที่ว่าแค่นั่งเรียนในห้องเดียวกันก็ยังทำใจไม่ลง จนยอมที่จะดรอปเรียน หายหน้าหายตาไปจากสารบบชีวิตของเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องในคณะเดียวกันถึงหนึ่งปีเต็ม ที่เมื่อกลับมาอีกที เพื่อนร่วมชั้นปีต่างก็กอดคอพากันเรียนจบไปอย่างงดงามแล้ว
ทั้งที่คิดว่า ก็ดี ชาตินี้จะได้ไม่ต้องเจอะเจอกันอีก!
แต่ตอนที่ได้บังเอิญเจอเขาแว่บหนึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อน ถึงเวลาจะผ่านไปตั้งปีกว่าๆ ที่สุดท้ายก็ได้รู้ว่าตัวเองยังลืมผู้ชายใจร้ายพรรค์นั้นไม่ลงสักที
คือเขาคนนั้นแหละ!
ฟุคุโมโตะ ไทเซย์คนที่กำลังนั่งจี๋จ๋าหวานชื่นอยู่กับแฟน (คนใหม่) ที่เก้าอี้โดยสารตัวข้างหน้าเธอนั่นแหละ!
เลื่อนสายตาดูเวลาในมือถือที่เธอแสร้งก้มหน้าลงไปกดเล่น ทั้งที่เครื่องใกล้จะตายเพราะสายชาร์จไม่เข้าทั้งคืน แล้วก็ไพล่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แค่สิบนาทีที่หมอนั่นกับแฟนมาร่วมนั่งหายใจบนรถไฟสายเดียวกัน เมฆหมอกครึ้มใหญ่ก็ลอยวนเวียนไปมาอยู่เหนือหัวเธออย่างไม่มีทีท่าว่าจะจาง ยังต้องมารอเวลาอีกสามสิบนาทีกว่ารถไฟจะออก แถมอีกสองชั่วโมงครึ่งกว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทาง ปลายทางที่โมโมเอะสองและโมโมเอะสามที่กำลังนอนเล่นอยู่ข้างในหัวสมองของเธอจะแข่งกันตะโกนวุ่นวายว่า “ยัยโง่! นี่ยังคิดจะไปอยู่อีกหรือไง!”
โมโมเอะหนึ่งได้แต่ยืนเบ่ง ทำหน้าขรึมใส่ยัยพวกนั้นพร้อมตะโกนว่า “เออ!”
ทั้งที่จริงแล้ว โมโมเอะก็แค่ไม่อยากจะเสียหน้าให้หมอนั่นได้ดูถูกเท่านั้นเองหรอกน่า!
ยินเสียงหัวเราะพูดคุยที่ฟังอย่างไรก็เหมือนกับว่าเขาจะเรียกร้องความสนใจจากเธอ ไม่วายยังเหลือบสายตาผ่านเบาะนั่งมายังเธอที่เปลี่ยนไปนั่งเท้าแขนกับขอบหน้าต่างแทนเรียบร้อยแล้ว ถึงจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจแค่ไหน แต่ข้างในใจตอนนี้ก็มีทั้งความโกรธที่ผสานรวมกับความเหงาระคนน้อยใจ จนต้องกัดริมฝีปากไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“อ้าว โมโมเอะ” และเมื่อปรับสีหน้า ผินกลับไปยังเบาะที่นั่งซึ่งเคยว่างเปล่าที่ข้างตัว ก่อนจะรู้สึกถึงน้ำหนักที่ยวบยุบลงไปของเบาะสองตัวที่เชื่อมติดกัน ก็พลันได้สบสายตา ผสานรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกของวันได้ในที่สุดเมื่อได้เห็นเขา
‘เขา’ ที่เคยทำงานเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านหนังสือด้วยกัน เมื่อครั้งที่เธอดรอปเรียนอยู่
‘เขา’ ที่อายุน้อยกว่าสี่ปีแต่ไม่เคยพูดจาสุภาพกับเธอเลยสักครั้ง
และ ‘เขา’ ที่เพิ่งจะสารภาพรักกับเธอไปเมื่อคืนวาน พร้อมกับการยอมรับต่อผลลัพธ์ทั้งรอยยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา ให้โมโมเอะนึกอยากจะเขกหัวตัวเองแรงๆ เข้ากับบานหน้าต่างเสียเหลือเกิน ใช่ว่าเป็นเพราะการที่มีเขาเป็นเพื่อนร่วมทาง หากเพราะเหตุผลที่เธอตอบปฏิเสธทั้งที่ก็ยอมรับว่าเคยใจเต้นกับเขาอยู่บ่อยครั้งนั้น จะเป็นเพราะการได้บังเอิญเจอหมอนั่นที่กำลังหน้าระรื่น โชว์สวีตหวานชื่นกับแฟนอยู่ได้อยู่เบาะข้างหน้าเธอนั่นต่างหาก!
เพราะบางทีคนเราก็มักจะมีความคิดโง่ๆ และความหวังลมๆ แล้งๆ จนมองข้ามสิ่งที่หัวใจต้องการอย่างแท้จริงไป
“บังเอิญเนอะ” พร้อมกับเสียงหัวเราะของเขา ที่ปรับเปลี่ยนบรรยากาศทั้งโบกี้ในห้วงความรู้สึกที่มืดทึมจนถึงก่อนหน้าของโมโมเอะให้ดูสว่างสดใส ราวกับว่าเขามีอาทิตย์ดวงโตตามติดมาด้วย ที่ก็สมกับเป็นโอคาซากิ โคทาโร่ดีแล้ว
“แล้วนี่โคทาโร่จะไปทำอะไรที่นู่น?”
“กลับบ้านเกิดไปปรับทุกข์กับเพื่อนสมัยเรียนน่ะ” ตอบพลางยื่นถุงขนมขบเคี้ยวที่ซื้อติดมาจากข้างล่างให้ หากเมื่อเธอส่ายหัวปฏิเสธ ก็กลับโดนเย้าย้อนด้วยคำพูดติดตลกอย่างไม่คิดอะไรตามประสาว่า “ทำไมโมโมเอะถึงชอบปฏิเสธฉันอยู่เรื่อยเลย” แต่กระนั้น คนที่เพิ่งจะมีกรณีพิพาทกันไปกลับได้เพียงทำหน้าเจื่อน พูดขอโทษขอโพยเสียงอ่อยอ่อนด้วยความรู้สึกผิดเต็มประดา เสียจนคนพูดที่ไม่ได้คิดอะไรมากมายต้องเป็นฝ่ายกลับคืนคำขอโทษไปเช่นเดียวกัน
จนต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังคำถามเช่นที่เธอเอ่ยต่อเขาเมื่อก่อนหน้า
“ว่าแต่โมโมเอะล่ะ ไปทำอะไร?”
“ไปเที่ยวน่ะ”
“นัดกับเพื่อนไว้หรือไปหาเพื่อนที่นู่น?”
“อื๊อ” ส่ายหัว แล้วจึงถอนหายใจออกมา “เที่ยวคนเดียวนี่แหละ แค่เบื่อๆ เลยอยากลองมาเปิดหูเปิดตาเฉยๆ พรุ่งนี้ก็กะว่าจะกลับแล้ว แต่ดีจัง ไม่คิดว่าจะได้เจอโคทาโร่ด้วย”
เรียกใบหน้าของเขาให้หันขวับมาจดจ้องกับเธอตั้งแต่ยังไม่ทันจะเอ่ยจบประโยค ขมวดคิ้ว “มีแผนไหม?”
แน่นอนว่าคนที่ตัดสินใจเอาปุบปับจะไปวางแผนอะไรทัน ความคิดตื้นๆ ของโมโมเอะที่หวังไปตายเอาดาบหน้าแทบจะทำให้โคทาโร่ต้องพ่นลมหายใจออกมาเสียเต็มแรง “งั้นไปกับฉันก็แล้วกัน”
“แต่โคทาโร่จะไปหาเพื่อนนี่นา”
“ครั้งนี้ห้ามปฏิเสธฉันเด็ดขาด!”
“แต่...” ไม่ทันจะให้พูด เจ้าตัวก็เสือกถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อถุงใหญ่ลงบนตักของโมโมเอะที่จำต้องเปลี่ยนไปโวยวายกับเรื่องนี้แทน ที่เจ้าตัวยังมีหน้าหลุดหัวเราะชอบใจ จนล้อรถไฟเคลื่อนออกจากสถานีไปตามรางแล้วนู่นแหละ ถึงจะยอมเหลือแค่เพียงรอยยิ้มบางเบาเอาไว้
_______________
ความคิดเห็น