ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ ๒ - สายธาร - ตอนที่ ๑ - อาเดส
บทที่ ๒
สายธาร
๑. อาเดส
อาร์ดัท-ลิลิกลับเป็นร่างกึ่งมนุษย์หลังโผลงบนผืนทรายเบื้องหน้าแนวผา ห่างข้ากับอูฐไปราวยี่สิบก้าว อาการตื่นของอูฐเพื่อนยากทำให้ข้ารีบลูบลำคอและกระซิบปลอบมันเบาๆ ทันที
“หวังว่าเจ้าคงนำสิ่งจำเป็นมาครบถ้วน” นางเพิ่งเอ่ยกับข้าเป็นคำแรก กระทั่งข้าอดขันน้อยๆ มิได้ที่นางมาพูดเอาป่านนี้ แทนที่จะบอกก่อนนำทางข้ามาที่นี่
“ข้าเองก็เช่นกัน” กระนั้นข้าก็ได้แต่รับ “แล้วปากทางเข้าปรโลกเล่า”
แทนคำตอบ อาร์ดัท-ลิลิสะบัดปลายปีกของนาง ให้ข้าเห็นอุโมงค์มืดปรากฏขึ้นทันใดบนแผ่นผา เป็นปากอุโมงค์ที่มีความกว้างราวกับจะให้รถม้าผ่านเข้าไปได้ทั้งคัน
"สิ่งที่เจ้าตามหาอยู่ในนี้"
ข้าลงจากหลังอูฐก่อนจะหยิบสิ่งของที่จำเป็น ทั้งขนนกของอาร์ดัท-ลิลิ เหรียญเงินอันเป็นสินจ้างของคารอน ถุงน้ำ เสบียงอาหารของข้า และเนื้อปรุงรสที่ข้าหวังว่าเคอร์เบโรสจะชอบ ที่สำคัญขาดมิได้คือถุงกระเพาะแกะอีกใบสำหรับใส่น้ำพุแห่งความทรงจำ
"ห้ามจุดไต้" นางปีศาจบอกเสียงแข็งเมื่อข้าหยิบสิ่งนั้น "ปรภพเป็นแดนไร้ไฟ หากจุดไฟก็เท่ากับเจ้าประกาศตนว่าเป็นผู้แปลกปลอม"
"แต่...ทางข้างหน้านี้มืดมากไม่ใช่หรือ" ข้าตั้งคำถาม
"ข้ามองเห็นในความมืด และจะเดินนำเจ้าลอดอุโมงค์นี้ไป" นางบอก "แต่ข้าจะไม่ออกไปนอกอุโมงค์กับเจ้า หนทางข้างหน้านั้นเจ้าต้องเป็นผู้หาและย้อนกลับมาเอง ถึงจะเป็นดินแดนแห่งภูตพรายเช่นกัน นั่นก็ไม่ใช่เขตแดนของข้า"
ข้าเสียบไต้ไว้ข้างอานของอูฐ หาชะง่อนหินที่พอบังแดดได้ผูกมันไว้ แล้วก้าวไปหาอาร์ดัท-ลิลิ ซึ่งส่งมืออันมีเล็บแหลมยาวให้ข้าอยู่หน้าปากถ้ำ
มือของนางเย็นเยียบยิ่งกว่าอากาศรอบนอก ขณะที่นางนำทางข้าเข้าไปในอุโมงค์มืดยาวคดเคี้ยวโดยไร้คำพูด แม้แต่ละย่างก้าวจะแผ่วเบาเพียงไร ข้ายังอดรู้สึกมิได้ว่าเสียงฝีเท้าของตนดังก้องราวกับคนนับสิบ นานพอดูกว่าจะเห็นแสงประหลาดจากปากอุโมงค์อีกด้าน
แสงนั้นซีดเย็นเหมือนแสงจันทร์ มิได้ส่องมาจากพื้นสีเทาที่ควรเป็นท้องฟ้า ทว่าเรืองสลัวรอบด้าน เบื้องหน้าคือทุ่งหญ้าที่ไหวน้อยๆ ทั้งไร้ลมพัด มีร่างซีดขาวของผู้คนขวักไขว่ บ้างนั่ง ยืน หรือเดินวนไปมาอย่างหดหู่ไร้จุดหมาย บางคนร้องไห้อย่างเงียบงันกับตนเอง
“ข้าจะรออยู่ที่นี่” อาร์ดัท-ลิลิกระซิบ “จนกว่าจะเห็นสมควรเชื่อได้แล้วว่าเจ้าไม่อาจกลับมา หวังว่าเจ้าคงไม่หลงวนเวียนกลายเป็นวิญญาณดวงหนึ่งในนี้”
ครั้นข้าไม่ตอบอะไร นางก็ปล่อยมือ ให้ข้าก้าวออกไปยังทุ่งหญ้าประหลาดนั้นเพียงลำพัง
เดินข้ามทุ่งไปไม่นาน ข้าก็สังเกตเห็นจุดที่วิญญาณสีขาวรวมตัวกันอยู่มากกว่าที่อื่นๆ นั่นคือท่าเรือเล็กๆ ซึ่งยื่นลงไปในแม่น้ำอาเครอนอันเชี่ยวกราก เสียงน้ำไหลฟังประหนึ่งเสียงกรีดร้องโหยหวน แม่น้ำนั้นกว้างราวกับทะเล กระนั้นยังพอเห็นฝั่งตรงข้ามได้ลิบๆ
คลื่นแรงซัดสาดเข้าตลิ่งฝั่งที่ข้ากับร่างเหล่านั้นยืนอยู่เป็นระยะๆ ข้าเห็นพวกเขาบางคนพยายามเดินลงแม่น้ำ แล้วก็ว่ายทวนกระแส แต่ไม่อาจข้ามไปได้ ที่โชคดียังถูกพัดเข้าฝั่ง...ส่วนที่ออกไปไกลกว่านั้นจมหายในไม่ช้า
ข้าเชื่อว่าพวกเขาทราบเช่นเดียวกันว่ามีหนทางข้ามทางเดียว คือเรือแจวลำยาวที่มีคนผู้หนึ่งคัดท้าย เรือนั้นค่อยๆ เข้ามาในคลองจักษุ พร้อมกับร่างสูงโปร่งคลุมผ้าสีดำตลอดร่างและศีรษะซึ่งยืนอยู่ท้ายเรือ
กระแสน้ำช่วยพาเรือมาถึงท่าได้โดยเร็ว ข้าแทบกลั้นใจเมื่อเห็นมือของคนแจว ซึ่งโผล่พ้นชายผ้าคลุมออกมารับเหรียญเงิน มือนั้นผอมจนมีเพียงหนังหุ้มกระดูกและซีดเหลืองเหมือนศพอาบยา วิญญาณดวงแรกที่สุดปลายท่าวางเหรียญเงินของตนลงในมือของคารอนอย่างกริ่งเกรง ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งที่สุดหัวเรือยาว
ผู้โดยสารคนแล้ว คนเล่า ค่อยๆ วางเหรียญของตนลงบนมือผอมแห้ง ซึ่งรองรับเหรียญเหล่านั้นได้มากมายอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่แล้ว...ในจังหวะที่ผู้โดยสารก่อนหน้าข้าสองสามคนส่งเงินให้แก่คารอน ก็มีร่างซีดขาวด้านหลังฉวยโอกาสผลุบลงเรือไปโดยมิได้จ่าย
คารอนหวดไม้พายฟาดร่างนั้นทันที เกิดเสียงดังน่ากลัว วิญญาณผู้โกงค่าผ่านทางร่วงลงแม่น้ำอาเครอนจนน้ำกระเซ็นสูง ข้าเกรงว่าร่างนั้นจะกระดูกหักหรือช้ำในตายเสียแล้ว...หากไม่เห็นเขายังลุกขึ้นยืนได้อย่างสิ้นหวังและเศร้าสร้อยหลังถูกน้ำซัดเข้าฝั่ง มองวิญญาณอื่นๆ ที่มีค่าผ่านทางมุ่งหน้าต่อไป
ไม่นานก็ถึงตาข้า หัวใจข้าเต้นไม่เป็นส่ำขณะเกรงว่าคารอนจะจับได้หรือไม่...ว่าข้าเป็นคนเป็นซึ่งไม่ควรอยู่ที่นี่ และหากจับได้เขาจะตีข้าตกแม่น้ำเหมือนกับวิญญาณดวงก่อนหน้าใช่ไหม แต่เมื่อยื่นเหรียญเงินของเอลลิเนสซึ่งใช้เป็นเงินปากผีให้แก่เขา เขาก็ปล่อยให้ข้านั่งลงในเรือโดยไม่ว่ากระไร ครั้นเห็นเรือบรรทุกวิญญาณที่มีค่าผ่านทางจนเต็มลำแล้ว คารอนจึงเก็บเหรียญเหล่านั้นเข้าไปในผ้าคลุมของตน และคัดท้ายพายออกไปจากฝั่งทวนกระแสน้ำอย่างแช่มช้า
ข้ารู้สึกราวกับเรือแล่นข้ามลำนทีอาเครอนอันเชี่ยวกรากได้อย่างรวดเร็วประหลาด ทั้งๆ ที่แทบไม่รู้สึกเลยว่าฝีพายของร่างผอมบางร่างเดียวจะทรงพลังแต่ประการใด ซ้ำยังมีมือของวิญญาณที่พยายามว่ายข้ามน้ำพยายามไขว่คว้า เกาะเขย่าขอบเรือตลอดจนโคลงเคลงอย่างน่าหวาดเสียว คารอนใช้พายทั้งคัดท้ายเรือและปัดมือเหล่านั้นอย่างชำนาญ ตลอดทางข้ามแม่น้ำ ความกลัวเริ่มผุดในใจข้าอีกครั้ง ทั้งเรื่องใกล้ตัวอย่างเรืออาจล่ม ไกลออกไปอีกก็กลัวว่าสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าจะอันตรายยิ่งกว่านี้เพียงไร และกลัวกระทั่งเรื่องห่างแสนห่าง...แต่ก็เหมือนใกล้แสนใกล้...คือหากข้าตายไปโดยไร้ผู้ทำพิธีฝังศพถูกต้องตามธรรมเนียม ก็คงไม่พ้นลงเอยเป็นวิญญาณที่ได้แต่วนเวียนริมแม่น้ำโดยไม่อาจข้ามไปได้ใช่ไหม
ข้าได้แต่สั่นศีรษะไล่ความคิดเหล่านั้นเป็นการใหญ่เมื่อใกล้ถึงฝั่งอีกด้าน ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยสิมูน อนาคตจะเป็นอย่างไร มิใช่สิ่งที่ควรพะวงในตอนนี้
* * * * *
อีกฟากของลำนทีอาเครอน คือความสับสนวุ่นวายอันเงียบงัน
พอขึ้นจากเรือของคารอนพร้อมผู้โดยสารอื่นๆ ข้าก็เห็นผู้คนมากมายกว่าที่คงมาถึงก่อนหน้า คนเหล่านั้นยังคงเป็นร่างซีดจางเช่นเดียวกัน พวกเขายืนเรียงแถวอย่างไม่เป็นระเบียบนัก เบื้องหน้าคือกำแพงสีเทาสูงใหญ่ซึ่งทอดยาวสุดลูกหูลูกตา พวกเขารอให้คนข้างหน้าหลั่งไหลเข้าไปในประตูคู่บานใหญ่บนกำแพง ซึ่งเปิดกว้างและส่องประกายวิบวับราวกับเพชร
ณ ข้างบานประตูมียามเฝ้าเพียงหนึ่งเดียว คือสุนัขตัวใหญ่ยิ่งกว่าหมีเกือบห้าเท่า มีสามหัว และหางเหมือนมังกรซึ่งสะบัดไหว มันมิได้ส่งเสียงคำราม แต่ก็เหมือนแสยะเขี้ยวในปากทั้งสามอย่างเงียบๆ เป็นเชิงขู่ ขณะที่นัยน์ตาสีแดงหกดวงจับจ้องวิญญาณที่ผ่านเข้าไปในประตูแต่ละดวง
ข้ากลืนน้ำลาย ก่อนจะล้วงลงไปในย่ามของตน คลำจนพบเนื้อปรุงรสชิ้นใหญ่ที่ซ่อนอยู่และจับไว้แน่น
...หวังว่าที่อาร์ดัท-ลิลิทำเป็นเห็นด้วยกับวิธีนี้จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น...
ข้าปล่อยตนเองไปตามเหล่าวิญญาณที่มุ่งสู่ประตู พร้อมกับจับตามองเคอร์เบโรสไว้ตลอดเวลา เชื่อว่าตนไม่ได้คิดไปเองเมื่อสุนัขสามหัวทำจมูกฟุดฟิดเหมือนจับกลิ่นบางอย่างได้ ก่อนจะหันหัวทั้งสามมองมาทางข้าแล้วเริ่มคำราม
เมื่อนั้น ข้าขว้างเนื้อจากย่ามใส่มันโดยแรงที่สุด
หัวหนึ่งงับคาบชิ้นเนื้อไว้ อีกสองหัวหันไปคำรามใส่หัวนั้น แล้วก็พยายามกระทุ้งแม้จะไม่อาจกัดกันเองได้ เกิดเป็นความอลหม่านย่อมๆ โดยปริยาย ข้าจึงรีบก้าวยาวๆ ฝ่าวิญญาณอื่นๆ ที่แออัดกันผ่านเข้าประตูให้เร็วที่สุด
* * * * *
หลังประตูใหญ่ประดับเพชรคือโถงกว้างและยาว ทั้งเสาและเพดานดูเหมือนทำจากโลหะมีค่า ทั้งทองแดง เงิน และทองสุกปลั่ง เขียนลวดลาย ฝังเพชรพลอยเป็นประกายระยิบระยับ ผิดกับสีเทาของกำแพงหินด้านนอก เมื่อก้มลง ก็เห็นกระเบื้องปูพื้นเป็นแผ่นทองสลับเงิน สลักลวดลายเสียด้วยซ้ำ
แวบแรกข้าสงสัย...ว่าเหตุใดโถงในปรภพจึงดูงดงามยิ่งกว่าปราสาทราชวังในโลกมนุษย์เสียอีก แต่ก็พลันได้คำตอบเมื่อนึกถึงตำนานที่เคยฟัง อาเดสไม่ได้เป็นเพียงจ้าวแห่งโลกวิญญาณ ทว่ายังเป็นจ้าวของสินแร่ทั้งหลายในดิน สิ่งมีค่าที่ประดับศพ และเงินปากผีซึ่งคารอนรับไป ก็คงตกเป็นทรัพย์ของจ้าวสูงสุดแห่งภพนี้ และมาปรากฏอยู่ที่นี่กระมัง
...แต่น้ำพุแห่งเนโมซิวเนเล่าอยู่ที่ใด...
ข้าพยายามทบทวนเรื่องของปรภพที่เคยได้ยินมา วิญญาณทั้งหลายจะต้องเข้าสู่โถงพิพากษา ที่นั่นมีผู้พิพากษาทั้งสาม มินอส ราดามันธิวส์ และเออาคอส เป็นผู้ตัดสินเส้นทางให้แก่ดวงวิญญาณทุกดวง ไม่ว่าวิญญาณนั้นจะต้องไปสู่ตรุทาร์ทาโรส อันเป็นที่คุมขังลงโทษเหล่าทิทาเนสกับวิญญาณบาปหนา ทุ่งเอลิวเซียอันสวยงามร่มเย็น เป็นที่อยู่ของวิญญาณที่ดีงามรวมทั้งเหล่าวีรบุรุษ หรือทุ่งอัสโฟเดล ที่ที่วิญญาณซึ่งไม่ได้มีทั้งความดีงามหรือความชั่วร้ายโดดเด่นกว่ากันเป็นพิเศษพำนักอยู่เพื่อรอวันถือกำเนิดใหม่
เมื่อถึงคราวนั้น พวกเขาจะต้องดื่มน้ำจากเลเธ นทีแห่งการลืมเลือน เพื่อมิให้จดจำชาติภพในอดีตได้ ทว่าผู้ที่จะถือกำเนิดมาเป็นนักพยากรณ์จะได้ดื่มน้ำจากน้ำพุแห่งเนโมซิวเน เพื่อให้มีความทรงจำและญาณหยั่งรู้ติดตัวไปในภพหน้า
เช่นนั้น คงต้องไปทุ่งอัสโฟเดลก่อน แต่จะไปได้อย่างไร ข้าเพิ่งตระหนักว่าตนลืมเรื่องผู้พิพากษาแห่งปรภพไปเสียสนิท พวกเขาจะจับไม่ได้เชียวหรือว่าข้ายังไม่ถึงที่ตาย ขนเพียงเส้นเดียวของอาร์ดัท-ลิลิ จะตบตาพวกเขาได้อย่างไร แล้วหากจับได้ ข้าจะถูกส่งไปรับโทษในตรุทาร์ทาโรสแทน หรือจะถูกส่งกลับโลกมนุษย์ อย่าว่าเลย...ชีวิตนี้ข้ากระทำบาปไว้มากเกินถูกส่งไปยังทุ่งอัสโฟเดลเพื่อถือกำเนิดใหม่หรือไม่ ตนไม่ทราบด้วยซ้ำ
แต่ไม่มีทางเลือกเสียแล้ว กลุ่มวิญญาณในโถงค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า เหมือนถูกผู้มาใหม่ด้านหลังผลักดันอยู่ตลอดเวลา ซ้ำยังมีกลุ่มร่างในชุดเกราะยืนขนาบข้างแถวทั้งสองด้าน คอยบีบให้จำนวนคนที่ผ่านไปได้ค่อยๆ ลดลงจนเหลือแถวเรียงหนึ่ง ไม่มีทางหลบออกไปได้เลย
ข้าสูดลมหายใจลึกเมื่อเห็นประตูอีกบานอยู่เบื้องหน้า เป็นประตูกรอบสีทองบานเล็ก เปิดให้ดวงวิญญาณผ่านเข้าไปได้ทีละหนึ่งเท่านั้น วิญญาณก่อนหน้าข้าใช้เวลารออย่างน้อยราวดวงละหนึ่งนาที ก่อนที่ยามซึ่งเฝ้าสองข้างประตูจะขยับปลายหอกสั้นเป็นสัญญาณให้เขาเดินต่อไป
หลังการรออย่างกระวนกระวาย ข้ากลับยังไม่พร้อมเลยเมื่อถึงตาของตน กระนั้น ก็ถูกผู้เฝ้ายามใช้ด้ามหอกรุนหลังเข้าไปอย่างไม่เบานัก
หลังเสียงเท้าข้ากระทบพื้นสะท้อนก้อง...ก็มีเสียงประตูปิดสะท้อนกังวานยิ่งกว่า...ตามมาด้วยความเงียบยิ่งกว่า
ครั้นค่อยๆ รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าผนังฝั่งตรงข้ามกับประตูที่เข้ามามีประตูเล็กอีกสามบาน บานซ้ายทำจากทองแดง ตรงกลางทำจากเงิน และด้านขวาทำจากทอง หันไปยังผนังด้านข้างก็เห็น ชายสามคนนั่งเรียงหลังโต๊ะหินอ่อนบนยกพื้นสูง เหมือนในห้องพิพากษา ชายเหล่านั้นล้วนอยู่ในวัยกลางคน ไว้หนวดเคราภูมิฐาน และดูเหมือนมีรัศมีสว่างอยู่รอบกาย ทว่าข้ามิอาจเห็นพวกเขาได้ชัดเจนกว่านั้น ได้แต่ถามตนเองในใจ...ว่าเหล่านี้หรือคือคณะผู้พิพากษาแห่งปรภพ โอรสแห่งมหาเทพเซอุส
เกิดเสียงดังทำลายความเงียบอีกครั้ง เมื่อชายคนหนึ่งคลี่ม้วนกระดาษเบื้องหน้าตนลงมาเรื่อยๆ
“อามอนแห่งเดโลส...อย่างนั้นหรือ” เสียงทรงอำนาจถามสะท้อนก้อง “เจ้าถึงแก่อายุขัยแล้วหรือ”
ข้ายืนตะลึงงันไม่อาจตอบ กว่าจะนึกได้ว่าควรยืนกรานว่าตนตายไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม...เขาก็พูดเองเสียก่อน
“อา ใช่ ถึงฆาตแล้วจริงๆ ด้วยเหตุฆาตกรรม ความยาวเส้นด้ายของเหล่าเฟทคงคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย” เขาผายมือไปทางประตูบานกลาง “เส้นทางของเจ้าคือประตูเงิน จงไปเสีย”
ข้าไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดหรือไม่ หรือสามารถถามได้ไหมว่าประตูเงินไปยังสถานที่ใด จึงได้แต่ค้อมศีรษะ แล้วรีบไปตามคำสั่ง หลังประตูสีเงินคือทางเดินที่ไม่มีคบไฟ แต่กึ่งสว่างสลัวกึ่งมืดทึมอย่างประหลาด เช่นเดียวกับทุกหนแห่งในโลกใต้พิภพที่มิได้สร้างหรือประดับด้วยแร่และหินมีค่า ข้าเดินไปเพียงลำพังตามทางเดินยาวเป็นเวลานาน ไร้วี่แววของวิญญาณตนอื่นๆ ทั้งที่ล่วงหน้าไปก่อนหรือตามมาข้างหลัง
...และแล้วข้าก็พบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ที่จริง เมื่อออกไปแล้วจึงเห็นได้ว่าแสงด้านนอกไม่ได้สว่างเจิดจ้า ทว่าอย่างน้อยก็แรงกว่าในอุโมงค์พอสมควร สิ่งแรกที่รอต้อนรับข้าคือทุ่งพืชต้นสูง มันออกดอกเป็นช่อสีขาวเรือง สะบัดไหวไปมาโดยไร้สายลม ข้าเห็นดวงวิญญาณเดินขวักไขว่มากมาย บ้างพูดหรือร้องไห้กับตนเอง บ้างเฉยชา ไม่ก็เก็บกินผลอัสโฟเดลเล็กๆ ที่ออกหลังดอกโรยราทั้งดิบๆ โดยไม่ปรุง ต่างคนดูเหนื่อยหน่ายและไร้ความสนใจไยดีในผู้คนรอบข้างโดยสิ้นเชิง
ข้าลองถามที่ตั้งของน้ำพุแห่งความทรงจำจากวิญญาณสองสามดวง แต่ก็ไม่เป็นผล พวกเขาไม่ตอบคำพูดของข้า ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ราวกับข้าไร้ตัวตน เมื่อแตะต้องตัวหรือแม้แต่เขย่า พวกเขาก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
ข้าเริ่มเข้าใจความทุกข์ของสิมูนขึ้นมา แม้จะทราบว่าตนเองไม่ต้องเผชิญสภาพเช่นนี้ชั่วนิรันดร์ ทว่าหนทางเดียวที่จะดับความทุกข์ของทั้งข้ากับนางคงมีแต่หาทางไปสู่น้ำพุแห่งเนโมซิวเนเองเท่านั้น เท่ากับต้องค้นหาก่อนว่าผู้ที่จะถือกำเนิดใหม่ต้องไปที่ใด แถวนั้นย่อมมีแม่น้ำเลเธ และน้ำพุเนโมซิวเนอยู่ใกล้ๆ ข้าจึงกระชับย่ามสัมภาระ ก่อนจะก้าวออกไปในทุ่งอัสโฟเดล แทบไร้ทิศทางใดๆ นอกจากคะเนว่าเป็นทิศตรงข้ามกับอุโมงค์ที่ข้าออกมาเท่านั้น
ไม่ทราบว่านานเท่าใด ข้าจึงพบแม่น้ำสายหนึ่ง ทว่ามิใช่แม่น้ำที่ข้าตามหาอยู่แน่นอน
เฟลเกธอน นทีแห่งเพลิงมีลักษณะโดดเด่นสมชื่อ ที่จริงข้าอยากเรียกมันว่า ‘นทีน้ำมัน’ ด้วยซ้ำ ผิวน้ำสะท้อนประกายแดงฉาน ปรากฏเปลวไฟเล็กๆ เริงรำอยู่ตรงนั้นตรงนี้ตลอดเวลา แม้จะนิ่งสนิทไร้กระแส อีกฟากฝั่งแม่น้ำกว้างใหญ่มีดวงวิญญาณเช่นกัน แต่เป็นวิญญาณที่ดูทุรนทุรายแทนที่เฉยชา เสียงโหยหวนดังแว่วจากอีกฝั่งไม่ขาดสาย ร่างซีดจางบางร่างล้มลุกคลุกคลานลงมาตามตลิ่ง ร่วงลงเฟลเกธอน บางร่างพยายามว่ายข้ามเช่นเดียวกับแม่น้ำสติวซ์ แต่แทนที่จะถูกกระแสน้ำพัดกลับเข้าฝั่ง...กลับถูกเปลวเพลิงร้อนแรงเผาผลาญจนสิ้น
นั่นคงเป็นตรุทาร์ทาโรส...ข้าได้แต่คิดอย่างกริ่งเกรง ก่อนจะรีบมุ่งหน้าต่อ
ครู่ใหญ่หลังจากนั้น ข้าจึงได้สังเกตว่านอกจากอัสโฟเดลแล้ว ในดินแดนนี้เริ่มมีพืชพรรณอื่นๆ ปรากฏให้เห็น ทั้งต้นทับทิม ส้ม มะกอก และองุ่นที่ออกผลอวบเต่งห้อยย้อยยั่วความหิว ต้นไม้เหล่านี้ขึ้นเป็นดงในบริเวณหนึ่งดูร่มรื่น ทั้งยังมีเสียงบางสิ่งตกกระทบน้ำดังแว่วมาเป็นระยะๆ
ข้าชะโงกดูตรงรอยแยกของกิ่งไม้ พบผลทับทิมสุกไหวปริ่มผิวน้ำ ทั้งรอบด้านมันยังผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่สุกงอมลอยอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
ข้ารู้สึกเหมือนท้องของตนอุทธรณ์ทันทีที่เห็นผลไม้เหล่านั้น นับแต่เดินทางในแถบทะเลทราย ข้าก็ไม่ได้พบเจอผลไม้สดมานานแล้ว...อย่าว่าแต่ผลไม้พื้นเมืองของเอลลัสซึ่งถูกส่งมาที่ตลาดในเดโลสเลย อย่างไรก็ดี ข้ายังจำได้ว่าการบริโภคอาหารในปรภพเท่ากับประกาศตนว่าเป็นคนของที่นี่ ตามเรื่องเล่าของเพอร์เซโฟเน เทพกัญญาแห่งฤดูใบไม้ผลิซึ่งถูกอาเดสลักตัวลงมาเป็นชายา เพราะนางรับประทานผลทับทิมของโลกใต้พิภพไปหกเมล็ด จึงต้องใช้เวลาหกเดือนในปรภพกับอาเดส และอีกหกเดือนในโลกมนุษย์ ทางเดียวที่ข้าจะดับความหิวที่พลันทวีขึ้น จึงมีเพียงล้วงเข้าไปหยิบถุงน้ำขึ้นดื่ม ตามด้วยเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งและน้ำอีกสองสามอึกตบท้าย
“เจ้าคนบนฝั่งนั่นน่ะ...”
ข้าแทบทำถุงน้ำตก...เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งโดยไม่คาดฝัน เหลียวไปก็เห็นศีรษะหนึ่งโผล่พ้นผิวน้ำจากคอขึ้นมา ผมของศีรษะนั้นหงอกขาว หนวดเครายาวปกคลุมใบหน้าที่มีโครงแก้มตอบและผิวซีดเผือด นัยน์ตาสีฟ้าจางดูไร้พลัง
“ข้าหิว...หิวมากเหลือเกิน...ช่วยแบ่งน้ำกับอาหารให้ข้าหน่อยเถอะ...อ...อะไรก็ได้ทั้งนั้น”
* * * * *
เก็บไว้ให้ทายเล่นๆ ว่าชายหิวโหยในนรกเป็นใครครับ :)
ตอนแรกที่นึกภาพของปรภพกรีกเขียนยากพอควร เพราะต้องมานึกว่าแม่น้ำและเคอร์เบโรส/เซอร์บีรัสน่าจะอยู่ที่ไหน ยังดีที่ตอนหลังได้พบแผนที่นรกซึ่งมีคนวาดไว้ตามแบบมหากาพย์อีเลียด โอดิสซีย์ และอีเนียด จึงนำมาให้เทียบเคียงดูครับ
แผนที่ของปรภพ
ชื่อ
อาเดส - Hades (ชื่อปรภพและเจ้าแห่งปรภพ)
อาเครอน - Acheron (แม่น้ำแห่งการคร่ำครวญ เป็นแม่น้ำที่วิญญาณข้ามไปสู่ปรภพ)
มินอส - Minos (หนึ่งในสามผู้พิพากษาวิญญาณ)
ราดามันธิวส์ - Radamanthus (หนึ่งในสามผู้พิพากษาวิญญาณ)
เออาคอส - Aeacus (หนึ่งในสามผู้พิพากษาวิญญาณ)
ทาร์ทาโรส - Tartarus/Tartaros (คุกที่คุมขังและลงโทษวิญญาณบาป)
ทิทาเนส - Titanes พหูพจน์ของ Titan (เทพรุ่นเก่าก่อนซูสล้างอำนาจ หลายตนถูกขังในตรุด้านบน)
เอลิวเซีย - Elysium/Elysian Fields (ที่ที่วิญญาณของวีรบุรุษหรือผู้ที่เทพเจ้าพอใจได้รับชีวิตนิรันดร์ เทียบได้กับสวรรค์)
ทุ่งอัสโฟเดล - The Fields of Asphodel (ทุ่งที่วิญญาณที่มีความดีชั่วปานกลางอาศัยอยู่รอวันเกิดใหม่)
เฟลเกธอน - Phlegethon (แม่น้ำแห่งไฟ)
เพอร์เซโฟเน - Persephone (เทพีแห่งปรภพ ชายาของอาเดส/ฮาเดส เดิมเป็นเทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ)
สายธาร
๑. อาเดส
อาร์ดัท-ลิลิกลับเป็นร่างกึ่งมนุษย์หลังโผลงบนผืนทรายเบื้องหน้าแนวผา ห่างข้ากับอูฐไปราวยี่สิบก้าว อาการตื่นของอูฐเพื่อนยากทำให้ข้ารีบลูบลำคอและกระซิบปลอบมันเบาๆ ทันที
“หวังว่าเจ้าคงนำสิ่งจำเป็นมาครบถ้วน” นางเพิ่งเอ่ยกับข้าเป็นคำแรก กระทั่งข้าอดขันน้อยๆ มิได้ที่นางมาพูดเอาป่านนี้ แทนที่จะบอกก่อนนำทางข้ามาที่นี่
“ข้าเองก็เช่นกัน” กระนั้นข้าก็ได้แต่รับ “แล้วปากทางเข้าปรโลกเล่า”
แทนคำตอบ อาร์ดัท-ลิลิสะบัดปลายปีกของนาง ให้ข้าเห็นอุโมงค์มืดปรากฏขึ้นทันใดบนแผ่นผา เป็นปากอุโมงค์ที่มีความกว้างราวกับจะให้รถม้าผ่านเข้าไปได้ทั้งคัน
"สิ่งที่เจ้าตามหาอยู่ในนี้"
ข้าลงจากหลังอูฐก่อนจะหยิบสิ่งของที่จำเป็น ทั้งขนนกของอาร์ดัท-ลิลิ เหรียญเงินอันเป็นสินจ้างของคารอน ถุงน้ำ เสบียงอาหารของข้า และเนื้อปรุงรสที่ข้าหวังว่าเคอร์เบโรสจะชอบ ที่สำคัญขาดมิได้คือถุงกระเพาะแกะอีกใบสำหรับใส่น้ำพุแห่งความทรงจำ
"ห้ามจุดไต้" นางปีศาจบอกเสียงแข็งเมื่อข้าหยิบสิ่งนั้น "ปรภพเป็นแดนไร้ไฟ หากจุดไฟก็เท่ากับเจ้าประกาศตนว่าเป็นผู้แปลกปลอม"
"แต่...ทางข้างหน้านี้มืดมากไม่ใช่หรือ" ข้าตั้งคำถาม
"ข้ามองเห็นในความมืด และจะเดินนำเจ้าลอดอุโมงค์นี้ไป" นางบอก "แต่ข้าจะไม่ออกไปนอกอุโมงค์กับเจ้า หนทางข้างหน้านั้นเจ้าต้องเป็นผู้หาและย้อนกลับมาเอง ถึงจะเป็นดินแดนแห่งภูตพรายเช่นกัน นั่นก็ไม่ใช่เขตแดนของข้า"
ข้าเสียบไต้ไว้ข้างอานของอูฐ หาชะง่อนหินที่พอบังแดดได้ผูกมันไว้ แล้วก้าวไปหาอาร์ดัท-ลิลิ ซึ่งส่งมืออันมีเล็บแหลมยาวให้ข้าอยู่หน้าปากถ้ำ
มือของนางเย็นเยียบยิ่งกว่าอากาศรอบนอก ขณะที่นางนำทางข้าเข้าไปในอุโมงค์มืดยาวคดเคี้ยวโดยไร้คำพูด แม้แต่ละย่างก้าวจะแผ่วเบาเพียงไร ข้ายังอดรู้สึกมิได้ว่าเสียงฝีเท้าของตนดังก้องราวกับคนนับสิบ นานพอดูกว่าจะเห็นแสงประหลาดจากปากอุโมงค์อีกด้าน
แสงนั้นซีดเย็นเหมือนแสงจันทร์ มิได้ส่องมาจากพื้นสีเทาที่ควรเป็นท้องฟ้า ทว่าเรืองสลัวรอบด้าน เบื้องหน้าคือทุ่งหญ้าที่ไหวน้อยๆ ทั้งไร้ลมพัด มีร่างซีดขาวของผู้คนขวักไขว่ บ้างนั่ง ยืน หรือเดินวนไปมาอย่างหดหู่ไร้จุดหมาย บางคนร้องไห้อย่างเงียบงันกับตนเอง
“ข้าจะรออยู่ที่นี่” อาร์ดัท-ลิลิกระซิบ “จนกว่าจะเห็นสมควรเชื่อได้แล้วว่าเจ้าไม่อาจกลับมา หวังว่าเจ้าคงไม่หลงวนเวียนกลายเป็นวิญญาณดวงหนึ่งในนี้”
ครั้นข้าไม่ตอบอะไร นางก็ปล่อยมือ ให้ข้าก้าวออกไปยังทุ่งหญ้าประหลาดนั้นเพียงลำพัง
เดินข้ามทุ่งไปไม่นาน ข้าก็สังเกตเห็นจุดที่วิญญาณสีขาวรวมตัวกันอยู่มากกว่าที่อื่นๆ นั่นคือท่าเรือเล็กๆ ซึ่งยื่นลงไปในแม่น้ำอาเครอนอันเชี่ยวกราก เสียงน้ำไหลฟังประหนึ่งเสียงกรีดร้องโหยหวน แม่น้ำนั้นกว้างราวกับทะเล กระนั้นยังพอเห็นฝั่งตรงข้ามได้ลิบๆ
คลื่นแรงซัดสาดเข้าตลิ่งฝั่งที่ข้ากับร่างเหล่านั้นยืนอยู่เป็นระยะๆ ข้าเห็นพวกเขาบางคนพยายามเดินลงแม่น้ำ แล้วก็ว่ายทวนกระแส แต่ไม่อาจข้ามไปได้ ที่โชคดียังถูกพัดเข้าฝั่ง...ส่วนที่ออกไปไกลกว่านั้นจมหายในไม่ช้า
ข้าเชื่อว่าพวกเขาทราบเช่นเดียวกันว่ามีหนทางข้ามทางเดียว คือเรือแจวลำยาวที่มีคนผู้หนึ่งคัดท้าย เรือนั้นค่อยๆ เข้ามาในคลองจักษุ พร้อมกับร่างสูงโปร่งคลุมผ้าสีดำตลอดร่างและศีรษะซึ่งยืนอยู่ท้ายเรือ
กระแสน้ำช่วยพาเรือมาถึงท่าได้โดยเร็ว ข้าแทบกลั้นใจเมื่อเห็นมือของคนแจว ซึ่งโผล่พ้นชายผ้าคลุมออกมารับเหรียญเงิน มือนั้นผอมจนมีเพียงหนังหุ้มกระดูกและซีดเหลืองเหมือนศพอาบยา วิญญาณดวงแรกที่สุดปลายท่าวางเหรียญเงินของตนลงในมือของคารอนอย่างกริ่งเกรง ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งที่สุดหัวเรือยาว
ผู้โดยสารคนแล้ว คนเล่า ค่อยๆ วางเหรียญของตนลงบนมือผอมแห้ง ซึ่งรองรับเหรียญเหล่านั้นได้มากมายอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่แล้ว...ในจังหวะที่ผู้โดยสารก่อนหน้าข้าสองสามคนส่งเงินให้แก่คารอน ก็มีร่างซีดขาวด้านหลังฉวยโอกาสผลุบลงเรือไปโดยมิได้จ่าย
คารอนหวดไม้พายฟาดร่างนั้นทันที เกิดเสียงดังน่ากลัว วิญญาณผู้โกงค่าผ่านทางร่วงลงแม่น้ำอาเครอนจนน้ำกระเซ็นสูง ข้าเกรงว่าร่างนั้นจะกระดูกหักหรือช้ำในตายเสียแล้ว...หากไม่เห็นเขายังลุกขึ้นยืนได้อย่างสิ้นหวังและเศร้าสร้อยหลังถูกน้ำซัดเข้าฝั่ง มองวิญญาณอื่นๆ ที่มีค่าผ่านทางมุ่งหน้าต่อไป
ไม่นานก็ถึงตาข้า หัวใจข้าเต้นไม่เป็นส่ำขณะเกรงว่าคารอนจะจับได้หรือไม่...ว่าข้าเป็นคนเป็นซึ่งไม่ควรอยู่ที่นี่ และหากจับได้เขาจะตีข้าตกแม่น้ำเหมือนกับวิญญาณดวงก่อนหน้าใช่ไหม แต่เมื่อยื่นเหรียญเงินของเอลลิเนสซึ่งใช้เป็นเงินปากผีให้แก่เขา เขาก็ปล่อยให้ข้านั่งลงในเรือโดยไม่ว่ากระไร ครั้นเห็นเรือบรรทุกวิญญาณที่มีค่าผ่านทางจนเต็มลำแล้ว คารอนจึงเก็บเหรียญเหล่านั้นเข้าไปในผ้าคลุมของตน และคัดท้ายพายออกไปจากฝั่งทวนกระแสน้ำอย่างแช่มช้า
ข้ารู้สึกราวกับเรือแล่นข้ามลำนทีอาเครอนอันเชี่ยวกรากได้อย่างรวดเร็วประหลาด ทั้งๆ ที่แทบไม่รู้สึกเลยว่าฝีพายของร่างผอมบางร่างเดียวจะทรงพลังแต่ประการใด ซ้ำยังมีมือของวิญญาณที่พยายามว่ายข้ามน้ำพยายามไขว่คว้า เกาะเขย่าขอบเรือตลอดจนโคลงเคลงอย่างน่าหวาดเสียว คารอนใช้พายทั้งคัดท้ายเรือและปัดมือเหล่านั้นอย่างชำนาญ ตลอดทางข้ามแม่น้ำ ความกลัวเริ่มผุดในใจข้าอีกครั้ง ทั้งเรื่องใกล้ตัวอย่างเรืออาจล่ม ไกลออกไปอีกก็กลัวว่าสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าจะอันตรายยิ่งกว่านี้เพียงไร และกลัวกระทั่งเรื่องห่างแสนห่าง...แต่ก็เหมือนใกล้แสนใกล้...คือหากข้าตายไปโดยไร้ผู้ทำพิธีฝังศพถูกต้องตามธรรมเนียม ก็คงไม่พ้นลงเอยเป็นวิญญาณที่ได้แต่วนเวียนริมแม่น้ำโดยไม่อาจข้ามไปได้ใช่ไหม
ข้าได้แต่สั่นศีรษะไล่ความคิดเหล่านั้นเป็นการใหญ่เมื่อใกล้ถึงฝั่งอีกด้าน ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยสิมูน อนาคตจะเป็นอย่างไร มิใช่สิ่งที่ควรพะวงในตอนนี้
* * * * *
อีกฟากของลำนทีอาเครอน คือความสับสนวุ่นวายอันเงียบงัน
พอขึ้นจากเรือของคารอนพร้อมผู้โดยสารอื่นๆ ข้าก็เห็นผู้คนมากมายกว่าที่คงมาถึงก่อนหน้า คนเหล่านั้นยังคงเป็นร่างซีดจางเช่นเดียวกัน พวกเขายืนเรียงแถวอย่างไม่เป็นระเบียบนัก เบื้องหน้าคือกำแพงสีเทาสูงใหญ่ซึ่งทอดยาวสุดลูกหูลูกตา พวกเขารอให้คนข้างหน้าหลั่งไหลเข้าไปในประตูคู่บานใหญ่บนกำแพง ซึ่งเปิดกว้างและส่องประกายวิบวับราวกับเพชร
ณ ข้างบานประตูมียามเฝ้าเพียงหนึ่งเดียว คือสุนัขตัวใหญ่ยิ่งกว่าหมีเกือบห้าเท่า มีสามหัว และหางเหมือนมังกรซึ่งสะบัดไหว มันมิได้ส่งเสียงคำราม แต่ก็เหมือนแสยะเขี้ยวในปากทั้งสามอย่างเงียบๆ เป็นเชิงขู่ ขณะที่นัยน์ตาสีแดงหกดวงจับจ้องวิญญาณที่ผ่านเข้าไปในประตูแต่ละดวง
ข้ากลืนน้ำลาย ก่อนจะล้วงลงไปในย่ามของตน คลำจนพบเนื้อปรุงรสชิ้นใหญ่ที่ซ่อนอยู่และจับไว้แน่น
...หวังว่าที่อาร์ดัท-ลิลิทำเป็นเห็นด้วยกับวิธีนี้จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น...
ข้าปล่อยตนเองไปตามเหล่าวิญญาณที่มุ่งสู่ประตู พร้อมกับจับตามองเคอร์เบโรสไว้ตลอดเวลา เชื่อว่าตนไม่ได้คิดไปเองเมื่อสุนัขสามหัวทำจมูกฟุดฟิดเหมือนจับกลิ่นบางอย่างได้ ก่อนจะหันหัวทั้งสามมองมาทางข้าแล้วเริ่มคำราม
เมื่อนั้น ข้าขว้างเนื้อจากย่ามใส่มันโดยแรงที่สุด
หัวหนึ่งงับคาบชิ้นเนื้อไว้ อีกสองหัวหันไปคำรามใส่หัวนั้น แล้วก็พยายามกระทุ้งแม้จะไม่อาจกัดกันเองได้ เกิดเป็นความอลหม่านย่อมๆ โดยปริยาย ข้าจึงรีบก้าวยาวๆ ฝ่าวิญญาณอื่นๆ ที่แออัดกันผ่านเข้าประตูให้เร็วที่สุด
* * * * *
หลังประตูใหญ่ประดับเพชรคือโถงกว้างและยาว ทั้งเสาและเพดานดูเหมือนทำจากโลหะมีค่า ทั้งทองแดง เงิน และทองสุกปลั่ง เขียนลวดลาย ฝังเพชรพลอยเป็นประกายระยิบระยับ ผิดกับสีเทาของกำแพงหินด้านนอก เมื่อก้มลง ก็เห็นกระเบื้องปูพื้นเป็นแผ่นทองสลับเงิน สลักลวดลายเสียด้วยซ้ำ
แวบแรกข้าสงสัย...ว่าเหตุใดโถงในปรภพจึงดูงดงามยิ่งกว่าปราสาทราชวังในโลกมนุษย์เสียอีก แต่ก็พลันได้คำตอบเมื่อนึกถึงตำนานที่เคยฟัง อาเดสไม่ได้เป็นเพียงจ้าวแห่งโลกวิญญาณ ทว่ายังเป็นจ้าวของสินแร่ทั้งหลายในดิน สิ่งมีค่าที่ประดับศพ และเงินปากผีซึ่งคารอนรับไป ก็คงตกเป็นทรัพย์ของจ้าวสูงสุดแห่งภพนี้ และมาปรากฏอยู่ที่นี่กระมัง
...แต่น้ำพุแห่งเนโมซิวเนเล่าอยู่ที่ใด...
ข้าพยายามทบทวนเรื่องของปรภพที่เคยได้ยินมา วิญญาณทั้งหลายจะต้องเข้าสู่โถงพิพากษา ที่นั่นมีผู้พิพากษาทั้งสาม มินอส ราดามันธิวส์ และเออาคอส เป็นผู้ตัดสินเส้นทางให้แก่ดวงวิญญาณทุกดวง ไม่ว่าวิญญาณนั้นจะต้องไปสู่ตรุทาร์ทาโรส อันเป็นที่คุมขังลงโทษเหล่าทิทาเนสกับวิญญาณบาปหนา ทุ่งเอลิวเซียอันสวยงามร่มเย็น เป็นที่อยู่ของวิญญาณที่ดีงามรวมทั้งเหล่าวีรบุรุษ หรือทุ่งอัสโฟเดล ที่ที่วิญญาณซึ่งไม่ได้มีทั้งความดีงามหรือความชั่วร้ายโดดเด่นกว่ากันเป็นพิเศษพำนักอยู่เพื่อรอวันถือกำเนิดใหม่
เมื่อถึงคราวนั้น พวกเขาจะต้องดื่มน้ำจากเลเธ นทีแห่งการลืมเลือน เพื่อมิให้จดจำชาติภพในอดีตได้ ทว่าผู้ที่จะถือกำเนิดมาเป็นนักพยากรณ์จะได้ดื่มน้ำจากน้ำพุแห่งเนโมซิวเน เพื่อให้มีความทรงจำและญาณหยั่งรู้ติดตัวไปในภพหน้า
เช่นนั้น คงต้องไปทุ่งอัสโฟเดลก่อน แต่จะไปได้อย่างไร ข้าเพิ่งตระหนักว่าตนลืมเรื่องผู้พิพากษาแห่งปรภพไปเสียสนิท พวกเขาจะจับไม่ได้เชียวหรือว่าข้ายังไม่ถึงที่ตาย ขนเพียงเส้นเดียวของอาร์ดัท-ลิลิ จะตบตาพวกเขาได้อย่างไร แล้วหากจับได้ ข้าจะถูกส่งไปรับโทษในตรุทาร์ทาโรสแทน หรือจะถูกส่งกลับโลกมนุษย์ อย่าว่าเลย...ชีวิตนี้ข้ากระทำบาปไว้มากเกินถูกส่งไปยังทุ่งอัสโฟเดลเพื่อถือกำเนิดใหม่หรือไม่ ตนไม่ทราบด้วยซ้ำ
แต่ไม่มีทางเลือกเสียแล้ว กลุ่มวิญญาณในโถงค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า เหมือนถูกผู้มาใหม่ด้านหลังผลักดันอยู่ตลอดเวลา ซ้ำยังมีกลุ่มร่างในชุดเกราะยืนขนาบข้างแถวทั้งสองด้าน คอยบีบให้จำนวนคนที่ผ่านไปได้ค่อยๆ ลดลงจนเหลือแถวเรียงหนึ่ง ไม่มีทางหลบออกไปได้เลย
ข้าสูดลมหายใจลึกเมื่อเห็นประตูอีกบานอยู่เบื้องหน้า เป็นประตูกรอบสีทองบานเล็ก เปิดให้ดวงวิญญาณผ่านเข้าไปได้ทีละหนึ่งเท่านั้น วิญญาณก่อนหน้าข้าใช้เวลารออย่างน้อยราวดวงละหนึ่งนาที ก่อนที่ยามซึ่งเฝ้าสองข้างประตูจะขยับปลายหอกสั้นเป็นสัญญาณให้เขาเดินต่อไป
หลังการรออย่างกระวนกระวาย ข้ากลับยังไม่พร้อมเลยเมื่อถึงตาของตน กระนั้น ก็ถูกผู้เฝ้ายามใช้ด้ามหอกรุนหลังเข้าไปอย่างไม่เบานัก
หลังเสียงเท้าข้ากระทบพื้นสะท้อนก้อง...ก็มีเสียงประตูปิดสะท้อนกังวานยิ่งกว่า...ตามมาด้วยความเงียบยิ่งกว่า
ครั้นค่อยๆ รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าผนังฝั่งตรงข้ามกับประตูที่เข้ามามีประตูเล็กอีกสามบาน บานซ้ายทำจากทองแดง ตรงกลางทำจากเงิน และด้านขวาทำจากทอง หันไปยังผนังด้านข้างก็เห็น ชายสามคนนั่งเรียงหลังโต๊ะหินอ่อนบนยกพื้นสูง เหมือนในห้องพิพากษา ชายเหล่านั้นล้วนอยู่ในวัยกลางคน ไว้หนวดเคราภูมิฐาน และดูเหมือนมีรัศมีสว่างอยู่รอบกาย ทว่าข้ามิอาจเห็นพวกเขาได้ชัดเจนกว่านั้น ได้แต่ถามตนเองในใจ...ว่าเหล่านี้หรือคือคณะผู้พิพากษาแห่งปรภพ โอรสแห่งมหาเทพเซอุส
เกิดเสียงดังทำลายความเงียบอีกครั้ง เมื่อชายคนหนึ่งคลี่ม้วนกระดาษเบื้องหน้าตนลงมาเรื่อยๆ
“อามอนแห่งเดโลส...อย่างนั้นหรือ” เสียงทรงอำนาจถามสะท้อนก้อง “เจ้าถึงแก่อายุขัยแล้วหรือ”
ข้ายืนตะลึงงันไม่อาจตอบ กว่าจะนึกได้ว่าควรยืนกรานว่าตนตายไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม...เขาก็พูดเองเสียก่อน
“อา ใช่ ถึงฆาตแล้วจริงๆ ด้วยเหตุฆาตกรรม ความยาวเส้นด้ายของเหล่าเฟทคงคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย” เขาผายมือไปทางประตูบานกลาง “เส้นทางของเจ้าคือประตูเงิน จงไปเสีย”
ข้าไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดหรือไม่ หรือสามารถถามได้ไหมว่าประตูเงินไปยังสถานที่ใด จึงได้แต่ค้อมศีรษะ แล้วรีบไปตามคำสั่ง หลังประตูสีเงินคือทางเดินที่ไม่มีคบไฟ แต่กึ่งสว่างสลัวกึ่งมืดทึมอย่างประหลาด เช่นเดียวกับทุกหนแห่งในโลกใต้พิภพที่มิได้สร้างหรือประดับด้วยแร่และหินมีค่า ข้าเดินไปเพียงลำพังตามทางเดินยาวเป็นเวลานาน ไร้วี่แววของวิญญาณตนอื่นๆ ทั้งที่ล่วงหน้าไปก่อนหรือตามมาข้างหลัง
...และแล้วข้าก็พบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ที่จริง เมื่อออกไปแล้วจึงเห็นได้ว่าแสงด้านนอกไม่ได้สว่างเจิดจ้า ทว่าอย่างน้อยก็แรงกว่าในอุโมงค์พอสมควร สิ่งแรกที่รอต้อนรับข้าคือทุ่งพืชต้นสูง มันออกดอกเป็นช่อสีขาวเรือง สะบัดไหวไปมาโดยไร้สายลม ข้าเห็นดวงวิญญาณเดินขวักไขว่มากมาย บ้างพูดหรือร้องไห้กับตนเอง บ้างเฉยชา ไม่ก็เก็บกินผลอัสโฟเดลเล็กๆ ที่ออกหลังดอกโรยราทั้งดิบๆ โดยไม่ปรุง ต่างคนดูเหนื่อยหน่ายและไร้ความสนใจไยดีในผู้คนรอบข้างโดยสิ้นเชิง
ข้าลองถามที่ตั้งของน้ำพุแห่งความทรงจำจากวิญญาณสองสามดวง แต่ก็ไม่เป็นผล พวกเขาไม่ตอบคำพูดของข้า ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ราวกับข้าไร้ตัวตน เมื่อแตะต้องตัวหรือแม้แต่เขย่า พวกเขาก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
ข้าเริ่มเข้าใจความทุกข์ของสิมูนขึ้นมา แม้จะทราบว่าตนเองไม่ต้องเผชิญสภาพเช่นนี้ชั่วนิรันดร์ ทว่าหนทางเดียวที่จะดับความทุกข์ของทั้งข้ากับนางคงมีแต่หาทางไปสู่น้ำพุแห่งเนโมซิวเนเองเท่านั้น เท่ากับต้องค้นหาก่อนว่าผู้ที่จะถือกำเนิดใหม่ต้องไปที่ใด แถวนั้นย่อมมีแม่น้ำเลเธ และน้ำพุเนโมซิวเนอยู่ใกล้ๆ ข้าจึงกระชับย่ามสัมภาระ ก่อนจะก้าวออกไปในทุ่งอัสโฟเดล แทบไร้ทิศทางใดๆ นอกจากคะเนว่าเป็นทิศตรงข้ามกับอุโมงค์ที่ข้าออกมาเท่านั้น
ไม่ทราบว่านานเท่าใด ข้าจึงพบแม่น้ำสายหนึ่ง ทว่ามิใช่แม่น้ำที่ข้าตามหาอยู่แน่นอน
เฟลเกธอน นทีแห่งเพลิงมีลักษณะโดดเด่นสมชื่อ ที่จริงข้าอยากเรียกมันว่า ‘นทีน้ำมัน’ ด้วยซ้ำ ผิวน้ำสะท้อนประกายแดงฉาน ปรากฏเปลวไฟเล็กๆ เริงรำอยู่ตรงนั้นตรงนี้ตลอดเวลา แม้จะนิ่งสนิทไร้กระแส อีกฟากฝั่งแม่น้ำกว้างใหญ่มีดวงวิญญาณเช่นกัน แต่เป็นวิญญาณที่ดูทุรนทุรายแทนที่เฉยชา เสียงโหยหวนดังแว่วจากอีกฝั่งไม่ขาดสาย ร่างซีดจางบางร่างล้มลุกคลุกคลานลงมาตามตลิ่ง ร่วงลงเฟลเกธอน บางร่างพยายามว่ายข้ามเช่นเดียวกับแม่น้ำสติวซ์ แต่แทนที่จะถูกกระแสน้ำพัดกลับเข้าฝั่ง...กลับถูกเปลวเพลิงร้อนแรงเผาผลาญจนสิ้น
นั่นคงเป็นตรุทาร์ทาโรส...ข้าได้แต่คิดอย่างกริ่งเกรง ก่อนจะรีบมุ่งหน้าต่อ
ครู่ใหญ่หลังจากนั้น ข้าจึงได้สังเกตว่านอกจากอัสโฟเดลแล้ว ในดินแดนนี้เริ่มมีพืชพรรณอื่นๆ ปรากฏให้เห็น ทั้งต้นทับทิม ส้ม มะกอก และองุ่นที่ออกผลอวบเต่งห้อยย้อยยั่วความหิว ต้นไม้เหล่านี้ขึ้นเป็นดงในบริเวณหนึ่งดูร่มรื่น ทั้งยังมีเสียงบางสิ่งตกกระทบน้ำดังแว่วมาเป็นระยะๆ
ข้าชะโงกดูตรงรอยแยกของกิ่งไม้ พบผลทับทิมสุกไหวปริ่มผิวน้ำ ทั้งรอบด้านมันยังผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่สุกงอมลอยอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
ข้ารู้สึกเหมือนท้องของตนอุทธรณ์ทันทีที่เห็นผลไม้เหล่านั้น นับแต่เดินทางในแถบทะเลทราย ข้าก็ไม่ได้พบเจอผลไม้สดมานานแล้ว...อย่าว่าแต่ผลไม้พื้นเมืองของเอลลัสซึ่งถูกส่งมาที่ตลาดในเดโลสเลย อย่างไรก็ดี ข้ายังจำได้ว่าการบริโภคอาหารในปรภพเท่ากับประกาศตนว่าเป็นคนของที่นี่ ตามเรื่องเล่าของเพอร์เซโฟเน เทพกัญญาแห่งฤดูใบไม้ผลิซึ่งถูกอาเดสลักตัวลงมาเป็นชายา เพราะนางรับประทานผลทับทิมของโลกใต้พิภพไปหกเมล็ด จึงต้องใช้เวลาหกเดือนในปรภพกับอาเดส และอีกหกเดือนในโลกมนุษย์ ทางเดียวที่ข้าจะดับความหิวที่พลันทวีขึ้น จึงมีเพียงล้วงเข้าไปหยิบถุงน้ำขึ้นดื่ม ตามด้วยเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งและน้ำอีกสองสามอึกตบท้าย
“เจ้าคนบนฝั่งนั่นน่ะ...”
ข้าแทบทำถุงน้ำตก...เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งโดยไม่คาดฝัน เหลียวไปก็เห็นศีรษะหนึ่งโผล่พ้นผิวน้ำจากคอขึ้นมา ผมของศีรษะนั้นหงอกขาว หนวดเครายาวปกคลุมใบหน้าที่มีโครงแก้มตอบและผิวซีดเผือด นัยน์ตาสีฟ้าจางดูไร้พลัง
“ข้าหิว...หิวมากเหลือเกิน...ช่วยแบ่งน้ำกับอาหารให้ข้าหน่อยเถอะ...อ...อะไรก็ได้ทั้งนั้น”
* * * * *
เก็บไว้ให้ทายเล่นๆ ว่าชายหิวโหยในนรกเป็นใครครับ :)
ตอนแรกที่นึกภาพของปรภพกรีกเขียนยากพอควร เพราะต้องมานึกว่าแม่น้ำและเคอร์เบโรส/เซอร์บีรัสน่าจะอยู่ที่ไหน ยังดีที่ตอนหลังได้พบแผนที่นรกซึ่งมีคนวาดไว้ตามแบบมหากาพย์อีเลียด โอดิสซีย์ และอีเนียด จึงนำมาให้เทียบเคียงดูครับ
แผนที่ของปรภพ
ชื่อ
อาเดส - Hades (ชื่อปรภพและเจ้าแห่งปรภพ)
อาเครอน - Acheron (แม่น้ำแห่งการคร่ำครวญ เป็นแม่น้ำที่วิญญาณข้ามไปสู่ปรภพ)
มินอส - Minos (หนึ่งในสามผู้พิพากษาวิญญาณ)
ราดามันธิวส์ - Radamanthus (หนึ่งในสามผู้พิพากษาวิญญาณ)
เออาคอส - Aeacus (หนึ่งในสามผู้พิพากษาวิญญาณ)
ทาร์ทาโรส - Tartarus/Tartaros (คุกที่คุมขังและลงโทษวิญญาณบาป)
ทิทาเนส - Titanes พหูพจน์ของ Titan (เทพรุ่นเก่าก่อนซูสล้างอำนาจ หลายตนถูกขังในตรุด้านบน)
เอลิวเซีย - Elysium/Elysian Fields (ที่ที่วิญญาณของวีรบุรุษหรือผู้ที่เทพเจ้าพอใจได้รับชีวิตนิรันดร์ เทียบได้กับสวรรค์)
ทุ่งอัสโฟเดล - The Fields of Asphodel (ทุ่งที่วิญญาณที่มีความดีชั่วปานกลางอาศัยอยู่รอวันเกิดใหม่)
เฟลเกธอน - Phlegethon (แม่น้ำแห่งไฟ)
เพอร์เซโฟเน - Persephone (เทพีแห่งปรภพ ชายาของอาเดส/ฮาเดส เดิมเป็นเทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น