ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love of Vampire พิษรักแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #12 : EPISODE 11

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 67


    EPISODE 11

    "หลังจากนี้นายจะทำยังไงเหรอ? " ฉันถามขึ้น เมื่อเราทั้งคู่เข้ามาอยู่ในห้องแล้ว ไม่รู้ว่าสงครามของพวกแวมไพร์ร้ายแรงแค่ไหน แถมอยู่ดีๆ ตัวเองก็ดันโดนหมายหัว ฉันทำใจสงบไม่ลงจริงๆ

    "รอดูท่าทีของพวกมันไปก่อน ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าฝั่งไหนต้องการตัวอันนาบ้าง"

    "แวมไพร์ตระกูลอื่นจะไม่หยุดจนกว่าเกมส์บ้าๆ นี่จะจบลงใช่มั้ย? " ฉันถามอีกครั้ง

    "ใช่" ฮารุโตะตอบ เขาเอื้อมมือมาลูบหลังฉันเบาๆ คล้ายต้องการจะปลอบใจ และฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังตัวสั่น จนกระทั่งโดนโอบกอดจากผู้ชายที่คิดว่าเขาใจร้ายที่สุด

    "ไม่เป็นไรนะอันนา ตราบใดที่ผมยังอยู่ ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนทำร้ายเธอได้"

    "ฉันจะถือว่านี่เป็นคำสัญญานะ"

    แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเอาแต่ใจ แต่เขาจะต้องรับผิดชอบ เป็นเพราะเขาที่ดึงฉันเข้ามายุ่งกับเรื่องแฟนตาซี เป็นเขาที่ทำให้ชีวิตฉันรวนไปหมด เป็นเพราะเขาที่ทำเรื่องแย่ๆ กับฉัน...

    "ครับ นี่เป็นคำสัญญา"

    สิ้นเสียงนั้นฮารุโตะก็โน้มหน้าลงมาจูบหลังคอฉันเบาๆ สัมผัสเย็นวาบแถวต้นคอ ทำให้ต้องยกมือขึ้นมากุมโดยอัตโนมัติ พอเงยหน้ามาสบตาอีกฝ่าย เขาก็ทำเพียงแค่ยิ้มออกมา

    "นายทำอะไรกับคอของฉันเหรอ? "

    "สัญลักษณ์" ฉันทำหน้าไม่เข้าใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปที่หน้ากระจกแล้วเอียงคอ เพื่อหารอยสัญลักษณ์ที่ว่า ไม่เห็นมีเลย เขาหลอกฉันหรือเปล่าเนี่ย

    "มันเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าอันนาเป็นของผมแล้ว อันนาไม่เห็นหรอก มีแต่แวมไพร์ด้วยกันเท่านั้นถึงจะมองเห็น"

    "งั้นเหรอ" ฉันเดินมานั่งที่เดิม

    "อืม ตอนนี้เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสวยเชียวครับ" ฮารุโตะเอ่ยยิ้มๆ เขามองคอฉันอย่างอารมณ์ดี ดูจะภูมิใจกับผลงานตัวเองมาก

    "พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเหรอ ฉันคิดว่าตัวเองมีของแบบนั้นอยู่นะ" ถึงจะอยู่ในที่ที่หายากก็เถอะ คนอื่นไม่บอกก็คงไม่รู้

    "หลังใบหูใช่มั้ยครับ ของผมก็มีนะ แต่อยู่แถวไหปลาร้าน่ะ อันนาก็เคยเห็นแล้วนี่ มันคือสิ่งบ่งบอกว่าเธอคือดอกไม้ของผม รูปจันทร์ครึ่งเสี้ยวเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลน่ะ"

    อ่า เขาคงหมายถึงตอนที่เรามีอะไรกันในห้องของเขา ก็นะมันเลี่ยงไม่ได้หรอกที่ฉันจะไม่เห็น เหมือนกำลังโดนจี้จุดอยู่เลย หงุดหงิดชะมัด ทำไมต้องพูดให้นึกถึงเรื่องในวันนั้น

    "อันนาเป็นอะไรหรือเปล่า? " เมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปร่างสูงจึงเอ่ยปากถาม

    "ฮารุโตะนายรักฉันมั้ย? " แต่ฉันไม่ตอบ กลับเป็นฝ่ายถามแทน

    "รักสิ ผมไม่เคยทั้งรักและหลงใครเท่าอันนาเลยนะ" เขาตอบแทบจะทันที ไม่รู้ว่ารักฉันจริงๆ หรือแค่ไม่ได้คิดอะไร

    "จริงเหรอ ถ้ารักกันจริงอย่าทำแบบนั้นอีกได้มั้ย"

    "ครับ? "

    "ที่นายบังคับขืนใจฉันน่ะ ฉันไม่ชอบ ฉันกลัว รู้สึกแย่มากด้วย" พูดตามตรงว่ามันไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีเท่าไหร่สำหรับฉัน เขาทำแบบนี้ความประทับใจที่เคยมีให้ มันก็แทบไม่เหลือ

    ฉันเงยหน้ามองฮารุโตะ เขาเอาแต่เงียบ ไม่ยอมพูดอะไร สีหน้าเขาเรียบเฉยจนรู้สึกไม่ดี นั่นสิ แวมไพร์ผู้ยิ่งใหญ่แบบเขา จะสนใจผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันทำไม

    "ผมสัญญา ต่อไปนี้ถ้าอันนาไม่ยินยอมผมก็จะไม่ทำ ผมจะขออนุญาตก่อนทุกครั้ง" บอกว่าไม่ดีใจก็คงจะโกหก ทันทีที่ฮารุโตะยอมรับปาก ฉันก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้นนิดหน่อย แต่จะแสดงออกโต้งๆ ว่าดีใจ ก็ยังไงอยู่

    "จะคอยดูแล้วกันว่าจะทำแบบที่พูดได้มั้ย"

    ฉันนั่งกอดอก พลางมองหน้าฮารุโตะอย่างท้าทาย บรรยากาศรอบตัวดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

    ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ แต่เห็นแบบนี้ใช่ว่าจะวางใจร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ยังต้องระวังกันต่อไป

    ฮารุโตะใช่แวมไพร์ธรรมดาที่ไหน หมอนี่เป็นแวมไพร์จอมหื่นกามเลยนะ

    "นายบอกว่าดอกไม้ของแวมไพร์ จะมีสัญลักษณ์ประจำตระกูลเป็นเครื่องหมายยืนยันตัวตนใช่มั้ย คือฉันสงสัยน่ะ"

    "หืม? สงสัยอะไรครับ"

    "ถ้าเกิดว่าตระกูลนึงเกิดมีดอกไม้อยู่หลายคน แบบนี้พวกนายจะไม่สับสนกันเหรอ มีแบบเลือกดอกไม้กันผิดบ้างมั้ยอ่ะ" ถามออกไปด้วยความสงสัย ฮารุโตะที่เห็นสีหน้างงๆ ของฉัน ก็เอื้อมมือมาโยกหัวฉันเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มเล็กน้อย คล้ายกับว่ากำลังเอ็นดูเด็กน้อยคนนึง

    "สีน่ะ สีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน"

    "อ้อ" ฉันพยักหน้าเข้าใจ

    "แล้วก็นะ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเจอดอกไม้ของตัวเอง นานๆ ทีจะมีขึ้นมาสักหน ว่ากันว่า 100 ปีถึงจะมีสักคน อีกอย่างพวกดอกไม้น่ะอายุสั้น" นานทีจะเห็นฮารุโตะพูดประโยคยาวๆ ออกมาสักครั้ง แต่คำพูดสุดท้ายของเขาเล่นเอาฉันแทบสะอึก อืม...มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน

    "ฉันจะอายุสั้นเหรอ"

    "พวกดอกไม้อ่อนแอ นอกจากพลังงานชีวิตที่สูงผิดปกติ ก็เหมือนมนุษย์ทั่วไป แถมยังมีกลิ่นฟีโรโมนที่หอมจนทั้งแวมไพร์ และปีศาจแทบคลั่ง ถ้าไม่มีพวกผู้พิทักษ์คุ้มครอง ก็มีชีวิตอยู่ยาก" อธิบายจบฮารุโตะก็หันมาให้ความสนใจกับเส้นผมฉัน เขาใช้นิ้วเกี่ยวพันไปมา

    "อย่างตอนนี้ก็กำลังส่งกลิ่นชวนคลั่งอยู่" เอ่อ หมายถึงฉันสินะ พูดเฉยๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องเอาหน้าเข้ามาใกล้กันขนาดนี้เลย

    ฉันยกมือขึ้นดันแผงอกของฮารุโตะ เขากำลังใช้สายตาแพรวพราวนั่นจับจ้องฉันอยู่ ทำเอาซะหัวใจดวงน้อยๆ เต้นไม่เป็นจังหวะ มือไม้เย็นเฉียบไปหมด ฉันไม่สามารถละสายตาจากดวงตาอันทรงเสน่ห์ของเขาได้เลย

    "ยะ อย่าลืมที่นายสัญญากับฉันไว้นะ! " ร้องบอกปากคอสั่นเมื่อจู่ๆ ฮารุโตะก็เริ่มแสดงท่าทางคุกคาม เขาตามมาคร่อมร่างฉันเอาไว้ พร้อมกับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    "ตอนนี้ฟีโรโมนที่อยู่บนตัวของอันนา มันเริ่มส่งกลิ่นแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะครับ"

    ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

    หัวใจฉันเต้นแรงขึ้น เมื่อร่างสูงจงใจใช้น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบที่ข้างหูตัวเอง ริมฝีปากบางเฉียบนั่นขบเม้มใบหูฉันเบาๆ คล้ายต้องการจะยั่วยุ ร่างกายแข็งทื่ออย่างคนทำอะไรไม่ถูก

    "ยิ่งตื่นตระหนกฟีโรโมนก็ยิ่งแรงครับ"

    "ละ แล้วจะทำยังไง" ฉันเอ่ยถาม อยู่ๆ น้ำเสียงก็สั่น ไม่เข้าใจว่ากลิ่นของตัวเองมันรุนแรงขนาดไหน แต่เมื่อเห็นสายตาของฮารุโตะที่ใช้มองฉัน ก็ทำเอาสั่นสะท้าน สายตาเขาเหมือนกับหมาป่านักล่า ที่จ้องจะกลืนกินลูกแกะ

    "อันนารู้อยู่แล้วนี่" อ่า เขาคงหมายถึงการสัมผัสตัวสินะ

    หมับ! ฉันโน้มตัวเข้าไปกอดคนตรงหน้าเต็มแรง ใบหน้าแนบกับอกแกร่ง ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ จากคนตัวสูง แวมไพร์หัวใจเต้นแรงทุกคนเลยหรือเปล่านะ

    "แบบนี้มันยั่วกันชัดๆ"

    น้ำเสียงแหบพร่าพึมพำออกมา เขายกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแรงๆ คล้ายกำลังควบคุมอารมณ์ ก่อนจะยื่นมือมากอดเอวฉันไว้ รู้สึกได้เลยว่าอุณหภูมิในร่างกายฮารุโตะกำลังพุ่งสูง

    "นายบอกเองว่าเราต้องสัมผัสกัน กลิ่นแปลกๆ นี่ถึงจะหายไป" ฉันเอ่ยออกไป พร้อมกับมองไปที่ฮารุโตะ สีหน้าเขาเหมือนคนที่กำลังทรมาน

    กลิ่นที่ตัวฉันมันรุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ ให้ฉันอยู่ห่างจากฮารุโตะไม่ดีกว่าเหรองั้น เพราะสำหรับฉันเขาดูอันตรายกว่าใครทั้งนั้น

    "แค่กอดมันไม่พอหรอกอันนา" เสียงที่แสดงออกถึงความต้องการทำให้ฉันหน้าเสีย เหตุการณ์ที่เขาบังคับขืนใจ ยังฝังอยู่ในหัวของฉัน มันน่ากลัวเกินไป ไม่มีทางที่จะทำมันได้อีก

    "อย่างน้อยถ้าได้จูบก็น่าจะช่วยได้เยอะ" ราวกับรู้ว่าฉันคิดอะไร ฮารุโตะจึงพูดประโยคถัดมา เพื่อเสนอทางเลือก ฉันรู้ว่ามันจำเป็น แต่แค่กอดไม่พอหรือไงนะ

    "ผมขอนะ" ฮารุโตะร้องขอ

    "นะ- นิดเดียวนะ แค่นิดเดียวเท่านั้นแค่แตะๆ ก็พอ! " ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมกับหลับตาแน่น

    :บันทึกพิเศษ ฮารุโตะ:

    นิดเดียวเหรอ? แล้วไอ้นิดเดียวที่เธอว่ามันแค่ไหนกันล่ะ? ผมมองอันนาที่ตอนนี้กำลังนั่งหลับตาอยู่บนโซฟาสีเลือดหมู เธอตัวสั่นราวกับลูกนกตัวน้อยๆ ผมรู้ว่าเธอกลัว เพราะงั้นถึงได้พยายามหักห้ามใจตัวเอง ไม่ให้กระโจนใส่ร่างที่แสนบอบบางนี้

    "ครับ นิดเดียว" ถึงจะไม่รู้ว่ามันแค่ไหนผมก็รับปาก เพราะร่างกายผมมันแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว แค่นั่งคุยกับเธอได้ธรรมดาก็เต็มกลืนแล้ว

    "อะ อื้ม"

    น้ำเสียงเล็กร้องครางออกมาเบาๆ เมื่อผมก้มหน้าลงไปจูบเธอ ลิ้นร้อนของผมค่อยๆ สอดเข้าไปในโพลงปากที่อ่อนนุ่ม พลางดูดดึงลิ้นเล็กของอันนา

    "อึก! " ผมผละออกเล็กน้อยเพื่อให้อันนาได้หายใจ ส่วนมือก็ยื่นไปเช็ดมุมปากเล็ก ที่เลอะไปด้วยน้ำลายของเราทั้งคู่ คนตัวเล็กทั้งหอบทั้งตัวสั่นเลยแฮะ น่ารักชะมัดให้ตายสิ

    ว่าแล้วผมก็รวบตัวอันนาเข้าไปกอด ก่อนจะกดจูบลงไปบนริมฝีปากเล็กอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ผมไม่อยากหยุดอยู่แค่นี้ อยากจะจับคนตัวเล็กมาไว้ใต้ร่าง แล้วลงมือจัดการกับชุดที่แสนจะเกะกะนี้ออกไป อยากให้ผิวขาวๆ ของอันนาเต็มไปด้วยร่องรอยที่มาจากผม

    ก็ได้แค่จินตนาการ ผมพึ่งสัญญากับเธอไปเอง จะดีแตกตอนนี้ก็คงไม่ได้ ไม่อยากให้เธอเกลียดผมไปมากกว่านี้ด้วย ผมยังจำแววตาของอันนาครั้งก่อนได้ดี มันเต็มไปด้วย ความผิดหวัง ความรังเกียจ ขยะแขยง นั่นน่ะทำเอาปวดใจไม่น้อย

    "ผมไม่ทำอะไรแล้วครับ" พูดจบก็ปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสระ ใบหน้าเรียวเล็กเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเช็ด

    "ฟู่ว ค่อยยังชั่ว" อันนาถอนหายใจอย่างโล่งอก สีหน้าดูดีขึ้นมาทันที

    "หิวหรือยังครับอันนา" ผมถาม เพราะนี่ก็เริ่มมืดแล้ว คนตัวเล็กยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ก่อนหน้านี้ผมก็เล่นงานเธอซะเจ้าตัวสลบ

    "จะว่าไปก็เริ่มหิวแล้วแฮะ"

    "งั้นเดี๋ยวผมโทรสั่งให้นะ" ผมบอกพร้อมกับเดินไปหยิบเมนูอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ

    "อันนาเลือกเลยครับ"

    "เราไม่ได้ลงไปกินข้างล่างกันเหรอ? "

    เธอถามด้วยสีหน้าฉงน เดาว่าเธอคงเบื่อ ช่วงนี้ผมเล่นให้อันนาอยู่แต่ในห้อง ก็นะด้วยอะไรหลายอย่าง มันช่วยไม่ได้ แต่พอเห็นใบหน้าน่ารักนั่นซึมลงก็เล่นเอาผมคิดหนัก

    "หรืออันนาอยากกินที่ฟู้ดส์คอร์ด? " ลองถามหยั่งเชิงดูก่อน

    "ช่ายย เบื่อแล้วอ่ะอยู่แต่ในห้อง" ผมชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนที่จะพยักหน้าเล็กน้อยเป็นอันตอบตกลง ตามใจหน่อยแล้วกัน

    "จริงนะ? ถ้างั้นฉันขอไปอาบน้ำก่อนนะ แป๊บเดียวเท่านั้น! " อันนารีบพูดขึ้น คล้ายกับกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจ รอยยิ้มน่ารักนั่นมันอะไร เธอมันขี้โกงชะมัดยัยคนสวย!

    ผมยกมือขึ้นนวดที่กรามตัวเองเบาๆ รู้สึกเมื่อยกรามยังไงชอบกล อยู่ใกล้อันนาทีไรเล่นเอาผมหุบยิ้มไม่ค่อยได้เลยแฮะ

    แถมกลิ่นหอมๆ ที่โชยมาจากห้องน้ำ ก็ทำเอาผมแทบคลั่งอีกครั้ง ภายในหัวกำลังจินตนาการภาพของอันนา ที่กำลังเปลือยเป็นฉากๆ เท้าผมแทบจะเดินเข้าไปหาเธออยู่แล้ว แต่ไอ้สำนึกด้านดีดังร้องเตือนขึ้นมาก่อน

    'ถ้ารักอันนามึงต้องไม่ทำให้เธอรู้สึกแย่สิวะ'

    'อันนาบอกว่าไม่ชอบให้มึงบังคับไม่ใช่เหรอ'

    "ฟุ่วว"

    ผมพ่นลมหายใจออก พยายามหายใจเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ เพื่อข่มอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะสาวเท้าเดินไปที่ระเบียง เอาหน้าตากลมหน่อยคงจะพอช่วยได้ ระหว่างนั้นก็โทรหาไอ้คราวน์ไปด้วย

    [ว่าไงคุณชายโตะ] รอไม่นานไอ้คราวน์ก็รับสาย มันยังทำเสียงกวนๆ ใส่ผมได้คงสบายดี

    "เป็นยังไงบ้างวะ" ผมถาม

    [ตามมาได้ครึ่งทาง พอรู้ว่าคนที่อยู่ในรถเป็นกู แม่งก็ชูนิ้วกลางใส่ แล้วเลี้ยวรถกลับดิวะ]

    "หึ มึงไม่โดนพวกมันยำก็ถือว่ายังดี"

    ผมตอบกลับ ก่อนหน้านี้ผมกับไอ้คราวน์สลับรถกันน่ะ เพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าพวกมันน่าจะสืบเรื่องของผมมาระดับหนึ่ง ถ้าขับรถที่ใช้ประจำน่าจะสะดุดตาไม่น้อย

    [ก็ให้พวกมันมาดิครับ มีแต่พวกระดับกลางแม่งไม่ดูถูกพวกเราไปเหรอวะ]

    ไอ้คราวน์บ่นขึ้นด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ มันคงอยากมีประเด็นกับไอ้ฟิว์เต็มที่ สองคนนี้ไม่ชอบขี้หน้ากันน่ะ ตอนเล็งเล่นงานไอ้คราวน์มันถึงเลือกตระกูลที่ 6 ซึ่งผมก็ไม่ค้านอะไร ใครให้หัวหน้าตระกูลพวกมันเล็งอันนาล่ะ

    [มีอีกเรื่องที่มึงต้องรู้ด้วยคุณชายโตะ]

    "มึงพูดมา" ผมบอกไอ้คราวน์ เมื่อเห็นว่ามันเว้นช่วงการพูดนาน

    [ไม่ใช่แค่ตึกเราที่โดนวางระเบิด ตึกไอ้แซ็ก กับไอ้เด็กกวินก็โดน พวกกูไปตรวจดูแล้ว ระเบิดที่ใช้แม่งเหมือนกันหมดเลยว่ะ]

    "แล้ว? "

    [ราชินี ต้องการให้พวกเราอยู่ในอณาเขต แล้วทำให้ทุกอย่างปกติที่สุด]

    มันคงหมายถึงอยู่ภายในมอ ราชินีคงกลัวว่าถ้าปล่อยพวกเราไว้ข้างนอกนานๆ อาจจะมีเหตุให้ต้องปะทะกันข้างนอก หรือไม่ก็กลัวใครบางคนในฝ่ายล่าเสียเปรียบ หึ!

    :จบบันทึกพิเศษฮารุโตะ:

    ฉันใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็อาบเสร็จเรียบร้อย น่าแปลกที่เปิดประตูออกมาแล้วไม่เจอฮารุโตะ ปกติเขาตามติดฉันจะตายไป ด้วยความสงสัย ฉันก็เลยเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่น ก็เห็นว่าเขายืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงประตูระเบียง คงจะเป็นเพื่อนสักคนในแก๊งแวมไพร์ล่ะมั้ง

    "ถ้าอยู่ๆ นายหายไป ฉันไม่ได้กินข้าวแน่" บ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่ฉันจะกลับเข้ามาในห้อง แล้วหยิบเสื้อผ้าในตู้ออกมาใส่ ดูท่าจะเป็นของใหม่ด้วยนะเนี่ย มีทั้งบราเซีย แล้วก็ชั้นใน แถมไซต์ฉันด้วย อย่างกับถูกจัดเตรียมไว้อยู่แล้ว

    หลังจากแต่งตัวเสร็จฉันก็ออกมารอฮารุโตะที่ห้องนั่งเล่น แต่หมอนั่นก็ยังคุยโทรศัพท์ไม่เลิก ฉันเลยหยิบรีโมทมาเปิดหนังดูแทน

    "อ้าว ข่าวแทรกซะงั้น" ซึ่งข่าวที่ว่า ก็คือข่าวเกี่ยวกับมหาลัยฉัน เนื้อความประมาณว่า มหาลัยถูกคนไม่หวังดี ลอบวางระเบิดทำร้ายนักศึกษา จนกว่าจะหาตัวการได้มหาลัยจึงขอหยุดทำการสอนชั่วคราว เนื้อหาข่าวมีแค่นั้น

    ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องกลับบ้านสินะ แม้จะไม่อยากก็เถอะ ก็มีเขาคนนั้นอยู่ด้วยนี่นา แต่อย่างน้อยกลับบ้านก็ปลอดภัย กว่าอยู่ในมหาลัยที่มีแต่แวมไพร์

    "อันนาพร้อมหรือยังครับ" ฮารุโตะที่คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเดินเข้ามาหาฉัน สีหน้าเขาดูปกติดี คงไม่ได้คุยเรื่องไม่ดีมาหรอก

    "อื้ม พร้อมแล้ว"

    "เมื่อกี้ ข่าวมหาลัยเราใช่มั้ยครับ"

    "ใช่ ดูเหมือนว่ามหาลัยจะพักการสอนชั่วคราวน่ะ แถมยังให้นักศึกษาที่อยู่หอในกลับบ้านทุกคนด้วย เห็นว่าเพื่อความปลอดภัย"

    ว่าแล้วก็อยากคุยกับขนมเทียนจัง ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง โทรศัพท์ฉันก็อยู่ที่ห้องของฮารุโตะ ก่อนหน้านี้รีบมาก เลยไม่ได้หยิบมาด้วย

    "หมายถึงนักเรียนธรรมดาน่ะครับ"

    "เอ๊ะ ยังไง? " ฉันถาม

    แม้จะรู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือแวมไพร์ แต่ฮารุโตะคงไม่ได้หมายความว่า จะให้เราอยู่ในมหาลัยหรอกนะ

    "ครับ ต่อไปมหาลัยจะมีแต่พวกแวมไพร์"

    "แล้วไม่เป็นไรเหรอ ถ้าเกิดมีคนภายนอกรู้"

    "ราชินีจะใช้เวทมนตร์ครับ"

    จบคำพูดนั้น หัวสมองฉันก็ตื้อไปชั่วขณะ อะไรมันจะแฟนตาซีขนาดนั้น ฉันยอมแพ้แล้ว ต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรน่าเหลือเชื่ออีก ฉันจะพยายามไม่ตื่นตระหนก

    "ถ้างั้นก็หมายความว่าแวมไพร์ใช้เวทมนตร์ได้เหรอ" ถามออกไปอย่างนึกสงสัย

    "ไม่หรอกครับ พวกเราแค่ใช้ของที่พวกแม่มดสร้างขึ้นมาเท่านั้น อีกอย่างอุปกรณ์เวทมนตร์ก็ไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆ" ฮารุโตะอธิบาย พร้อมกับคว้ามือฉันไปกุม ตอนนี้เรากำลังจะเดินลงไปทานอาหารข้างล่างกันน่ะ

    "แล้วมหาลัยเรามีแม่มดมั้ย? " ฉันลองถามฮารุโตะ ถ้ามีก็อยากรู้ว่าเป็นใคร ไม่แน่อาจช่วยเรื่องกลิ่นพิเศษที่ล่อแต่พวกแปลกๆ นี่ได้

    "ประเทศไทยไม่มีแม่มดหรอกครับ"

    "อ้าว" ไม่คิดว่าจะคาดการณ์ผิดเลยแฮะ แสดงว่าแม่มดเป็นชาวต่างชาติสินะ

    "พูดตามตรง บนโลกนี้แทบจะไม่มีแม่มดหลงเหลืออยู่แล้วครับ พวกนั้นโดนองค์กรที่เรียกว่า Hunter ตามฆ่าจนเกือบศูนย์พันธุ์ ถึงมีชีวิตก็อยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ"

    ฉันพยักหน้าเข้าใจ เมื่อฮารุโตะอธิบายจบ จะว่าไปมนุษย์ก็เก่งเหมือนกันแฮะ ที่สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้เป็นศตวรรษ ท่ามกลางปีศาจอันตรายพวกนี้

    "อันนาอยากกินอะไรครับ" ฮารุโตะถาม เมื่อเราเดินมาถึงโต๊ะที่จองไว้

    "อืม...ขอดูก่อนนะ" ฉันบอกพร้อมกับกวาดตามองเมนูอาหาร สเต๊กก็อยากกิน พาสต้าก็อยาก ให้ตายสิเลือกยากชะมัด

    "สั่งมา 2 อย่างเลยก็ได้ครับ"

    ราวกับอ่านใจฉันออก ฮารุโตะพูดขึ้นมายิ้มๆ ก่อนจะหันไปสั่งอาหารกับพนักงาน อ่า...เขามองฉันด้วยสายตาที่อบอุ่นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แบบนี้ถือว่าผิดกฎมั้ยนะ

    ตึกตัก! ตึกตัก!

    "แต่นั่นมันเยอะไปนะ ฉันกินไม่หมดหรอก"

    "ถ้างั้นเดี๋ยวผมช่วยกินนะ"

    "แต่ว่านาย..."

    สุดท้ายฉันก็ต้องกลืนคำพูดลงคอ เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายของเขา เอาเถอะอย่างน้อยก็ดีกว่านั่งกินคนเดียว ฮารุโตะเคยบอกว่าแวมไพร์ไม่จำเป็นต้องกินอาหารพวกนี้ แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากจะกินมันขึ้นมาล่ะ

    "นายเคยบอกว่าอาหารพวกนี้ไม่จำเป็นต้องกินก็ได้นี่นา" ฉันกระซิบถามเบาๆ เมื่อพนักงานเดินออกไป

    "ก็ใช่ อาหารพวกนี้ไม่สามารถทำให้ผมอิ่มได้เหมือนอันนา แต่รสชาติของมันก็ไม่เลวนะ" ท้ายประโยคฮารุโตะหันมาพูดล้อฉัน เขาหัวเราะออกมานิดๆ คล้ายอารมณ์ดีมากที่ได้พูดเรื่องนี้ และนั่นก็ทำให้ฉันต้องฟาดมือไปที่ไหล่ของฮารุโตะเต็มแรง รู้นะว่าเขาหมายถึงอะไร

    แต่ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีเกินกว่าที่จะโกรธฉัน เขาดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรหลังจากโดนตี หรือไม่ฮารุโตะก็หนังเหนียวเกินไป จนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เขาเป็นแวมไพร์ผู้แข็งแกร่งนี่

    "ฮารุโตะ ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ" ว่าจะโทรหายัยขนมเทียนสักหน่อย

    "โอเคครับ" ยื่นให้ง่ายๆ เลยแฮะ

    "ขอบใจนะ" ฉันบอกขอบคุณ ก่อนที่จะกดเบอร์เพื่อโทรหาเพื่อนตัวเอง แต่ก็ดันมีเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามาเสียก่อน ดังนั้นเลยยื่นโทรศัพท์ให้เจ้าตัว

    "อ่ะ มีคนโทรหานายน่ะ รับก่อนสิ" "

    หืม? " ฮารุโตะขมวดคิ้วเล็กน้อย เดาว่าเขาคงไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นเจ้าของเบอร์

    "มีอะไร" ฉันเหลือบมองอีกฝ่าย น้ำเสียงเขาดูเย็นชา ต่างจากที่คุยกับฉันลิบลับ คิดว่านี่แหละน้ำเสียงปกติของฮารุโตะ

    "ผมว่าคุณไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซงนะ! "

    "อย่าให้ต้องพูดซ้ำ ผมจะเล่นตามกติกา ตราบเท่าที่พวกคุณไม่ล้ำเส้น!! เหอะไอ้…."

    เรื่องที่ปลายสายโทรมาคงไม่ใช่เรื่องดีนัก รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเมื่อครู่ ถึงได้หายไปในพริบตา ท้ายประโยคฮารุโตะเหมือนจะหลุดชื่อของใครสักคนออกมา แต่เจ้าตัวก็เงียบลงซะก่อน คงเพราะสายตาของลูกค้าโต๊ะอื่นที่เริ่มมองมาที่เรา

    "รอผมอยู่นี่นะครับอันนา"

    "อื้อ นายไปคุยธุระเถอะ เดี๋ยวฉันจะกินข้าวรอ แต่ถ้าคุยนานมาถึงแล้วฉันกินเรียบก็อย่ามาโทษกันล่ะ" ฉันแกล้งพูดเล่น หวังจะผ่อนคลายบรรยากาศที่อยู่รอบตัว เมื่อเห็นว่าฮารุโตะดูจะหัวเสียมากกับคนที่โทรมา

    ขืนปล่อยให้อารมณ์ไม่ดี คนที่ซวยคงเป็นฉัน ฮารุโตะดูเป็นพวกโมโหร้ายและควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ ถ้าอะไรที่พอช่วยระงับอารมณ์ร้ายของเขาได้ ฉันก็พร้อมทำ

    "เอาเลยครับ กินเยอะๆ ไปเถอะผมไม่ว่า ดีซะอีก อันนาผอมเกินไปแล้ว ถ้ากินได้เยอะจะขอบคุณมากเลยครับ หึหึ"

    ได้ผลแล้วแฮะในที่สุดฮารุโตะก็หลุดขำออกมา ถึงคำพูดคำจา ออกจะกวนนิดๆ ก็เถอะ

    "ห้ามไปไหนนะครับ อยู่แต่ในร้านนี้ ผมไปแป๊บเดียว"

    "อือ เข้าใจแล้ว รีบไปคุยเถอะ"

    หลังจากฮารุโตะเดินออกไป ไม่นานอาหารที่สั่งไว้ก็ถูกยกมาเสริฟ์ แน่นอนว่าฉันไม่รอช้า รีบจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้าทันที ไม่รู้ว่าหิวหรืออะไรถึงได้กินมากกว่าปกติ

    "เธอ"

    "คะ? " ฉันเงยหน้ามองบุคคลที่อยู่ๆ ก็เดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะ ดวงตาสีดำปนน้ำตาลกำลังจับจ้องมาที่ฉัน คล้ายต้องการพูดอะไร

    "ไหนว่าจะเอาเสื้อมาคืน" เขาคือผู้ชายที่ชื่อวิน นักศึกษาที่ฉันทำน้ำแดงหกใส่ เมื่อสองอาทิตย์ก่อน 

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×