ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : 08 – heist. (1)
“17 แล้ว แต่ยังเล่นซนกันแบบนี้อยู่อีกเหรอ”
“นิดๆหน่อยๆเอง
แต่อย่าไปบอกเอสล่ะ”
“ยัยเอสธาร์น่ากลัวขนาดนั้นเชียว?”
“เอนไปทางน่ารำคาญมากกว่า—
แค่ในเคสนี้น่ะนะ” เขากล่าว
ไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะรับแก้วโกโก้ร้อนมาจากคนอายุมากกว่า
บรรยากาศเดิมๆของสถานที่ซึ่งจังหวะหัวใจสะดุดมากกว่าเพียงครั้งเดียวนั้นส่งผลให้ใจเขาไม่เป็นสุข—
สายตาเหล่มองอีกคนกับแก้วชาเอิร์ลเกรย์ในมือเธอ
เผลอเม้มปากทุกวินาทีที่เห็นริมฝีปากน้อยๆนั่นเบะออกเมื่อรับรู้ถึงอุณหภูมิที่สูงเกินกว่าจะบริโภคของเครื่องดื่ม
และหลุดยิ้มออกมาเมื่อในท้ายที่สุดก็สบตากัน
พวกเขาวิ่งหนียามที่คุมสถานที่ซึ่งหลีกเลี่ยงในชีวิตประจำวันไม่ได้แหละ...
ขนาดโทปาซยังกล่าวตอนเดินเข้ามาในร้านเลย
ว่ามัน ‘บ้าบอสิ้นดี’
ราวกับออกมาจากภาพยนตร์อย่างไรอย่างนั้น
“พูดแบบนี้นี่ด่าตรงๆดีกว่ามั้ง”
แฮดลีย์ แอทคินสัน— เจ้าของร้านพ่วงตำแหน่งเพื่อนร่วมรุ่นของเอสธาร์กล่าวโต้ตอบมาด้วยน้ำเสียงกึ่งระอา
แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเนื่องด้วยการแสดงออกของพี่สาวเขาออก
และเหตุผลนี้แหละที่เป็นสาเหตุของอารมณ์ดังกล่าว
โดยปกติจะไม่มีการทำตัวเป็นสายลับรายงานข่าวคราวในชีวิตประจำวันสู่เอสธาร์ที่ไม่ได้สนิทด้วยมาก
ทว่ากรณีปัจจุบันก็คงหนีไม่พ้น— เขาเพิ่งจะก่อเรื่องมาหมาดๆ ถึงไม่ได้ยิ่งใหญ่มาก
แต่ก็ควรให้ที่บ้านรับรู้อยู่
แถมยังมารบกวนแฮดลีย์ในตอนที่ร้านปิดอีก...
“ปกติเอสแซะผมมากกว่านี้อีกเถอะ
คนอะไร salty เป็นบ้า” แอรีสกลั้วหัวเราะตอบกลับไป
“พี่น้องบ้านนี้รักกันเจียนตายของแท้”
“ก็เหมือนกับพี่น้องทั่วๆไปนั่นแหละ
พวกผมไม่ได้มีอะไรพิเศษสักหน่อย”
“แล้วกับคุณแฟนตรงนั้นนี่พิเศษไหม?”
“ฮึ?” เขาหลุดอุทานออกมา
เสียงซึ่งก้องไปทั่วห้วงความคิดส่งผลให้ดวงตาเบนไปมองอีกคนซึ่งกำลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่เงียบๆ—
โทปาซเลิกคิ้วให้เขา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
พวงแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อถูกบดบงด้วยแก้วใสที่มีน้ำชาอยู่ข้างใน
ประหนึ่งว่าเจ้าหล่อนไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไรกับคำกล่าวที่เกินจริงไปเสี้ยวหนึ่ง
นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าเห่อร้อนเข้าไปใหญ่
“มัน—
มันก็...”
“อุ๊บ—”
“...”
“...”
“...”
“โทษ”
“ให้ตายเถอะ นี่พี่แกล้งผม?”
ไม่มีกระตุ้นให้หัวคิ้วกระตุกได้ดีกว่าเสียงหัวเราะที่ไร้ซึ่งความต้องการจะยั้งไว้ของแฮดลีย์—
เขาไม่แม้แต่จะยกมือขึ้นป้องปากหรืออะไร มือขวาตบเคาน์เตอร์เบาๆเป็นจังหวะคลอไปด้วยกัน
และไม่ว่าเหตุผลจะเป็นเพราะขบขันหรือเอ็นดูก็ตาม
ในกรณีนี้เขาคงจดจำไว้จนกว่าจะถึงคราวเอาคืน— ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ปล่อยผ่านไปเฉยๆ ยิ่งเป็นเรื่องที่มีแววว่าจะไปถึงหูเอสธาร์ก็ยิ่งแล้วใหญ่
สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่ไม่ได้นุ่มละมุนเหมือนกับโรลเค้กบ่งบอกถึงชะตากรรมของเขาหลังจากนี้ได้เป็นอย่างดี
และมันก็ไม่น่าพอใจสำหรับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีประเด็นมากมายให้สะสางก่อนเรื่องรักใคร่
ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าพี่สาวจะไม่ก้าวก่ายเกินจำเป็นก็เถอะ...
“น่าๆ
ไว้เอาคืนฉันทีหลัง”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
“ดูพูดเข้า
น่าตีเหลือเกิน”
มันเป็นการหยอกล้อ—
ไม่มีการลงไม้ลงมือในรูปแบบที่นอกเหนือจากถ้อยคำและข้อความแชท
ทุกอย่างอยู่ในขอบเขตของคนรู้จักนานนับ 7 ปี
และคงเพราะเป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ถึงได้ไม่ต่างอะไรกับญาติพี่น้องต่างสายเลือด
ช่วงเวลายามเย็นที่เต็มไปด้วยผู้คนนั้นเป็นอุปสรรคต่อการแนะนำมิตรใหม่กับผู้เป็นพี่คนนี้—
มันน่าเสียดาย กระนั้นโชคชะตาที่กำหนดให้ปัจจุบันเป็นการพบเจอกันอย่างเป็นทางการของทั้งสองคนก็ไม่ใช่เรื่องแย่ในสายตาแอรีส
ความเป็นกันเองของแฮดลีย์มีอิทธิพลในการชโลมใจและบรรเทาลำคอที่ประหม่าเสียจนแห้งและไร้ซึ่งการเอ่ยเสียงใดๆได้
หากโทปาซชินชากับบรรยากาศใหม่ๆได้ด้วยข้อดีดังกล่าวก็คงวิเศษไม่น้อย
“แต่คนตรงไปตรงมาที่ปากหวานกับเราแบบนี้ก็ดีเนอะคุณน้อง
ถึงจะเจ้าคิดเจ้าแค้นไปหน่อยก็เถอะ” คนตรงหน้าเขาขยิบตาไปทางหญิงสาว ฉีกยิ้มไร้เดียงสา
แม้ว่าจะมีเจตนาหยอกล้อแอบแฝง
แอรีสเลิกคิ้ว
“แฮด—”
“นั่นสินะคะ”
แล้วทุกอย่างก็หยุดนิ่งในคราวที่เสียงหวานของเธอเอ่ยตอบ—
แทรกผ่านคำปรามที่เขายังไม่ทันได้เรียบเรียงและเอ่ยเตือนออกมา
ส่งแรงกระตุ้นให้เผลอหันใบหน้าไปมองอย่างรวดเร็ว
และเร่งอุณหภูมิของร่างกายให้แสดงออกในเชิงตรงกันข้ามกับผลลัพธ์ของเครื่องปรับอากาศในคาเฟ่
“หืม?” สาวเจ้าเอียงคอด้วยความฉงน
ในวินาทีนั้นเองที่เขาตระหนักได้...
“อยู่ดีๆก็โดนรุมแกล้งเสียเฉยเลยแฮะ”
แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น—
น้ำชาที่ไหวติงด้วยการขยับไปมาของมือข้างที่ถือแก้วจวนจะหยดลงบนเคาน์เตอร์เสียอยู่แล้ว
ทว่าสิ่งเดียวที่อัญมณีคู่นั้นจดจ่ออยู่ก็คงไม่พ้นสีหน้าแห่งความพ่ายแพ้ของเขา
ดูเหมือนว่ามันจะถูกใจเธอไม่น้อย
“โอ๋ๆนะรีส”
ความประหม่าที่ค่อยๆสลายไปบ่งบอกถึงความสนิทใจซึ่งเพิ่มพูนขึ้นในทุกครั้งคราที่พูดคุยกัน
โทปาซดูผ่อนคลายมากขึ้นในทุกๆวัน
และต่อให้เขากลายเป็นคนที่เสียอาการในเหตุการณ์เช่นนี้
มันก็คงจะดีกว่าการมีช่องว่างระหว่างกันเป็นไหนๆ
เดี๋ยวนะ—
นิ้วก้อยซึ่งสั้นกว่าของเขาประมาณข้อหนึ่งสะท้อนบนพื้นผิวมหาสมุทร—
รอคอยสัมผัสเชื่อมต่อระหว่างกัน
แม้ว่าความชื้นดังกล่าวจะสร้างความรู้สึกไม่คุ้นชินให้กับร่างกายที่ไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมเปียก
‘ก็ดีที่อย่างน้อยพอจะเข้าใจกันในเรื่องนี้ได้แหละนะ’
เสียงหัวเราะอันแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก
ถ้อยคำที่สามารถรับรู้ได้ด้วยโสตประสาทของตนเองเพียงคนเดียวดังก้องอยู่ในห้วงความคิด
ปลายนิ้วชะงักที่ใกล้จะเอื้อมไปเกี่ยวกับของอีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย— แอรีส
โจนาห์ผู้เคียดแค้นจิตใต้สำนึกรู้สึกระอาพอควรกับเศษเสี้ยวของความทรงจำที่ย้อนกลับมาแบบไม่ดูสถานการณ์
แต่ถ้ามันไม่ย้ำเตือนก็คงเป็นเรื่องแย่...
ย้อนแย้งดี
“เห็นแก่เธอหรอกนะ
ถึงไม่ได้ทำอะไรน่ะ”
“จะคีพคาร์คนเจ้าคิดเจ้าแค้นหรือคนปากหวานก็เลือกสักอย่างสิ”
“ฉันเป็นทั้งคู่ต่างหาก—
บอกแล้วว่าไม่ใช่กู้ดบอย แอนโธนี่คงแฉหมดเปลือกเลยสิท่า”
“เขาบอกว่า
‘ถ้าให้เจ้าตัวมาเล่าเรื่องข้อเสียตนเองเหมือนพระเอกแบดบอยที่ต้องการให้นางเอกปลอดภัยก็จะดูคลื่นไส้หน่อยๆ’
น่ะ ตลกดี ยิ่งในกรณีที่เคสนี้ของนายมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นด้วย”
“Typical
Anthony”
“Yeah,
no shxt”
“ฉันถึงได้ชอบเวลาเธออ้างโทรปหนังมากกว่ากันไง”
การตอบสนองซึ่งคล้องไปกับแรงเกี่ยวที่มากขึ้นเพียงชั่วพริบตานั้นแทบจะคล้ายกับอาการคิดไปเอง
ทว่าสีลิปทินต์บนริมฝีปากอีกฝ่ายที่ถูกเม้มปกปิดไว้กลับสื่อความหมายตรงข้าม— เล็บของโทปาซมีแนวโน้มว่าคงจะงอกยาวขึ้นในเสี้ยวเวลาดังกล่าว
เธอถึงได้รีบขยับเพื่อดึงอำนาจในการควบคุมมันกลับคืน
แอรีสยิ้ม— ปฏิบัติเช่นเดียวกันตอบกลับไปพลางสายตาไม่ละออกจากสกายบลูโทปาซคู่นั้น
“พี่คะ
ฉันโดนโต้กลับเฉยเลย”
แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอีกคราเมื่อได้ยินเจ้าหล่อนหันไปโอดครวญกับเจ้าของร้าน
“เอาเค้กเติมพลังหน่อยไหมล่ะ?”
“ขายของถูกจังหวะ—
สตอเบอรี่ชอร์ทเค้กหนึ่งที่ค่ะ”
“คุณน้องนี่น่ารักไม่ไหว”
แฮดลีย์หัวเราะ ในขณะที่เขาเพียงแต่พยักหน้าเออออไปกับถ้อยคำเหล่านั้น
พอเป็นแบบนี้ก็ชักจะไม่อยากทำอะไรมาก—
อาจไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่ของการแก้แค้นเล็กๆน้อยๆ เป็นเพียงความบังเอิญที่ตัวเขาเองก็ไม่ทันได้ตระหนักถึงอิทธิพลของมัน
กระนั้นกลับส่งผลกระทบซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้คาดฝันไว้เสียอย่างนั้น
“แหม
ทำมาเป็นพยักนงพยักหน้า”
และแอรีสก็ชักจะรู้สึกว่าตนเองนั้นมีความไหลลื่นในการกล่าวอะไรเช่นนี้อยู่พอสมควร...
“แล้วจะเอาอะไรเพิ่มไหมทางนี้?”
“ถ้ากินตอนนี้ก็ไม่
แต่คิดว่าคงจะเอาเลม่อนทาร์ตไปให้เอสน่ะ”
“โอเค รอแป๊บนะ”
คงถึงเวลาที่จะเผยส่วนที่ลึกที่สุด
ณ ก้นสมุทรเสียแล้ว— มันเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อตัวเขาได้รับของขวัญจากโชคชะตามาในรูปแบบของความสัมพันธ์ซึ่งไม่ได้มีอุปสรรคเป็นคำสาปอีกต่อไป
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพูด...
ใจมันอยากจะบอกนี่
“ความจริงแล้วน่ะนะ...”
“หืม?”
“ฉันคิดว่าฉันควรบอกเธอเรื่องหนึ่ง”
___
เมื่อ 7
ปีที่แล้ว โชคชะตาได้เสกให้ความฝันของเด็กตัวเล็ก ๆ
คนหนึ่งดับสูญไป...
วินาทีที่การทดสอบกับสำเนาของตำราเวทมนตร์เริ่มต้นขึ้น
ใจเข้าก็เต้นไม่เป็นจังหวะ— มันถือว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญของเด็กชายที่วาดฝันอนาคตด้านอาชีพการงานซึ่งเกี่ยวกับเวทมนตร์โดยตรง
แม้แต่พ่อของเขายังกล่าวแซวที่ทั้งวันนั้นแสดงสีหน้ามากกว่าปกติหลายเท่า
แต่กระแสไฟฟ้าในครานั้นก็ทำลายทุกอย่าง
เขาถูกดึงตัวออกอย่างรวดเร็ว—
เรี่ยวแรงที่กลายเป็นศูนย์ส่งผลให้ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ และสัมผัสของพื้นห้องที่เยือกเย็นก็ไม่ได้ช่วยแต่อย่างใด
แอรีส
โจนาห์เป็นมนุษย์ที่วิวัฒนาการจนไม่สามารถแตะต้องเวทมนตร์ได้...
และชะตากรรมต่อมาก็เกิดขึ้นโดยความต้องการที่จะหลอกตนเอง
เขาโดนสาป— โดนผู้กำหนดดวงชะตาลงโทษ
โดนพรากชีวิตอันเป็นปกติสุข โดนความสมเพชในตนเองกลืนกินจนไม่อยากจะยอมรับสภาพที่เป็นอยู่
ทว่ามันก็ผ่านมานานแล้ว...
“เสียใจด้วยนะ”
ในผืนแผ่นน้ำสะท้อนภาพของคนที่แสดงความเห็นใจออกมาผ่านสีหน้าอย่างไม่ปกปิด—
ไหวติงด้วยอารมณ์ที่เพิ่มพูนขึ้นจากการเล่าประสบการณ์ตรง
กระนั้นก็ทำได้เพียงแต่กล่าวอธิบายและส่งรอยยิ้มให้
“ถึงได้พูดตลอดว่า ‘ชินกับมัน’
สินะ”
“อืม แต่มันนานมาแล้วแหละ...”
ความขุ่นมัวยามที่ได้เอ่ยถึงเรื่องราวในวันวานย่อมหายไปตามกาลเวลา
และตัวเขาที่ได้ผ่านช่วงเวลาของการสูญเสียฝันอันเป็นที่รักก็หมดสิ้นเยื่อใย— เหลืออยู่แต่เพียงความทรงจำซึ่งเคยมีคุณค่ากับบทเรียนชีวิตที่ไม่อาจลืมเลือน
“ฉันก้าวข้ามมันมาได้ในระยะเวลาประมาณสองสามปี
พึ่งพากำลังใจจากคนรอบข้างและลองวิธีการที่มีทั้งผิดถูก
ตอนนี้เลยไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แถมความฝันใหม่ก็ถูกค้นพบแล้วด้วย” แอรีสกล่าว
เครื่องดื่มของตนเองนั้นถูกจิบในเวลาต่อมา พลางสายตายังไม่คงละจากใบหน้าอีกฝ่าย
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วล่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอก...”
สาวเจ้ากล่าว เสียงหวานมีความประหม่าเจือปนอยู่ คงเนื่องด้วยประเด็นสนทนา ณ ปัจจุบัน
“หืม?”
“แต่ยืนยันว่าแอรีส
โจนาห์น่ะเก่งมากๆเลยนะ”
ประกายในดวงตาซึ่งสะท้อนกับแสงสว่างภายในร้านหักเหและกระทบเข้าสายตาเขา—
แทบจะมีอิทธิพลมากเกินไปจนไม่อาจสบกับมันได้นานกว่าเคย
ทว่าในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้มุมปากต่อต้านกับแรงโน้มถ่วง
ยิ่งเมื่อถ้อยคำเหล่านั้นก้องอยู่ในห้วงความคิดก็ยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้น
ใช่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาจะไม่เคยได้ยินถ้อยคำเช่นนี้หรอก—
คำทั่วๆไปที่กล่าวถึงข้อความคิดเห็นที่แม้แต่ตนเองก็รับรู้ได้นั้นมีถมไป
เขาเองก็กล่าวชมเงาสะท้อนในกระจกบ่อย
อาจจะมากเสียจนโดนพี่สาวตัวดีแซวเลยเสียด้วยซ้ำ
คุณค่าที่แท้จริงมันอยู่ที่ความสามารถในการค้ำจุนความภาคภูมิใจดังกล่าว
เราต่างรู้ดีถึงศักยภาพที่มี...
ทว่าบางครั้งบางคราก็มีช่วงเวลาที่มันฟังดูคล้ายคลึงกับคำปลอบใจมากกว่าความเป็นจริง
และไม่ว่าจะด้วยประสบการณ์ตรงหรือไม่
เขาก็รู้สึกขอบคุณหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย ณ ปัจจุบันอยู่ดี
“ความจริงกะแค่เล่าให้เธอรู้ไว้เฉยๆแท้ๆ”
แอรีสกลั้วหัวเราะ
กลายเป็นว่าโดนปลอบเสียอย่างนั้น...
“ขอบคุณนะโทปาซ”
“อะไรกัน?
การที่คนเก่งโดนชมมันเรื่องปกติหรอก
ไม่มีเหตุอะไรให้ต้องขอบคุณเลยนี่”
“ลอจิกอะไรกัน?”
“ลอจิกแอนเดรีย
ใช้ได้กับทุกสิ่งมีชีวิตที่รู้จักกับคนบ้านแอนเดรีย” เธอฉีกยิ้ม ภาคภูมิใจกับคำตอบอันรวดเร็วที่ได้มอบให้แก่เขา
เสียงซึ่งแสดงถึงความขบขันยังคงถูกเปล่งออกมาผ่านริมฝีปาก—
ความสบายใจที่เพิ่มพูนบ่งบอกถึงอิทธิพลของคำกล่าวล้อเล่นที่มีเจตนาเพื่อเบี่ยงเบนอารมณ์จากความขุ่นมัวของเนื้อหา
มันได้ผลดีเสียจนแอรีสตั้งคำถามกับตนเองว่าสาเหตุดังกล่าวนั้นเนื่องมาจากความลำเอียงที่มีหรือเปล่า
แกร๊ง!
และแล้วเสียงของส้อมที่กระทบกับจานสตอเบอรี่ชอร์ทเค้กก็ดังขึ้นขัดความคิดดังกล่าว
“ชิบ— มือหนัก” เธอสบถ
“แต่ก็เอ้า! ของหวานสักคำ”
ใบหน้าของเขาสะท้อนผ่านส่วนหนึ่งของช้อน—
ร้อยละแปดสิบถูกบดบังด้วยตัวของหวานที่ถูกตัดในรูปแบบพอดีคำ
มันถูกถือไว้ในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากริมฝีปาก
“หืม?” แอรีสเลิกคิ้ว
ใบหูนั้นเริ่มจะเลียนแบบสตอเบอรี่บนครีมสดและสีอันระเรื่อของมัน— อารมณ์ซึ่งแปรเปลี่ยนไปภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีกำลังจะทำให้เขาเสียสติ
และไม่รู้เพราะเหตุใด
อะไรเช่นนั้นถึงได้ฟังดูน่าดึงดูด
“อ่า...
แต่ถ้าไม่กินก็ไม่เป็นไร—”
“ไม่ๆ
กินครับ”
เสียงตอบรับที่แม้ว่าจะดังขึ้นเร็วกว่าควรนั้นถูกปล่อยปละละเลยไปในยามที่เงาสะท้อนบนโลหะขยายตัวขึ้น—
หางตาเขาสังเกตเห็นริมฝีปากซึ่งกลายเป็นที่ระบายอารมณ์สำหรับฟันเขี้ยวน้อยๆของโทปาซในยามร่างกายขยับเข้าหาของหวาน
สีระเรื่อของมันยังคงติดทน
อีกทั้งยังคล้ายคลึงกับเฉดของพวงแก้มที่คล้ายกับว่าได้ปัดบลัชออนซ้ำไปอีกชั้นหนึ่ง
“ขอบคุณครับ”
“อะไรกัน? แค่ชอร์ทเค้กคำเดียวเอง”
“อาจจะเป็นคำขอบคุณสำหรับอย่างอื่นก็ได้”
“ชอบให้ป้อนก็ไม่บอก”
เธอกลั้วหัวเราะ
ต่อให้แฮดลีย์เดินเข้ามาในจังหวะที่แทบทุกอย่างกำลังแย่งความสนใจไปจากรสหวานของครีมและเนื้อเค้ก
เขาก็คงไม่ได้สนใจอะไรแล้ว— อิทธิพลของคำสาปอาจมีส่วนร่วมด้วย แต่เกินร้อยละ 70 ก็คงเป็นฝีมือของยัยตัวร้ายผู้แสนดีที่นั่งอยู่เคียงข้างเขา
“ความจริงตอนนี้ก็ดีอยู่พอควรนะ”
“หืม?”
“เหมือนฉันได้ความมีชีวิตชีวาของชีวิตกลับมา
ได้เจอนายและคนอื่นๆด้วย
ดูเป็นกำไรไม่น้อยสำหรับคนที่ก่อนหน้านี้สนิทกับความเครียด— คำสาปที่เปลี่ยนสภาพจิตใจได้แม่งโคตรดี”
“แต่ก็อย่าเมินมันไปแบบถาวรนะ”
“อืม”
มันเป็นสัจธรรม— เป็นสิ่งที่เธอคงรู้ไว้ตั้งแต่แรก
กระนั้นความสำคัญก็กระตุ้นให้ริมฝีปากเอ่ยถ้อยคำย้ำเตือนออกมาเสียอยู่ดี
อาจเป็นทั้งในฐานะของคนที่เคยเจอเช่นเดียวกันและในฐานะของคนที่เป็นห่วงเป็นใย
อัญมณีสีนภาสะท้อนภาพใบหน้าเขาไปครู่หนึ่ง
แต่แล้วก็เบนเบี่ยงไปยังของหวานในมือ— พวงแก้มซึ่งได้ทำการสื่อสารแทนนั้นขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
ไม่ก็เป็นการตอบสนองที่ช้ากว่าควร ความเป็นไปได้ของมันค่อนข้างจะหลากหลาย
ดูเหมือนว่าเขาจะได้ชอร์ทเค้กแค่คำเดียวเสียแล้วสิ...
ก็ไม่ได้เสียดายอะไร
แต่ความต้องการจะเอาคืนเล็กๆน้อยดันผุดขึ้นมาเสียได้
อ่า— พอเริ่มชินชาด้วยก็เผลอทำนิสัยเสียไปทุกทีเลย
“แล้วต้องการมากกว่านี้ไหม? ความมีชีวิตชีวานั่นน่ะ” ถ้อยคำซึ่งหักเลี้ยวความคิดไม่ให้ตกหลุมพรางของส่วนแย่ของตนเองดังขึ้น—
มันทบทวนเจตนาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนของตัวเขา
เตรียมพร้อมเสนอสิ่งที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นการเพิ่มพูนปริมาณความวุ่นวายแก่โรงเรียน
ลอกเลียนแบบพล็อตภาพยนตร์วัยรุ่นสักเรื่อง ไม่ก็เป็นกิจกรรม
“ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกโลภเลยสักนิดก็คงตอแหลหน้าด้านๆแหละ”
“ความโลภเป็นเรื่องปกตินะ”
“ใช่ไหมล่ะ!?”
นิยามของการใช้ชีวิตให้ถึงที่สุดนั้นย่อมแตกต่างกันออกไปตามอัตราความหลากหลายในสังคม—
บ้างก็ไม่ได้ใฝ่ฝันจะก่อความวุ่นวาย บ้างก็อยากจะปล่อยเนื้อปล่อยตัว
บ้างก็สะดวกใจที่จะใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์
และด้วยสาเหตุดังกล่าว
นี่จึงเป็นวิธีการใช้ปีการศึกษาสุดท้ายในฐานะนักเรียนที่ดีที่สุด
ตัวเขาก็มัวแต่วุ่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนลืมสนุกไปบ้างด้วย...
“งั้นลองอะไรแบบนี้ไหมล่ะ? ถือว่าเป็นการสานสัมพันธ์พร้อมกัน”
คิ้วซึ่งเสริมใบหน้าที่มีกลิ่นอายของความเกรงขามเลิกขึ้น—
ทำลายภาพลักษณ์แรกเริ่มด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นและอิทธิพลของจินตนาการในห้วงความคิดที่มีแววว่าน่าจะเริ่มรังสรรค์ภาพกิจกรรมไปเสียก่อน
แอรีสฉีกยิ้มกว้างขึ้น
ก็ดูเป็นสโคปหลักของเรื่องราวสักเรื่องนี่นะ...
“จริงหรือท้า?” เขาดื่มเครื่องดื่มในมือตามท้ายคำถามสั้นๆ
รอคอยคำตอบของอีกฝ่ายโดยการปล่อยให้ห้วงความคิดของเธอผุดข้อสันนิษฐานและพินิจมันด้วยตนเอง
เจตนารมณ์นั้นสามารถเป็นได้ทั้งการเอ่ยนามของกิจกรรมดังกล่าวและการกระทำกิจกรรมดังกล่าวไปในขณะเดียวกัน—
ตัวตัดสินคือความเข้าใจของโทปาซ เชีย แอนเดรียที่บางทีอาจจะสร้างเส้นทางใหม่ขึ้นที่สามแยกอันกำกวมนี้
สิ่งเดียวที่ค้ำประกันมันได้คงมีเพียงความยืดหยุ่นของตัวเขาซึ่งน้อยครั้งจะมีโอกาสปฏิเสธของผู้อื่น
“อืม— จริง”
และมันก็ได้ผล
“สรุปแล้วต้นตระกูลเธอคืออะไร?”
“ฮึ?”
“ก็เรายังไม่ได้คุยเรื่องนี้กันเลยนี่”
“ให้ตายสิ” สาวเจ้ากลั้วหัวเราะ
“ของแบบนั้นถามนอกเกมก็ได้นะ”
“งั้นหรอกเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ
คนเขาเตรียมใจตอบคำถามที่ชวนใจเต้นตึกตักไปแล้วเสียด้วยซ้ำ”
คิ้วโค้งที่เลิกขึ้นสอดคล้องกับสีหน้าที่แปรเปลี่ยน— ลักษณะน้ำเสียงที่ถ่ายทอดความคิดของตนเองออกมาอย่างตรงไปตรงมานั้นดึงดูดความสนใจของเขาไม่ชั่วขณะ
มันเป็นเรื่องค่อนข้างจะธรรมดาเสียแล้วกับการโทปาซจะเปรียบเปรยชีวิตประจำวันของตนเองในรูปแบบการวางโครงเรื่องของสื่อ
กระนั้นความแน่นิ่งของถ้อยคำทั้งหมดก็คล้ายกับว่าหลุดออกมาจากซิทคอมอย่างไรอย่างนั้น
“หืม?” เขาส่งเสียง
ย้ำเตือนให้อีกฝ่ายไปกลายๆถึงที่ซึ่งเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากเคลือบลิปทินต์
แล้วอุณหภูมิของใบหน้าเธอนั้นขึ้นสูงอีกครา— ชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยสีระเรื่อบนพวงแก้มและตำแหน่งของจุดพักสายตาที่แปรเปลี่ยน
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเดาะลิ้นเบาๆซึ่งบ่งบอกถึงความแสร้งไม่พอใจตามประสาเจ้าหล่อน
“อะไรเล่า? อย่างกับว่าปกติไม่พูดอะไรทำนองนั้นน่ะ” เธอกลอกตาทิ้งท้ายประโยค
ริมฝีปากเหยียดยิ้มแก้เก้อไปในขณะเดียวกัน
“อ๊ะ— แต่ว่าชอบนะ
ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรอก”
ในตอนนั้นเองที่แอรีส
โจนาห์รับรู้ได้ถึงความขมปร่าและหยาบกระด้างของวัสดุกันคำสาป
เป็นเพียงเสี้ยววินาที
กระนั้นก็ตราตรึงเสียจนต้องปล่อยให้มันจมดิ่งลงไปในวังวนของรสหวานและถูกดูดกลืนไปในท้ายที่สุด— มันใช้เวลานานกว่าที่ควร ผันแปรไปทีละน้อยเช่นเดียวกับสีหน้าของเจ้าของถ้อยคำที่ทำเขาเผลอไผล
เธอสงสัย สนใจ ตระหนักรู้ และเอ็นดู...
แถมให้สตอเบอร์รี่มาลูกหนึ่งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขาอีกด้วย
“เปรี้ยวไหม?”
“อืม...”
“ว่าไง?”
“ออกหวานมากกว่านะ”
___
คุณประโยชน์ของบทลงโทษจากผู้คุมชะตากรรมไม่ได้ไร้ซึ่งตัวตน— นานๆครั้งจะได้ใช้
อาจด้วยจิตใต้สำนึกซึ่งรู้จักขอบเขตในการปฏิบัติตัวในสังคม
ไม่ก็เป็นเพราะวัตถุประสงค์ในการใช้มันไม่ได้ครอบคลุมเสียจนร่ายยาวได้หลายบรรทัดอย่างของคนรู้จักที่เป็นผู้ต้องสาปคนอื่น
แน่นอนว่ามันเหมาะกับดาร์กไซด์... และขัดแย้งกับสถานะนักเรียนของตนเองโดยสิ้นเชิง
แต่หากตัดความคิดแนวจูนิเบียวเหล่านั้นออกไปล่ะ?
เรี่ยวแรงประมาณหนึ่งที่ถูกส่งต่อไปยังปุ่มของตู้เครื่องดื่มอัตโนมัติมักจะนำมาซึ่งเสียงกลไกของมัน— ตามระบบก็ควรจะเป็นเช่นนั้น
ทว่าตัวเขาที่ยืนอยู่ ณ จุดเดิมมานานกว่าสองนาทีก็เริ่มจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“อืม...” แอรีสส่งเสียงในลำคอ
พิจารณาสถานการณ์เฮงซวยตรงหน้าด้วยความขบขันเล็กน้อย
จังหวะมันประจวบเหมาะเสียจนเขาอยากจะนำไปเล่าต่อให้โทปาซฟัง—
เธอคงออกความเห็นว่าเขาเป็นตัวละครจากซีรี่ส์ซิทคอมที่ได้จุติมาอยู่บนโลกนอกจอสมาร์ตทีวีอย่างแน่นอน
ตึง!
เขาเคาะนิ้วบนพื้นผิวกระจกราบเรียบนั้นคราหนึ่ง...
และเมื่อไม่มีปฏิกิริยาก็ใช้นิ้วโป้งดันถุงมือที่ห่อหุ้มมันออกเล็กน้อย
เปรี๊ยะ!
กระแสไฟฟ้าอาจเป็นรูปแบบของพลังงานที่เขาเอาเปรียบมากที่สุด— ด้วยสภาวะผิวที่ไม่สามารถคงความชื้นไว้ได้นานและบางครั้งบางคราก็คล้ายกับว่าจะแตกเป็นเกล็ดสัตว์เลื้อยคลาน
สถานะปัจจุบันของชายหนุ่มจึงไม่ต่างอะไรกับการมีศักยภาพมากมายและสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย
แน่นอนว่าเขาทำให้กระแสเชี่ยวจนก่อเกิดเป็นน้ำวน
สร้างพายุหมุนขนาดเล็ก ย่อยสลายทรัพยากร
และขยายอำนาจของเพลิงโดยไม่ใช้เชื้อเพลิงสักปริมาณได้... แต่จะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ?
ตึง!
มหาสมุทรในดวงตากำลังสร้างคลื่นลูกเล็กยามที่เห็นกระป๋องเครื่องดื่ม
ณ จุดเก็บเบื้องล่าง— ความรู้สึกผิดอันไร้เหตุผลถูกกระตุ้นให้แสดงออกมาผ่านสีหน้าเพียงชั่วครู่
ห่อหุ้มจิตที่ฟุ้งซ่านจากการเรียนเต็มเวลา และสร้างความขบขันให้กับความตระหนักรู้ซึ่งปรากฏตัวขึ้นในเวลาต่อมา
ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่
ดูน่าสงสัยไปนิด แต่ก็เพียงแค่แก้ไขความผิดพลาดของระบบเฉยๆ ไม่ได้ลักขโมย— ไม่ใกล้เคียงเลยเสียด้วยซ้ำ
พอได้นึกถึงเรื่องเก่าๆก็เผลอวกกลับไปในช่วงที่สภาพจิตใจอ่อนแอกว่าปัจจุบันชั่วครู่หนึ่งเสียอย่างนั้น...
“ตู้กินเหรียญ?”
เขาหันไปทางต้นเสียง—
ประจันหน้ากับความเหนื่อยหน่ายใจที่หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันแสดงออกมาเป็นสิ่งแรก
ตั้งแต่เสียงหัวเราะแห้งไปจนถึงการโคลงหัวประหนึ่งเป็นเรื่องตลกร้ายที่จำใจจะต้องยอมรับไปลูกเดียว
“แต่เหมือนจะหายแล้วแหละ”
“อ้อ—”
ตึง...
แล้วเจ้าหล่อนก็ใช้เท้าสะกิดมันไปคราหนึ่ง
“มันจะกินเหรียญฉันไปอีกด้วยไหมอ่ะแบบนี้?”
“เป็นไปได้
อย่าเสี่ยงเลย”
“โธ่ถัง”
ลมหายใจซึ่งพ่นออกมาแรงกว่าปกติส่งผลให้ปอยผมของเธอขยับเล็กน้อย— มันเป็นเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ปลายนิ้วนั้นจัดการควบคุมทุกอย่างให้ดูสมบูรณ์แบบตามแบบฉบับของตนเอง
ไม่ได้ประณีตเสียจนไร้ซึ่งความสมเหตุสมผล ทว่าก็ห่างไกลกับสภาพเซอร์ของคนที่ปล่อยตัวแบบสบายๆ
“เพิ่งเลิกเหรอ?” แอรีสเปลี่ยนประเด็น สองขาก้าวเดินเลี่ยงจากการขวางเส้นทางภายในโถงทางเดินเมื่อได้รับเครื่องดื่มของตนเองเรียบร้อย
สิ่งที่ต้องตาคือริมฝีปากสีหวานซึ่งเผยคมเขี้ยวที่คล้ายกับจะฝังลงเนื้อได้ทุกเมื่อในยามที่แย้มยิ้ม—
มันยกขึ้นด้วยอิทธิพลของบุคลิกภาคภูมิและคำสาปซึ่งส่งกลิ่นอายล้อมรอบให้เขารู้สึกได้
การได้รู้ถึงต้นกำเนิดวงศ์ตระกูลคือสิ่งที่โทปาซผู้ใคร่อยากเข้าใจการแปรเปลี่ยนครั้งนี้ต้องการมากที่สุด...
ต้นตระกูลเธอเป็นนักล่า— เป็นประเภทคลุ้มคลั่งง่ายที่ไม่ต่างอะไรกับผลงานอันเกิดจากอะดรีนาลีนมหาศาลของผู้กำหนดชะตากรรม
ถูกกระตุ้นอารมณ์ตลอดเวลาโดยปรสิตพรรณไม้ซึ่งดูดกลืนสติสัมปชัญญะส่วนใหญ่ไป
หลงอยู่ในวังวนความสับสนด้านสภาพจิตใจที่ยากจะฝึกให้เชื่อง
กระนั้นนั่นก็เป็นเพียงข้อมูลในส่วนเสียซึ่งมีการระบุถึงในเชิงละเอียด
“ใช่ อิจฉาคนโดนปล่อยก่อนชะมัดยาด
รอดพ้นจากชะตากรรมอาจารย์มาสายและปล่อยสายไปโดยปริยาย”
“เผื่อมันทำให้รู้สึกดีขึ้น— ฉันจำอะไรในคลาสไม่ได้เลยสักนิด”
เธอเลิกคิ้ว
“พลังงานถูกดูดไปหมดกับวิชาก่อนหน้าน่ะ”
“แย่เลยสิแบบนั้น”
“ก็นะ...”
เขาใช้เวลาช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาไปกับทบทวนข้อมูลในเอกสารทั้งหมดที่มี— ร่ายอ่านเนื้อความเชิงละเอียดของผลการทดลองและผลงานธีสิสของบุคลากรในสถานเวทมนตร์มากมาย
รวมไปถึงแลกเปลี่ยนทฤษฎีของตนเองกับโทปาซเพื่อที่จะลดขอบเขตสิ่งที่ต้องสำรวจเอาเองกันในอนาคต
เล่นเอาร่างกายที่นานๆครั้งจะได้พบเจอกับเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดรวนไปประมาณหนึ่ง
ร่างกายนั้นยังคงทำงานได้ตามปกติ
ทว่าสติสัมปชัญญะซึ่งหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับของคำสาปกลับพร้อมที่จะร่วมหล่นไปทุกย่างก้าวเสียอย่างนั้น...
“ไว้คราวหน้าค่อยคุยกับในตอนที่วันถัดมาไม่มีเรียนดีกว่า”
“นั่นน่ะสินะ— กาแฟไหม?”
“อ้าว ไหนบอกว่าไม่ใช่สายดื่มกาแฟไง?”
“ก็หยิบมาเผื่อสายกาแฟแถวนี้น่ะสิคะ” โทปาซเปิดกระป๋องเครื่องดื่ม
แล้วจึงยื่นมาให้เขา— ช่วยถือขวดน้ำในมือสลับกันเพื่อความสะดวกอีกขั้น
ชายหนุ่มรับน้ำใจนั้นมาแต่โดยดี
ผงกหัวพลางกล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะกระดกมันขึ้นดื่ม
“ดีขึ้นไหม?”
“คิดว่านะ”
“อีกตั้งชั่วโมงกว่า
ไปหาที่นั่งกันระหว่างรอคาเฟอีนออกฤทธิ์ดีกว่า” เธอมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์
แล้วจึงย้อนขึ้นมาสบตากับเขาในเวลาต่อมา
“และถ้าไม่ไหวล่ะก็...
เดี๋ยวช่วยติวตอนช่วงเทสต์ได้นะ”
“แบบนั้นมันจะรบกวนหรือเปล่า?”
“ไม่อ่ะ
ปกติติวคนเดียวมันฟุ้งซ่านอยู่แล้ว ถือว่าช่วยๆกันด้วย”
“งั้นก็ขอบคุณล่วงหน้านะ” เขายิ้ม
แอรีส
โจนาห์รู้อยู่แก่ใจว่าในท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเด็กชายตัวเล็กๆคนนั้น— ไม่มีวันที่ผู้มีอำนาจสูงสุดจะยอมสนองปรารถนาอันแรงกล้าของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลที่สำคัญมากพอมารองรับ
ไม่มีวันที่โลกจะหมุนเวียนรอบเขา และไม่มีวันที่อะไรเฉกเช่นนั้นจะกระตุ้นให้น้ำตาไหลอาบแก้มอีกต่อไป
คำสาปซึ่งอยู่ในร่างกายไม่ได้เป็นอะไรที่รักยิ่ง
ทว่าก็ไม่แคล้วจะชิงชัง เช่นเดียวกับความทรงจำที่ไม่ดี
มันหล่อหลอมให้เด็กคนนั้นกลายมาเป็นตนเองในรูปแบบที่ดีที่สุด— อย่างน้อยก็ในตอนนี้
และอาจมีพัฒนาการมากมายในอนาคต
บางทีชีวิตของคนเราก็ต้องการเพียงสิ่งที่สามารถ
‘อยู่ด้วยได้’ จวบจนวันตาย... ต่อให้ตระหนักได้
ความรู้สึกไม่มั่นคงก็ไม่อาจถูกยับยั้งได้โดยปริยายอยู่ดี
ความย้อนแย้งเป็นเรื่องปกติ
“เอาจริงๆคือแอนดี้น่าจะติวเก่งกว่าฉันนะ
แต่ก็นั่นแหละ เจ้าตัวงานเยอะจะตาย”
“ประเด็นคือถ้าไม่เข้าใจก็มีแววทำเขาหงุดหงิดด้วยน่ะสิ
ทากะโดนไปแล้วครั้งหนึ่ง”
“ก็นะ... เขาไม่ค่อยเป็น People Person เท่าไหร่
ถึงจะดูรู้จักคนเยอะก็เถอะ”
“แต่ต่อให้เขาเป็น
ฉันก็ยังอยากติวกับเธอมากกว่านะ”
“หืม? ขนาดนั้นเชียว?”
บทสนทนาไร้สาระในชีวิตประจำวันยังคงดำเนินต่อไปไม่รู้ที่สิ้นสุด— รอยยิ้มที่เปื้อนใบหน้ามีแนวโน้มว่าจะแย้มกว้างขึ้นในทุกคราที่ได้ยินเสียงหัวเราะของเธอ การกล่าวแสดงความเห็นซึ่งผสมปนเปไปกับคำหยอกล้อมากมายนั้นกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ดีไม่น้อยไปตั้งแต่เปิดภาคเรียนมา
ความสบายใจระดับหนึ่งอาจเป็นสิ่งที่เขาคาดหวังไว้กับการบอกเล่าเรื่องราวในอดีตและการที่มันมาพร้อมกับความทรงจำซึ่งถูกขุดขึ้นมานั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก— เขารู้อยู่แก่ใจว่าสักวันหนึ่งก็คงได้มาพบเจอกับมันในตอนที่เติบใหญ่
แค่ไม่อาจปักธงบอกวันที่อย่างแน่ชัดได้
ในคราวนี้
การที่มันเป็นไปตามความคาดหมายก็สมเหตุสมผลมากพอที่จะเกิดขึ้น
“อ้อใช่! ไหนๆก็ว่างกันแล้ว...”
“หืม?”
“จริงหรือท้าคะคุณโจนาห์?”
หากสัญชาตญาณและประสบการณ์ของเขาถูกต้อง
นี่คงเป็นชนวนชั้นยอดแก่หนึ่งใน ‘เหตุการณ์’ สำคัญของวัน...
“ท้าครับ”
และเผอิญว่าคาเฟอีนนั้นเป็นเชื้อเพลิงที่ร้ายแรงพอควร
“ฉันขอท้าให้นายชี้แนะการฝึกปาร์กัวร์ในที่ร่มแบบเชิงปฏิบัติ”
กลับมาแล้วค่ะ! หายไปนานเพราะปัญหาส่วนตัวกับเรื่องเรียน และที่มาครึ่งเดียวเพราะมันยาวค่ะ
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะงอกครึ่งหลังมาภายในสัปดาห์หน้านะคะ ส่วนหวานๆจะอยู่ครึ่งนี้เป็นหลัก แต่แง้มเปิดสตอรี่แอรีสนิดนึง
ไว้ในอนาคตค่อยๆเปิดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับอดีตของแต่ละคนเพิ่มเติมค่ะ ค่อยๆไปทีละนิดนี่แหละที่สุด
แอบอยากบ่นเรื่องเกี่ยวกับสอบนิดหน่อยด้วยค่ะ โด๊ปเอ็มร้อยกับกาแฟไปมากกว่าปกติหลายเท่า แต่ก็ยังน็อคแทบทุกวันอยู่ดี
ความเพลียทำงานสลับกับคาเฟอีน ชะตากรรมวัยรุ่นอายุน้อยสอยกาแฟยกแพงมันน่าเศร้า--
ใดๆคือขอบคุณร้านน้ำที่มีเอ็มร้อย ถึงป้าแม่ค้าจะขำเอ็นดูตอนเดินไปถามราคาก็ตาม55555555555
ตอนนี้ก็เหมือนจะปิดเทอมแล้ว แค่ไม่ออฟฟิเชียล คงมีเวลาว่างแต่งนิยายเรื่องนี้กับเรื่องอื่นๆเยอะเลยค่ะ
ถึงจะยังมีเรื่องพอร์ตกับเรื่องติวที่ยังต้องจัดการอยู่นิดหน่อยก็เถอะ
ความคิดเห็น