ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
☾ guerilla.

ลำดับตอนที่ #12 : 08 – heist. (1)

  • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 65


 

 
          ในเวลาแบบนี้น่ะ สิ่งที่มีประโยชน์ก็คงจะไม่พ้นเส้นสาย...


          17 แล้ว แต่ยังเล่นซนกันแบบนี้อยู่อีกเหรอ”


          “นิดๆหน่อยๆเอง แต่อย่าไปบอกเอสล่ะ”


          “ยัยเอสธาร์น่ากลัวขนาดนั้นเชียว?


          “เอนไปทางน่ารำคาญมากกว่าแค่ในเคสนี้น่ะนะ” เขากล่าว ไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะรับแก้วโกโก้ร้อนมาจากคนอายุมากกว่า


          บรรยากาศเดิมๆของสถานที่ซึ่งจังหวะหัวใจสะดุดมากกว่าเพียงครั้งเดียวนั้นส่งผลให้ใจเขาไม่เป็นสุข— สายตาเหล่มองอีกคนกับแก้วชาเอิร์ลเกรย์ในมือเธอ เผลอเม้มปากทุกวินาทีที่เห็นริมฝีปากน้อยๆนั่นเบะออกเมื่อรับรู้ถึงอุณหภูมิที่สูงเกินกว่าจะบริโภคของเครื่องดื่ม และหลุดยิ้มออกมาเมื่อในท้ายที่สุดก็สบตากัน


          พวกเขาวิ่งหนียามที่คุมสถานที่ซึ่งหลีกเลี่ยงในชีวิตประจำวันไม่ได้แหละ...


          ขนาดโทปาซยังกล่าวตอนเดินเข้ามาในร้านเลย ว่ามัน ‘บ้าบอสิ้นดี’


         ราวกับออกมาจากภาพยนตร์อย่างไรอย่างนั้น


          “พูดแบบนี้นี่ด่าตรงๆดีกว่ามั้ง” แฮดลีย์ แอทคินสัน— เจ้าของร้านพ่วงตำแหน่งเพื่อนร่วมรุ่นของเอสธาร์กล่าวโต้ตอบมาด้วยน้ำเสียงกึ่งระอา แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเนื่องด้วยการแสดงออกของพี่สาวเขาออก และเหตุผลนี้แหละที่เป็นสาเหตุของอารมณ์ดังกล่าว


          โดยปกติจะไม่มีการทำตัวเป็นสายลับรายงานข่าวคราวในชีวิตประจำวันสู่เอสธาร์ที่ไม่ได้สนิทด้วยมาก ทว่ากรณีปัจจุบันก็คงหนีไม่พ้น— เขาเพิ่งจะก่อเรื่องมาหมาดๆ ถึงไม่ได้ยิ่งใหญ่มาก แต่ก็ควรให้ที่บ้านรับรู้อยู่


         แถมยังมารบกวนแฮดลีย์ในตอนที่ร้านปิดอีก...


          “ปกติเอสแซะผมมากกว่านี้อีกเถอะ คนอะไร salty เป็นบ้า” แอรีสกลั้วหัวเราะตอบกลับไป


          “พี่น้องบ้านนี้รักกันเจียนตายของแท้”


          “ก็เหมือนกับพี่น้องทั่วๆไปนั่นแหละ พวกผมไม่ได้มีอะไรพิเศษสักหน่อย”


          “แล้วกับคุณแฟนตรงนั้นนี่พิเศษไหม?


         “ฮึ?” เขาหลุดอุทานออกมา


          เสียงซึ่งก้องไปทั่วห้วงความคิดส่งผลให้ดวงตาเบนไปมองอีกคนซึ่งกำลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่เงียบๆ— โทปาซเลิกคิ้วให้เขา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย พวงแก้มที่ขึ้นสีระเรื่อถูกบดบงด้วยแก้วใสที่มีน้ำชาอยู่ข้างใน ประหนึ่งว่าเจ้าหล่อนไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไรกับคำกล่าวที่เกินจริงไปเสี้ยวหนึ่ง


         นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าเห่อร้อนเข้าไปใหญ่


          “มัน— มันก็...”


          “อุ๊บ—”


“...”


“...”


“...”


“โทษ”


“ให้ตายเถอะ นี่พี่แกล้งผม?


          ไม่มีกระตุ้นให้หัวคิ้วกระตุกได้ดีกว่าเสียงหัวเราะที่ไร้ซึ่งความต้องการจะยั้งไว้ของแฮดลีย์— เขาไม่แม้แต่จะยกมือขึ้นป้องปากหรืออะไร มือขวาตบเคาน์เตอร์เบาๆเป็นจังหวะคลอไปด้วยกัน


          และไม่ว่าเหตุผลจะเป็นเพราะขบขันหรือเอ็นดูก็ตาม ในกรณีนี้เขาคงจดจำไว้จนกว่าจะถึงคราวเอาคืน— ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ปล่อยผ่านไปเฉยๆ ยิ่งเป็นเรื่องที่มีแววว่าจะไปถึงหูเอสธาร์ก็ยิ่งแล้วใหญ่


          สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่ไม่ได้นุ่มละมุนเหมือนกับโรลเค้กบ่งบอกถึงชะตากรรมของเขาหลังจากนี้ได้เป็นอย่างดี และมันก็ไม่น่าพอใจสำหรับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีประเด็นมากมายให้สะสางก่อนเรื่องรักใคร่


         ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าพี่สาวจะไม่ก้าวก่ายเกินจำเป็นก็เถอะ...


          “น่าๆ ไว้เอาคืนฉันทีหลัง”


          “ของมันแน่อยู่แล้ว”


          “ดูพูดเข้า น่าตีเหลือเกิน”


          มันเป็นการหยอกล้อ— ไม่มีการลงไม้ลงมือในรูปแบบที่นอกเหนือจากถ้อยคำและข้อความแชท ทุกอย่างอยู่ในขอบเขตของคนรู้จักนานนับ 7 ปี และคงเพราะเป็นเช่นนั้น ความสัมพันธ์ถึงได้ไม่ต่างอะไรกับญาติพี่น้องต่างสายเลือด


          ช่วงเวลายามเย็นที่เต็มไปด้วยผู้คนนั้นเป็นอุปสรรคต่อการแนะนำมิตรใหม่กับผู้เป็นพี่คนนี้— มันน่าเสียดาย กระนั้นโชคชะตาที่กำหนดให้ปัจจุบันเป็นการพบเจอกันอย่างเป็นทางการของทั้งสองคนก็ไม่ใช่เรื่องแย่ในสายตาแอรีส


          ความเป็นกันเองของแฮดลีย์มีอิทธิพลในการชโลมใจและบรรเทาลำคอที่ประหม่าเสียจนแห้งและไร้ซึ่งการเอ่ยเสียงใดๆได้ หากโทปาซชินชากับบรรยากาศใหม่ๆได้ด้วยข้อดีดังกล่าวก็คงวิเศษไม่น้อย


          “แต่คนตรงไปตรงมาที่ปากหวานกับเราแบบนี้ก็ดีเนอะคุณน้อง ถึงจะเจ้าคิดเจ้าแค้นไปหน่อยก็เถอะ” คนตรงหน้าเขาขยิบตาไปทางหญิงสาว ฉีกยิ้มไร้เดียงสา แม้ว่าจะมีเจตนาหยอกล้อแอบแฝง


          แอรีสเลิกคิ้ว


          “แฮด—”


          “นั่นสินะคะ”


          แล้วทุกอย่างก็หยุดนิ่งในคราวที่เสียงหวานของเธอเอ่ยตอบ— แทรกผ่านคำปรามที่เขายังไม่ทันได้เรียบเรียงและเอ่ยเตือนออกมา ส่งแรงกระตุ้นให้เผลอหันใบหน้าไปมองอย่างรวดเร็ว และเร่งอุณหภูมิของร่างกายให้แสดงออกในเชิงตรงกันข้ามกับผลลัพธ์ของเครื่องปรับอากาศในคาเฟ่


          “หืม?” สาวเจ้าเอียงคอด้วยความฉงน


         ในวินาทีนั้นเองที่เขาตระหนักได้...    


          “อยู่ดีๆก็โดนรุมแกล้งเสียเฉยเลยแฮะ”


          แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น— น้ำชาที่ไหวติงด้วยการขยับไปมาของมือข้างที่ถือแก้วจวนจะหยดลงบนเคาน์เตอร์เสียอยู่แล้ว ทว่าสิ่งเดียวที่อัญมณีคู่นั้นจดจ่ออยู่ก็คงไม่พ้นสีหน้าแห่งความพ่ายแพ้ของเขา ดูเหมือนว่ามันจะถูกใจเธอไม่น้อย


          “โอ๋ๆนะรีส”


ความประหม่าที่ค่อยๆสลายไปบ่งบอกถึงความสนิทใจซึ่งเพิ่มพูนขึ้นในทุกครั้งคราที่พูดคุยกัน โทปาซดูผ่อนคลายมากขึ้นในทุกๆวัน และต่อให้เขากลายเป็นคนที่เสียอาการในเหตุการณ์เช่นนี้ มันก็คงจะดีกว่าการมีช่องว่างระหว่างกันเป็นไหนๆ


         เดี๋ยวนะ—


          นิ้วก้อยซึ่งสั้นกว่าของเขาประมาณข้อหนึ่งสะท้อนบนพื้นผิวมหาสมุทร— รอคอยสัมผัสเชื่อมต่อระหว่างกัน แม้ว่าความชื้นดังกล่าวจะสร้างความรู้สึกไม่คุ้นชินให้กับร่างกายที่ไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมเปียก


         ‘ก็ดีที่อย่างน้อยพอจะเข้าใจกันในเรื่องนี้ได้แหละนะ’


          เสียงหัวเราะอันแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก ถ้อยคำที่สามารถรับรู้ได้ด้วยโสตประสาทของตนเองเพียงคนเดียวดังก้องอยู่ในห้วงความคิด ปลายนิ้วชะงักที่ใกล้จะเอื้อมไปเกี่ยวกับของอีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย— แอรีส โจนาห์ผู้เคียดแค้นจิตใต้สำนึกรู้สึกระอาพอควรกับเศษเสี้ยวของความทรงจำที่ย้อนกลับมาแบบไม่ดูสถานการณ์


          แต่ถ้ามันไม่ย้ำเตือนก็คงเป็นเรื่องแย่...


         ย้อนแย้งดี


          “เห็นแก่เธอหรอกนะ ถึงไม่ได้ทำอะไรน่ะ”


          “จะคีพคาร์คนเจ้าคิดเจ้าแค้นหรือคนปากหวานก็เลือกสักอย่างสิ”


          “ฉันเป็นทั้งคู่ต่างหาก— บอกแล้วว่าไม่ใช่กู้ดบอย แอนโธนี่คงแฉหมดเปลือกเลยสิท่า”


          “เขาบอกว่า ‘ถ้าให้เจ้าตัวมาเล่าเรื่องข้อเสียตนเองเหมือนพระเอกแบดบอยที่ต้องการให้นางเอกปลอดภัยก็จะดูคลื่นไส้หน่อยๆ’ น่ะ ตลกดี ยิ่งในกรณีที่เคสนี้ของนายมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นด้วย”


          Typical Anthony


          Yeah, no shxt


          “ฉันถึงได้ชอบเวลาเธออ้างโทรปหนังมากกว่ากันไง”


          การตอบสนองซึ่งคล้องไปกับแรงเกี่ยวที่มากขึ้นเพียงชั่วพริบตานั้นแทบจะคล้ายกับอาการคิดไปเอง ทว่าสีลิปทินต์บนริมฝีปากอีกฝ่ายที่ถูกเม้มปกปิดไว้กลับสื่อความหมายตรงข้าม— เล็บของโทปาซมีแนวโน้มว่าคงจะงอกยาวขึ้นในเสี้ยวเวลาดังกล่าว เธอถึงได้รีบขยับเพื่อดึงอำนาจในการควบคุมมันกลับคืน


          แอรีสยิ้ม— ปฏิบัติเช่นเดียวกันตอบกลับไปพลางสายตาไม่ละออกจากสกายบลูโทปาซคู่นั้น


          “พี่คะ ฉันโดนโต้กลับเฉยเลย”


          แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอีกคราเมื่อได้ยินเจ้าหล่อนหันไปโอดครวญกับเจ้าของร้าน


          “เอาเค้กเติมพลังหน่อยไหมล่ะ?


          “ขายของถูกจังหวะ— สตอเบอรี่ชอร์ทเค้กหนึ่งที่ค่ะ”


          “คุณน้องนี่น่ารักไม่ไหว” แฮดลีย์หัวเราะ ในขณะที่เขาเพียงแต่พยักหน้าเออออไปกับถ้อยคำเหล่านั้น


          พอเป็นแบบนี้ก็ชักจะไม่อยากทำอะไรมาก— อาจไม่ได้อยู่ในหมวดหมู่ของการแก้แค้นเล็กๆน้อยๆ เป็นเพียงความบังเอิญที่ตัวเขาเองก็ไม่ทันได้ตระหนักถึงอิทธิพลของมัน กระนั้นกลับส่งผลกระทบซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้คาดฝันไว้เสียอย่างนั้น


          “แหม ทำมาเป็นพยักนงพยักหน้า”


          และแอรีสก็ชักจะรู้สึกว่าตนเองนั้นมีความไหลลื่นในการกล่าวอะไรเช่นนี้อยู่พอสมควร...


          “แล้วจะเอาอะไรเพิ่มไหมทางนี้?


          “ถ้ากินตอนนี้ก็ไม่ แต่คิดว่าคงจะเอาเลม่อนทาร์ตไปให้เอสน่ะ”


          “โอเค รอแป๊บนะ”


          คงถึงเวลาที่จะเผยส่วนที่ลึกที่สุด ณ ก้นสมุทรเสียแล้ว— มันเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อตัวเขาได้รับของขวัญจากโชคชะตามาในรูปแบบของความสัมพันธ์ซึ่งไม่ได้มีอุปสรรคเป็นคำสาปอีกต่อไป


          ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพูด...


         ใจมันอยากจะบอกนี่


          “ความจริงแล้วน่ะนะ...”


          “หืม?


          “ฉันคิดว่าฉันควรบอกเธอเรื่องหนึ่ง”

 


___


 

          เมื่อ 7 ปีที่แล้ว โชคชะตาได้เสกให้ความฝันของเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งดับสูญไป...


          วินาทีที่การทดสอบกับสำเนาของตำราเวทมนตร์เริ่มต้นขึ้น ใจเข้าก็เต้นไม่เป็นจังหวะ— มันถือว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญของเด็กชายที่วาดฝันอนาคตด้านอาชีพการงานซึ่งเกี่ยวกับเวทมนตร์โดยตรง แม้แต่พ่อของเขายังกล่าวแซวที่ทั้งวันนั้นแสดงสีหน้ามากกว่าปกติหลายเท่า


         แต่กระแสไฟฟ้าในครานั้นก็ทำลายทุกอย่าง


          เขาถูกดึงตัวออกอย่างรวดเร็ว— เรี่ยวแรงที่กลายเป็นศูนย์ส่งผลให้ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ และสัมผัสของพื้นห้องที่เยือกเย็นก็ไม่ได้ช่วยแต่อย่างใด


          แอรีส โจนาห์เป็นมนุษย์ที่วิวัฒนาการจนไม่สามารถแตะต้องเวทมนตร์ได้...


          และชะตากรรมต่อมาก็เกิดขึ้นโดยความต้องการที่จะหลอกตนเอง


          เขาโดนสาป— โดนผู้กำหนดดวงชะตาลงโทษ โดนพรากชีวิตอันเป็นปกติสุข โดนความสมเพชในตนเองกลืนกินจนไม่อยากจะยอมรับสภาพที่เป็นอยู่


         ทว่ามันก็ผ่านมานานแล้ว...


          “เสียใจด้วยนะ”


          ในผืนแผ่นน้ำสะท้อนภาพของคนที่แสดงความเห็นใจออกมาผ่านสีหน้าอย่างไม่ปกปิด— ไหวติงด้วยอารมณ์ที่เพิ่มพูนขึ้นจากการเล่าประสบการณ์ตรง กระนั้นก็ทำได้เพียงแต่กล่าวอธิบายและส่งรอยยิ้มให้


          “ถึงได้พูดตลอดว่า ‘ชินกับมัน’ สินะ”


“อืม แต่มันนานมาแล้วแหละ...”


ความขุ่นมัวยามที่ได้เอ่ยถึงเรื่องราวในวันวานย่อมหายไปตามกาลเวลา และตัวเขาที่ได้ผ่านช่วงเวลาของการสูญเสียฝันอันเป็นที่รักก็หมดสิ้นเยื่อใย— เหลืออยู่แต่เพียงความทรงจำซึ่งเคยมีคุณค่ากับบทเรียนชีวิตที่ไม่อาจลืมเลือน


          “ฉันก้าวข้ามมันมาได้ในระยะเวลาประมาณสองสามปี พึ่งพากำลังใจจากคนรอบข้างและลองวิธีการที่มีทั้งผิดถูก ตอนนี้เลยไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แถมความฝันใหม่ก็ถูกค้นพบแล้วด้วย” แอรีสกล่าว เครื่องดื่มของตนเองนั้นถูกจิบในเวลาต่อมา พลางสายตายังไม่คงละจากใบหน้าอีกฝ่าย


          ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วล่ะ


          “ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอก...” สาวเจ้ากล่าว เสียงหวานมีความประหม่าเจือปนอยู่ คงเนื่องด้วยประเด็นสนทนา ณ ปัจจุบัน


          “หืม?


         “แต่ยืนยันว่าแอรีส โจนาห์น่ะเก่งมากๆเลยนะ”


          ประกายในดวงตาซึ่งสะท้อนกับแสงสว่างภายในร้านหักเหและกระทบเข้าสายตาเขา— แทบจะมีอิทธิพลมากเกินไปจนไม่อาจสบกับมันได้นานกว่าเคย ทว่าในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้มุมปากต่อต้านกับแรงโน้มถ่วง ยิ่งเมื่อถ้อยคำเหล่านั้นก้องอยู่ในห้วงความคิดก็ยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้น


          ใช่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาจะไม่เคยได้ยินถ้อยคำเช่นนี้หรอก— คำทั่วๆไปที่กล่าวถึงข้อความคิดเห็นที่แม้แต่ตนเองก็รับรู้ได้นั้นมีถมไป เขาเองก็กล่าวชมเงาสะท้อนในกระจกบ่อย อาจจะมากเสียจนโดนพี่สาวตัวดีแซวเลยเสียด้วยซ้ำ


         คุณค่าที่แท้จริงมันอยู่ที่ความสามารถในการค้ำจุนความภาคภูมิใจดังกล่าว


         เราต่างรู้ดีถึงศักยภาพที่มี... ทว่าบางครั้งบางคราก็มีช่วงเวลาที่มันฟังดูคล้ายคลึงกับคำปลอบใจมากกว่าความเป็นจริง


          และไม่ว่าจะด้วยประสบการณ์ตรงหรือไม่ เขาก็รู้สึกขอบคุณหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย ณ ปัจจุบันอยู่ดี


          “ความจริงกะแค่เล่าให้เธอรู้ไว้เฉยๆแท้ๆ” แอรีสกลั้วหัวเราะ


         กลายเป็นว่าโดนปลอบเสียอย่างนั้น...


         “ขอบคุณนะโทปาซ”


          “อะไรกัน? การที่คนเก่งโดนชมมันเรื่องปกติหรอก ไม่มีเหตุอะไรให้ต้องขอบคุณเลยนี่”


          “ลอจิกอะไรกัน?


          “ลอจิกแอนเดรีย ใช้ได้กับทุกสิ่งมีชีวิตที่รู้จักกับคนบ้านแอนเดรีย” เธอฉีกยิ้ม ภาคภูมิใจกับคำตอบอันรวดเร็วที่ได้มอบให้แก่เขา


          เสียงซึ่งแสดงถึงความขบขันยังคงถูกเปล่งออกมาผ่านริมฝีปาก— ความสบายใจที่เพิ่มพูนบ่งบอกถึงอิทธิพลของคำกล่าวล้อเล่นที่มีเจตนาเพื่อเบี่ยงเบนอารมณ์จากความขุ่นมัวของเนื้อหา มันได้ผลดีเสียจนแอรีสตั้งคำถามกับตนเองว่าสาเหตุดังกล่าวนั้นเนื่องมาจากความลำเอียงที่มีหรือเปล่า


          แกร๊ง!


         และแล้วเสียงของส้อมที่กระทบกับจานสตอเบอรี่ชอร์ทเค้กก็ดังขึ้นขัดความคิดดังกล่าว


          “ชิบ— มือหนัก” เธอสบถ


“แต่ก็เอ้า! ของหวานสักคำ”


          ใบหน้าของเขาสะท้อนผ่านส่วนหนึ่งของช้อน— ร้อยละแปดสิบถูกบดบังด้วยตัวของหวานที่ถูกตัดในรูปแบบพอดีคำ มันถูกถือไว้ในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากริมฝีปาก


          “หืม?” แอรีสเลิกคิ้ว ใบหูนั้นเริ่มจะเลียนแบบสตอเบอรี่บนครีมสดและสีอันระเรื่อของมัน— อารมณ์ซึ่งแปรเปลี่ยนไปภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีกำลังจะทำให้เขาเสียสติ


         และไม่รู้เพราะเหตุใด อะไรเช่นนั้นถึงได้ฟังดูน่าดึงดูด


          “อ่า... แต่ถ้าไม่กินก็ไม่เป็นไร—”


          “ไม่ๆ กินครับ”


          เสียงตอบรับที่แม้ว่าจะดังขึ้นเร็วกว่าควรนั้นถูกปล่อยปละละเลยไปในยามที่เงาสะท้อนบนโลหะขยายตัวขึ้น— หางตาเขาสังเกตเห็นริมฝีปากซึ่งกลายเป็นที่ระบายอารมณ์สำหรับฟันเขี้ยวน้อยๆของโทปาซในยามร่างกายขยับเข้าหาของหวาน สีระเรื่อของมันยังคงติดทน อีกทั้งยังคล้ายคลึงกับเฉดของพวงแก้มที่คล้ายกับว่าได้ปัดบลัชออนซ้ำไปอีกชั้นหนึ่ง


          “ขอบคุณครับ”


          “อะไรกัน? แค่ชอร์ทเค้กคำเดียวเอง”


          “อาจจะเป็นคำขอบคุณสำหรับอย่างอื่นก็ได้”


          “ชอบให้ป้อนก็ไม่บอก” เธอกลั้วหัวเราะ


          ต่อให้แฮดลีย์เดินเข้ามาในจังหวะที่แทบทุกอย่างกำลังแย่งความสนใจไปจากรสหวานของครีมและเนื้อเค้ก เขาก็คงไม่ได้สนใจอะไรแล้ว— อิทธิพลของคำสาปอาจมีส่วนร่วมด้วย แต่เกินร้อยละ 70 ก็คงเป็นฝีมือของยัยตัวร้ายผู้แสนดีที่นั่งอยู่เคียงข้างเขา


          “ความจริงตอนนี้ก็ดีอยู่พอควรนะ”


“หืม?


“เหมือนฉันได้ความมีชีวิตชีวาของชีวิตกลับมา ได้เจอนายและคนอื่นๆด้วย ดูเป็นกำไรไม่น้อยสำหรับคนที่ก่อนหน้านี้สนิทกับความเครียด— คำสาปที่เปลี่ยนสภาพจิตใจได้แม่งโคตรดี”


“แต่ก็อย่าเมินมันไปแบบถาวรนะ”


“อืม”


          มันเป็นสัจธรรม— เป็นสิ่งที่เธอคงรู้ไว้ตั้งแต่แรก กระนั้นความสำคัญก็กระตุ้นให้ริมฝีปากเอ่ยถ้อยคำย้ำเตือนออกมาเสียอยู่ดี อาจเป็นทั้งในฐานะของคนที่เคยเจอเช่นเดียวกันและในฐานะของคนที่เป็นห่วงเป็นใย


          อัญมณีสีนภาสะท้อนภาพใบหน้าเขาไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็เบนเบี่ยงไปยังของหวานในมือ— พวงแก้มซึ่งได้ทำการสื่อสารแทนนั้นขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ ไม่ก็เป็นการตอบสนองที่ช้ากว่าควร ความเป็นไปได้ของมันค่อนข้างจะหลากหลาย


          ดูเหมือนว่าเขาจะได้ชอร์ทเค้กแค่คำเดียวเสียแล้วสิ...


         ก็ไม่ได้เสียดายอะไร แต่ความต้องการจะเอาคืนเล็กๆน้อยดันผุดขึ้นมาเสียได้


         อ่า— พอเริ่มชินชาด้วยก็เผลอทำนิสัยเสียไปทุกทีเลย


          “แล้วต้องการมากกว่านี้ไหม? ความมีชีวิตชีวานั่นน่ะ” ถ้อยคำซึ่งหักเลี้ยวความคิดไม่ให้ตกหลุมพรางของส่วนแย่ของตนเองดังขึ้น— มันทบทวนเจตนาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนของตัวเขา เตรียมพร้อมเสนอสิ่งที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นการเพิ่มพูนปริมาณความวุ่นวายแก่โรงเรียน ลอกเลียนแบบพล็อตภาพยนตร์วัยรุ่นสักเรื่อง ไม่ก็เป็นกิจกรรม


          “ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกโลภเลยสักนิดก็คงตอแหลหน้าด้านๆแหละ”


          “ความโลภเป็นเรื่องปกตินะ”


          “ใช่ไหมล่ะ!?


          นิยามของการใช้ชีวิตให้ถึงที่สุดนั้นย่อมแตกต่างกันออกไปตามอัตราความหลากหลายในสังคม— บ้างก็ไม่ได้ใฝ่ฝันจะก่อความวุ่นวาย บ้างก็อยากจะปล่อยเนื้อปล่อยตัว บ้างก็สะดวกใจที่จะใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์


และด้วยสาเหตุดังกล่าว นี่จึงเป็นวิธีการใช้ปีการศึกษาสุดท้ายในฐานะนักเรียนที่ดีที่สุด


         ตัวเขาก็มัวแต่วุ่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนลืมสนุกไปบ้างด้วย...


          “งั้นลองอะไรแบบนี้ไหมล่ะ? ถือว่าเป็นการสานสัมพันธ์พร้อมกัน”


          คิ้วซึ่งเสริมใบหน้าที่มีกลิ่นอายของความเกรงขามเลิกขึ้น— ทำลายภาพลักษณ์แรกเริ่มด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นและอิทธิพลของจินตนาการในห้วงความคิดที่มีแววว่าน่าจะเริ่มรังสรรค์ภาพกิจกรรมไปเสียก่อน


          แอรีสฉีกยิ้มกว้างขึ้น


          ก็ดูเป็นสโคปหลักของเรื่องราวสักเรื่องนี่นะ...


          “จริงหรือท้า?” เขาดื่มเครื่องดื่มในมือตามท้ายคำถามสั้นๆ รอคอยคำตอบของอีกฝ่ายโดยการปล่อยให้ห้วงความคิดของเธอผุดข้อสันนิษฐานและพินิจมันด้วยตนเอง


          เจตนารมณ์นั้นสามารถเป็นได้ทั้งการเอ่ยนามของกิจกรรมดังกล่าวและการกระทำกิจกรรมดังกล่าวไปในขณะเดียวกัน— ตัวตัดสินคือความเข้าใจของโทปาซ เชีย แอนเดรียที่บางทีอาจจะสร้างเส้นทางใหม่ขึ้นที่สามแยกอันกำกวมนี้


          สิ่งเดียวที่ค้ำประกันมันได้คงมีเพียงความยืดหยุ่นของตัวเขาซึ่งน้อยครั้งจะมีโอกาสปฏิเสธของผู้อื่น


          “อืม— จริง”


         และมันก็ได้ผล


          “สรุปแล้วต้นตระกูลเธอคืออะไร?


          “ฮึ?


          “ก็เรายังไม่ได้คุยเรื่องนี้กันเลยนี่”


          ให้ตายสิสาวเจ้ากลั้วหัวเราะ


          “ของแบบนั้นถามนอกเกมก็ได้นะ”


          “งั้นหรอกเหรอ?


          “ก็ใช่น่ะสิ คนเขาเตรียมใจตอบคำถามที่ชวนใจเต้นตึกตักไปแล้วเสียด้วยซ้ำ”


          คิ้วโค้งที่เลิกขึ้นสอดคล้องกับสีหน้าที่แปรเปลี่ยนลักษณะน้ำเสียงที่ถ่ายทอดความคิดของตนเองออกมาอย่างตรงไปตรงมานั้นดึงดูดความสนใจของเขาไม่ชั่วขณะ มันเป็นเรื่องค่อนข้างจะธรรมดาเสียแล้วกับการโทปาซจะเปรียบเปรยชีวิตประจำวันของตนเองในรูปแบบการวางโครงเรื่องของสื่อ กระนั้นความแน่นิ่งของถ้อยคำทั้งหมดก็คล้ายกับว่าหลุดออกมาจากซิทคอมอย่างไรอย่างนั้น


          “หืม?” เขาส่งเสียง ย้ำเตือนให้อีกฝ่ายไปกลายๆถึงที่ซึ่งเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากเคลือบลิปทินต์


          แล้วอุณหภูมิของใบหน้าเธอนั้นขึ้นสูงอีกคราชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยสีระเรื่อบนพวงแก้มและตำแหน่งของจุดพักสายตาที่แปรเปลี่ยน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเดาะลิ้นเบาๆซึ่งบ่งบอกถึงความแสร้งไม่พอใจตามประสาเจ้าหล่อน


          “อะไรเล่า? อย่างกับว่าปกติไม่พูดอะไรทำนองนั้นน่ะ” เธอกลอกตาทิ้งท้ายประโยค ริมฝีปากเหยียดยิ้มแก้เก้อไปในขณะเดียวกัน


          “อ๊ะ— แต่ว่าชอบนะ ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรอก”


         ในตอนนั้นเองที่แอรีส โจนาห์รับรู้ได้ถึงความขมปร่าและหยาบกระด้างของวัสดุกันคำสาป


เป็นเพียงเสี้ยววินาที กระนั้นก็ตราตรึงเสียจนต้องปล่อยให้มันจมดิ่งลงไปในวังวนของรสหวานและถูกดูดกลืนไปในท้ายที่สุดมันใช้เวลานานกว่าที่ควร ผันแปรไปทีละน้อยเช่นเดียวกับสีหน้าของเจ้าของถ้อยคำที่ทำเขาเผลอไผล


เธอสงสัย สนใจ ตระหนักรู้ และเอ็นดู...


         แถมให้สตอเบอร์รี่มาลูกหนึ่งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขาอีกด้วย


         “เปรี้ยวไหม?


          “อืม...”


          ว่าไง?”


          ออกหวานมากกว่านะ

 


___


 

          คุณประโยชน์ของบทลงโทษจากผู้คุมชะตากรรมไม่ได้ไร้ซึ่งตัวตนนานๆครั้งจะได้ใช้ อาจด้วยจิตใต้สำนึกซึ่งรู้จักขอบเขตในการปฏิบัติตัวในสังคม ไม่ก็เป็นเพราะวัตถุประสงค์ในการใช้มันไม่ได้ครอบคลุมเสียจนร่ายยาวได้หลายบรรทัดอย่างของคนรู้จักที่เป็นผู้ต้องสาปคนอื่น


          แน่นอนว่ามันเหมาะกับดาร์กไซด์... และขัดแย้งกับสถานะนักเรียนของตนเองโดยสิ้นเชิง


         แต่หากตัดความคิดแนวจูนิเบียวเหล่านั้นออกไปล่ะ?


          เรี่ยวแรงประมาณหนึ่งที่ถูกส่งต่อไปยังปุ่มของตู้เครื่องดื่มอัตโนมัติมักจะนำมาซึ่งเสียงกลไกของมันตามระบบก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ทว่าตัวเขาที่ยืนอยู่ ณ จุดเดิมมานานกว่าสองนาทีก็เริ่มจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ


          อืม...” แอรีสส่งเสียงในลำคอ พิจารณาสถานการณ์เฮงซวยตรงหน้าด้วยความขบขันเล็กน้อย


          จังหวะมันประจวบเหมาะเสียจนเขาอยากจะนำไปเล่าต่อให้โทปาซฟัง— เธอคงออกความเห็นว่าเขาเป็นตัวละครจากซีรี่ส์ซิทคอมที่ได้จุติมาอยู่บนโลกนอกจอสมาร์ตทีวีอย่างแน่นอน


          ตึง!


          เขาเคาะนิ้วบนพื้นผิวกระจกราบเรียบนั้นคราหนึ่ง...


         และเมื่อไม่มีปฏิกิริยาก็ใช้นิ้วโป้งดันถุงมือที่ห่อหุ้มมันออกเล็กน้อย


          เปรี๊ยะ!


          กระแสไฟฟ้าอาจเป็นรูปแบบของพลังงานที่เขาเอาเปรียบมากที่สุดด้วยสภาวะผิวที่ไม่สามารถคงความชื้นไว้ได้นานและบางครั้งบางคราก็คล้ายกับว่าจะแตกเป็นเกล็ดสัตว์เลื้อยคลาน สถานะปัจจุบันของชายหนุ่มจึงไม่ต่างอะไรกับการมีศักยภาพมากมายและสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย


          แน่นอนว่าเขาทำให้กระแสเชี่ยวจนก่อเกิดเป็นน้ำวน สร้างพายุหมุนขนาดเล็ก ย่อยสลายทรัพยากร และขยายอำนาจของเพลิงโดยไม่ใช้เชื้อเพลิงสักปริมาณได้... แต่จะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ?


          ตึง!


          มหาสมุทรในดวงตากำลังสร้างคลื่นลูกเล็กยามที่เห็นกระป๋องเครื่องดื่ม ณ จุดเก็บเบื้องล่าง— ความรู้สึกผิดอันไร้เหตุผลถูกกระตุ้นให้แสดงออกมาผ่านสีหน้าเพียงชั่วครู่ ห่อหุ้มจิตที่ฟุ้งซ่านจากการเรียนเต็มเวลา และสร้างความขบขันให้กับความตระหนักรู้ซึ่งปรากฏตัวขึ้นในเวลาต่อมา


         ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่


          ดูน่าสงสัยไปนิด แต่ก็เพียงแค่แก้ไขความผิดพลาดของระบบเฉยๆ ไม่ได้ลักขโมย— ไม่ใกล้เคียงเลยเสียด้วยซ้ำ


          พอได้นึกถึงเรื่องเก่าๆก็เผลอวกกลับไปในช่วงที่สภาพจิตใจอ่อนแอกว่าปัจจุบันชั่วครู่หนึ่งเสียอย่างนั้น...


“ตู้กินเหรียญ?


          เขาหันไปทางต้นเสียง— ประจันหน้ากับความเหนื่อยหน่ายใจที่หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันแสดงออกมาเป็นสิ่งแรก ตั้งแต่เสียงหัวเราะแห้งไปจนถึงการโคลงหัวประหนึ่งเป็นเรื่องตลกร้ายที่จำใจจะต้องยอมรับไปลูกเดียว


          “แต่เหมือนจะหายแล้วแหละ”


          “อ้อ—”


          ตึง...


          แล้วเจ้าหล่อนก็ใช้เท้าสะกิดมันไปคราหนึ่ง


          “มันจะกินเหรียญฉันไปอีกด้วยไหมอ่ะแบบนี้?


          “เป็นไปได้ อย่าเสี่ยงเลย”


          “โธ่ถัง” ลมหายใจซึ่งพ่นออกมาแรงกว่าปกติส่งผลให้ปอยผมของเธอขยับเล็กน้อย— มันเป็นเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ปลายนิ้วนั้นจัดการควบคุมทุกอย่างให้ดูสมบูรณ์แบบตามแบบฉบับของตนเอง ไม่ได้ประณีตเสียจนไร้ซึ่งความสมเหตุสมผล ทว่าก็ห่างไกลกับสภาพเซอร์ของคนที่ปล่อยตัวแบบสบายๆ


          “เพิ่งเลิกเหรอ?แอรีสเปลี่ยนประเด็น สองขาก้าวเดินเลี่ยงจากการขวางเส้นทางภายในโถงทางเดินเมื่อได้รับเครื่องดื่มของตนเองเรียบร้อย


สิ่งที่ต้องตาคือริมฝีปากสีหวานซึ่งเผยคมเขี้ยวที่คล้ายกับจะฝังลงเนื้อได้ทุกเมื่อในยามที่แย้มยิ้ม— มันยกขึ้นด้วยอิทธิพลของบุคลิกภาคภูมิและคำสาปซึ่งส่งกลิ่นอายล้อมรอบให้เขารู้สึกได้


การได้รู้ถึงต้นกำเนิดวงศ์ตระกูลคือสิ่งที่โทปาซผู้ใคร่อยากเข้าใจการแปรเปลี่ยนครั้งนี้ต้องการมากที่สุด...


ต้นตระกูลเธอเป็นนักล่า— เป็นประเภทคลุ้มคลั่งง่ายที่ไม่ต่างอะไรกับผลงานอันเกิดจากอะดรีนาลีนมหาศาลของผู้กำหนดชะตากรรม ถูกกระตุ้นอารมณ์ตลอดเวลาโดยปรสิตพรรณไม้ซึ่งดูดกลืนสติสัมปชัญญะส่วนใหญ่ไป หลงอยู่ในวังวนความสับสนด้านสภาพจิตใจที่ยากจะฝึกให้เชื่อง


กระนั้นนั่นก็เป็นเพียงข้อมูลในส่วนเสียซึ่งมีการระบุถึงในเชิงละเอียด


          ใช่ อิจฉาคนโดนปล่อยก่อนชะมัดยาด รอดพ้นจากชะตากรรมอาจารย์มาสายและปล่อยสายไปโดยปริยาย


          เผื่อมันทำให้รู้สึกดีขึ้นฉันจำอะไรในคลาสไม่ได้เลยสักนิด


          เธอเลิกคิ้ว


          พลังงานถูกดูดไปหมดกับวิชาก่อนหน้าน่ะ


          แย่เลยสิแบบนั้น


          ก็นะ...


          เขาใช้เวลาช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาไปกับทบทวนข้อมูลในเอกสารทั้งหมดที่มีร่ายอ่านเนื้อความเชิงละเอียดของผลการทดลองและผลงานธีสิสของบุคลากรในสถานเวทมนตร์มากมาย รวมไปถึงแลกเปลี่ยนทฤษฎีของตนเองกับโทปาซเพื่อที่จะลดขอบเขตสิ่งที่ต้องสำรวจเอาเองกันในอนาคต เล่นเอาร่างกายที่นานๆครั้งจะได้พบเจอกับเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดรวนไปประมาณหนึ่ง


          ร่างกายนั้นยังคงทำงานได้ตามปกติ ทว่าสติสัมปชัญญะซึ่งหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับของคำสาปกลับพร้อมที่จะร่วมหล่นไปทุกย่างก้าวเสียอย่างนั้น...


          ไว้คราวหน้าค่อยคุยกับในตอนที่วันถัดมาไม่มีเรียนดีกว่า


          นั่นน่ะสินะกาแฟไหม?


          อ้าว ไหนบอกว่าไม่ใช่สายดื่มกาแฟไง?


          ก็หยิบมาเผื่อสายกาแฟแถวนี้น่ะสิคะโทปาซเปิดกระป๋องเครื่องดื่ม แล้วจึงยื่นมาให้เขาช่วยถือขวดน้ำในมือสลับกันเพื่อความสะดวกอีกขั้น


          ชายหนุ่มรับน้ำใจนั้นมาแต่โดยดี ผงกหัวพลางกล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะกระดกมันขึ้นดื่ม


          ดีขึ้นไหม?


          คิดว่านะ


          อีกตั้งชั่วโมงกว่า ไปหาที่นั่งกันระหว่างรอคาเฟอีนออกฤทธิ์ดีกว่าเธอมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ แล้วจึงย้อนขึ้นมาสบตากับเขาในเวลาต่อมา


          และถ้าไม่ไหวล่ะก็... เดี๋ยวช่วยติวตอนช่วงเทสต์ได้นะ


          แบบนั้นมันจะรบกวนหรือเปล่า?


          ไม่อ่ะ ปกติติวคนเดียวมันฟุ้งซ่านอยู่แล้ว ถือว่าช่วยๆกันด้วย


          งั้นก็ขอบคุณล่วงหน้านะเขายิ้ม


          แอรีส โจนาห์รู้อยู่แก่ใจว่าในท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเด็กชายตัวเล็กๆคนนั้นไม่มีวันที่ผู้มีอำนาจสูงสุดจะยอมสนองปรารถนาอันแรงกล้าของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลที่สำคัญมากพอมารองรับ ไม่มีวันที่โลกจะหมุนเวียนรอบเขา และไม่มีวันที่อะไรเฉกเช่นนั้นจะกระตุ้นให้น้ำตาไหลอาบแก้มอีกต่อไป


          คำสาปซึ่งอยู่ในร่างกายไม่ได้เป็นอะไรที่รักยิ่ง ทว่าก็ไม่แคล้วจะชิงชัง เช่นเดียวกับความทรงจำที่ไม่ดี มันหล่อหลอมให้เด็กคนนั้นกลายมาเป็นตนเองในรูปแบบที่ดีที่สุดอย่างน้อยก็ในตอนนี้ และอาจมีพัฒนาการมากมายในอนาคต


          บางทีชีวิตของคนเราก็ต้องการเพียงสิ่งที่สามารถ อยู่ด้วยได้ จวบจนวันตาย... ต่อให้ตระหนักได้ ความรู้สึกไม่มั่นคงก็ไม่อาจถูกยับยั้งได้โดยปริยายอยู่ดี


         ความย้อนแย้งเป็นเรื่องปกติ


          เอาจริงๆคือแอนดี้น่าจะติวเก่งกว่าฉันนะ แต่ก็นั่นแหละ เจ้าตัวงานเยอะจะตาย


          ประเด็นคือถ้าไม่เข้าใจก็มีแววทำเขาหงุดหงิดด้วยน่ะสิ ทากะโดนไปแล้วครั้งหนึ่ง


          ก็นะ... เขาไม่ค่อยเป็น People Person เท่าไหร่ ถึงจะดูรู้จักคนเยอะก็เถอะ


          แต่ต่อให้เขาเป็น ฉันก็ยังอยากติวกับเธอมากกว่านะ


          หืม? ขนาดนั้นเชียว?


บทสนทนาไร้สาระในชีวิตประจำวันยังคงดำเนินต่อไปไม่รู้ที่สิ้นสุดรอยยิ้มที่เปื้อนใบหน้ามีแนวโน้มว่าจะแย้มกว้างขึ้นในทุกคราที่ได้ยินเสียงหัวเราะของเธอ การกล่าวแสดงความเห็นซึ่งผสมปนเปไปกับคำหยอกล้อมากมายนั้นกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ดีไม่น้อยไปตั้งแต่เปิดภาคเรียนมา


ความสบายใจระดับหนึ่งอาจเป็นสิ่งที่เขาคาดหวังไว้กับการบอกเล่าเรื่องราวในอดีตและการที่มันมาพร้อมกับความทรงจำซึ่งถูกขุดขึ้นมานั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเขารู้อยู่แก่ใจว่าสักวันหนึ่งก็คงได้มาพบเจอกับมันในตอนที่เติบใหญ่ แค่ไม่อาจปักธงบอกวันที่อย่างแน่ชัดได้


ในคราวนี้ การที่มันเป็นไปตามความคาดหมายก็สมเหตุสมผลมากพอที่จะเกิดขึ้น


          อ้อใช่! ไหนๆก็ว่างกันแล้ว...


หืม?


จริงหรือท้าคะคุณโจนาห์?


          หากสัญชาตญาณและประสบการณ์ของเขาถูกต้อง นี่คงเป็นชนวนชั้นยอดแก่หนึ่งใน เหตุการณ์  สำคัญของวัน...


          ท้าครับ”


         และเผอิญว่าคาเฟอีนนั้นเป็นเชื้อเพลิงที่ร้ายแรงพอควร


          ฉันขอท้าให้นายชี้แนะการฝึกปาร์กัวร์ในที่ร่มแบบเชิงปฏิบัติ


 

                   

          

 

กลับมาแล้วค่ะ! หายไปนานเพราะปัญหาส่วนตัวกับเรื่องเรียน และที่มาครึ่งเดียวเพราะมันยาวค่ะ

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะงอกครึ่งหลังมาภายในสัปดาห์หน้านะคะ ส่วนหวานๆจะอยู่ครึ่งนี้เป็นหลัก แต่แง้มเปิดสตอรี่แอรีสนิดนึง

ไว้ในอนาคตค่อยๆเปิดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับอดีตของแต่ละคนเพิ่มเติมค่ะ ค่อยๆไปทีละนิดนี่แหละที่สุด


แอบอยากบ่นเรื่องเกี่ยวกับสอบนิดหน่อยด้วยค่ะ โด๊ปเอ็มร้อยกับกาแฟไปมากกว่าปกติหลายเท่า แต่ก็ยังน็อคแทบทุกวันอยู่ดี

ความเพลียทำงานสลับกับคาเฟอีน ชะตากรรมวัยรุ่นอายุน้อยสอยกาแฟยกแพงมันน่าเศร้า--

ใดๆคือขอบคุณร้านน้ำที่มีเอ็มร้อย ถึงป้าแม่ค้าจะขำเอ็นดูตอนเดินไปถามราคาก็ตาม55555555555

ตอนนี้ก็เหมือนจะปิดเทอมแล้ว แค่ไม่ออฟฟิเชียล คงมีเวลาว่างแต่งนิยายเรื่องนี้กับเรื่องอื่นๆเยอะเลยค่ะ

ถึงจะยังมีเรื่องพอร์ตกับเรื่องติวที่ยังต้องจัดการอยู่นิดหน่อยก็เถอะ



ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture