ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Mission 11 : เจ้าหญิงผู้ปลดปล่อย
MISSION 11
เจ้าหญิงผู้ปลดปล่อย
ไม่นึกไม่ฝัน... ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับชีวิตทดลองที่ไม่ใช่ผลงานของจัมบ้าเป็นครั้งแรกด้วยตาตัวเองอย่างรวดเร็วเช่นนี้
เขาเชื่อมาตลอด... ว่าผู้สร้างชีวิตทดลองแบบจัมบ้าที่ยังหลงเหลืออยู่ได้หลบซ่อนอยู่ในเงามืด
แต่ในเมื่อชีวิตทดลองแปลกหน้าโผล่มาท้าสู้ถึงถิ่น มีรึ... ที่ยอดนักสู้หมายเลข 626 จะไม่รับคำท้า!
หมาจิ้งจอกสามหางเปิดฉากโจมตีสติทช์ เริ่มต้นที่หางขวาทำหน้าที่เป็นมือขวาชั้นล่างหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเข็มขัดแล้วโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า
หน้ากากจมูกหมา คือของที่หมาจิ้งจอกหยิบขึ้นมา เจ้าหมาสามหางกระโดดยื่นหน้ารับหน้ากากมาสวมใส่
จากหมาจิ้งจอกสามหางขนสีเทา... กลายเป็นหมาจิ้งจอกหนังหนาที่มีเขากวางงอกขึ้นมาจากขมับพร้อมขวิดศัตรูที่อยู่ตรงหน้าให้กระเด็นหายไปจากสนามรบในบัดดล จากนั้นก็ตะกุยเท้าทำตัวเป็นกระทิงสเปนจะขวิดนักสู้เอาผ้าคลุมสีแดงมาล่อ เป็นภาพที่ทำเอาสติทช์แอบขำในใจ
"วิชาแปลงร่างจากหน้ากากที่คุณกำลังพกพาอยู่ น่าสนใจดี แต่มุขมันเชย ขี้เกียจใช้ซ้ำ" สติทช์สบประมาทพร้อมรับมือการโจมตีซึ่ง ๆ หน้าจากอีกฝ่าย ทันทีที่จิ้งจอกสามหางวิ่งเข้ามา นักสู้ตัวสีฟ้าเชื่อมั่นในพละกำลังของตน... คิดว่าเขาจะทุ่มคู่ต่อสู้ได้ สติทช์จึงยื่นมือทั้งสี่จับเขาซ้ายหมายทุ่มร่างจิ้งจอกไปข้างหลัง
แต่ดูเหมือนว่า... น้ำหนักของอีกฝ่ายจะมากเกินมาตรฐานจนสติทช์สงสัย
ทั้งที่สติทช์ยกของที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวถึง 3 พันเท่าได้แท้ ๆ
"ผมว่าคุณประเมินฝีมือผมต่ำไปนะ เพราะหน้ากากที่ผมสวมใส่... มันคือ หน้ากากจมูกหมาผ่านศึก เป็นของดีระดับพรีเมี่ยมที่สามารถบันทึกบทวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและศัตรูที่ผมเคยปะทะฝีมือและกำลังจับตาดูอยู่ อย่างคุณ... เหมาะกับ ภูผา ที่มีความแข็งแกร่งดุจหินผา คุณคิดว่าผมจะถูกจับทุ่มง่าย ๆ อย่างนั้นหรอกรึ... คุณ 626 บอกไว้ก่อนนะว่าคุณคิดผิด" จิ้งจอกสามหางได้ทีอวดความสามารถของตนให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ทำเอาสติทช์รู้สึกได้... ว่าเขากำลังยกของที่หนักเกินขีดจำกัดพละกำลังอยู่
"ฉันมีชื่อว่า... สติทช์เว้ย!" สติทช์กัดฟันย้ำชื่อของตนให้อีกฝ่ายรับรู้ ในขณะที่เขาพยายามออกแรงดันร่างจิ้งจอกสามหางไปให้พ้น แต่ยิ่งดัน... อีกฝ่ายก็ฮึดสู้ ออกแรงทำท่าจะขวิดสติทช์ให้ได้
สติทช์กระโดดถีบหน้าจิ้งจอกสามหางด้วยเท้าทั้งสองข้าง ทำเอาจิ้งจอกสามหางเสียหลัก... ถอยหลังไปก้าวสองก้าว จิ้งจอกสามหางส่ายหน้าหวังรวบรวมสติอีกครั้ง แต่ถูกสติทช์พุ่งปราดเข้ากระชากหน้ากากจมูกหมาผ่านศึกออกจากใบหน้าเสียก่อน เพราะเขาอ่านจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว... ว่าถึงจิ้งจอกมั่นใจในพลังหน้ากาก แต่ถ้าถูกโจมตีจนดวงจิตกับหน้ากากไม่ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว... หน้ากากก็มีสิทธิ์ถูกจับถอดได้
จากจิ้งจอกภูผาคืนสภาพเป็นจิ้งจอกสามหางในพริบตา
แต่จิ้งจอกยังยิ้มให้สติทช์ด้วยความรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง!
"สงสัยผมคงต้องถอนคำพูดเสียแล้วล่ะกระมัง สมแล้วที่เป็นจอมทำลายล้างหมายเลข 626 ไม่ใช่สิ... คุณชื่อสติทช์สินะ สมองคอมพิวเตอร์ของคุณวิเคราะห์จุดอ่อนของผมได้ดี ประสานงานกับพละกำลังของคุณอย่างรวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ... ว่าคุณทำให้หน้ากากภูผาของผมเป็นของเล่นได้ แต่อย่าเพิ่งดีใจไป... หน้ากากอันนี้แค่ออเดิร์ฟ ต่อจากนี้ไป... เป็นอาหารจานหลัก" จิ้งจอกสามหางจึงขยับหางซ้ายหยิบหน้ากากอันที่ 2 ออกมาจากกระเป๋าคาดเอวแล้วโยนขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นก็กระโดดรับหน้ากากมาสวมใส่เตรียมเข้าสู่การต่อสู้ยกที่สอง
เพียงแต่... หน้ากากอันใหม่กลายเป็นของเหลวกระทบใบหน้า ร่างจิ้งจอกจึงอันตรธานหายไป สติทช์รู้ในทันทีว่าเป็นหน้ากากล่องหน จึงปรับนัยน์ตาของเขาเข้าสู่อินฟราเรดโหมดเพื่อตรวจจับความร้อนจากร่างกายคู่ต่อสู้
แต่ดูเหมือนว่าการล่องหนของจิ้งจอกจะอยู่ในระดับเซียนเสียแล้ว เหมือนเมื่อก่อนที่การต่อสู้ยกแรกจะอุบัติขึ้นไม่มีผิด!
ในเมื่อดวงตาไม่ได้ผล... เหลือแค่จมูกกับใบหูที่ต้องดมกลิ่นและฟังเสียง คาดว่าการล่องหนของจิ้งจอกต้องมีช่องโหว่
แต่ผิดคาด... เพราะไม่ได้กลิ่นจิ้งจอกสามหางและไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เล็ดลอดเข้าหูเขาแม้แต่น้อย
เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นเป็นสัตว์ทดลองแบบไหนกัน... ถึงมีฟังก์ชั่นการโจมตีที่มากมายแบบนี้!?
ดูท่าสติทช์จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียแล้ว
เพียะ!
มีบางสิ่งบางอย่างฟาดสติทช์กระเด็นออกนอกสนามรบ ซึ่งสติทช์รู้ในทันทีว่าเป็นหางจิ้งจอก ทำให้สติทช์ต้องลุกขึ้นมาจับความเร็วในการโจมตีของอีกฝ่ายให้จงได้
"ดูเหมือนว่าน้องชายฉันจะทำให้คุณลำบากใจสินะ" เสียงผู้หญิงดังมาจากข้างหลัง สติทช์หันไปดู พบว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่เฝ้าดูการต่อสู้ของเขากับจิ้งจอกนิรนามมาตลอด
หญิงสาวอายุราว ๆ 15-16 ปี ผมยาวสยายจรดหัวไหล่ เสื้อแจ็กเก็ตยีนส์กับกางเกงยีนส์สร้างลุคส์ทะมัดทะแมงจนดูเป็นหญิงห้าวที่สวนทางกับใบหน้าหวานเรียบของเธออย่างเห็นได้ชัด
สติทช์ลุกขึ้นยืนพร้อมรวบรวมสติในการใช้เซ้นส์ได้ยินกับดมกลิ่นตามหาจิ้งจอกนิรนามที่ยังล่องหนอยู่ แต่ความได้เปรียบกลับตกไปที่จิ้งจอกอย่างเห็นได้ชัด จิ้งจอกล่องหนโจมตีรัว ๆ เข้าที่ช่องท้องของสติทช์อย่างแรงจนร่างเซถลา ทำเอาสติทช์รู้สึกงุนงง... ว่าเขากำลังต่อสู้กับจิ้งจอกหรือแมลงอะไรสักอย่างที่มีพละกำลังสูสีกันอยู่
แต่ก่อนที่ร่างกายจะบอบช้ำจนระบมไปมากกว่านี้ หญิงสาวหน้าหวานก็เป็นคนกู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เธอเปิดกระเป๋าเป้ลายทหารแล้วหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาไว้ในมือแล้วโยนไป สร้างความงุนงงให้สติทช์เป็นอย่างมาก
"ของเล่นชิ้นโปรดจะทำให้เขาหายคึกเอง" หญิงสาวหน้าหวานพูดพลางยืนกอดอกด้วยความมั่นใจ... ว่าของเล่นที่เธอโยนไปนั้นจะกำราบ "น้องชายจิ้งจอก" ได้
ลูกบอลสีส้มขนาดเล็ก เป็นของเล่นชิ้นที่หญิงสาวหน้าหวานพูดถึง แต่ลูกบอลลูกนี้ไม่ใช่ของเล่นธรรมดา
มันคือลูกบอลที่ทำให้หน้ากากจมูกหมาธาตุน้ำหยุดทำงานในพริบตา!
ภาพที่สติทช์เห็น คือ... เจ้าจิ้งจอกนิรนามที่แต่ก่อนมีร่างใหญ่กลายเป็นลูกจิ้งจอกตัวจ้อยไม่พอ สันหลังมีปีกอินทรีงอกออกมา และอุ้งเท้าหน้าสวมสนับเหล็กที่เล่นเอาสติทช์จุกเมื่อสักครู่ ซึ่งบัดนี้... เจ้าจิ้งจอกกำลังเพลิดเพลินกับลูกบอลยางที่หญิงสาวหน้าหวานขว้างไปเมื่อสักครู่
"เมนคอร์สที่ว่ามา... คือของยิบย่อยพวกนี้สินะ" สติทช์พูดพลางหัวเราะขำขันอย่างนึกเอ็นดูเจ้าจิ้งจอกน้อยที่ยังเล่นกับลูกบอลอยู่ ทั้งที่เขาเจ็บท้องจากการโจมตีของเจ้าจิ้งจอกเมื่อสักครู่
"แต่ก็ตบท้ายด้วยของหวานหลากรสอยู่ดี รสส้มด้วยนะ" หญิงสาวหน้าหวานเสริมพร้อมกับยืนมองเจ้าจิ้งจอกที่แปรสภาพเป็นหมาน้อยแสนเชื่องอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ระหว่างสติทช์กับจิ้งจอกจึงจบลง
"สติทช์!" ลีโล่วิ่งโผเข้ากอดเพื่อนรักตัวสีฟ้าในทันทีที่เห็นหน้า "ดีนะที่พี่ไม่เป็นไร"
"ไกลหัวใจน่าลีโล่ แต่น่าเสียดาย... ที่ฟัดกันได้ไม่สะใจเท่าที่ควร" สติทช์พูดติดตลกพลางกอดตอบรับความห่วงใยจากเพื่อนรัก เป็นภาพที่ทำให้หญิงสาวหน้าหวานรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
"ในที่สุด ข่าวคราวที่ว่าบนโลกนี้ยังมี เจ้าหญิงผู้ปลดปล่อย ที่ทำให้เหล่าชีวิตทดลองใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์อย่างผาสุกก็เกิดขึ้นจริงจนได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริง ๆ" หญิงสาวหน้าหวานพูดในขณะที่นัยน์ตาของเธอจ้องมองลีโล่ไม่กะพริบสักครั้ง
"เอ่อ... เจ้าหญิงผู้ปลดปล่อยอะไรกัน ลีโล่เป็นแค่เด็กชาวฮาวายที่มีเราเป็นเพื่อนก็แค่นั้น ไม่ทราบว่าคุณคือใครกันแน่!?" รูเบ็นชักปืนพลาสม่าเล็งไปที่หญิงสาวหน้าหวานด้วยความไม่ไว้วางใจ
"ใจเย็น ๆ ก่อนสิ... คุณ 625 เราไม่ได้มาเพื่อหาเรื่องเอาชีวิตเจ้าหญิงของพวกคุณหรอก ฉันว่า... เรามานั่งจิบน้ำชาคุยกันดี ๆ จะดีกว่านะคะ" สาวหน้าหวานเกลี้ยกล่อมรูเบ็นให้ใจเย็นลง
"ผมชื่อรูเบ็น ยานลำนี้ไม่มีน้ำชาให้จิบหรอกนะสาวน้อย มีแต่แซนด์วิชกับโค้ก และผมคงไม่ยินดีแบ่งปันให้คุณที่สืบเรื่องลีโล่จนแทบละเอียดยิบแน่ ถ้าคุณไม่ระบุตัวตนออกมาให้ชัดเจน ผมจะถือเสียว่าคุณเป็นศัตรูที่ติดตามชีวิตลีโล่เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง" รูเบ็นยืนยันที่จะโจมตี... หากอีกฝ่ายไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา แน่นอนว่าจิ้งจอกสามหางละความสนใจจากลูกบอล... พุ่งถลาแยกเขี้ยวใส่สติทช์กับรูเบ็นพร้อมปกป้องเจ้านายในทันที
หญิงสาวหน้าหวานรู้ดี... ว่าสติทช์กับรูเบ็นรักและปกป้องลีโล่ที่สอนพวกเขาให้รู้ซึ้งถึงการมีชีวิตที่ต่อต้านโปรแกรมทำลายล้าง และลีโล่ตกเป็นเป้าสังหารของวายร้ายกลุ่มหนึ่งที่จ้องเอาชีวิตตามใบสั่งของแฮมสเตอร์วิลล์
การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เป็นหนทางเดียวที่จะซื้อใจสติทช์ได้
เธอตัดสินใจกดปุ่ม ๆ หนึ่งบนนาฬิกาดิจิตอลข้อมือข้างซ้าย จากหญิงสาวหน้าหวานคืนร่างเป็น... ชีวิตทดลองเหมือนสติทช์และผองเพื่อน!
"ทีนี้... พวกคุณพร้อมที่จะเปิดอกพูดคุยกับเราสักทีนะ" สัตว์ทดลองหน้าใหม่ย้ำให้พวกลีโล่น้อมรับความบริสุทธิ์ใจจากอีกฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่าการผูกมิตรกันจึงบังเกิดขึ้น
แซนด์วิชกับโค้กเป็นของว่างกับเครื่องดื่มที่รูเบ็นใช้รับรองแขกที่มาทำความรู้จักกับลีโล่เป็นครั้งแรก ลีโล่สังเกตรูปลักษณ์ของสัตว์ทดลองหน้าใหม่ที่สวมนาฬิกาดิจิตอลที่ข้อมือข้างซ้าย จะพบว่า... เธอมีรูปพรรณสันฐานเทียบเท่าแองเจิ้ล แต่มีขนสีม่วงอเมทิส (amethyst) กับม่วงลูกพลัมสลับกันเหมือนลายเสือ ขนสีขาวบริเวณหน้าอกโค้งเป็นรูปตัวยู ใบหูของเธอยาวแหลมตั้งขึ้นเหมือนกระต่าย และมีหางม้วนยาวเหมือนแมวป่า
เป็นรูปลักษณ์ที่ดูงดงามมีมิติและน่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง เข้ากับแววตาคมกริบที่จับจ้องมองว่าที่เพื่อนใหม่อย่างไร้ที่ติ
"ต้องขอโทษแทนน้องชายจอมซนของฉันนะ โกเมนนาซาอิ (Gomennasai) เขาเป็นอย่างนี้แหละ ตื่นเต้นและบ้าพลังมากไปหน่อย พวกคุณคงไม่ถือสากันนะ" ชีวิตทดลองสีม่วงกล่าวขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อสักครู่ให้พวกลีโล่ไม่ติดใจเอาความใด ๆ
"ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ ดีเสียอีก... ที่ฉันได้ทำความรู้จักคุณที่ไม่ใช่ผลงานของลุงจัมบ้า ฉันชื่อลีโล่ เพเลไค ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" ลีโล่แนะนำตัวเอง สติทช์ และรูเบ็นให้เพื่อนใหม่ได้จดจำ
"โยโรชิกุ โอเนกาอิชิมาสึ (Yoroshiku onegai shimasu) วาตาชิโนะ นามาเอวะ คิราเนะ เดส (Watashino namaewa Kirane des) เรียกฉันว่า คิระ ก็ได้นะ" ชีวิตทดลองที่ชื่อ... คิราเนะ แนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่น ทำเอาพวกลีโล่ถึงกับทึ่ง... นึกไม่ถึงว่าประเทศฝั่งเอเชียจะมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นเหมือนฮาวายไม่มีผิด
"ส่วนนี่... คิตสึเกะ น้องชายฉันเอง" คิระผายมือไปทางเจ้าหมาจิ้งจอกสามหางที่กินแซนด์วิชของรูเบ็นอย่างเอร็ดอร่อย
"หวังว่าท้องนายคงไม่จุกเสียดจนกินแซนด์วิชไม่ลงนะ" เจ้าหมาคิตสึเกะได้ทีพูดจายียวนสติทช์ที่ยังไม่แตะแซนด์วิชเพราะเจ็บท้องจากการต่อสู้เมื่อสักครู่
"ก็เล่นกระหน่ำซัมเมอร์เซลไม่เกรงใจใครนี่ ท้องต้องจุกเป็นธรรมดา" สติทช์กล่าวโทษจิ้งจอกจอมแสบในทันทีที่ถูกยียวนชวนปวดท้อง
"ในเมื่อพวกนายเปิดเผยตัวแล้วว่าเป็นชีวิตทดลองจากญี่ปุ่น พอจะมีน้ำใจบอกชื่อผู้สร้างมาสักคนสองคนจะได้รึเปล่า" รูเบ็นถามหาผู้สร้างจากชีวิตทดลองสองพี่น้องต่างสายพันธุ์
"คุณจัมบ้าน่าจะรู้จักชื่อ... โรแกน พวกนายเคยได้ยินชื่อนี้มั้ย" คิระเอ่ยชื่อนักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างตนขึ้นมา แน่นอนว่าพวกลีโล่พากันส่ายหน้าแทนคำตอบ คิระรู้ในทันที... ว่าชีวิตทดลองทั้งหกร้อยกว่าชีวิตของจัมบ้าต้องไม่เคยได้ยินชื่อโรแกน จึงอธิบายคร่าว ๆ ให้ลีโล่รู้จักเสียแต่เนิ่น ๆ "โรแกนเป็นผู้สร้างชีวิตทดลองที่มีความคิดแตกต่างไปจากนักวิทยาศาสตร์ทุกคนในกาแล็คซี่ เพราะเขาเชื่อเสมอ... ว่าชีวิตทดลองถูกสร้างมา ไม่จำเป็นต้องใส่โปรแกรมสร้างความหายนะ แค่ใส่สกิลและพลังที่จะใช้ป้องกันตัวและสร้างคุณประโยชน์ให้กาแล็คซี่ แต่อย่างที่รู้กัน... ว่านักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่ทำงานในวงการผลิตชีวิตทดลอง ล้วนเป็นบุคคลอันตรายที่ถูกทางสหพันธ์กาแลคติกหมายตาพร้อมดำเนินคดีได้ทุกเมื่อ หากชีวิตทดลองที่ถูกตราหน้าว่าเป็นอาวุธมีชีวิตตัวใดตัวหนึ่งเล็ดรอดออกไป หรือไม่ก็มีการซื้อขายกันเกิดขึ้นในตลาดมืด โรแกนจะไม่ยอมตกเป็นหนึ่งในบัญชีผู้ถูกหมายหัวเป็นอันขาด"
"คุณโรแกนถึงได้เดินทางมาที่ดาวโลก แต่ที่นี่ไม่มีเทคโนโลยีมากพอที่จะสร้างชีวิตทดลองได้นะคะ สร้างได้มากสุดกี่ตัวแล้ว" ลีโล่ถาม
"ไม่มากเท่ามีหมายเลข 626 จนตกเป็นข่าวถูกจับกุมแล้วกัน" คิตสึเกะตอบทำนองสบประมาท ทำเอาสติทช์ฟังแล้วรู้สึกขุ่นเคืองยิ่งนัก... ตีความว่าไอ้หมาจิ้งจอกสามหางมีเจตนาแขวะไปถึงจัมบ้าที่ถูกจับพร้อมหลักฐานมัดตัว
"ฉันบอกว่าชื่อสติทช์เว้ย!" สติทช์โวยใส่ที่ถูกเรียกเป็นหมายเลขชีวิตทดลองเป็นเชิงดูถูก
"โทษทีว่ะ ก็ข่าวมันลงแค่ชื่อหมายเลข 626 ฉันก็เลยเรียกจนชินปากอ่ะนะ ไม่ยักรู้นะว่ามีชื่อนี้ด้วย" คิตสึเกะยักไหล่โนแคร์ คิดว่าชื่อสติทช์เป็นชื่อที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ได้ยินมา
"ก็ชื่อนี้นี่แหละ... เข้ากันกับฉันดี" สติทช์อวยชื่อตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ ลืมอาการเจ็บท้องจากการต่อสู้ฉับพลัน
"เธอบอกว่าที่ดาวดวงนี้ไม่มีเทคโนโลยีมากพอที่จะสร้างชีวิตทดลองได้ ซึ่งมันเป็นความจริงอย่างที่ว่า แต่สำหรับคุณโรแกน... ทุกอย่างต้องมีการเตรียมพร้อมเสมอ เพื่อให้งานวิจัยเสร็จสมบูรณ์" คิระอธิบายต่อก่อนที่น้องชายจิ้งจอกตัวดีจะกวนประสาทต่อจนนอกเรื่องอีก
"งานวิจัยอะไรรึ" รูเบ็นถาม
"งานวิจัยเรื่อง... ดวงใจชีววุธ เป็นสิ่งเดียวที่จะหักล้างอคติของสหพันธ์กาแลคติกได้ ฉันกับคิตสึเกะเป็นชีวิตทดลองที่ถูกสร้างเพื่องานวิจัยชิ้นนี้โดยเฉพาะ เจ้าสิ่งที่สวมใส่อยู่ข้อมือข้างซ้ายของฉัน... ทำให้ชีวิตทดลองอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ได้ แม้รู้ว่าอยู่ในเงามืดก็ตาม" คิระชูนาฬิกาข้อมือข้างซ้ายให้ลีโล่ดู พบว่าแท้จริงแล้ว... เครื่องมือชิ้นนี้สามารถจำแลงแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ "นี่คือ... โฮโลแกรมชีววุธ คุณโรแกนประดิษฐ์ของชิ้นนี้ เพื่อให้ฉันแปลงร่างเป็นมนุษย์ศึกษาวิธีการใช้ชีวิตได้"
คิระกดปุ่มสีฟ้าบนอุปกรณ์รัดข้อมือเพื่อแสดงประสิทธิภาพให้พวกลีโล่ได้เห็นเต็มสองตา จากชีวิตทดลองสีม่วงแปลงร่างเป็นหญิงสาวหน้าหวานในพริบตา
"พี่อยู่บนดาวโลกมานานแค่ไหนแล้วคะ" ลีโล่ถาม
"นานกี่ปีแล้วเหรอ จำไม่ได้แล้ว รู้แค่ว่าอยู่บนดาวดวงนี้มาสัก... สิบยี่สิบปีก็ว่าได้" คิตสึเกะตอบพลางยักไหล่ สติทช์รู้คำตอบในทันที... ว่าโรแกนกับชีวิตทดลองอาศัยอยู่บนดาวโลกก่อนที่เขาจะหนีลงมาอยู่กับลีโล่มาเป็นสิบ ๆ ปี
"แล้ว... พวกนายมีสกิลอะไรบ้าง สกิลที่เป็นโปรแกรมหลักของพวกนายต้องน่าสนใจพอสมควร อย่างเช่น... หน้ากากจมูกหมาผ่านศึก" สติทช์ชำเลืองมองหน้าคิตสึเกะด้วยความสนอกสนใจ อยากรู้อยากเห็นเหลือเกินว่าสองพี่น้องต่างสายพันธุ์มีสกิลน่าสนใจมากน้อยเพียงใด
"ถ้าจะพูดให้ถูกตามที่ฉันอธิบายก่อนหน้านี้ ชีวิตทดลองที่คุณโรแกนสร้างขึ้นมา... ไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมทำลายล้าง อย่างฉันกับคิตสึเกะต้องเรียนรู้วิธีการต่อสู้ด้วยตัวเอง ส่วนสกิลที่ได้นั้นก็... เป็นอ๊อพชั่น (option) เสริมให้การต่อสู้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น หน้ากากจมูกหมาผ่านศึกของคิตสึเกะก็เป็นผลงานที่รังสรรค์จากงานศิลปะที่มีเจ้านี่เป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่งของฉัน" คิระควักของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ลายทหาร พบว่าเป็นแท็บเล็ตพร้อมปากกา จากนั้นก็โชว์วิชาวาดรูปให้พวกลีโล่ได้ทึ่งกันอย่างทั่วถึง
คิระทำตัวเป็นจิตรกรสาววาดรูป ๆ หนึ่งในแท็บเล็ต เพียงแต่ปากกาแท็บเล็ตในมือขวาของเธอ... ไม่ใช่ปากกาธรรมดา
มือซ้ายของเธอสำแดงประกายไฟฟ้าให้พวกลีโล่ได้เห็น... ว่าสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
เธอเอานิ้วไฟฟ้าจิ้มไปที่ปากกาแท็บเล็ต จากปากกาแปรเปลี่ยนเป็นพู่กันแท็บเล็ตในพริบตา!
สกิลของคิระ คือ... การปรับตัวให้เข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้า สามารถใช้ประโยชน์ในเรื่องการต่อสู้หรือการอื่นอีกมากมาย
พู่กันแท็บเล็ตของเธอจะมีลักษณะเหมือนพู่กันกับปากกาผสมผสานกัน เพราะเธอวาดเส้นเป็นเค้าโครงใบหน้า... จากนั้นก็ลงสีให้ภาพวาดในแท็บเล็ตมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ทันทีที่เธอวาดรูปหน้ากากจนเสร็จสิ้น เธอก็หันแท็บเล็ตให้พวกลีโล่ดู พบว่าเธอวาดรูปใบหน้าสติทช์ แต่เป็นภาพใบหน้าตั้งแต่ใบหู ศีรษะส่วนบน ดวงตา แก้ม และจมูก หรือพูดง่าย ๆ คือ... เธอวาดใบหน้าส่วนบนเพื่อให้เป็นหน้ากากจมูกหมาผ่านศึกอันใหม่ให้มากที่สุด
"ว้าว... เข้าใจวาดได้ดีนี่" สติทช์เอ่ยปากชมภาพวาดในแท็บเล็ตของคิระ ซึ่งเป็นภาพวาดที่สวยงามจนนึกอิจฉาคิตสึเกะขึ้นมา
"มันก็แค่ภาพวาดนะ คอยดูตอนฉันสวมหน้ากากอันใหม่ก็แล้วกัน" คิตสึเกะเกริ่นนำให้สติทช์ชมการแสดงของเขา คิระกดปุ่ม ๆ หนึ่งในแท็บเล็ต ซึ่งเป็นปุ่มสีแดงที่มีคำสั่ง ACTIVATE กำกับอยู่
เพียงแค่กด... หน้ากากอันใหม่ก็โผล่ออกมาจากแท็บเล็ต ใบหน้าของคิตสึเกะรับหน้ากากอันใหม่มาสวมใส่ทันที จิ้งจอกสามหางแปลงร่างเป็นมนุษย์จิ้งจอกสีฟ้าที่มีหนามแหลมงอกมาจากสันหลัง สติทช์เห็นแล้วรู้สึกได้ว่าคิตสึเนะกลายเป็นหมายเลข 626 ร่างจิ้งจอก จึงนึกสนุกที่จะลองของ... แปลงกายเป็นยอดนักสู้สี่แขนทำท่าจะปะทะกับจิ้งจอกอีกรอบ ลีโล่กับคิระรีบเอาตัวเองกั้นกลางระหว่างเพื่อนรักสีฟ้ากับจิ้งจอกในทันที
"อย่าคะนองไปเลยน้องชาย นายยังต้องฝึกอีกเยอะ" คิระจับใบหน้าน้องชายจิ้งจอกแล้วถอดหน้ากากออกมา มนุษย์จิ้งจอกสีฟ้าคืนร่างเป็นเจ้าจิ้งจอกสามหางในทันที ในขณะที่ลีโล่เอามือลูบหลังสติทช์เพื่อให้เขาลดความระห่ำลงบ้าง
"ดู ๆ ไปแล้ว... สกิลการต่อสู้ของคิตสึเกะ คือ... การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมจากหน้ากากที่สวมใส่ สินะ" รูเบ็นประเมินสกิลของจิ้งจอกสามหางจากหน้ากากจมูกหมาผ่านศึกอันล่าสุดที่คิระวาดเมื่อสักครู่
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ อย่างที่บอก... โปรแกรมที่คุณโรแกนตั้งไว้ คือ... การต่อสู้เพื่อสันติภาพของกาแล็คซี่ ส่วนสกิลที่มีเป็นอ๊อพชั่น อย่างที่สติทช์เห็น คิตสึเกะใช้หน้ากากจมูกหมาภูผา วารี และ ปีกวิหค เพื่อวัดฝีมือนายโดยเฉพาะ" คิระอธิบายหน้ากากจมูกหมาแต่ละอันให้สติทช์ฟังแล้วต้องบางอ้อ สรุปสั้น ๆ ได้ในทันที... ว่าหน้ากากภูผาที่มีเขากวางหมายขวิดตน คือเพิ่มพละกำลังมิให้สติทช์จับทุ่ม ส่วนหน้ากากวารี... ทำให้คิตสึเกะล่องหนกลมกลืนไปกับแหล่งน้ำจนสามารถปรับเปลี่ยนโหมดลูกจิ้งจอกโจมตีศัตรูด้วยความเร็ว และการล่องหนด้วยน้ำ... มีข้อดีตรงที่ความเย็นห่อหุ้มร่างกาย ทำให้ดวงตาตรวจจับความร้อนของสติทช์ไม่สามารถมองเห็นคิตสึเกะได้ ตรงกันข้าม... ดวงตาคู่ที่ซ่อนอยู่ในขนสีเทาส่วนหัวไหล่ของจิ้งจอกสามหางสามารถตรวจจับความร้อนจากร่างกายของสติทช์ได้ หน้ากากจมูกหมาวารีจึงสร้างข้อได้เปรียบจากการต่อสู้เมื่อสักครู่ ยิ่งมีปีกวิหคเป็นอาวุธเสริม... คิตสึเกะจึงโจมตีรัว ๆ ใส่สติทช์ได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
สติทช์ฟังคำอธิบายแล้ว... รู้สึกมวนท้องขึ้นมาในทันทีที่นึกถึงการปะทะกันเมื่อสักครู่ ที่แท้... คิตสึเกะอาศัยหน้ากากเป็นข้อได้เปรียบนั่นเอง!
"แล้วงานวิจัยเรื่อง... ดวงใจชีววุธนี่เป็นงานวิจัยที่ว่าด้วยเรื่องอะไรคะ" ลีโล่ถามถึงงานวิจัยด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"ชีววุธนี่ถือว่าเป็นภาษาสุภาพที่ใช้เรียกชีวิตทดลอง ถึงเราถูกสร้างมาเป็นอาวุธเพื่อใช้ในการสู้รบ แต่ขึ้นชื่อว่าสิ่งมีชีวิต... ย่อมมีสิ่งสำคัญถึง 2 สิ่งด้วยกันที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้เรามีชีวิตอยู่ยืนยาวนาน" คิระอธิบายพลางยื่นนิ้วจิ้มไปที่อกข้างซ้ายของสติทช์ "นั่นคือหัวใจและสติปัญญาที่ใช้ควบคู่กัน"
"เหมือนกับหนูและสติทช์... ที่ออกค้นหาสัตว์ทดลองของจัมบ้าและละลายพฤติกรรมจนหาบ้านที่เหมาะสมอย่างนั้นรึเปล่าคะ" ลีโล่นึกเอางานวิจัยของคุณโรแกนมาเปรียบเทียบกับภารกิจที่เธอกับสติทช์กำลังทำอยู่
"แตกต่างกันในระดับนึงนะจ๊ะหนู ชีววุธอย่างเราที่ถูกคุณโรแกนสร้างขึ้นมา... มีโปรแกรมเพื่อการสู้รบก็จริง แต่คุณโรแกนก็เลี้ยงดูเราเสมือนบุตรหลานให้รู้จักเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ ส่วนชีววุธของคุณจัมบ้า... ถูกสร้างมาเพื่อทำลายล้าง แต่เธอเป็นมนุษย์คนแรกของโลก... ที่เป็นผู้ปลดปล่อยเหล่าชีววุธให้มีโอกาสเรียนรู้โปรแกรมและสกิลเพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้มนุษย์ พูดง่าย ๆ ก็คือ... เธอเป็นคนปลุกพวกเขาให้รู้ซึ้งถึงจิตวิญญาณของตัวเอง และเธอกล้านำเสนอความคิดหักล้างเกี่ยวกับชีววุธให้ทางสหพันธ์กาแลคติกเปลี่ยนใจ อนุญาตให้เหล่าชีววุธของจัมบ้าอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างเปิดเผย เธอถึงได้เป็นเจ้าหญิงผู้ปลดปล่อยจนถึงทุกวันนี้" คิระอธิบายถึงที่มาของเจ้าหญิงผู้ปลดปล่อยให้ลีโล่ได้รับทราบ ทำเอาเด็กหญิงตัวน้อยรู้สึกขวยเขินพิลึกที่ถูกนางแมวสีม่วงในร่างมนุษย์จำแลงยกย่องเป็นบุคคลสำคัญในกาแล็คซี่
"เอ่อ... หนูไม่คิดว่าจะเป็นเจ้าหญิงอะไรทั้งนั้นนะคะพี่ หนูเห็นว่าชีวิตทดลองทุกตัวล้วนเป็นโอฮาน่าของสติทช์ และสติทช์เองก็เป็นโอฮาน่าของหนู มันไม่ยุติธรรมมากกว่าที่ชีวิตทดลองต้องถูกทำลาย" ลีโล่ถ่อมตน ไม่รู้สึกว่าเธอได้รับเกียรติจากคนแปลกหน้าแบบนี้
"ตรงไปตรงมาดีนี่ ฉันชักอยากเห็นสายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเหล่าชีววุธด้วยตาตัวเองสักครั้ง... ว่าพวกเขามีสปิริตโอฮาน่ามากน้อยแค่ไหน" เจ้าคิตสึเกะพูดออกมาหมายผูกพันธมิตรกับเหล่าชีวิตทดลองบนเกาะคาไวโดยเร็ว
เพราะสองพี่น้องชีววุธต่างพันธุ์อยากรู้เต็มแก่... ว่าลีโล่มีความเป็นเจ้าหญิงผู้ปลดปล่อยดั่งที่คุณโรแกนกล่าวถึงจริงหรือไม่!
------------------------------------------------------------------------
พลบค่ำ ณ ถนนคนเดิน
ทุกเย็นวันเสาร์และอาทิตย์ โคคาอัวทาวน์จะมีถนนสายหนึ่งให้คนในท้องที่และนักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินไปกับการชิมช็อปและแชะเพื่อบันทึกภาพความสนุกสนานที่เกิดขึ้นในยามราตรี ณ เกาะนี้
แน่นอนว่านอกจากของกินที่หลากหลาย ยังมีตลาดนัดให้เลือกซื้อสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ และการแสดงที่เผยแพร่วัฒนธรรมพื้นบ้านฮาวายให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็นการระบำฮาวาย หรือไม่ก็... ระบำไฟของหนุ่มอกสามศอกที่ตอกย้ำให้รู้ซึ้งถึงเอกลักษณ์ของฮาวายอย่างแท้จริง
เดวิด คาวีน่า แฟนหนุ่มของนานี่ เป็นนักระบำไฟฝีมือดี ได้ขึ้นเวทีทำการแสดงเหมือนทุกคืนที่ร้านอาหารมีงานปาร์ตี้ สติทช์กับ สโปลดี้เฮด 619 ก็ร่วมระบำเพลิงบนเวทีด้วย เพราะเจ้าสโปลดี้เป็นชีวิตทดลองมีรูปลักษณ์เหมือนมังกรกึ่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สามารถยิงลูกไฟหรือพ่นไฟจากโพรงจมูกโจมตีศัตรู แต่เมื่อพบลีโล่และถูกนำตัวไปละลายพฤติกรรมจนเป็นนักพ่นไฟเพื่อใช้ประกอบการแสดงระบำไฟยามราตรี
การแสดงบนเวทีของหนุ่มสามสหายต่างสายพันธุ์... สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมได้ดีอย่างไร้ที่ติ
สองพี่น้องโคลแมน แองเจิ้ล คาลี่ และฟลุทเป็นเพื่อนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาเกาะคาไว ถึงกับทึ่งที่เห็นสติทช์กับสโปลดี้ระบำไฟเคียงข้างเดวิดอย่างสวยงาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบใหม่ที่ฟลุทอยากเห็นมาชั่วชีวิต
"ชอบมากใช่มั้ยล่ะ" แองเจิ้ลเอาศอกกระทุ้งแขนเจ้าฟลุทที่ชมการแสดงบนเวทีชนิดตาไม่กะพริบ
"ไม่ชอบนะพี่ แต่รักเลยอ่ะ!" ฟลุทตอบรับทั้งที่ใจยังตื่นตระการตาไปกับลีลาการควงกระบองไฟของสติทช์กับเดวิด นับเป็นครั้งแรกที่เขากับคาลี่ได้เห็นการแสดงดี ๆ แบบนี้ ทำเอาแองเจิ้ลยิ้มแย้มด้วยความพึงพอใจ... ที่แผนเปิดโลกทัศน์กำลังไปได้สวย หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้คาลี่กับมาเรียนำไปใช้วาดรูปส่งเข้านิทรรศการที่กำลังจะเกิดขึ้นราว ๆ สิ้นเดือนกันยายน
บัดนี้มีเวลาเหลือเพียงครึ่งเดือน
"ว่ากันว่าบนเกาะนี้มีเสน่ห์นี่ท่าจะเป็นความจริงอย่างที่ลีโล่ว่าไว้ไม่มีผิด เรียกได้ว่าเป็นดินแดนแห่งความรักก็ว่าได้" คาลี่เปรยออกมาด้วยความประทับใจในทุกสิ่งที่อยู่บนเกาะคาไว รวมถึงเหล่าชีวิตทดลองที่ถูกลีโล่นำมาละลายพฤติกรรมจนใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ได้จนถึงทุกวันนี้
"ใช่... ดินแดนแห่งความรัก" มาวินเห็นด้วย ดูสติทช์ระบำไฟเป็นเพื่อนเดวิดบนเวทีแล้ว ทำให้เขาแอบมโนภาพในใจ... ว่าบางทีเขาอาจเรียนรู้วิชาระบำไฟจากเดวิดเพื่อสร้างความประทับใจให้ลีโล่ในวันใดวันหนึ่งก็เป็นไปได้
"อย่านึกว่าหนูไม่รู้นะพี่... ว่าพี่คิดอะไร" มาเรียกระเซ้าแหย่พี่ชายฝาแฝดจนหลุดจากภวังค์มโนโดยเร็ว
"พี่คิดอะไร!? ไม่มี๊!" มาวินปฏิเสธเสียงสูงพร้อมเอากำปั้นยีหัวน้องสาวฝาแฝดด้วยความหมั่นไส้ "แก่แดดแก่ลมใหญ่แล้วนะเรา"
"ก็หนูพูดความจริงนี่ แต่ขอบอกไว้ก่อน... ว่าการที่จะเรียนระบำไฟได้ มันต้องใช้เวลานะ แม้แต่ระบำฮูล่าเองยังต้องมีศิษย์เก่าคอยสอน จริงมั้ยจ๊ะแองเจิ้ล" มาเรียหันไปแหย่แองเจิ้ลต่อ ทำเอาแองเจิ้ลสะดุ้งขึ้นมาฉับพลัน
"พี่ไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะห๊ะ!?" แองเจิ้ลงุนงงที่ถูกพาดพิงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
"อย่านึกว่าฉันไม่รู้... ว่าเธอเรียนระบำฮูล่าตัวต่อตัวกับสติทช์" มาเรียพูดถึงสติทช์ ทำเอาแองเจิ้ลหน้าแดงขึ้นมา
"รู้ได้ไง!?" นางฟ้าสีชมพูถาม
"แหม... ก็ตลอดซัมเมอร์ที่ผ่านมาตั้งแต่เราย้ายบ้านมาเป็นเพื่อนลีโล่ ฉันเห็นเต็มสองตา... ว่าสติทช์พาเธอไปเรียนฮูล่าด้วยกันสองต่อสองเพื่อไม่ให้เมอร์เทิลมาวุ่นวาย" มาเรียตอบจากสิ่งที่ตาเห็น "และฉันก็เห็น... ว่าเธอแอบฝึกระบำฮูล่าตอนกลางค่ำกลางคืน เพื่อที่จะเอาใจสติทช์"
"เธอก็พูดเวอร์ไป ฉันแค่ฝึกเพื่อเอาใจสติทช์เท่านั้นนะเหรอ ฉันฝึกเพราะท่วงท่าอ่อนช้อยชวนหลงใหลต่างหาก แต่เสน่ห์ของฮูล่ามันทำให้ฉันหลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้นนะสิ" แองเจิ้ลพยายามกลบเกลื่อนความเคอะเขินของเธอ แต่ดูเหมือนจะเก็บอาการแทบไม่อยู่... เมื่อนัยน์ตาของเธอจับจ้องที่สติทช์บนเวที ซึ่งบัดนี้... การแสดงจบลงพอดี
ทางด้านลีโล่กับรูเบ็น ทั้งคู่รู้มาว่าคิระกับคิตสึเกะเป็นชีววุธที่บินมาจากญี่ปุ่นก็จริง แต่เพราะทั้งคู่อาศัยอยู่บนดาวโลกมานาน จึงไม่แปลกที่สองชีววุธจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษจนฟัง พูด อ่าน และเขียนได้ดี ลีโล่จึงเป็นไกด์ตัวน้อยพาทั้งคู่ทำความรู้จักกับถนนคนเดินอย่างเต็มที่ หลังจากที่รู้มาว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในโฮโนลูลู
มีถนนคนเดินทั้งที... ต้องมีของกินเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ที่ไม่ธรรมดา คือ... สลัชชี่ ดู๊ป และริคเตอร์ทำบู๊ธไอศกรีมกับมิลค์เชคร่วมกัน และเฟรนช์ฟรายส์ทำบู๊ธฟาสต์ฟู้ด เป็นภาพที่ทำให้สองชีววุธจากแดนปลาดิบนึกชื่นชมสองคู่หูค้นหาสัตว์ทดลอง... ที่รู้จักโปรแกรมหลักของเหล่าสัตว์ทดลองที่จัมบ้าสร้างขึ้นมาเป็นอย่างดี
"เธอเป็นเด็กแท้ ๆ กลับทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ได้ นับว่าไม่ธรรมดาเลยนะ" คิตสึเกะเอ่ยปากชมลีโล่ก่อนที่ปากของเขาจะรับบาร์บีคิวสูตรของเฟรนช์ฟรายส์จากมือพี่สาวต่างสายพันธุ์มาเคี้ยวแก้มตุ้ยอย่างเอร็ดอร่อย
"ไม่ใช่แค่หนูกับสติทช์ที่ทำภารกิจนี้ได้ คุณจัมบ้า คุณพรีคลีย์ และพี่น้องของสติทช์ก็มีส่วนร่วมนะคะ พี่คิระถึงได้เห็นภาพประทับใจแบบวันนี้ไง" ลีโล่ถ่อมตน ยกเครดิตให้เพื่อน ๆ จากดาวทูโร่อย่างเต็มที่
"นี่แค่ส่วนหนึ่งในฮาวายนะ ถ้าออกจากเกาะนี้เมื่อไหร่ พวกคุณได้เห็นชุมชนชีวิตทดลองอีกนับร้อยเลยนะ เพียงแต่... ยังค้นหาไม่ครบหกร้อยก็เท่านั้นเอง" รูเบ็นช่วยเสริม คิระฟังแล้วถึงกับพยักหน้าด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
"ถ้าให้พี่คำนวณระยะเวลาจากวันที่สติทช์ของเธอหนีลงมาใช้ชีวิตบนดาวโลกจนถึงวันนี้ ใช้เวลานานถึง 4 ปี 3 เดือนและ 11 วัน เธอค้นหาและทำการละลายพฤติกรรมได้กี่ตัวแล้ว" คิระถาม
"ถ้ารวมถึงชีวิตทดลองที่ไม่มีพิษมีภัยและยังอยู่ในสภาพลูกหินสลักหมายเลข โดยรวมก็สัก... 416 ตัวแล้วค่ะ" ลีโล่ตอบ
"ว้าว! เลยครึ่งทางมาแล้วนี่ ทุกคนที่อยู่บนเกาะนี้คงไม่คุยฟุ้งใหญ่เลยสิท่า... ว่าเกาะนี้มีเอเลี่ยนอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์" คิตสึเกะพูด
"ก็ไม่มีใครพูดว่าเราเป็นใครมาจากไหน ยกเว้นคนที่ลีโล่ไว้ใจได้จริง ๆ ทุกคนเข้าใจว่าเราเป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่ทั้งนั้นแหละ" รูเบ็นตอบอย่างไม่ยี่หระ แต่พอนึกถึงสติทช์แล้วอดอิจฉาไม่ได้ "แม้แต่สติทช์ยังถูกมองว่าเป็นหมาน้อยน่ารักไปเลย"
คิระกับคิตสึเกะถึงกับขำเมื่อเห็นสีหน้าเหม็น ๆ ปรากฎบนใบหน้าของจอมทำแซนด์วิช ซึ่งบัดนี้... เขากำลังเคี้ยวแซนด์วิชบาร์บีคิวจนแก้มตุ้ยอยู่
ในขณะที่ลีโล่กับรูเบ็นกำลังเพลิดเพลินกับถนนคนเดินในยามราตรีอยู่นั้น... มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น และเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ลีโล่ต้องเร่งแก้โดยเร็วที่สุด
"จีจี้!?" ลีโล่ตกตะลึงที่เห็นชีวิตทดลองมีรูปลักษณ์เป็นหมาชิสุนอนตัวสั่นงก ๆ อยู่บนหลังของสไปค์ มีผ้าปิดปากจีจี้อย่างแน่นหนา และสีหน้าของสปาร์คกี้กับสไปค์ก็ดูตึงเครียดผิดปกติ
"โชคดีจังที่เธอมาอยู่ที่นี่ ฉันเกรงว่าจีจี้จะไม่ไหวแล้ว" สปาร์คกี้เกริ่นนำขอความช่วยเหลือจากลีโล่ในทันทีที่พบหน้า ทำเอาลีโล่กับรูเบ็นรู้สึกสังหรณ์ใจ... ว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับจีจี้อีกครั้ง
"มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น!?" รูเบ็นถาม
"ฉันว่าเราไปคุยกันแถวบ้านเธอดีกว่า แล้วนี่... สติทช์ไปไหน ทำไมถึงมากับ 625 ได้" สไปค์กวาดตาถามหาสติทช์ด้วยความประหลาดใจ เพราะเขาจะเห็นลีโล่กับสติทช์ตัวติดกันเสมอ
"ฉันชื่อรูเบ็นต่างหากล่ะ" รูเบ็นทวนชื่อที่ลีโล่ตั้งขึ้นให้สไปค์กับสปาร์คกี้ต้องจดจำ ก่อนที่จะตอบคำถามสไปค์เรื่องสติทช์ "สติทช์เขาคงอยู่เจ๊าะแจ๊ะกับแองเจิ้ลหลังโชว์บนเวทีเคียงข้างว่าที่พี่เขยของลีโล่จบอ่ะนะ อีกเดี๋ยวก็มาหาลีโล่เองล่ะน่า"
พูดถึงสติทช์ เจ้าตัวก็ปรากฎตัวในทันตา
"อ้าว... สปาร์ค! สไปค์! จีจี้! ไปไงมาไงถึงโผล่มาที่นี่ได้!?" สติทช์เอ่ยปากทักทายตามปกติ แต่พอเห็นสีหน้าเพื่อนชีวิตทดลองดูอมทุกข์ ถึงกับเอ่ยปากถามด้วยความประหลาดใจ "เกิดอะไรขึ้น... สีหน้าดูเครียดเชียว"
คำตอบที่ได้รับ คือ... จีจี้มีอาการชักกระตุกเหมือนถูกไฟช็อตอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นี่มันอาการป่วยที่เคยเกือบคร่าชีวิตสติทช์มาแล้วครั้งหนึ่ง!
ลีโล่กับสติทช์และผองเพื่อนชีวิตทดลองรีบพาจีจี้ไปที่ ยานของจัมบ้า เพื่อขอความช่วยเหลือในทันที สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ... นำจีจี้ใส่ในแคปซูลจับชีวิตทดลองเพื่อพาเธอไปเอ็กซเรย์ตรวจหาสิ่งผิดปกติ ยิ่งพรีคลีย์รู้ว่าจีจี้มีอาการป่วยแบบที่สติทช์เคยเป็นมาก่อน... จึงสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากสปาร์คกี้กับสไปค์ในทันที
จอมผลิตกระแสไฟกับเม่นนักกอดจึงเล่าเหตุการณ์ยามเย็นก่อนพลบค่ำให้ลีโล่กับจัมบ้ารับรู้ เพื่อหาทางรับมือกับศัตรูที่ร้ายกว่าแฮมสเตอร์วิลล์โดยเร็วที่สุด
สปาร์คกี้ได้ชวนสไปค์มาเล่นบอร์ดเกมด้วยกันที่ประภาคาร และสไปค์ก็เตรียมบอร์ดเกมใหม่เพื่อที่จะอวดสปาร์คกี้โดยเฉพาะ แต่เจอตัวจีจี้เป็นลมสลบอยู่แถวระหว่างทางจากฟากหนึ่งของเกาะสู่ประภาคาร จึงรีบพาเธอไปพัดวีที่ประภาคารจนเธอรู้สึกตัว สอบถามเธอจนได้ความมาว่า... แอบหนีออกมาจากโฮมสเตย์ที่แอนดรูว์อาศัยอยู่ ซึ่งเขาได้เชิญแขกมาดื่มน้ำชาไฮโซ ได้แก่... เจสสิก้า คาร์ล่า แมทธิว โมนิก้า และเมอร์เทิล จีจี้ถูกเจ้านายพามาเข้าสังคมหมาไฮโซ สร้างความอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง เพราะรู้ดีว่าเมอร์เทิลมีหัวคิดที่จะเอาชนะลีโล่ หลงคิดว่าการที่จีจี้ต้องเริ่ดเหนือกว่าสติทช์จะเป็นแรงบันดาลใจให้ภาพวาดของเธอเข้าสู่นิทรรศการศิลปะมีชีวิตได้
สาเหตุที่จีจี้หนีออกมาโดยไม่รอเจ้านาย คือ... ทนเป็นเพื่อนกับสตีลไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นชีวิตทดลองที่ไม่ใช่ผลงานของจัมบ้า และกำลังปองร้ายลีโล่อยู่ แต่พอหนีพ้นจากรัศมีอันตรายได้ เธอก็มีอาการวับวาบผิดปกติจนสลบไปนานเท่าใดมิอาจรู้ได้
อาการวับวาบชักกระตุกที่เกิดขึ้นกับจีจี้ ส่งผลให้เธอควบคุมการเห่าไม่ได้ และร่างกายของเธอมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวผิดปกติ ซึ่งเกิดขึ้นเกือบทุก 20 นาที ต่อมาก็ถี่ขึ้นจนสปาร์คกี้เห็นท่าไม่ดี... จึงรีบเอาผ้าให้จีจี้กัดแล้วมัดปิดปากจนเธออ่อนแรงลง จากนั้นก็รีบไปที่ถนนคนเดินเพื่อตามหาลีโล่ในทันที
สปาร์คกี้เล่าจนจบ ทำเอาลีโล่ใจเสีย... นึกไม่ถึงว่าคนที่ญาติของเมอร์เทิลคบหาอยู่ตั้งใจจะลองของกับชีวิตทดลองจนถึงขั้นต้องฆ่าแกงกันเหมือนผักปลาเช่นนี้
และแล้ว... จัมบ้าก็ก้าวเท้าออกมาจากยาน
"คุณจัมบ้า! จีจี้เป็นไงบ้างคะ!?" ลีโล่ถามอาการจีจี้ด้วยความเป็นห่วง
"จัมบ้าตรวจพบเซรั่มชนิดหนึ่งอยู่ในร่างกาย เป็นเซรั่มที่มีฤทธิ์ทำให้โมเลกุลในร่างกายเกิดการแปรปรวนเหมือนที่เจ้า 626 เคยเป็นมา พูดง่าย ๆ ก็คือ... เจ้า 007 ถูกวางยาไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้จัมบ้าให้ยาสลายพิษและนำเข้าเครื่องชาร์จพลังงานเป็นที่เรียบร้อย หวังว่าเซรั่มจะหมดและโมเลกุลจะกลับมาคงที่ดังเดิมในอีกวันสองวัน" จัมบ้าเผยผลวินิจฉัยให้ลีโล่รับทราบ
"ทำไมถึงต้องวันสองวันคะ!?" ลีโล่ถามต่อ กลัวว่าเมอร์เทิลจะตามหาจนทั่วเมืองแล้วไม่พบตัว ประกาศหมาหายจะมาเยือน
"เพราะยาที่จัมบ้าให้ทานอย่างเร่งด่วน ถึงมันจะสลายพิษได้ก็จริง แต่ก็ต้องสู้กับพิษเซรั่มที่พร้อมทำลายโมเลกุลในร่างกายให้เกิดการลัดวงจรได้ทุกเมื่อ ซึ่งมันต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับปริมาณเซรั่มที่เจ้า 007 ได้รับ เป็นความโชคดีที่ปริมาณเซรั่มในร่างกายมีไม่มากและถูกพามาตรวจอาการในทันท่วงที อาการจึงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่น่ากังวลตรงพิษเซรั่มมากกว่า" จัมบ้าอธิบาย
"เซรั่มมันอันตรายแค่ไหนครับ!?" รูเบ็นถาม
"เซรั่มที่เจ้า 007 ได้รับ เป็นเซรั่มที่ถูกปรุงขึ้นมาเพื่อทรมาน อย่างที่เจ้า 221 กับ 319 เห็นอาการป่วยที่เจ้า 007 แสดงออกมาเป็นระยะ ๆ นั่นแหละคืออาการทรมาน และเจ้า 007 เป็นหนึ่งในชีวิตทดลองที่มีโมเลกุลในร่างกายน้อยกว่าเพื่อน จึงไม่แปลก... ที่เซรั่มจะแสดงผลได้รวดเร็วแต่ไม่ทันทีเช่นนี้" จัมบ้าตอบ แต่แล้วก็หัวร้อนในทันทีที่รู้ว่ามีคนวางยาจีจี้ "นึกไม่ถึงเลย... ว่าจะมีใครหน้าไหนมาลอบกัดผลงานอัจฉริยะชั่วร้ายอย่างฉันได้"
"ที่จัมบ้าบอกว่า... สติทช์เคยป่วยแบบที่จีจี้ป่วย มันหมายความว่าไง" สปาร์คกี้สงสัย
"อ้อว์! พวกนายคงไม่รู้... ว่าตอนที่จัมบ้าสร้างเจ้าสติทช์เสร็จไปหมาด ๆ ทางสหพันธ์บุกเข้าจับตัวจัมบ้าตอนที่ยังชาร์จไฟให้โมเลกุลร่างกายสติทช์คงที่ สติทช์ถึงได้ป่วยจนชักกระตุกอย่างที่จีจี้ป่วยนี่ไงล่ะ" พรีคลีย์ตอบข้อสงสัยก่อนที่จะตัดบทข้ามเรื่องเฉียดตายไม่ให้ลีโล่จิตตกอีกครั้ง "แต่เขาก็รอด หมาน้อยของยัยหนูนิสัยเสียคนนั้นก็ต้องรอดเช่นกัน"
"จริงด้วย! ถ้าจีจี้หายดีเมื่อไหร่นะ ต้องจัดโปรแกรม EARWAX ให้เธอกับเมอร์เทิลสักหน่อยแล้วล่ะ" สไปค์ออกความเห็น ด้วยความคิดที่ว่า... จีจี้กับสติทช์จะช่วยเป็นกาวใจปรับเปลี่ยนทัศนคติของเมอร์เทิลให้เป็นเพื่อนลีโล่ในอีกมิช้า
"ยัยแว่นหัวทึบนั่นเกลียดลีโล่จะตาย คิดเหรอว่าจะเชื่อเรื่องที่จีจี้เป็นชีวิตทดลองจริง ๆ แม้แต่สติทช์ที่เป็นหมาของลีโล่ยังถูกมองเป็นสัตว์ประหลาดเลย" รูเบ็นเบรคความคิดของเจ้าเม่นนักกอดขึ้นมาฉับพลัน ทำเอาสไปค์หน้าสลด... รู้ดีว่าเมอร์เทิลไม่เชื่อเรื่องสิ่งมีชีวิตต่างดาวเป็นอันแน่แท้
"คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ยัยนั่นจะได้บทเรียนด้วยตัวเองสักที... ว่าไม่ควรดูถูกเพื่อนเพียงเพราะแตกต่าง" สติทช์พูดเสียงอ่อนประหนึ่งคนปลงตก ไม่แน่ใจว่าเวลาที่เมอร์เทิลจะเปลี่ยนความคิดนั้นจะมาถึงในเวลาไหน หากเมอร์เทิลยังเห็นจีจี้เป็นถ้วยรางวัลหมาน่ารักที่ใช้ข่มลีโล่อยู่แบบนี้
"แล้วนี่... มีข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนที่ชื่อแอนดรูว์กับชีวิตทดลองตัวร้ายที่ชื่อสตีลบ้างคะ" ลีโล่ถามถึงคนที่มาคุกคามจีจี้ หวังว่าจะเป็นหลักฐานที่จะช่วยเมอร์เทิลกับเจสสิก้าถอนตัวออกมาก่อนที่จะมีเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่าการวางยามาเยือน
"คุณค็อบบร้ายังไม่ติดต่อมาเลย ก็ต้องเข้าใจหน่อยนะยัยหนู... ว่าคนที่แฝงตัวจนกลมกลืนกับมนุษย์มานาน มักทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีประวัติน่าเชื่อถือบนดาวดวงนี้ ส่วนเจ้าหมาสตีลที่เจ้า 007 ระบุรูปลักษณ์มา... จัมบ้าว่ามันเป็นชีวิตทดลองที่ถูกเพื่อนใหม่ของญาติยัยหนูนิสัยเสียสั่งซื้อมาในราคาที่สูงลิ่วก็ว่าได้" จัมบ้าให้ข้อมูลเท่าที่คิดว่าจะไม่กระตุ้นความอยากรู้ของลีโล่ไปมากกว่าที่ร้อนรนต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วนอยู่
"ชีวิตทดลอง... สามารถซื้อขายกันได้ด้วยรึ!?" สติทช์เอ่ยปากถามด้วยความตกตะลึง รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างรู้สัญชาตญาณดี... ว่าคำตอบที่จะได้รับนั้นต้องเกี่ยวข้องกับโปรแกรมทำลายล้างโดยมิต้องสงสัย
"ตอบได้คำเดียวว่า... ได้ แต่เป็นเพราะอะไรนั้น... จัมบ้าไม่ขออธิบายมากกว่านี้ จนกว่ายัยหนูโตพอที่จะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เอาเวลาไปคิดหาคำแก้ตัวกับยัยหนูนิสัยเสียจะดีกว่ามั้ย... ถ้าเกิดถามหาเจ้า 007 ขึ้นมา" จัมบ้าตัดบทให้ลีโล่สนใจเรื่องเมอร์เทิลในทันที แน่นอนว่าสติทช์กับผองเพื่อนชีวิตทดลองก็เห็นด้วย แม้รู้ว่าลีโล่ต้องรู้จนถึงที่สุดก็ตาม
ลีโล่เห็นสีหน้าของสติทช์ จัมบ้า พรีคลีย์ และผองเพื่อนสัตว์ทดลองมองมาด้วยความเป็นห่วงและจริงจัง จึงทำได้แค่ถอนหายใจก่อนตอบตกลงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
"ก็ได้ค่ะ หนูลืมเรื่องนี้ซะสนิทเลย เดี๋ยวหนูกับสติทช์ขอตัวไประดมสมองก่อนนะคะ" ลีโล่พูดจบแล้วพาสติทช์กลับเข้าบ้านในทันที เหลือแค่รูเบ็น สปาร์คกี้ และสไปค์ที่เตรียมแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง โดยเฉพาะสปาร์คกี้ที่ต้องเช็คเครื่องปั่นไฟที่ใช้ส่องแสงจากประภาคารอย่างสม่ำเสมอ จึงแปลงกายเป็นกระแสไฟฟ้าบินไปจากบ้านเพเลไคเป็นคนแรก ต่อมาก็เป็นรูเบ็นกับสไปค์ที่เซย์อะโลฮ่ากับจัมบ้าก่อนออกไป
เหลือแค่จัมบ้าที่ต้องนอนเฝ้ายานเพื่อดูอาการของจีจี้อย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจดูความคืบหน้าของอาการป่วยที่ได้รับการเยียวยาอย่างเต็มที่
เส้นสายของแฮมสเตอร์วิลล์ชักร้ายกาจเกินกว่าที่เด็กตัวเล็กอย่างลีโล่จะรับมือได้เสียแล้วสิ
------------------------------------------------------------------------
พูดถึงเส้นใยบาง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่าง "เด็กหญิงมาดผู้ดี" กับ "น้องหมาจำแลงผู้น่ารัก" มักนึกถึงการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันเป็นอันดับแรก
เพราะเนื้อแท้ของเมอร์เทิลไม่ได้เลวร้ายเสมอไป เธอเห็นจีจี้เป็นเพื่อนซี้สี่ขาที่เธอรักมาก จึงมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดว่าดีที่สุดให้เธอ ไม่ว่าจะเป็นชุดหมาน่ารักที่เข้ากันกับความเป็นผู้หญิงสูง อาหารหมาชั้นดี หรือไม่ก็พาเธอเข้าสู่สังคมหมาที่ร้านเสริมสวยสุนัขในเมือง ซึ่งแน่นอนว่าจีจี้รู้สึกดี... ที่ชีวิตมะหมาบนดาวโลกแลดูวุ่นวายดี
แต่บางที... เมอร์เทิลอาจรักจีจี้มากเกินจนลืมฟังเสียงจากใจโดยไม่รู้ตัว ยิ่งรักมาก จีจี้ก็รู้สึกว่าตัวเองมีดีแค่ทำตัวน่ารักมาข่มสติทช์ของลีโล่เพื่อกลบเกลื่อนความไม่มั่นใจในตัวเอง จีจี้จึงยอมดื้อกับเมอร์เทิลแค่เรื่องเดียว
เรื่องลีโล่
เมอร์เทิลหัวเด็ดตีนขาด... จะไม่มีวันเป็นเพื่อนกับลีโล่ ถึงแม้ว่าสติทช์ช่วยชีวิตจีจี้จนพ้นจากเงื้อมมือแกนตูจนสำนึกบุญคุณยอมมอบถ้วยรางวัลหมาดีเด่นจากงานประกวด เพราะคิดว่าการลดตัวเป็นเพื่อนกับคนแปลกประหลาด... เป็นการประกาศตนเป็นนางขี้แพ้ในสายตาลีโล่และเพื่อน ๆ แต่จีจี้ไม่บ้าจี้ตามเหมือนสามสาวลูกไล่ว่าใช่... จีจี้มองเห็นลีโล่เป็นเด็กผู้หญิงที่เข้ากันกับชีวิตทดลองแทบทุกตัว จึงพยายามเป็นกาวใจให้เมอร์เทิลมองลีโล่ใหม่สักครั้ง
แต่ติดตรงที่จีจี้แสดงตัวให้เมอร์เทิลรู้ความจริงเรื่องชีวิตทดลองไม่ได้ เมอร์เทิลจึงหลงผิด... เชื่อคำเจสสิก้าโดยไม่รู้ว่ากำลังชักศึกเข้าบ้านไม่รู้ตัว ยิ่งเห็นจีจี้ตีตัวออกห่างหมาสตีลของแอนดรูว์จนแทบออกนอกหน้า... ทำให้เมอร์เทิลเข้าใจว่าจีจี้แข็งข้อมากขึ้นทุกวัน ๆ
แม้ตอนนี้กาลเวลาเข้าสู่ยามราตรี ยังไม่เห็นเงาเจ้าหมาชิสุเพื่อนรักมาให้เธอเห็นแม้แต่น้อย
"นี่ถึงขั้นออกไปค้างคืนประชดฉันเลยเหรอเนี่ย" เมอร์เทิลบ่นในทันทีที่มองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนชั้นสองของบ้าน จากนั้นก็เดินกลับมานอนกอดตุ๊กตาตัวน้อยอยู่บนเตียง "เมืองเล็กแค่นี้... จะไปไหนได้เล่า"
เธอได้แต่นอนนึกถึงพฤติกรรมของจีจี้มาตลอด จำได้ว่าจีจี้เป็นหมาที่ดีที่ทำให้เธอรู้สึกว่า... อย่างน้อยยังมีเพื่อนที่รับฟังความในใจโดยมิมีการขัดคอให้เสียอารมณ์ แม้บางครั้งมีฮึ่มแฮ่กัน... หากระบายเรื่องลีโล่กับสติทช์ในเชิงลบ
เธอคิดเพียงแค่... จีจี้หาทางกลับบ้านเองได้ คงจะได้เห็นหน้ากันในเช้าวันพรุ่งนี้ก่อนไปโรงเรียน
เธอหวังว่าอย่างนั้น
ç=================è
ความคิดเห็น