ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : SCHOOL : CHAPTER9
CHAPTER8
ผมยืนนิ่งมองแบคฮยอนอยู่อย่างนั้น ในขณะที่ร่างบางกำลังร้องขอชีวิตอย่างเอาเป็นเอาตาย
แววตาคู่นั้นไม่ได้มีความรู้สึกเกลียดชังผมเลยแม้แต่น้อย มันมีแต่ความผิดหวังเต็มไปหมด
หยดน้ำตาใสไหลลงมาจากดวงตาคู่สวยไม่ขาดสาย มือทั้งสองข้างที่เกาะพื้นอยู่เริ่มสั่น
“ไค…” แบคฮยอนยังไม่ละความพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมผม
“ได้โปรดอย่ามองฉันแบบนั้นแบคฮยอน”
ผมหลบสายตานั้นครั้งแล้วครั้งเล่าแต่มันก็ยังตามมาหลอกหลอนอยู่ดี
ถ้าให้แบคฮยอนด่าผมว่าเลวมันก็คงจะดีกว่านี้ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมไม่ต้องการฆ่าเขา
มือเล็กเกร็งและสั่นจนแทบไม่มีแรง ดูเหมือนความอดทนของกล้ามเนื้อแบคฮยอนจะมาถึงขีดสุด
เมื่อใช้เวลาห้อยโหนนานเกินไปกล้ามเนื้อก็เริ่มอ่อนแรงตามน้ำหนักที่ถ่วงอยู่ มือข้างหนึ่งของแบคฮยอนได้ตกลงลงข้างตัว
ยังเหลือมืออีกข้างที่เปรียบเป็นด้ายเส้นสุดท้ายของชีวิต เมื่อมันขาดลง ก็จะจบ…
“ไค…”
“ถึงแม้ว่าฉันจะเพิ่งเจอกับนายวันนี้วันแรก แต่ฉันถูกชะตากับนายมากนะ”
“ฉันไม่รู้ว่านายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แต่ไคที่ฉันรู้จักเมื่อเช้าไม่ใช่แบบนี้”
“….”
“เรื่องนี้ฉันจะไม่โกรธนาย นายคงจะมีเหตุผลจำเป็นจริงๆ”
“ฉัน…”
“หยุดพูดได้แล้ว!” ผมตวาดใส่ร่างบาง ผมไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ยิ่งพูดผมก็ยิ่งไขว้เขว่
ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้สักนิด แต่ผมมีทางเลือกที่ไหนกันล่ะ ใครๆก็ต้องรักตัวเอง รักชีวิตัวเอง
แต่กับแบคฮยอน ผมเพิ่งจะรู้จัก เพิ่งจะเป็นเพื่อนกันวันแรก เราไม่มีอะไรผูกพันกันเลย
แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องไว้ชีวิตเขาไว้ล่ะ ถ้าระหว่างชีวิตตัวเองกับเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกัน
ใครๆก็ต้องทำแบบนี้ทั้งนั้น จะว่าผมไม่ได้หรอก ต้องโทษเรื่องสยองขวัญบ้าๆนี่มากกว่า
หยดน้ำใสไหลออกมาจากดวงตาไม่ขาดสาย มือสุดท้ายเริ่มจะหมดแรงลง
ผมคงจะยืนดูอยู่นิ่งๆเท่านั้นถ้าหากไม่มีเสียงฝีเท้าใครบางคนกำลังวิ่งขึ้นมาก่อน
หันกลับไปมองแบคฮยอนสลับกับบันได ถ้าเกิดว่าคนที่วิ่งขึ้นมาเป็นชานยอลล่ะ!?
ถ้าชานยอลรู้ว่าแฟนตัวเองกำลังจะตายเพราะผม มันจะไม่ทำกับผมแบบเฮียคริสเหรอ
คิดแล้วความกลัวก็แวบเข้ามาในโสตประสาท ผมมันใจเสาะเกินไป แบคฮยอนยังตายตอนนี้ไม่ได้!
ผมเข้าประชิดตัวร่างเล็กก่อนจะก้มลงกระซิบอย่างเร่งรีบ
“แบคฮยอน ฉันจะถามนายเป็นครั้งสุดท้าย”
“…” ร่างบางกลั้นเสียงสะอื้นเพื่อฟังผม
“ถ้าฉันช่วยชีวิตนายครั้งนี้ นายจะเอาเรื่องนี้ไปบอกใครไหม!”
“ไม่! ฉันไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่ ฉันสัญญาฉันจะไม่บอกใคร”
แบคฮยอนตอบทันทีโดยไม่คิด ผมก็พอจะเดาคำตอบได้อยู่หรอก คนเรากำลังจะตายซะอย่าง
ใครมีข้อเสนอมาก็ต้องรีบรับไว้อยู่แล้วโดยที่ไม่คิดหน้าคิดหลังว่าตัวเองจะทำตามที่บอกได้ไหม
“งั้นก็ดี จำคำของนายไว้ ฉันไม่รับประกันชีวิตของนายต่อจากนี้หากนายผิดคำพูด”
ผมเอื้อมมือหนาไปคว้าตัวแบคฮยอนขึ้นมารวดเร็ว ตรงกับจังหวะที่บุคคลที่สามเดินขึ้นมาพอดี
“ชานยอล!” ร่างบางตะโกนข้ามไหล่ผมไปจนผมต้องมองตาม
เป็นไปตามที่คาด คนที่วิ่งขึ้นมาคือชานยอลจริงๆด้วย แบคฮยอนวิ่งไปสวมกอดแฟนตัวเองด้วยความกลัว
“ฟื้นตอนไหนเนี่ย แล้วร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรนาย” ร่างสูงลูบหัวแบคฮยอนเบาๆเพื่อปลอบ
ร่างบางสะอื้นตัวโยนก่อนจะผละอ้อมกอดออกมา สายตาที่มองมายังผมมันคือความเกรงกลัว
“ป..เปล่า ฉันคิดถึงบ้านน่ะ”
คนพูดเช็ดน้ำตาตัวเองลวกๆก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชานยอลมองการกระทำนั้นอย่างงงๆเล็กน้อย ผมทำเป็นกระแอมเบาๆเพื่อเรียกสถานการณ์
“เกิดอะไรขึ้น คนอื่นไปไหนกันหมด” ผมเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาที่ดูเหมือนจะเริ่มเอี่ยวมาทางผมเรื่อยๆ
ร่างสูงได้ยินผมพูดก็หน้าขึ้นสีทันที “มินซอกโดนมีดแทง ตอนนี้ลู่หานกับเซฮุนกำลังพาออกไปจากที่นี่”
“…” ผมไม่ได้ตอบอะไร มองไปยังแบคฮยอนที่ตอนนี้หลบหลังชานยอลไม่ยอมสบตาผม
“แล้วคยองซู?”
“นั่นแหละตัวสำคัญ หมอนั่นมีแผนอะไรอยู่แน่ๆ” ชานยอลขบฟันแน่นเมื่อนึกย้อนไปก่อนหน้านี้
“หมายความว่าไง?”
“ดูเหมือนกับว่าคยองซูไม่ใช่พวกเดียวกับเรา หมอนั่นหลอกพวกเรา!”
“…” ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป กำลังครุ่นคิดตามที่ร่างสูงบอก
หมายความว่าคยองซูกำลังคิดจะทำอะไรงั้นเหรอ?
“ฉันว่าเรื่องนี้มันชักจะยังไงๆแล้วล่ะ เราไม่ควรเข้ามายุ่งเรื่องนี้ตั้งแต่แรก”
ชานยอลพูดพลางกุมมือร่างเล็กไว้แน่นราวกับไม่ต้องการให้ออกห่างไปไหนอีก
ร่างสูงยังคงมองไม่เห็นร่างอีกร่างที่จมกองเลือดอยู่หน้าลิฟท์ อาจเป็นเพราะกำลังหันหลังให้อยู่
ผิดกับแบคฮยอนที่เห็นเต็มๆตาไปเมื่อครู่ ร่างบางหน้าซีดน้ำตาคลอเบ้า มองผมสลับกับเฮียคริสไปมา
“อย่าเพิ่งใจเสียชานยอล พ่อเฮียคริสและพวกตำรวจกำลังจะมาที่นี่”
ผมพูดเสียงเรียบ ทอดสายตาไปยังร่างไร้วิญญาณของเฮียคริส ชานยอลได้ฟังก็ชะงักค้างทันที
ท่าทีของร่างสูงทำให้ผมแปลกใจนิดหน่อย ทั้งๆที่ผมบอกข่าวดีไปแล้วแท้ๆ
แต่ทำไมกริยาที่ตอบกลับมามันกลายเป็นตกใจแทน ราวกับผมพูดอะไรผิดร้ายแรงอย่างงั้น
“ม..เมื่อกี้นายว่าไงนะ พ่อเฮียคริสกำลังมางั้นเหรอ!”
“ใช่ เฮียคริสโทรหาพ่อเมื่อชั่วโมงที่แล้วว่าให้มาช่วย ไม่ดีใจหรือไง”
ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจกับประโยคที่พูดมากนัก แต่มันกลับยิ่งทำให้ชานยอลและแบคฮยอนช็อคค้างกว่าเดิม
ร่างสูงหันไปมองข้างหลังแล้วร้องลั่น ผมคาดว่าคงจะเห็นเฮียคริสแล้วแน่ๆ
แต่เขากลับไม่ถามอะไรออกมา ไม่ถามถึงสาเหตุการตายอะไรทั้งนั้น
“มีอะไรกันเหรอ” ผมถามออกไปตรงๆเมื่อทั้งคู่สบตากันและลอบกลืนน้ำลาย
“ไค..นายคงยังไม่รู้สินะ”
“?”
“ว่าพ่อของเฮียคริสเสียชีวิตไปเมื่อเดือนที่แล้ว”
“!!!”
ราวกับน้ำเย็นราดใส่หน้าผม ทั้งตัวผมตอนนี้มันชาไปหมดเพราะประโยคๆเดียวที่ชานยอลพูดมา
เมื่อ..เมื่อกี้เขาว่ายังไงนะ ผมไม่ได้ฟังผิดไปเองใช่ไหม…พ่อเฮียคริสตายไปแล้ว
“ฉันว่าเราออกไปจากที่นี่กันเถอะนะ ฉ..ฉันกลัว”
แบคฮยอนลูบแขนตัวเองไปมาพลางทอดสายตามองรอบๆ ยิ่งไปสะดุดกับร่างเฮียคริสเข้า ร่างบางก็ยิ่งกลัว
“เราจะไม่หาเพชรกันแล้วใช่ไหม?” ผมถามเพื่อความแน่ใจ ทั้งทีความจริงแล้วก็ไม่ได้อยากหามันตั้งแต่แรก
“ไม่ล่ะ ใครจะตายยังไงก็ช่าง แต่พวกเราจะออกไปจากที่นี่..ให้เร็วที่สุด!” ชานยอลเน้นเสียง
“แต่คยองซูเคยพูดว่าห้ามหนีออกไป..”
“นี่ยังจะเชื่อมันอยู่อีกเหรอไง ดูก็รู้ว่ามันหลอกเรา!” ร่างสูงเผลอตะคอกใส่แบคฮยอนที่พูดแย้ง
เมื่อเพิ่งรู้ตัวเองว่าได้ทำอะไรลงไปก็อารมณ์อ่อนทันทีเพราะแฟนตัวเองกำลังกลัวจนตัวสั่น
“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจตะคอก”
“จะยืนนิ่งกันอีกนานไหม ลิฟท์มาแล้ว” ผมแทรกประโยคทั้งคู่ก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟท์รอ
ร่างสูงยืนมองอย่างลังเลไม่ยอมก้าวขาเข้ามาจนผมเริ่มหงุดหงิด
“ทำไมเราไม่วิ่งลงบันไดล่ะ มันจะปลอดภัยกว่านะ”
แบคฮยอนช่วยแนะนำ ชานยอลเองก็พยักหน้าเอออตามไปด้วย แต่ผมรีบส่ายหน้ารัว
เพราะอดีตที่น่ากลัวมันย้อนมาเตือนความจำผมน่ะสิ ผมจะไม่มีวันลืมลวดหนามที่ขั้นบันไดไว้แน่!
“เชื่อฉันเถอะ ฉันเคยพลาดนาทีเฉียดตายเพราะวิ่งลงบันไดมาแล้ว”
สิ้นคำพูดของผมทั้งสองคนรีบก้าวเข้ามาในลิฟท์อย่างไม่ลังเล ผิดกับเมื่อครู่
ผมกดชั้นหนึ่งเมื่อกระตูปิดเข้าหากันสนิท
แต่มันมีอะไรผิดแปลกไป…
ผมกดแค่ชั้นหนึ่ง แต่ปุ่มลิฟท์มันกลับติดทุกชั้น!!
“!!!”
“ค..ไค” ชานยอลถอยกรูดจนแผ่นหลังติดผนังลิฟท์เมื่อเห็นปุ้มลิฟท์กดได้เองตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นแปด
“ฮือออ” แบคฮยอนเกาะแขนร่างสูงแน่นด้วยความกลัว ผมที่ทำอะไรไม่ถูกตอนนี้ก็ได้แต่ยืนนิ่ง
“ฮืออ ชานยอลเราจะเป็นอะไรไหม” ร่างบางร้องไห้ฟูมฟาย
“ใจเย็นๆนะ เราต้องออกไปได้ เราต้องไม่เป็นอะไร” ชานยอลลูบหัวคนตัวเล็กให้ใจเย็นลงแต่ตัวเองกลับไม่เป็นอย่างที่พูด
ร่างสูงยืนกระวนกระวาย ระแวงรอบๆตัวไปเสียทุกอย่าง
ผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องอยู่ติดกับทั้งคู่ไว้เพื่อคลายความกลัว มันมาไวเกินไป ผมตั้งรับไม่ไหวจริงๆ!
“เอาอย่างนี้นะพวกนาย เมื่อลิฟท์เปิดอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นชั้นไหนก็ตาม
ให้พวกนายรีบวิ่งออกไปและหาทางลงบันไดมาชั้นล่างให้ได้ เข้าใจไหม” เป็นชานยอลที่พูดกับเราสองคน
“แล้วนายล่ะชานยอล” แบคฮยอนถามกลับ
“ฉันจะคอยกดประตูลิฟท์ค้างไว้ให้แล้วจะวิ่งตามพวกนายออกไป”
“แต่…”
“ไม่มีแต่ ประตูลิฟท์เปิดแล้ว รีบวิ่งออกไปเร็ว!”
ชานยอลผลักแบคฮยอนออกไป ผมรีบวิ่งตามออกมาอย่างหวุดหวิด
แต่คนที่ผลักร่างบางออกมากลับไม่ได้วิ่งตามมาด้วย
“ชานยอล!”
ร่างสูงกำลังจะวิ่งตามพวกเราออกมาแต่ประตูลิฟท์ได้ปิดลงกะทันหันจนชานยอลหดตัวกลับแทบไม่ทัน
“ชานยอล ฮืออ”
แบคฮยอนตะโกนลั่นเมื่อเห็นตัวเลขชั้นลิฟท์ได้เลื่อนลงไปแล้ว นั่นหมายความว่าร่างสูงมากับพวกเราไม่ได้
ร่างบางสะอื้นหนักน่วง พยายามถอยออกห่างผมให้ได้มากที่สุดราวกับผมเป็นตัวน่ารังเกียจอย่างงั้น
“จะหนีฉันทำไมเล่า” ผมตรงเข้าไปกระชากแขนแบคฮยอนให้เข้ามาใกล้
“ฉ..ฉันกลัวนายทำอะไร”
“ฉันไม่ทำอะไรตอนนี้หรอกน่า เราอยู่กันแค่สองคน ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมาฉันก็ต้องอยู่คนเดียวน่ะสิ”
ผมพูดเฉไฉ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงสักเท่าไร ความจริงแล้วผมยังไม่อยากฆ่าร่างบางต่างหาก
ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันเป็นทางออกที่ถูกต้องแล้วเหรอ?
ถ้าผมฆ่าแบคฮยอนตอนนี้ ผมก็ต้องตามฆ่าอีกไม่กี่คนที่เหลือ
แล้วกว่าผมจะตามฆ่าได้หมด ตอนนั้นผมจะยังมีชีวิตรอดอยู่ไหม?
ผมคิดว่าการปล่อยอะไรๆไว้อย่างนี้มันจะยังดีกว่า ผมจะไม่ฆ่าแบคฮยอนหากไม่จำเป็นจริงๆ
ผมจะไม่ทิ้งเขาไปไหนหากมันไมมีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้นซะก่อน แต่ถ้าตราบใดที่หมดหนทางจริงๆ ผมก็จะฆ่า
แบคฮยอนไม่พูดอะไรต่อจากนั้น ร่างบางดูผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
แต่ก็ยังรักษาระยะห่างระหว่างผมกับเขาไว้ตลอดเวลาที่เดินด้วยกัน
ชั้นนี้เป็นชั้นแปด ใช่ ผมจำได้ดี ความมืดมิดยังคงมีเหมือนเดิม
มีเพียงไฟจากห้องสมุดเท่านั้นที่ทำให้เรามองเห็นทาง
ผมกับแบคฮยอนจำเป็นจะต้องเดินตรงไปลึกสุดของชั้น เพราะบันไดอยู่ทางนั้น
และแน่นอนว่าเราต้องเดินผ่านห้องสมุด…
“แบคฮยอน นายเคยขึ้นมาชั้นนี้หรือเปล่า” ผมใช้โอกาสตอนเราเดินถามไปด้วย
อย่างที่เคยบอก ผมไม่ชอบความเงียบ เวลาอยู่ในที่แบบนี้กับใครอีกคน ผมต้องชวนคุยทุกครั้ง
“ไม่” ถามคำตอบคำ ร่างบางไม่แม้แต่จะหันมามองผมด้วยซ้ำ
ผมถอนหายใจเบาๆและเดินต่อไป ยอมรับว่ารู้สึกกลัวมากจริงๆ
ตั้งแต่ออกมาจากลิฟท์ ผมรู้สึกถึงฝีเท้าตามหลังตลอดเวลา
แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะหันหลังกลับไป ไม่อยากเจอในสิ่งที่ไม่ควร…
เมื่อเราสองคนเดินเข้ามาใกล้บริเวณห้องสมุด ผมฉุกคิดได้ทันที ภาพนั้นผมยังจำได้ดี
หญิงสาวผมยาวบนคาน!!
ผมจำสายตาที่เธอมองมาได้แม่น จะไม่มีการเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอีกแน่
“อ๊ะ” แบคฮยอนอุทานขึ้นเมื่อมีน้ำอะไรบางอย่างหยดลงมาจากข้างบน
ของผมก็เช่นกัน มันเป็นน้ำที่มีกลิ่นแรงมาก แบคยอนทำทีจะเงยหน้าขึ้นไปมอง
แต่ผมรีบกดหัวเล็กให้ก้มลงจนชิดอก ร่างบางมองหน้าผมงงๆ
“อย่า คิด เงย หน้า ขึ้น ไป มอง” ผมเน้นประโยคที่ละคำเสียงดังฟังชัด
“?”
“แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน” พูดเสร็จผมก็ลากข้อมือแบคฮยอนให้หลุดพ้นจากตรงนั้นมาทันที
เราสองคนเดินมาถึงหน้าห้องสมุดจนได้ เป็นไปตามคาด จงแดยังนอนไม่ได้สติอยู่ในห้อง
ผมคว้าตัวร่างบางให้วิ่งออกห่างอย่างรวดเร็ว แบคฮยอนพูดอู้อี้เมื่อผมเอามือปิดปากไว้
“อ๊อยยย” (ปล่อย)
“ไม่ปล่อยจนกว่านายจะสัญญาว่าจะไม่วิ่งเข้าไปใกล้ห้องสมุด”
“อั๋นอา” (สัญญา)
ผมปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระเมื่อพ้นตรงนั้นมาได้ เราต้องเดินผ่านอีกแค่ไม่กี่ห้องเท่านั้น ก็จะถึงบันได
“จงแด เขายังอยู่ในนั้น นายไม่เห็นหรือไง!”
“เห็น แต่ช่วยเขาไม่ได้”
“ทำไม!”
“เราเข้าไปใกล้ห้องสมุดนั้นไม่ได้เข้าใจไหม เลิกถามมากและวิ่งไปบันไดได้แล้ว”
ผมฉุดแขนแบคฮยอนให้วิ่งตามแต่เจ้าตัวกลับยื้อไว้และสะบัดทิ้ง
“ฉันจะช่วยเพื่อน ฉันไม่ได้เห็นแก่ตัวเหมือนนายสักหน่อย”
คำพูดที่แข็งข้อของเขาทำให้ผมเลือดขึ้นหน้าทันที
ผมบีบแขนแบคฮยอนแน่น ทำให้เหมือนกับที่ออกแรงบีบคอเฮียคริส ร่างบางร้องโอดโอยเสียงหลง
“อย่าลืมว่าฉันจะฆ่านายตอนไหนก็ได้แบคฮยอน อย่ามาขัดคำสั่งฉันนะ”
“…” คนฟังขบริมฝีปากแน่นจนมันห้อเลือด ทำได้เพียงยอมผมเท่านั้น
กึก ๆ
“…” เสียงกึกกักแปลกๆดังขึ้นไกลๆจนผมต้องมองรอบๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด หงุดหงิดคนข้างๆที่เอาแต่ทำตัวพยศ นี่ผมต้องขู่เขากี่ครั้งถึงจะกลัวกัน?
“นายอยากรู้ไหมแบคฮยอน ว่าทำไมฉันต้องฆ่านายและคนอื่นๆ”
“?” คำถามที่น่าสนใจของผมทำให้ร่างบางเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย
“เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่ฉันวิ่งไปแตะประตูห้องสมุดแล้วอยู่ดีดีภาพแปลกๆก็แวบขึ้นมาในหัว”
“…” แบคฮยอนยืนเงียบตั้งใจฟังผม
กึก ๆ
“หนึ่งในภาพที่ฉันเห็นมันมีภาพหนึ่ง ถูกเขียนด้วยน้ำหมึกสีแดงที่ฉันคาดว่าเป็นเลือด…”
“เนื้อความมันหมายถึงว่าให้ฆ่าทุกคนที่ยังเหลืออยู่ แล้วคนคนนั้นจะรอด”
กึกๆ
“…”
“นายว่าข้อความนั้นมันน่าเชื่อถือได้ไหม”
ผมจ้องตาร่างบางเร่งรัดเอาคำตอบ มันดูเหมือนผมโง่เง่าที่บอกความจริงให้คนอื่นฟัง
แต่ผมเชื่อ..ว่าแบคฮยอนจะไม่มีทางฆ่าผม แบคฮยอนจิตใจดีเกินไป ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ
“นายไปเจอข้อความนั่นที่ไหน”
ร่างบางถามเสียงเรียบ ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อแบคฮยอนตอบไม่ตรงคำถาม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในภาพดูเหมือนจะถูกเขียนบนกำแพงอะไรสักอย่าง”
“…”
“ช่างมันเถอะ”
“…”
ทำไมผมถึงรู้สึก…เหมือนมีอะไรคลอเคลียอยู่บนหัว
มันไม่ใช่หยดน้ำอะไรทั้งนั้น แต่มันเบาหวิวเหมือนเส้นผม
“!!!”
‘ฮ่าๆๆๆๆ’
ไม่… นี่มันไม่ใช่เสียงหัวเราะของผม และมันก็ไม่ใช่เสียงหัวเราะของแบคฮยอนเช่นกัน
แล้ว…มันเป็นเสียงของใคร?
ผมและแบคฮยอนเงยหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
พบร่างอันซูบเซียวและขาวซีดเกาะเพดานห้อยหัวลงมาตรงเราทั้งสองคน
‘กรี๊ดดดดดดดดดดด’
ร่างนั้นส่งเสียงร้องอันโหยหวนแสบแก้วหูออกมาลั่น
ดวงตาเธอเบิกกว้างคาไว้อย่างนั้นไม่ยอมปิด
ที่สยองกว่านั้นคือเส้นผมที่เหม็นสาบของเธอห้อยลงมาคลอเคลียกับใบหน้าผมไปทั่ว
ผมรู้สึกได้ว่าเส้นผมนั้นมันไม่ได้แค่คลอเคลียใบหน้าผมอย่างเดียว
แต่มันพยายามเข้ามาในปากผมด้วย!
เส้นผมยาวสลวยถูกบังคับให้ร่อนไปมาตามแรงแกว่งของหัวข้างบนเพดาน
ผมก้มหน้าหนีเต็มที่ ท้องไส้มันเริ่มปั่นป่วนเมื่อได้กลิ่นที่น่าขยะแขยง
ของที่กินเมื่อตอนเที่ยงได้สำรอกออกมาทันทีโดยไม่ได้ตั้งใจ
“แบคฮยอน ช่วยฉันด้วย!”
ร่างบางที่ตอนนี้ได้แต่ยืนตะลึงกับภาพพี่สาวข้างบน โดยลืมคิดไปว่าตัวเองไม่ได้ถูกอะไรพันธนาการไว้เลย
“ช่วยฉันด้วย!” ผมตะโกนขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
เส้นผมบ้าๆนี่มันกำลังยึดตัวผมไว้ไม่ให้ไปไหน ผมเริ่มหายใจไม่ออกเพราะแรงรัดที่คอ
เส้นผมสีดำยาวๆกำลังรัดคอผมแรงขึ้นเรื่อยๆ มันเพิ่มแรงจนผมได้ยินเสียงกร๊อบที่คอ
“ฮ่าๆๆๆ”
“ทำอะไรสักอย่างสิแบคฮยอน!”
แบคฮยอนสะดุ้ง ยืนลนลานทำอะไรไม่ถูกอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มขวัญเสีย
ร่างบางรีบปรี่เข้ามากระชากเส้นผมที่รัดคอผมให้หลุดออกไป แต่มันก็ไม่ได้ผล
แรงที่เคยรัดคอผมอยู่ค่อยๆคลายออกจนกลายเป็นอิสระในที่สุดแต่โชคร้ายกลับไปอยู่ที่แบคฮยอนแทน
ผีร้ายเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นร่างบาง แต่ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าที่เคย
เส้นผมมากมายที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพุ่งเข้าปากแบคฮยอนทันที
!! ผม..ผมรู้สึกอยากจะอ้วกขึ้นมาอีกครั้ง
เส้นผมยาวขึ้นเรื่อยๆจนมันสามารถรัดตัวแบคฮยอนได้ทั้งหมด
“ไค..ช่วยฉันด้วย!”
“…”
ผมเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้ารัว ไม่เอา ไม่เอาเด็ดขาด!
ผมทิ้งแบคฮยอนไว้เบื้องหลังและวิ่งหนีลงบันไดด้วยความรวดเร็ว
นี่สินะที่เรียกว่าเหตุฉุกเฉิน นี่สินะที่เรียกว่าเหตุจำเป็น
ในที่สุดผมก็ฆ่าแบคฮยอนจนได้สินะ…มันเป็นการฆ่าทางอ้อม
ผมวิ่งโดยไม่คิดชีวิต ไม่สนว่าอะไรจะตามมาทั้งนั้น
ผมวิ่งลงมาเรื่อยๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถึงชั้นไหนแล้วบ้าง
จนกระทั่งเจอกับอะไรบางอย่างที่นอนขวางทางบันไดไว้อยู่
เมื่อวิ่งเข้าไปใกล้ๆผมก็ต้องตะลึง เพราะนี่คือ…ซูโฮ
ร่างนั้นเป็นเพียงศพ เพราะตามตัวเขามีแต่เลือด ไม่มีอะไรให้ฉุกคิดได้เลยว่าเขายังมีชีวิตอยู่
ผมไม่มีเวลามาสังเกตอะไรทั้งนั้น ผมทำได้เพียงข้ามร่างนั้นไป
ลวดหนามยังคงกางขวางไว้เยื้องๆ ผมกระโดดข้ามอีกครั้งและวิ่งต่อไป
“แฮ่กๆๆ” ในที่สุดผมก็มาถึงชั้นหนึ่ง
ใช่ ผมวิ่งมาถึงชั้นล่างสุดแล้ว ผมกำลังจะได้ออกไปจากที่นี่ เดินไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ผมพิงกำแพงพักเหนื่อยครู่หนึ่งเพื่อเตรียมตัวจะวิ่งออกจากประตูรั้วไป
“ไค…” เสียงทุ้มทำให้ผมต้องหันหน้าไปมอง พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่คุ้นตา
“เทา!!”
--school horror--
[Chanyeol part]
ตึง ตึง ตึง ~
เสียงที่ผมได้ยินทุกๆวันดังขึ้น ถ้าเป็นปกติผมจะไม่รู้สึกอะไรกับมันเพราะความเคยชิน
แต่ในเวลานี้ผมกลับกลัวเสียงของมันเหลือเกิน
ผมได้ยินเสียงแบคฮยอนตะโกนเรียกผมแว่วๆเมื่อลิฟท์ปิด นั่นหมายความว่าตัวเล็กเป็นห่วงผมจริงๆ
มันไม่ใช่เวลาที่จะมาซึ้งอะไรตอนนี้ เพราะเลขลิฟท์ตอนนี้กำลังไปที่ชั้นเจ็ด
ติ๊ง!
“…” ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประตูลิฟท์เปิดออกเฉยๆแล้วก็ปิดเมื่อไม่มีใครเข้ามา
ติ๊ง!
“…” ชั้นที่หกก็ไม่มีอะไรอีกเช่นเคย
ติ๊ง!
ชั้นที่ห้า…
‘ตุบ’
เสียงอะไรบางอย่างตกลงมาจากข้างบน มาหล่นตรงหน้าลิฟท์ผมพอดี
ลิฟท์กำลังจะปิดแต่ผมรีบกดปุ่มเปิดไว้และเอื้อมมือไปเก็บสิ่งนั้นมา
ของที่ว่ามันก็คือ…สร้อยเพชร
หรือนี่จะเป็นเพชรที่เราทุกคนตามหา!!
--School horror—
ความคิดเห็น