ลำดับตอนที่ #11
ตั้งค่าการอ่าน
ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ชุมนุมชาวยุทธแดนใต้
ตอนที่ 11 ชุมนุมชาวยุทธแดนใต้
ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางจวบจนสว่าง เห็นร้านน้ำชาตั้งอยู่ริมทาง จึงแวะนั่งดื่มดับกระหายสั่งอาหารบรรเทาท้อง ระหว่างที่รับประทาน จิวอวงยี้สังเกตุเห็นว่าเส้นทางสัญจรนี้มีผู้คนมาไม่ขาดสาย ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวยุทธจักร
บ้างแวะมาดื่มรับประทานร้านที่ตนเองนั่งอยู่ บ้างเดินผ่านเลยไป เส้นทางที่มุ่งไปกลับเป็นเมืองหูหนัน ต้องลอบครุ่นคิดสงสัย ‘ชาวยุทธพวกนี้ไฉนถึงเดินทางเข้าเมืองหูหนันกันมากมาย ไม่ทราบว่ามาชุมนุมกันด้วยเรื่องใด’
จึงสะกิดถามเด็กรับใช้ขึ้นว่า
“พี่ชาย ชาวยุทธพวกนี้ เหตุใดจึงเดินทางมาเมืองหูหนันกันมากมาย”
“อ้อ..ท่านทั้งสองคงมาจากต่างถิ่นกระมังจึงไม่ทราบ เอ็กเล่าเอ็งฮง (ผู้กล้าหาญเฒ่าแซ่เอ็ก) แห่งหมู่ตึกขวัญกล้า จัดงานแซยิก(วันคล้ายวันเกิด) ปีที่หกสิบของท่าน จึงส่งเทียบเชิญชาวยุทธแดนกังน่ำมาร่วมดื่มกิน คนพวกนี้คงเดินทางมาร่วมอวยพร...”
มันกล่าวเพียงเท่านี้ก็เงียบลง ส่งยิ้ม แฮะ แฮะ สีหน้าท่าทีคล้ายมีเรื่องเล่าต่ออีก จิวอวงยี้รู้ได้ในทันทีคนผู้นี้คิดขายข่าว จึงล่วงเอาเงินยื่นส่งให้ มันจึงนั่งลงกล่าวเบาๆขึ้น
“เรื่องที่ เอ็กเล่าเอ็งฮง จัดงานแซยิกเชิญเหล่าชาวยุทธมาร่วมสังสรรค์นั่นผู้น้อยได้ยินมาว่าอาจเป็นการบังหน้า เมื่อสิบวันก่อนบุตรชายท่านสองคนถูกลอบทำร้ายถึงแก่ชิวิต ฟังว่าเป็นฝีมือของพรรคมังกรทะเล เอ็กเล่าเอ็งฮงจึงเชื้อเชิญชาวยุทธแดนกังน่ำ เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ขอความเป็นธรรม”
ฮ่วมเล้งซังต้องตื่นตระหนก ไฉนคนของพรรคมังกรทะเลไปสังหารบุตรชายของเอ็กเล่าเอ็งฮงผู้นี้ได้ รีบกล่าวขึ้น
“ใช่ฟังมาผิดหรือไม่ พรรคมังกรทะเลอยู่แทบทะเลตงไฮ่(ทะเลใต้ฝั่งตะวันออก) ไม่ค่อยข้องแวะกับเรื่องราวในดินแดน ไหนเลยมีเรื่องบาดหมางกับเอ็กเล่าเอ็งฮงผู้นี้ได้”
คนรับใช้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า
“ผู้น้อยได้ยินมาเช่นนี้ ก็บอกกล่าวเช่นนี้ ส่วนเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จนั้นไม่อาจทราบได้”
พลันลุกขึ้นขอตัวอำลา
ฮ่วมเล้งซังมีท่าทีร้อนใจ ดูท่าเอ็กเล่าเอ็งฮงผู้นี้เชิญชวนชาวยุทธมามากมายคิดเอาเรื่องกับพรรคมังกรทะเลแล้ว ตอนนี้บิดามารดากับตั่วซือโจ้ว(อาจารย์ปู่ใหญ่)ล้วนไม่อยู่บ้าน หากพวกมันพากันบุกรุกพรรคเรานับว่าย่ำแย่ยิ่ง
จิวอวงยี้เคยได้ฟังเรื่องราวของผู้แซ่เอ็กจากตั่วซือแป๋มาบ้าง มันผู้นี้กลับเป็นศัตรูคู่อริกับบรรดาเหล่าซือแป๋ของตน เอ็กเล่าเอ็งฮงหรือเอ็กเป่งไจ๋ผู้นี้ มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวยุทธแดนกังน่ำ ในอดีตมันเคยรวบรวมชาวยุทธแดนกังน่ำขับไล่สามภูติกวนตั๋งจนต้องหลบหนีไปตั้งถิ่นฐานบนหุบเขาสิ้นชีพ เห็นฮ่วมเล้งซังมีท่าทีร้อนรนจึงตบหลังมือของนางเบาๆเป็นเชิงปลอบโยนกล่าวว่า
“ซังม่วย อย่าได้ร้อนใจไป ไว้เราเข้าไปในเมือง ค่อยสืบข่าวให้แน่ชัด”
ฮ่วมเล้งซังจึงสงบลงได้บ้าง แต่กระนั้นสีหน้ายังแสดงความกังวล ทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จก็เร่งรุดเดินทาง เพียงวันเศษก็บรรลุถึงเมืองหูหนัน ออกถามผู้คนสืบข่าวการจัดงานแซยิกของเอ็กเล่าเอ็งฮง ทราบว่างานจะจัดคืนนี้ที่หมู่ตึกขวัญกล้า
จิวอวงยี้หาซื้อเสื้อผ้าเสื้อผ้าบุรุษชุดใหม่สองชุด เข้าโรงเตียมแห่งหนึ่งจับจองที่พัก บอกต่อฮ่วมเล้งซังให้สวมชุดปลอมแปลงเป็นบุรุษจะสะดวกในการปะปนเข้าไปในงาน ฮ่วมเล้งซังผงกศีรษะรับ รับชุดมาถือไว้ในมือ ยังไม่ได้ลงมือผลัดเปลี่ยนแต่อย่างใด จิวอวงยี้พลันกล่าวว่า
“ซังม่วย ท่านรีบเปลี่ยนเถอะ หากชักช้าประเดี๋ยวไม่ทันงาน”
กล่าวพลางจัดแจงจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนออก ฮ่วมเล้งซังหน้าแดงวูบ รีบใช้สองมือปิดตา ลนลานกล่าวทัดทาน
“ลู่ตั่วกอ ท่านน่าไม่อายแล้ว ไฉนมาเปลี่ยนในที่นี้ ”
จิวอวงยี้งงงันครู่หนึ่ง จึงพึ่งนึกได้ ซังม่วยเข้าใจว่าตนเป็นบุรุษผู้หนึ่ง เรามาปลดเปลื้องเสื้อผ้าต่อหน้านางนับว่าไม่บังควรอย่างยิ่ง แต่เห็นนางลนลานปิดตาแนบแน่น ท่าทีไร้เดียงสาน่ารักน่าชัง อดไม่ได้ต้องกระเซ่าเย้าแหย่ตามนิสัย
แย้มยิ้มกล่าวหยอกว่า
“ไฉนไม่ได้ ข้าพเจ้าถอดออกมาแล้ว ซังม่วยท่านไม่ชมดูหน่อยหรือ”
นางพอฟังต้องแตกตื่นลนลานรีบทรุดลงนั่งยองๆ สองมือปิดตาแนบแน่นกว่าเดิมกลัวสายตาหลุดรอดพบเห็น ก้มหน้าลงกับหัวเข่าขดตัวแทบเป็นก้อนกลม ครางเสียง ฮึ...ฮือ...คล้ายทารกก่อนจะร่ำไห้ จิวอวงยี้นึกสนุกเอื้อมมือไปจับมือของนางจะดึงออก แต่นางแข็งขืนสุดแรงไม่ยอดเปิดออกได้โดยง่าย จนภายหลังจะร่ำไห้ขึ้นมาจริงๆ ร่ำร้องแต่ว่า ท่านน่าไม่อาย ท่านน่าไม่อาย จิวอวงยี้จึงหัวเราะรวนกล่าวว่า
“ซังม่วย ข้าพเจ้าล้อท่านเล่น ข้าพเจ้ายังไม่ได้ถอดออกสักชิ้นเดียว อย่าได้ร่ำไห้แล้ว”
ฮ่วมเล้งซังที่แรกยังไม่เชื่อถือไม่ยอมคลายมือออก แต่อดไม่ได้ต้องถ่างนิ้วมือแลดู เห็นปลายเท้ามันยังสวมรองเท้าทาบทับชายกางเกง นี่ย่อมแสดงว่าไม่ได้ถอดออกตามที่มันกล่าว ถอนใจอย่างโล่งอก ทราบว่าถูกหยอกล้อเปลี่ยนจากอับอายกลายเป็นขุ่นเคือง รีบลุกขึ้นผลักดันจิวอวงยี้ออกจากห้องกล่าวอย่างแง่งอน
“ลู่ตั่วกอ ท่านออกไปได้แล้ว ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ภายหลังหากท่านล้อเล่นเช่นนี้อีก ข้าพเจ้าจะไม่พูดคุยกับท่านแล้ว”
จิวอวงยี้ต้องหัวเราะ คิกคัก ออกจากห้องฮ่วมเล้งซังไปยังห้องของตนจัดแจงเปลี่ยนชุด จากนั้นลงไปนั่งรอยังชั้นล่าง พลันเหลือบแลเห็นชาวยุทธจักรผู้หนึ่งถือเทียบสีแดงอยู่ในมือกำลังจะออกจากโรงเตี้ยม ต้องฉุกคิดขึ้น’งานนี้ผู้แซ่เอ็กคิดจัดงานแซยิกบังหน้าคงรับเชิญแต่ผู้ได้เทียบ หากไม่มีเทียบเชิญยากยิ่งจะเข้าไปได้’ จึงแสร้งเป็นเมามายเดินซวนเซขวางทางไว้ พอผ่านก็แสร้งเสียหลักเซกระทบร่างมัน
คนผู้นั้นเห็นมันเป็นคนเมามายผู้หนึ่งก็ไม่ได้แยแสสนใจก้าวออกจากโรงเตี้ยม จิวอวงยี้ลอบหัวเราะ คิกคัก ในมือนางยามนี้ปรากฏเทียบเชิญใบหนึ่ง ที่แท้เมื่อครู่ตอนที่กระทบร่างคนผู้นั้นนางใช้ฝ่ามือยมทูตล้วงเอาสิ่งของออกจากร่างกายมันโดยมันไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ทรุดกายนั่งลงดื่มสุรารออยู่ชั่วครู่ เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูก้าวลงจากบันได จิวอวงยี้พอเพ่งมองค่อยทราบว่านางคือฮ่วมเล้งซังต้องลอบครุ่นคิดชมเชย’นางยามแต่งเป็นบุรุษยังดูเป็นเด็กหนุ่มน่ารักน่าชัง หากสตรีใดพบเห็น ไม่หลงใหลนับว่าแปลกประหลาดแล้ว’ จิวอวงยี้ครุ่นคิดต่อฮ่วมเล้งซังแต่ไม่ได้ครุ่นคิดถึงต่อตัวนางเอง นางยามนี้หากส่องกระจกดูก็พบบุรุษหน้ามนใสหล่อเหลาผู้หนึ่งแล้ว
ทั้งสองมุ่งหน้าสู่หมู่ตึกขวัญกล้า พอถึงเห็นด้านหน้าหมู่ตึกจัดแต่งโคมแดงเรียงรายเป็นทิวแถว มีผู้คนมากมายเดินทางมาแสดงความยินดี คนพวกนี้ล้วนเป็นชาวยุทธจักรกังน่ำแทบทั้งสิ้น ขณะผ่านประตูใหญ่คนต้อนรับกล่าวขอเทียบเชิญ จึงยื่นส่งเทียบให้ พร้อมชี้มือไปยังฮ่วมเล้งซังบอกว่าเป็นผู้ติดตาม คนต้อนรับผงกศีรษะรับกล่าวบอกว่า
“ขอทราบนามสูงส่งของเสียวเฮียบ(ผู้กล้าหาญน้อย) เพื่อลงนามเป็นที่ระลึกด้วย”
เทียบเชิญนี้ไม่ได้ระบุชื่อผู้รับไว้ เนื่องจากเอ็กเป่งไจ๋ต้องการเชิญชาวยุทธทั่วแคว้นกังน่ำ มีบ้างไม่สามารถจดจำชื่อได้เพียงไหว้วานสหายรวมแนวจัดส่ง จึงจัดเป็นเทียบเชิญไร้นามผู้รับ จิวอวงยี้ยามกระทันหันครุ่นคิดชื่อไม่ออก จึงใช่ชื่อเดิมที่บอกต่อฮ่วมเล้งซัง
“ข้าพเจ้า แซ่ลู่ นามอวงยี้”
“ที่แท้ลู่เสียวเฮียบ ได้ยินชื่อมานานนับถือเลื่อมใสอย่างยิ่ง”
จิวอวงยี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายฉงน ลอบหัวร่อครุ่นคิด ‘หมู่ตึกขวัญกล้าอบรมบ่าวทาสได้ดียิ่ง ชื่อนี้เราพึ่งตั้งได้สองวัน ท่านกลับได้ยินมานาน ไม่ทราบว่าเคยได้ยินจากที่ใด’อดแย้มยิ้มไม่ได้ พาฮ่วมเล้งซังก้าวเดินเข้าไปยังด้านใน เห็นเป็นโต๊ะจัดเลี้ยงวางบนลานกว้างหลายร้อยโต๊ะมีผู้นั่งดื่มกินนับพันคน ต้องอดแตกตื่นไม่ได้ ลอบครุ่นคิดขึ้น’เอ็กเล่าเอ็งฮงผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดา สามารถเชื้อเชิญเหล่าชาวยุทธได้มากมายขนาดนี้ มิน่าบรรดาซือแป๋จึงต้องหลบภัยไปยังเสฉวนระดมชาวมิจฉาชีพขึ้นหุบเขาเพื่อรับมือมัน วันนี้หากมีโอกาสต้องชำระแค้นให้เหล่าซือแป๋บ้างแล้ว’
คนต้อนรับภายในผู้หนึ่งเหลือบแลเห็นจิวอวงยี้ในคราบบุรุษมีบุคลิกโดดเด่นงามสง่า คาดว่าคงเป็นกงจื้อสำนักบู๊ลิ้มใดสำนักหนึ่งจึงนำพาคนทั้งสองไปนั่งยังที่อันควร จิวอวงยี้ประสานมือคารวะทักทายแก่ผู้คนที่นั่งร่วมโต๊ะตามมารยาท สายตาพลันเหลือบแลเห็นคนผู้หนึ่งเบื้องหน้าที่กำลังคารวะตอบ ต้องใจหายวาบ มันกลับเป็น กระบี่ประกายฟ้า ล้ออันเพ็ก แต่ดูท่าทางจะจดจำตนไม่ออก ต้องถอนใจอย่างโล่งอก ลอบครุ่นคิด’ดีที่มันจดจำเราไม่ออก คิดไม่ถึงจะเจอมันในที่นี้ ไม่คาดว่าสำนักบ้วนกิมเกี่ยมที่อยู่ภาคกลางก็ได้รับเชิญ ดูท่าพรรคมังกรทะเลจะเจอศึกหนักไม่น้อย’
แต่เมื่อดูโดยรอบนอกจากล้ออันเพ็กแล้วก็ไม่มีคนของสำนักบ้วนกิมเกี่ยมผู้อื่นอีก นี่ไม่แน่ว่าล้ออันเพ็กอาจถูกสหายชาวยุทธชักชวนมาโดยไม่เกี่ยวข้องกับสำนัก แต่พอมองไปยังโต๊ะกลางลานที่จัดไว้คล้ายเป็นที่นั่งแขกคนสำคัญ ต้องอุทานออกมาอย่างเสียมิได้ในที่นั้นกลับมีจิ่นง้วนตังนั่งอยู่ ดูท่าผู้ที่ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการกลับเป็นสำนักคุนลุ้นแล้ว เพราะข้างกายจิ่นง้วนตังนั่งไว้ด้วยชายวัยกลางคนอายุสี่สิบเศษแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของสำนักคุนลุ้นอย่างเห็นได้ชัด จิวอวงยี้ต้องลอบถอนใจ คนที่อยากพบพานกลับไม่พบ คนที่ไม่คิดว่าจะพบกลับได้พบ ไฉนตั่วกอเราไม่ร่วมอยู่ในที่นี้ด้วย
แขกเหลื่อเมื่อมากันพรักพร้อม นั่งดื่มรับประทานอยู่ชั่วครู่ ชายชราผมสีดอกเล้าแต่งกายภูมิฐานอายุประมาณหกสิบ ก็ก้าวออกจากตัวตึกสู่ลานจัดเลี้ยงทักทายแก่ผู้คน มันผู้นี้คือเอ็กเป่งไจ๋ เอ็กเล่าเอ็งฮงอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าแม้ยิ้มแย้มแต่มีเค้าของความเศร้าหมอง ข้างกายมันยื่นไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้อายุสี่สิบเศษ บุคลิกท่าทางดูน่าเลื่อมใสไว้หนวดเครา ทวงท่าสุขุม จิวอวงยี้นึกสงสัยจึงสะกิดกล่าวถามคนด้านข้าง
“พี่ชาย บุคคลที่ยืนด้านข้างเอ็กเล่าเอ็งฮง ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด”
ล้ออันเพ็กได้ยินจึงกล่าวตอบแทนขึ้นว่า
“น้องชายท่านนี้ ท่านไม่ทราบหรือ คนผู้นั้นคือ เล็กเลี้ยงอัน เล็กไต้เฮียบแห่งบ้านเทพกระบี่ หลายปีมานี่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่นับหน้าถือตา คาดว่าอาจเป็นผู้นำชาวยุทธแดนกังน่ำคนต่อไป”
มันพอกล่าวสีหน้าแสดงความภาคภูมิใจ คล้ายท่านไม่รู้แต่เรารู้ จิวอวงยี้นึกหมั่นไส้ในท่าทีของมันที่คล้ายยิ้มเยาะตน จึงกล่าวขอบคุณกับผู้ที่นางกล่าวถาม แต่ไม่ได้ขอบคุณล้ออันเพ็กทั้งยังไม่เหลือบแลมอง ความหมายบ่งบอกว่า เราไม่ได้ถามท่านท่านจะตอบมาไยกัน คนที่ถูกนางสะกิดถามรับคำขอบคุณอย่างมึนงง ล้ออันเพ็กหน้าเสียไม่น้อย ฮ่วมเล้งซังเห็นสีหน้าล้ออันเพ็กต้องหัวเราะคิกคักออกมา
ชั่วครู่หลังจากเอ็กเป่งไจ๋ทักทายกับสหายชาวยุทธจำนวนมากแล้ว ก็พาเล็กเลี้ยงอันมานั่งโต๊ะใหญ่กลางลาน ที่จัดไว้ให้แขกคนสำคัญ หรือผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่นับถือ พองานเลี้ยงดำเนินถึงเวลา เอ็กเป่งไจ๋ก็ลุกขึ้นกล่าวคำ สีหน้าเศร้าหมอง แววตารัดทดหดหู
“พี่น้องสหายทั้งหลาย งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นอย่างฉุกระหุก อภัยที่ต้อนรับไม่ทั่วถึง ความจริงวันนี้มิใช่วันคล้ายวันเกิดข้าพเจ้าแต่ประการใด แต่ที่อ้างเช่นนี้เพราะมีเรื่องคับแค้นใจบางประการ คิดขอความเห็นจากท่านทั้งหลาย”
บรรดาผู้ที่ไม่รู้ความนัยน์พอรับฟังต้องงุนงงชั่วขณะ ล้วนครุ่นคิดสงสัย ไฉนเอ็กเล่าเอ็งฮงถึงจัดฉากงานเลี้ยงบังหน้าคิดพบประชาวยุทธ ไม่ทราบว่ามีความคับแค้นใจประการใด มีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า
“เอ็กเล่าเอ็งฮง เป็นที่เคารพนับถือของพวกเราตลอดมา ในยุทธภพแดนกังน่ำนี้หากไม่ได้ท่านผู้เฒ่าเป็นเสาหลักค้ำจุ่น ไหนเลยสงบสุขอยู่ได้ ความคับแค้นใจของท่านผู้เฒ่าขอให้บอกกล่าวออกมา พวกเราเหล่าสหายพี่น้องยินดีแบ่งเบาภาระช่วยเหลือ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ไม่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าแม้แต่น้อย”
คนผู้นี้พอกล่าวจบ ในแขกเหลื่อที่มามีไม่น้อยส่งเสียงสนับสนุนจนดังอื้ออึง
เอ็กเป่งไจ๋ นิ่งงันชั่วครู่แววตาทอแววซาบซึ้ง โบกมือเป็นสัญญาณต่อบ่าวไพล่ของหมู่ตึกขวัญกล้า ชั่วครู่บ่าวไพล่ห้ามโลงออกมาสองโลง ผู้คนล้วนแตกตื่น ไม่ทราบว่าในงานมงคลเช่นนี้ เอ็กเล่าเอ็งฮงจึงจัดเตรียมโลงศพไว้สองโลงไว้ทำกระไร พอโลงศพทั้งสองถูกหามมาตั้งวางไว้ที่กลางลาน บ่าวไพล่ก็เปิดฝาโลงออก กลิ่นเหม็นของศพก็ส่งกลิ่นออกมาเป็นที่สะอิดสะเอียน
พอเพ่งมองดูในโลงเห็นเป็นศพบุรุษหนุ่มฉกรรจ์สองคน แม้ตายมาแล้วหลายวันแต่ยังพอจำแนกหน้าตาออก บางผู้คนพอเห็นต้องแตกตื่นตกใจ ศพทั้งสองศพนี้ล้วนเป็นบุตรชายของเอ็กเป่งไจ๋ เหล่าชาวยุทธที่มา บ้างเคยมีไมตรีคบหากับสองคนนี้ ล้วนสะทกสะท้อนใจ บ้างเคยได้รับบุญคุณช่วยเหลือจากคนทั้งสองนี้พอเห็น ก็อดหลั่งน้ำตาไม่ได้ ล้วนเกิดคำถามเกิดขึ้นมากมาย บางคนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคับแค้นเป็นการใหญ่เปล่งเสียงตะโกนถามว่าเป็นฝีมือผู้ใด จนเสียงดังซอกแซกจอแจ เล็กเลี้ยงอันรีบกล่าวขึ้นว่า
“สหายทั้งหลาย โปรดสงบสักครู่ เรื่องราวเหล่านี้ให้ เอ็กเล่าเอ็งฮงเป็นผู้บอกกล่าวเถิด”
น้ำเสียงมันมีน้ำหนักไม่น้อย ถึงกับทำให้ผู้คนเงียบงันลง
เอ็กเป่งไจ๋ นิ่งอยู่ชั่วครู่ค่อยบอกกล่าวอย่างเนิบนาบ น้ำเสียงรันทดหดหู นัยน์ตาเศร้าสร้อย แต่ซุ่มเสียงได้ยินโดยทั่ว
“เราความจริงได้บุตรชายตอนอายุเกือบสี่สิบ ตอนนั้นนึกขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ให้ผู้แซ่เอ็กนี้ขาดผู้สืบสกุล บุตรเราทั้งสองคนนี้ ล้วนเติบโตแข็งแรง นิสัยกล้าหาญผดุงคุณธรรม นับเป็นที่ภาคภูมิใจต่อเราอย่างยิ่ง แต่ไม่คาดว่ายามนี้.. ยามนี้..กลับต้องตายอย่างน่าอนาถ ทั้งยังไม่ทันทิ้งทายาทให้กับเราก็ด่วนจากเราไป หรือสกุลเอ็กต้องจบสิ้นลงแล้ว... แต่นี้เราไม่อาจกล่าวโทษสวรรค์ หากจะโทษต้องโทษพรรคมังกรทะเล ในชีวิตผู้แซ่เอ็กไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้แซ่ฮ่วม แต่มันไฉนจึงสังหารบุตรชายเราทั้งสองคน”
มันยิ่งกล่าวยิ่งเดือดดาล น้ำเสียงแตกพร่าประกายตาแตกซ่าน นับว่าเศร้าเสียใจถึงขีดสุด ผู้คนได้ฟังต้องแตกตื่นสงสัยเมื่อรู้ว่าเป็นฝีมือของพรรคมังกรทะเล
ฟังว่าพรรคมังกรทะเลอยู่บนเกาะฝั่งทะเลตงไฮ่ เพียงอยู่แต่น่านน้ำไม่ยุ่งเรื่องราวบนแผ่นดิน อีกทั้งฮ่วมไต้เฮียบมีฝีมือลึกล้ำขับไล่โจรสลัดต่างแดน จนไม่กล้าย่างกรายเฉียดผ่านแทบทะเลตงไฮ่ ชื่อเสียงที่ได้ยินมาไม่ใช่คนชั่วช้าไร้เหตุผล ไฉนจึงมีเรื่องบาดหมางกับเอ็กเล่าเอ็งฮงถึงกับสังหารบุตรชายมันสองคน ล้ออันเพ็กพลันลุกขึ้นสีหน้าไม่ใคร่เชื่อถือว่าเป็นฝีมือของฮ่วมบ้วนลี้ มันเองก็ยกย่องชื่นชมต่อฮ่วมไต้เฮียบผู้นี้ แม้ไม่เคยพบหน้า แต่กิติศัพท์ที่ได้ยินมาย่อมสร้างความนับถือเลื่อมใสแก่มัน ร้องถามอย่างสงสัยว่า
“ฟังว่า ฮ่วมไต้เฮียบแม้มีนิสัยกระทำกระไรตามใจ แต่ก็ไม่เคยเข่นฆ่าคนโดยพละการณ์ นี่ที่แท้ใช่ฝีมือของฮ่วมไต้เฮียบจริงหรือไม่”
ล้ออันเพ็กพอกล่าวถามก็สะกิดความสงสัยแก่ผู้คนที่เคยได้ยินกิติศัพท์ข้อนี้มาบ้างจนต้องส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงม ฮ่วมเล้งซังเห็นมันกล่าวคล้ายนับถือบิดาตนต้องลอบละอายที่เมื่อครู่หัวเราะเยาะต่อมัน เอ็กเป่งไจ๋มีสีหน้าเคร่งขรึม ในดินแดนกังน่ำนี้น้อยคนนักจะไม่เชื่อถือวาจามัน เพ่งมองผู้กล่าวแววตาแสดงความไม่พอใจ กล่าวเสียงดังว่า
“ท่านผู้นี้ถามได้ดี เราเอ็กเป่งไจ๋เป็นคนเช่นไรทุกคนย่อมทราบดี หากไม่มีหลักฐานไหนเลยกล้ากล่าวให้ร้ายคน เกียรติภูมิที่เราสั่งสมมาย่อมเป็นประกันได้ แต่หากยังมีผู้ไม่เชื่อถือ ก็โปรดดูนี่เถิด”
พลางดึงผ้าคลุมศพออก เผยให้เห็นทรวงอกเปล่าเปลือย ที่ทรวงอกมีบาดแผลเป็นรูสามรูคล้ายโดนสิ่งหนึ่งสิ่งใดเจาะทะลุทรวงอก อีกศพหนึ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน
ผู้คนต่างคาดเดาไม่ออกว่าบาดแผลนี้เกิดจากอาวุธชนิดใด ล้วนครุ่นคิดสงสัยว่าบาดแผลพวกนี้เกี่ยวข้องอันใดกับพรรคมังกรทะเล เอ็กเป่งไจ๋กล่าวเสียงเน้นหนักว่า
“บาดแผลพวกนี้เกิดจากแส้เก้าปล่องมังกรวารี มีแต่กระบวนท่า มังกรวารีล่องลำน้ำ จึงสามารถทำให้เกิดบาดแผลเช่นนี้ได้ ผู้อาวุโสหลายท่านในที่นี้ล้วนเป็นที่ยืนยัน ในยุทธภพนี้แส้เก้าปล่องมังกรวารีมีหนึ่งเดียว หากไม่ใช่ฝีมือผู้แซ่ฮ่วม ยังจะเป็นผู้ใดได้”
บรรดาผู้คนพอได้รับฟังจึงค่อยเข้าใจ หากเป็นเช่นนี้นับว่าผู้แซ่ฮ่วมเป็นผู้ลงมือแล้ว
คนผู้หนึ่งในโต๊ะผู้นั่งคนสำคัญพลันผลุดลุกขึ้น กลับเป็นหัวหน้าพรรคปลาวาฬ ซงม่งเตา เค้นเสียงกล่าวกังวานว่า
“ผู้แซ่ฮ่วม นับเป็นตัวดีอันใด ถือดีว่ามีวรยุทธสูงส่ง เที่ยวก่อกรรมทำเข็ญรังแกผู้อื่น เราเองก็เคยอยู่แทบทะเลตงไฮ่แต่ถูกคนชั่วผู้นี้บีบครั้นบังคับจนไม่อาจอาศัยอยู่ได้ จำต้องโยกย้ายมายังลุ่มน้ำแยงซีเกียง ผู้คนแทบทะเลตงไฮ่เข้าใจว่ามันเป็นไต้เฮียบผู้หนึ่ง ที่แท้มันคือโจรร้ายผู้หนึ่ง”
ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบเศษผู้หนึ่งผลุดลุกขึ้นทามกลางโต๊ะแขกเหลื่อที่นั่งดื่มกิน คนผู้นี้เรียกว่า มือเหล็กร้อยวิญญาณ อูกิมเพียว เป็นชาวยุทธมีชื่อผู้หนึ่งในแดนกังน่ำ ตบโต๊ะดังฉาดใหญ่กล่าวอย่างครุ่นแค้นว่า
“เฮอะ ..สองปีก่อนมีโอกาสพบมันครั้งหนึ่ง มันผู้นี้เพียงคิดจะชิงปลาหลีฮื้อแดงของเรา ถึงกับลอบลงมือทำร้ายเรา ดีที่สวรรค์ยังเมตรา ให้เราหลุดรอดได้ คนผู้นี้เป็นโจรร้ายจริงๆคิดได้ของสิ่งใดก็ช่วงชิงเอา ไม่ทราบว่ามันอยู่น่านน้ำตงไฮ่ปล้นเรือสินค้าของพ่อค้าเรือไปกี่มากน้อย”
ฮ่วมเล้งซังพอเห็นอูกิมเพียวต้องอุทานดัง อา..ออกมา คล้ายกับเคยพบเห็นกันมาก่อน พอฟังมันกล่าวว่าร้ายบิดา ต้องขุ่นข้องคับแค้นจะลุกขึ้นคล้ายกล่าววาจาแต่จิวอวงยี้ฉุดห้ามไว้ ชายวัยกลางคนที่นั่งข้างจิ่นง้วนตัง พลันลุกขึ้น คนผู้นี้สีผมแซมหงอกขาวอายุสี่สิบห้าสิบปี ทวงท่าน่าเกรงขาม ข้างเอวสะพายกระบี่ยาว กลับเป็น จิ่นกวงทง รองเจ้าสำนักคุนลุ้นบิดาของจิ่นง้วนตัง สืบเท้าก้าวออกมากล่าวว่า
“ถูกต้องแล้วคนผู้นี้เป็นโจรร้าย มันกราบมารเฒ่า อี่น่ำเก็ง เป็นอาจารย์ ทั้งยังกราบจอมอสูรร้ายเค็กเอี้ยงเป็นพ่อตา คนสองคนนี้ในอดีตก่อกรรมทำเข็ญในยุทธภพมากมาย ยิ่งเค็กเอี้ยงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเข่นฆ่าชาวยุทธเราเป็นผักปลา พฤติกรรมของคนเหล่านี้ย่อมบ่งบอกถึงนิสัยของมันได้”
สำนักคุนลุ้นความจริงไม่ได้อยู่แดนกังน่ำแต่อยู่ทางตอนเหนือทางตะวันตก แต่จิ่นกวงทงมีไมตรีคบหากับเอ็กเป่งไจ๋เป็นอย่างดีเมื่อทราบว่าฮ่วมบ้วนลี้ฆ่าบุตรชายของเอ็กเล่าเอ็งฮง ก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ มันพอกล่าวถึงอี่น่ำเก็งกับเค็กเอี้ยงเป็นเรื่องราวเมื่อหลายสิบปีก่อนแม้มีหลายคนไม่ได้พบเห็นด้วยตา แต่กลับเคยได้ยินมา ทราบว่าสองคนนี้เป็นมารร้ายยุทธภพ มีหลายคนไม่ทราบว่าซือแป๋ฮ่วมบ้วนลี้เป็นผู้ใด งักแป๋(พ่อตา)เป็นผู้ใด ยามนี้ได้ทราบ ล้วนครุ่นคิดว่าหากผู้แซ่ฮ่วมคลุกคลีอยู่กับคนพวกนี้ย่อมมีนิสัยโหดร้ายเป็นแน่
เอ็กเล่าเอ็งฮงพลันหลังน้ำตากล่าวน้ำเสียงสั่นพร่า
“บุตรชายเราทั้งสองในชีวิตล้วนกระทำแต่ความดี ไม่ทราบมีความผิดใด ถึงโดนมันเข่นฆ่าได้”
มีเสียงผู้คนอีกผู้หนึ่งร้องขึ้นว่า
“คนผู้นี้ชั่วช้าอย่างยิ่งปล่อยไว้ไม่ได้ เราทราบว่ามันฆ่าคนดีไปมากมาย พวกเราร่วมมือกันกำจัดมารร้ายนี้ แก้แค้นให้เอ็กไต้เฮียบทั้งสองเถอะ”
บรรดาผู้คนเมื่อได้ฟังเช่นนี้ต่างเห็นว่า ฮ่วมบ้วนลี้เป็นตัวร้าย การยื่นมือช่วยเหลือด้วยคุณธรรมเป็นสิ่งที่ถูกต้องจึงโห่ร้องสนับสนุน บางคนกล่าวด่าประณามอย่างรุ่นแรง
ฮ่วมเล้งซังไม่อาจทนฟังได้ ลุกขึ้นพรวดพราดกระโจนไปยังพื้นที่ลานกว้าง จิวอวงยี้ลอบร้องย่ำแย่รีบทยานร่างติดตามไปดุจเงาตามตัว ฮ่วมเล้งซังพอหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ก็ชี้หน้าเอ็กเป่งไจ๋ ร้องว่า
“พวกท่านดีแต่ให้ร้ายคน เรื่องราวพวกนี้ล้วนไม่เป็นความจริง”
ผู้คนต่างตะลึงงันไม่ทราบว่าเด็กน้อยผู้นี้มาจากที่ใด จู่จู่ก็โพล่พรวดพราดเข้ามา อีกทั้งยังมีบุรุษหนุ่มที่อยู่ด้านข้างอีกผู้หนึ่ง ดูมันก้าวมาที่หลังแต่บรรลุถึงโดยพร้อมเพียงนับว่าวิชาตัวเบาสูงส่งยิ่ง หัวหน้าพรรคปลาวาฬ ซงม่งเตา เห็นเด็กน้อยนี้พอมาถึงก็กล่าววาจาสามห้าวต่อเอ็กเล่าเอ็งฮง ทั้งยังแสดงกิริยาเสียมารยาท ต้องตวาดด่าขึ้น
“เด็กน้อยนี้มากับผู้ใด ไฉนจึงไม่มีผู้อบรมสั่งสอน ปล่อยให้มาเสียมารยาทในที่นี้”
ฮ่วมเล้งซังเพ่งมองซงม่งเตา ด้วยสายตาเขม่งเกียว ชี้หน้ามัน กล่าวว่า
“ซงม่งเตา ท่านโดนขับไล่ออกจากแทบทะเลตงไฮ่เนื่องด้วยประการใด ผู้อื่นล้วนไม่ทราบแต่ข้าพเจ้าทราบดี ผู้น้องท่าน ซงติงเทา ปล้นชิงเรือพ่อค้าทั้งยังสังหารคนเหล่านั้นหมดสิ้น ท่านผู้เป็นพี่ไม่เพียงไม่ลงโทษแต่กลับปกป้อง พรรคมังกรทะเลเพียงขับไล่ท่านออกจากทะเลตงไฮ่นับว่ากรุณามากแล้ว ท่านไม่เพียงไม่สำนึกยังกล้ากล่าววาจาให้ร้ายคน”
ซงม่งเตาหน้าพลันไร้สีเลือด ไฉนเด็กน้อยนี้รู้เรื่องที่ตี่ตี๋(น้องชาย)ของตนกระทำไว้ ยามกระทันหันนึกคำกล่าวแก่ต่างไม่ออก ฮ่วมเล้งซังไม่รอให้มันตอบคำดึงหมวกที่สวมอยู่ออกเผยให้เห็นผมยาวสยายปลกลง ผู้คนจึงทราบว่านางเป็นสตรีมิใช่บุรุษสร้างความแตกตื่นแก่ผู้คน พลันชี้มือไปยังอูกิมเพียว กล่าวต่อไปว่า
“ท่านจดจำข้าพเจ้าออกหรือไม่”
อู้กิมเพียว งงงันวูบก้าวเดินออกมาจากกลุ่มคนเพ่งพินิจดูครู่หนึ่ง พอนึกได้สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนถอยกายอย่างลืมตัว ร้องออกมา
“นางคือบุตรตรี ฮ่วมบ้วนลี้”
คำกล่าวนี้พอกล่าวออกมา ผู้คนต่างตื่นตระหนกระคนสงสัย ไฉนนางมาอยู่ยังที่นี้ เอ็กเล่าเอ็งฮงพอทราบดวงตาต้องทอประกายอำมหิตวูบหนึ่ง จิวอวงยี้ต้องลอบร้องย่ำแย่ ไฉนซังม่วยถึงไม่รู้ความเช่นนี้ ผู้คนในที่นี้ล้วนเห็นบิดานางเป็นศัตรูใคร่จะกินเลือดกินเนื้อ กลับเปิดเผยตัวออกไปนี่นับว่าตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งแล้ว ฮ่วมเล้งซังไม่ได้แยแสสนใจกล่าวขึ้นว่า
“นับว่าท่านยังจำได้ ท่านบอกว่าบิดาข้าพเจ้าลอบทำร้ายท่าน เพื่อแย่งชิงปลาหลีฮื้อแดง วันนั้นข้าพเจ้าก็อยู่ด้วย ขอถามหน่อย ปลาหลีฮื้อแดงความจริงเป็นของผู้ใด แล้วบิดาข้าพเจ้าลอบทำร้ายท่านในที่ใด”
อูกิมเพียวอ่ำอึ้งไม่ได้ตอบคำ ฮ่วมเล้งซังจึงกล่าวต่อไปว่า
“ท่านไม่บอกข้าพเจ้าบอกให้ก็ได้ ปลาหลีฮื้อแดงเป็นของชาวประมงผู้หนึ่งที่ตกได้ ท่านเห็นว่าปลาตัวนี้เป็นปลาวิเศษสามารถทำเป็นยาบำรุงแก้พิษร้าย จึงไปขอซื้อต่อจากชาวประมงผู้นั้น มันไม่ยอมขาย กลับถูกท่านทำร้ายจนขาหักกระดูกแตก บิดาข้าพเจ้าผ่านมาพบเห็น กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ชาวตงง้วนมีวิธีซื้อขายแบบแปลกๆ เช่นนี้จะลองไปซื้อต่อปลาหลีฮื้อแดงต่อจากท่านดู ท่านเองก็ไม่ยอมขาย บิดาข้าพเจ้าจึงลงมือทุบตีท่านจนขาหักกระดูกแตกเหมือนชาวประมงผู้นั้น ข้าพเจ้าสงสัยจึงกล่าวถามว่า บิดาไฉนลงมือทำร้ายคน บิดาข้าพเจ้าตอบว่า นี้คงเป็นวิธีซื้อขายอย่างหนึ่งของชาวแผ่นดินใหญ่ แต่วิธีนี้ไม่ดียิ่งภายหลังอย่าได้ทำเป็นอันขาด ตอนนั้นข้าพเจ้าเพิ่งออกจากเกาะไม่ทราบเรื่องราวกลับเข้าใจว่ามีวิธีเช่นนี้อยู่จริง ภายหลังไปถามต่อมารดาจึงได้ทราบว่า นี้เป็นการลงมือทำร้ายคนช่วงชิงของ”
นางกล่าววาจาใสซื่อไร้เล่ห์ลิ้นคารมแม้แต่น้อย กลับกล่าวเล่าออกมายืดยาวเป็นเรื่องราว แม้ฟังดูไม่น่าชวนหัว แต่เห็นท่าทีไร้เดียงสาของนางก็อดขำขันไม่ได้ในโลกนี้ไหนเลยมีวิธีซื้อขายตามบิดานางบอกกล่าว จิวอวงยี้ต้องลอบอมยิ้มครุ่นคิดไม่ทราบว่า ฮ่วมบ้วนลี้นี้เป็นบุคคลเช่นไร ถึงอบรมบุตรตรีออกมาเช่นนี้ได้ อูกิมเพียวหน้าแดงฉาดด้วยความอับอาย ซงม่งเตาพลันกระชากเสียงกล่าวว่า
“อย่าไปฟังเด็กผู้นี้กล่าวเหลวไหล เด็กผู้นี้เป็นฮ่วมบ้วนลี้ส่งมาให้ก่อกวนให้ร้ายผู้คน นางเป็นบุตรตรีฮ่วมบ้วนลี้ย่อมเข้าข้างบิดา ทางทีดีครากุมตัวไว้ก่อน”
วาจาของมันกล่าวยังไม่ทันจบก็ชิงลงมือแล้ว ฮ่วมเล้งซังแม้มีฝีมือดีแต่ประสบการณ์ยังอ่อนด้วยไม่คาดว่ามันจะลอบลงมือกระทันหันไม่ทันตั้งตัวปกป้อง ปากมันบอกครากุมแต่การลงมือรวดเร็วดุดันหมายฟาดทารกหญิงนี้ให้ตายในฝ่ามือเดียว จิวอวงยี้ระวังอยู่ก่อนแล้วกระชากเสียงกล่าวว่า
“คิดลงมือปิดปากผู้คน นั้นไม่ง่ายแล้ว”
พลางดึงฮ่วมเล้งซังไปด้านหลังตนเองฟาดฝ่ามือยมทูตออกต้านประทะ ซงม่งเตามีฝีมือมิใช่ชั่วกำลังภายในกล้าแข็งกว่านางขั้นหนึ่ง พอฝ่ามือทั้งสองปะทะกันจิวอวงยี้ต้องพริ้วกายหมุนตัวลดแรงกระแทกไปสองก้าว ซงม่งเตาร้องโอย.. ออกมา กุมมือข้างที่ฟาดออกสีหน้าเจ็บปวดยิ่ง เห็นเลือดหลังไหลมาตามฝ่ามือที่ใจฝ่ามือปักไว้ด้วยเข็มเล่มหนึ่ง ที่แท้เมื่อครู่จิวอวงยี้เห็นมันลอบทำร้ายฮ่วมเล้งซัง นางจึงลอบประทุษมันกลับคืนยามฟาดฝ่ามือออกต้านประทะ ซุกเข็มไว้ที่ฝ่ามือ ซงม่งเตาฟาดออกโดยแรงกลับโดนเข็มของนางปักทะลุฝ่ามือ อูกิมเพียวเห็นเข็มพิษชนิดนี้จดจำออกว่าเป็นของบุปผาร้อยพิษคังหมิ่นในสามภูติกวนตั๋ง ทราบว่ามีพิษร้ายแรง รีบคว้ากระบี่ผู้ที่อยู่ด้านข้างสะอึกกายเข้าหากล่าวว่า
“ซงปังจู้ นี้เป็นเข็มอสรพิษของสามภูติกวนตั๋ง หากปล่อยไว้อาจถึงแก่ชีวิต ทางที่ดีตัดมือข้างนี้ทิ้งก่อนพิษจะแล่นเข้าสู่หัวใจ”
ซงม่งเตาใจหายวาบพอทราบว่าเป็นเข็มอสรพิษของสามภูติกวนตั๋ง ฟังว่ามีเข็มนี้มีพิษร้ายแรงเพียงอึดใจเดียวยังไม่ทันหายารักษาก็ตกตาย หากเป็นเช่นนี้ชีวิตตนสำคัญกว่า เสียมือข้างหนึ่งจะเป็นไร ไม่คบคิดมากความพลันยื่นมือออกให้ อูกิมเพียวจัดการ อูกิมเพียวพอเงื้อมือสะบัดกระบี่ จิวอวงยี้รีบกล่าวห้าม
“นี่..ไม่ใช่เข็มอสรพิษของสามภูติกวนตั๋ง”
ซงม่งเตาต้องแตกตื่นรีบหดมือกลับแต่ไหนเลยทันการณ์ กระบี่ที่อูกิมเพียวฟาดฟันมีความรวดเร็วยิ่ง ฟัดมือมันขาดเสมอข้อ มันร้องโอดครวญก่นด่าอูกิมเพียวเป็นการใหญ่กล่าวอาฆาตจะเอาชีวิตสั่งบิรวารพรรคปลาวาฬให้จับตัวอูกิมเพียวไว้ อูกิมเพียวหน้าแปรเปลี่ยนจนบอกไม่ถูก มันไม่ได้มีเจตนาทำร้ายซงม่งเตา แต่กลับเข้าใจว่าเข็มที่บุรุษผู้นี้ใช้เป็นเข็มอสรพิษ ยามนี้กลับทำร้ายมือมันขาดข้างหนึ่ง เห็นมือดีของพรรคปลาวาฬกรูกันเข้ามาเจ็ดแปดคน รีบฝ่าวงล้อมกระโจนหลบหนี ปากยังตะโกนร้องกล่าว
“ผู้แซ่ซงเราเจตนาช่วยเหลือท่าน แต่เป็นทำร้ายท่านโดยไม่ตั้งใจแต่ท่านกลับคิดเอาชีวิตเรา”
คนพรรคปลาวาฬไหนเลยฟังคำติดตามหลังมันฝ่าผู้คนหมายคิดจับตัวให้ได้ บริวารที่เหลือรีบเข้าไปพยุงซงม่งเตาติดตามไปอีกผู้หนึ่ง เอ็กเป่งไจ๋คิดกล่าววาจาไกล่เกลี่ยก็ไม่ทันการณ์อารมณ์พลันเดือดดาลขึ้น ชี้มือไปที่จิวอวงยี้และฮ่วมเล้งซัง กระชากเสียงกล่าวว่า
“เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพราะสองคนนี้ จับกุมตัวไว้”
บริวารหมูตึกขวัญกล้าสิบยี่สิบคนรีบชักกระบี่รายล้อมเข้าหา จิวอวงยี้กอดเอวฮ่วมเล้งซังไว้ กระซิบกล่าวว่า
“ซังม่วย ท่านก้าวเท้าตามข้าพเจ้า”
พลางก้าวขาสลับหลบรอดคมกระบี่ที่ถาโถมเข้ามาดุจแห่ตะข่าย สะกิดเท้าทยานขึ้นบนหลังคาพอเหยียบย้ำก้าวเท้าสองครั้งก็พาฮ่วมเล้งซังบรรลุถึงหลังคาชั้นบนสุดของตัวตึก คาดคิดไว้ว่าหากอยู่ยังเบื้องล้างผู้คนมากมายไม่สามารถรับมือได้ ชิงหาชัยภูมิที่เหมาะสมคอยแก้สถานการณ์ บรรดาชาวยุทธที่มาเห็นตึกนี้สูงถึงห้าชั้นแต่บุรุษผู้นี้ก้าวทยานดุจเหินบินทั้งยังโอบประคองดรุณีนางหนึ่งยังสามารถขึ้นไปได้โดยง่าย ความสำเร็จในวิชาตัวเบาเช่นนี้ยากยิ่งจะพบพาน ต่างอดชมเชยมิได้ เอ็กเป่งไจ๋เห็นบุรุษผู้นี้พาร่างดรุณีนางหนึ่งหลบรอดคมกระบี่ที่แน่นหนาอย่างแยบคาย อีกทั้งเมื่อครู่ยังใช้เข็มพิษจู่โจมใส่ซงม่งเตา พลันฉุกคิดได้ ‘ที่แท้มันเป็นศิษย์สามภูติกวนตั๋ง เช่นนี้ก็ไม่อาจปล่อยไว้’ รีบสั่งบริวารทั้งหมดรายล้อมตัวตึกไว้ไม่ให้หลบหนี เค้นเสียงกล่าวตะโกนขึ้นไป
“ที่แท้เจ้าเป็นศิษย์เหล่าโจรร้ายสามภูติกวนตั๋ง ครั้งนี้พรรคมังกรทะเลสมคบมหาโจรส่งคนสองคนนี้มาก่อกวนงานของเรา วันนี้อย่าหมายหลบหนีไปได้”
จิวอวงยี้เชิดหน้ายิ้มเยาะ กล่าวว่า
“ท่านกล่าววาจาให้ร้ายคนพอรึยัง เป็นศิษย์โจรแล้วเป็นไร ยังดีกว่าหมู่ตึกขวัญกล้าท่าน เฮอะ..ได้ยินชื่อเสียงหมู่ตึกขวัญกล้ามานาน เรื่องรวมพรรคพวกทำร้ายผู้คน นับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ แม้เด็กผู้หญิงตัวน้อยๆผู้หนึ่งยังใช้วิธีกรุ่มรุม หากพวกท่านเก่งกล้าสามารถก็ขึ้นมาวัดฝีมือกันบนนี้เถอะ”
เอ็กเป่งไจ๋หน้าแดงชาด เดือดดาลจนหนวดเคราชูชัน คิดกระโจนขึ้นไปจริงๆ แต่กลับเห็นคนผู้หนึ่งสะอึกกายขวางหน้าไว้กลับเป็น จิ่นง้วนตัง ประสานมือต่อเอ็กเป่งไจ๋กล่าวว่า
“เอ็กเอี่ยเอี้ย เรื่องนี้มิต้องถึงมือท่าน ไว้เป็นหน้าที่ข้าพเจ้าจะนำตัวมันลงมาให้เอ็กเอี่ยเอี้ยสั่งสอน”
เอ็กเป่งไจ๋ ทราบว่าจิ่นง้วนตังมีฝีมือดี อีกทั้งคนหนุ่มคิดแสดงฝีมือไม่ควรขัดขวางจึงผงกศีรษะรับกล่าวว่า
“เช่นนั้นหลานจิ่น ระวังตัวให้มากไว้”
จิ่งง้วนตังรับคำพลางทยานร่างขึ้นก้าวกระโจนไปตามหลังคา พอถึงประสานกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าจิ่นง้วนตังแห่งคุนลุ้นขอรับทราบฝีมือแล้ว”
พลางชักกระบี่ออกดัง เปรื่อง ตระเตรียมพร้อม จิวอวงยี้แย้มยิ้มกล่าวเสียงดังว่า
“อ่อ.. ที่แท้ท่านคือจิ่นง้วนตังแห่งคุนลุ้น ได้ยินมาว่า คราก่อนท่านต่อยตีแย่งสตรีกับกระบี่ประกายฟ้า ล้ออันเพ็ก ที่เมืองกันจือ โค่นมันพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าจนต้องร้องขอชีวิต ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่”
จิ่นง้วนตังงงงันวูบไฉนเรื่องที่มันวิวาทกับล้ออันเพ็กถึงแพร่กระจายออกมาเช่นนี้ ยามกระทันหันยังไม่ได้ตอบคำ
ล้ออันเพ็กอยู่เบื้องล้างยังได้ยินอย่างชัดเจนอีกทั้งผู้คนที่อยู่ด้านล้างพอฟังก็เพ่งมองมันด้วยสายตาประหลาด คล้ายยึดถือว่าข่าวนี้เป็นจริง ไหนเลยยังนิ่งเฉยอยู่ได้รีบก้าวกระโดดขึ้นหลังคาไปอีกผู้หนึ่ง พอถึงรีบกล่าวว่า
“เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง คนผู้นี้ไหนเลยเคยชนะเรา ไม่ทราบเป็นผู้ใดปล่อยข่าวลือให้เสื่อมเสียแก่เรา”
จิวอวงยี้แสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ กล่าวว่า
“ท่านคือล้ออันเพ็กหรือ เมื่อครู่นั่งร่วมโต๊ะกับท่านกลับไม่ทราบ ข้าพเจ้าฟังมาจากศิษย์สำนักคุนลุ้นผู้หนึ่งนำมาเล่าให้ฟัง แต่ยังไม่ปักใจเชื่อนึกสงสัยอยู่บ้าง ฟังว่าบ้วนกิมเกี่ยมแม้กำเนิดหลังคุนลุ้นแต่มีเพลงกระบี่เด่นล้ำกว่า ไหนเลยกระบี่ประกายฟ้าที่เป็นศิษย์เอกของสำนักถึงผ่ายแพ้หมดรูปได้”
ล้ออันเพ็กพอฟังว่าผู้ปล่อยข่าวเป็นศิษย์สำนักคุนลุ้นต้องเดือดาลขึ้นเค้นเสียงกล่าวว่า
“เฮอะ...ผู้ปล่อยข่าวเป็นศิษย์คุนลุ้นย่อมต้องเข้าข้างพวกเดียวกัน ปล่อยข่าวยกย่องตนเองทำให้เราเสื่อมเสียเช่นนี้ไม่ถูกแล้ว”
จิ่นง้วนตัง ยามนี้คิดมาจับคนไม่ต้องการตอแยต่อล้ออันเพ็กจึงกล่าวว่า
“ผู้แซ่ล้อท่านถอยไปก่อน เรื่องราวของเราไว้ว่ากล่าวที่หลัง”
จิวอวงยี้รีบกล่าวแทรกขึ้น
“ไหนเลยกล่าวที่หลังได้ ในที่นี้มีผู้คนมากมายหากท่านย่อมถอยเท่ากับว่ายอมรับแล้ว ภายหน้าอย่าหมายแบกหน้าอยู่ในยุทธภพเราได้”
ล้ออันเพ็กแม้ทราบว่านางยุยง แต่คำกล่าวของนางนับว่าสมเหตุผล หากวันนี้ยอมถอย ต่อหน้าผู้คนมากมายไหนเลยแบกหน้าไว้ได้ ภายหลังจะกล่าวแก้ต่างได้เช่นไร พลางสะบัดกระบี่ออกจากฝักกล่าวว่า
“ผู้แซ่จิ่น วันนี้เรามาตัดสิ้นแพ้ชนะ อย่าให้เป็นที่ค้างคาใจผู้คน เกิดเป็นข่าวลืออุบาทว์อันใดอีก”
พลางสะอึกกายเข้าหา ฟาดฟันกระบี่ออกอย่างหักโหม คิดล้างข่าวโคมลอยอัปยศ ใช้เพลงกระบี่เก้าโคจรที่เลื่องลือของบ้วนกิมเกี่ยมเข้าห้ำหั่น หมายสยบจิ่นง้วนตังโดยเร็ว จิ่นง้วนตังเห็นประกายกระบี่เกรี้ยวกราดรวดเร็วจู่โจมมา ทราบว่าครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงรีบยกกระบี่ขวาง ร่ายรำสิบสามกระบี่เอกะคุนลุ้นเข้าต้านทาน เพลงกระบี่ล้ำเลิศของสองสำนักใหญ่ถูกใช้ออกด้วยศิษย์เอกสองสำนัก บันดาลให้ผู้คนชมดูด้วยใจระทึก ผู้คนต่างโห่ร้องชมเชยไม่ขาดปาก ชมดูไม่คาดสายตา
ตอนนี้ทั้งล้ออันเพ็กกับจิ่นง้วนตังล้วนครุ่นคิดขึ้น หากให้ผ่ายแพ้คงทำไม่ได้แล้ว นี่นับว่าไม่เกี่ยวพันเพียงศักดิ์ศรีของคนสองคน แต่กลับเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงสำนัก ภายใต้สายตาชาวยุทธมากมายย่อมโจษจันเล่าขานในการประลองครั้งนี้ เพลงกระบี่ของคนทั้งสองยิ่งใช้ออกสุดกำลังฝีมือ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากผ่ายแพ้ เห็นเงาสองสายโลดแล่นไปมาประกายกระบี่สะท้อนแสงจันทร์เป็นม่านวงดูระลานตา ตอนนี้กลับยังไม่สามารถจำแนกออกว่าเป็นผู้ใดมีฝีมือเหนือล้ำกว่ากัน
ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางจวบจนสว่าง เห็นร้านน้ำชาตั้งอยู่ริมทาง จึงแวะนั่งดื่มดับกระหายสั่งอาหารบรรเทาท้อง ระหว่างที่รับประทาน จิวอวงยี้สังเกตุเห็นว่าเส้นทางสัญจรนี้มีผู้คนมาไม่ขาดสาย ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวยุทธจักร
บ้างแวะมาดื่มรับประทานร้านที่ตนเองนั่งอยู่ บ้างเดินผ่านเลยไป เส้นทางที่มุ่งไปกลับเป็นเมืองหูหนัน ต้องลอบครุ่นคิดสงสัย ‘ชาวยุทธพวกนี้ไฉนถึงเดินทางเข้าเมืองหูหนันกันมากมาย ไม่ทราบว่ามาชุมนุมกันด้วยเรื่องใด’
จึงสะกิดถามเด็กรับใช้ขึ้นว่า
“พี่ชาย ชาวยุทธพวกนี้ เหตุใดจึงเดินทางมาเมืองหูหนันกันมากมาย”
“อ้อ..ท่านทั้งสองคงมาจากต่างถิ่นกระมังจึงไม่ทราบ เอ็กเล่าเอ็งฮง (ผู้กล้าหาญเฒ่าแซ่เอ็ก) แห่งหมู่ตึกขวัญกล้า จัดงานแซยิก(วันคล้ายวันเกิด) ปีที่หกสิบของท่าน จึงส่งเทียบเชิญชาวยุทธแดนกังน่ำมาร่วมดื่มกิน คนพวกนี้คงเดินทางมาร่วมอวยพร...”
มันกล่าวเพียงเท่านี้ก็เงียบลง ส่งยิ้ม แฮะ แฮะ สีหน้าท่าทีคล้ายมีเรื่องเล่าต่ออีก จิวอวงยี้รู้ได้ในทันทีคนผู้นี้คิดขายข่าว จึงล่วงเอาเงินยื่นส่งให้ มันจึงนั่งลงกล่าวเบาๆขึ้น
“เรื่องที่ เอ็กเล่าเอ็งฮง จัดงานแซยิกเชิญเหล่าชาวยุทธมาร่วมสังสรรค์นั่นผู้น้อยได้ยินมาว่าอาจเป็นการบังหน้า เมื่อสิบวันก่อนบุตรชายท่านสองคนถูกลอบทำร้ายถึงแก่ชิวิต ฟังว่าเป็นฝีมือของพรรคมังกรทะเล เอ็กเล่าเอ็งฮงจึงเชื้อเชิญชาวยุทธแดนกังน่ำ เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ขอความเป็นธรรม”
ฮ่วมเล้งซังต้องตื่นตระหนก ไฉนคนของพรรคมังกรทะเลไปสังหารบุตรชายของเอ็กเล่าเอ็งฮงผู้นี้ได้ รีบกล่าวขึ้น
“ใช่ฟังมาผิดหรือไม่ พรรคมังกรทะเลอยู่แทบทะเลตงไฮ่(ทะเลใต้ฝั่งตะวันออก) ไม่ค่อยข้องแวะกับเรื่องราวในดินแดน ไหนเลยมีเรื่องบาดหมางกับเอ็กเล่าเอ็งฮงผู้นี้ได้”
คนรับใช้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า
“ผู้น้อยได้ยินมาเช่นนี้ ก็บอกกล่าวเช่นนี้ ส่วนเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จนั้นไม่อาจทราบได้”
พลันลุกขึ้นขอตัวอำลา
ฮ่วมเล้งซังมีท่าทีร้อนใจ ดูท่าเอ็กเล่าเอ็งฮงผู้นี้เชิญชวนชาวยุทธมามากมายคิดเอาเรื่องกับพรรคมังกรทะเลแล้ว ตอนนี้บิดามารดากับตั่วซือโจ้ว(อาจารย์ปู่ใหญ่)ล้วนไม่อยู่บ้าน หากพวกมันพากันบุกรุกพรรคเรานับว่าย่ำแย่ยิ่ง
จิวอวงยี้เคยได้ฟังเรื่องราวของผู้แซ่เอ็กจากตั่วซือแป๋มาบ้าง มันผู้นี้กลับเป็นศัตรูคู่อริกับบรรดาเหล่าซือแป๋ของตน เอ็กเล่าเอ็งฮงหรือเอ็กเป่งไจ๋ผู้นี้ มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวยุทธแดนกังน่ำ ในอดีตมันเคยรวบรวมชาวยุทธแดนกังน่ำขับไล่สามภูติกวนตั๋งจนต้องหลบหนีไปตั้งถิ่นฐานบนหุบเขาสิ้นชีพ เห็นฮ่วมเล้งซังมีท่าทีร้อนรนจึงตบหลังมือของนางเบาๆเป็นเชิงปลอบโยนกล่าวว่า
“ซังม่วย อย่าได้ร้อนใจไป ไว้เราเข้าไปในเมือง ค่อยสืบข่าวให้แน่ชัด”
ฮ่วมเล้งซังจึงสงบลงได้บ้าง แต่กระนั้นสีหน้ายังแสดงความกังวล ทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จก็เร่งรุดเดินทาง เพียงวันเศษก็บรรลุถึงเมืองหูหนัน ออกถามผู้คนสืบข่าวการจัดงานแซยิกของเอ็กเล่าเอ็งฮง ทราบว่างานจะจัดคืนนี้ที่หมู่ตึกขวัญกล้า
จิวอวงยี้หาซื้อเสื้อผ้าเสื้อผ้าบุรุษชุดใหม่สองชุด เข้าโรงเตียมแห่งหนึ่งจับจองที่พัก บอกต่อฮ่วมเล้งซังให้สวมชุดปลอมแปลงเป็นบุรุษจะสะดวกในการปะปนเข้าไปในงาน ฮ่วมเล้งซังผงกศีรษะรับ รับชุดมาถือไว้ในมือ ยังไม่ได้ลงมือผลัดเปลี่ยนแต่อย่างใด จิวอวงยี้พลันกล่าวว่า
“ซังม่วย ท่านรีบเปลี่ยนเถอะ หากชักช้าประเดี๋ยวไม่ทันงาน”
กล่าวพลางจัดแจงจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนออก ฮ่วมเล้งซังหน้าแดงวูบ รีบใช้สองมือปิดตา ลนลานกล่าวทัดทาน
“ลู่ตั่วกอ ท่านน่าไม่อายแล้ว ไฉนมาเปลี่ยนในที่นี้ ”
จิวอวงยี้งงงันครู่หนึ่ง จึงพึ่งนึกได้ ซังม่วยเข้าใจว่าตนเป็นบุรุษผู้หนึ่ง เรามาปลดเปลื้องเสื้อผ้าต่อหน้านางนับว่าไม่บังควรอย่างยิ่ง แต่เห็นนางลนลานปิดตาแนบแน่น ท่าทีไร้เดียงสาน่ารักน่าชัง อดไม่ได้ต้องกระเซ่าเย้าแหย่ตามนิสัย
แย้มยิ้มกล่าวหยอกว่า
“ไฉนไม่ได้ ข้าพเจ้าถอดออกมาแล้ว ซังม่วยท่านไม่ชมดูหน่อยหรือ”
นางพอฟังต้องแตกตื่นลนลานรีบทรุดลงนั่งยองๆ สองมือปิดตาแนบแน่นกว่าเดิมกลัวสายตาหลุดรอดพบเห็น ก้มหน้าลงกับหัวเข่าขดตัวแทบเป็นก้อนกลม ครางเสียง ฮึ...ฮือ...คล้ายทารกก่อนจะร่ำไห้ จิวอวงยี้นึกสนุกเอื้อมมือไปจับมือของนางจะดึงออก แต่นางแข็งขืนสุดแรงไม่ยอดเปิดออกได้โดยง่าย จนภายหลังจะร่ำไห้ขึ้นมาจริงๆ ร่ำร้องแต่ว่า ท่านน่าไม่อาย ท่านน่าไม่อาย จิวอวงยี้จึงหัวเราะรวนกล่าวว่า
“ซังม่วย ข้าพเจ้าล้อท่านเล่น ข้าพเจ้ายังไม่ได้ถอดออกสักชิ้นเดียว อย่าได้ร่ำไห้แล้ว”
ฮ่วมเล้งซังที่แรกยังไม่เชื่อถือไม่ยอมคลายมือออก แต่อดไม่ได้ต้องถ่างนิ้วมือแลดู เห็นปลายเท้ามันยังสวมรองเท้าทาบทับชายกางเกง นี่ย่อมแสดงว่าไม่ได้ถอดออกตามที่มันกล่าว ถอนใจอย่างโล่งอก ทราบว่าถูกหยอกล้อเปลี่ยนจากอับอายกลายเป็นขุ่นเคือง รีบลุกขึ้นผลักดันจิวอวงยี้ออกจากห้องกล่าวอย่างแง่งอน
“ลู่ตั่วกอ ท่านออกไปได้แล้ว ข้าพเจ้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ภายหลังหากท่านล้อเล่นเช่นนี้อีก ข้าพเจ้าจะไม่พูดคุยกับท่านแล้ว”
จิวอวงยี้ต้องหัวเราะ คิกคัก ออกจากห้องฮ่วมเล้งซังไปยังห้องของตนจัดแจงเปลี่ยนชุด จากนั้นลงไปนั่งรอยังชั้นล่าง พลันเหลือบแลเห็นชาวยุทธจักรผู้หนึ่งถือเทียบสีแดงอยู่ในมือกำลังจะออกจากโรงเตี้ยม ต้องฉุกคิดขึ้น’งานนี้ผู้แซ่เอ็กคิดจัดงานแซยิกบังหน้าคงรับเชิญแต่ผู้ได้เทียบ หากไม่มีเทียบเชิญยากยิ่งจะเข้าไปได้’ จึงแสร้งเป็นเมามายเดินซวนเซขวางทางไว้ พอผ่านก็แสร้งเสียหลักเซกระทบร่างมัน
คนผู้นั้นเห็นมันเป็นคนเมามายผู้หนึ่งก็ไม่ได้แยแสสนใจก้าวออกจากโรงเตี้ยม จิวอวงยี้ลอบหัวเราะ คิกคัก ในมือนางยามนี้ปรากฏเทียบเชิญใบหนึ่ง ที่แท้เมื่อครู่ตอนที่กระทบร่างคนผู้นั้นนางใช้ฝ่ามือยมทูตล้วงเอาสิ่งของออกจากร่างกายมันโดยมันไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ทรุดกายนั่งลงดื่มสุรารออยู่ชั่วครู่ เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูก้าวลงจากบันได จิวอวงยี้พอเพ่งมองค่อยทราบว่านางคือฮ่วมเล้งซังต้องลอบครุ่นคิดชมเชย’นางยามแต่งเป็นบุรุษยังดูเป็นเด็กหนุ่มน่ารักน่าชัง หากสตรีใดพบเห็น ไม่หลงใหลนับว่าแปลกประหลาดแล้ว’ จิวอวงยี้ครุ่นคิดต่อฮ่วมเล้งซังแต่ไม่ได้ครุ่นคิดถึงต่อตัวนางเอง นางยามนี้หากส่องกระจกดูก็พบบุรุษหน้ามนใสหล่อเหลาผู้หนึ่งแล้ว
ทั้งสองมุ่งหน้าสู่หมู่ตึกขวัญกล้า พอถึงเห็นด้านหน้าหมู่ตึกจัดแต่งโคมแดงเรียงรายเป็นทิวแถว มีผู้คนมากมายเดินทางมาแสดงความยินดี คนพวกนี้ล้วนเป็นชาวยุทธจักรกังน่ำแทบทั้งสิ้น ขณะผ่านประตูใหญ่คนต้อนรับกล่าวขอเทียบเชิญ จึงยื่นส่งเทียบให้ พร้อมชี้มือไปยังฮ่วมเล้งซังบอกว่าเป็นผู้ติดตาม คนต้อนรับผงกศีรษะรับกล่าวบอกว่า
“ขอทราบนามสูงส่งของเสียวเฮียบ(ผู้กล้าหาญน้อย) เพื่อลงนามเป็นที่ระลึกด้วย”
เทียบเชิญนี้ไม่ได้ระบุชื่อผู้รับไว้ เนื่องจากเอ็กเป่งไจ๋ต้องการเชิญชาวยุทธทั่วแคว้นกังน่ำ มีบ้างไม่สามารถจดจำชื่อได้เพียงไหว้วานสหายรวมแนวจัดส่ง จึงจัดเป็นเทียบเชิญไร้นามผู้รับ จิวอวงยี้ยามกระทันหันครุ่นคิดชื่อไม่ออก จึงใช่ชื่อเดิมที่บอกต่อฮ่วมเล้งซัง
“ข้าพเจ้า แซ่ลู่ นามอวงยี้”
“ที่แท้ลู่เสียวเฮียบ ได้ยินชื่อมานานนับถือเลื่อมใสอย่างยิ่ง”
จิวอวงยี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายฉงน ลอบหัวร่อครุ่นคิด ‘หมู่ตึกขวัญกล้าอบรมบ่าวทาสได้ดียิ่ง ชื่อนี้เราพึ่งตั้งได้สองวัน ท่านกลับได้ยินมานาน ไม่ทราบว่าเคยได้ยินจากที่ใด’อดแย้มยิ้มไม่ได้ พาฮ่วมเล้งซังก้าวเดินเข้าไปยังด้านใน เห็นเป็นโต๊ะจัดเลี้ยงวางบนลานกว้างหลายร้อยโต๊ะมีผู้นั่งดื่มกินนับพันคน ต้องอดแตกตื่นไม่ได้ ลอบครุ่นคิดขึ้น’เอ็กเล่าเอ็งฮงผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดา สามารถเชื้อเชิญเหล่าชาวยุทธได้มากมายขนาดนี้ มิน่าบรรดาซือแป๋จึงต้องหลบภัยไปยังเสฉวนระดมชาวมิจฉาชีพขึ้นหุบเขาเพื่อรับมือมัน วันนี้หากมีโอกาสต้องชำระแค้นให้เหล่าซือแป๋บ้างแล้ว’
คนต้อนรับภายในผู้หนึ่งเหลือบแลเห็นจิวอวงยี้ในคราบบุรุษมีบุคลิกโดดเด่นงามสง่า คาดว่าคงเป็นกงจื้อสำนักบู๊ลิ้มใดสำนักหนึ่งจึงนำพาคนทั้งสองไปนั่งยังที่อันควร จิวอวงยี้ประสานมือคารวะทักทายแก่ผู้คนที่นั่งร่วมโต๊ะตามมารยาท สายตาพลันเหลือบแลเห็นคนผู้หนึ่งเบื้องหน้าที่กำลังคารวะตอบ ต้องใจหายวาบ มันกลับเป็น กระบี่ประกายฟ้า ล้ออันเพ็ก แต่ดูท่าทางจะจดจำตนไม่ออก ต้องถอนใจอย่างโล่งอก ลอบครุ่นคิด’ดีที่มันจดจำเราไม่ออก คิดไม่ถึงจะเจอมันในที่นี้ ไม่คาดว่าสำนักบ้วนกิมเกี่ยมที่อยู่ภาคกลางก็ได้รับเชิญ ดูท่าพรรคมังกรทะเลจะเจอศึกหนักไม่น้อย’
แต่เมื่อดูโดยรอบนอกจากล้ออันเพ็กแล้วก็ไม่มีคนของสำนักบ้วนกิมเกี่ยมผู้อื่นอีก นี่ไม่แน่ว่าล้ออันเพ็กอาจถูกสหายชาวยุทธชักชวนมาโดยไม่เกี่ยวข้องกับสำนัก แต่พอมองไปยังโต๊ะกลางลานที่จัดไว้คล้ายเป็นที่นั่งแขกคนสำคัญ ต้องอุทานออกมาอย่างเสียมิได้ในที่นั้นกลับมีจิ่นง้วนตังนั่งอยู่ ดูท่าผู้ที่ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการกลับเป็นสำนักคุนลุ้นแล้ว เพราะข้างกายจิ่นง้วนตังนั่งไว้ด้วยชายวัยกลางคนอายุสี่สิบเศษแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของสำนักคุนลุ้นอย่างเห็นได้ชัด จิวอวงยี้ต้องลอบถอนใจ คนที่อยากพบพานกลับไม่พบ คนที่ไม่คิดว่าจะพบกลับได้พบ ไฉนตั่วกอเราไม่ร่วมอยู่ในที่นี้ด้วย
แขกเหลื่อเมื่อมากันพรักพร้อม นั่งดื่มรับประทานอยู่ชั่วครู่ ชายชราผมสีดอกเล้าแต่งกายภูมิฐานอายุประมาณหกสิบ ก็ก้าวออกจากตัวตึกสู่ลานจัดเลี้ยงทักทายแก่ผู้คน มันผู้นี้คือเอ็กเป่งไจ๋ เอ็กเล่าเอ็งฮงอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าแม้ยิ้มแย้มแต่มีเค้าของความเศร้าหมอง ข้างกายมันยื่นไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้อายุสี่สิบเศษ บุคลิกท่าทางดูน่าเลื่อมใสไว้หนวดเครา ทวงท่าสุขุม จิวอวงยี้นึกสงสัยจึงสะกิดกล่าวถามคนด้านข้าง
“พี่ชาย บุคคลที่ยืนด้านข้างเอ็กเล่าเอ็งฮง ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด”
ล้ออันเพ็กได้ยินจึงกล่าวตอบแทนขึ้นว่า
“น้องชายท่านนี้ ท่านไม่ทราบหรือ คนผู้นั้นคือ เล็กเลี้ยงอัน เล็กไต้เฮียบแห่งบ้านเทพกระบี่ หลายปีมานี่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่นับหน้าถือตา คาดว่าอาจเป็นผู้นำชาวยุทธแดนกังน่ำคนต่อไป”
มันพอกล่าวสีหน้าแสดงความภาคภูมิใจ คล้ายท่านไม่รู้แต่เรารู้ จิวอวงยี้นึกหมั่นไส้ในท่าทีของมันที่คล้ายยิ้มเยาะตน จึงกล่าวขอบคุณกับผู้ที่นางกล่าวถาม แต่ไม่ได้ขอบคุณล้ออันเพ็กทั้งยังไม่เหลือบแลมอง ความหมายบ่งบอกว่า เราไม่ได้ถามท่านท่านจะตอบมาไยกัน คนที่ถูกนางสะกิดถามรับคำขอบคุณอย่างมึนงง ล้ออันเพ็กหน้าเสียไม่น้อย ฮ่วมเล้งซังเห็นสีหน้าล้ออันเพ็กต้องหัวเราะคิกคักออกมา
ชั่วครู่หลังจากเอ็กเป่งไจ๋ทักทายกับสหายชาวยุทธจำนวนมากแล้ว ก็พาเล็กเลี้ยงอันมานั่งโต๊ะใหญ่กลางลาน ที่จัดไว้ให้แขกคนสำคัญ หรือผู้ที่มีชื่อเสียงเป็นที่นับถือ พองานเลี้ยงดำเนินถึงเวลา เอ็กเป่งไจ๋ก็ลุกขึ้นกล่าวคำ สีหน้าเศร้าหมอง แววตารัดทดหดหู
“พี่น้องสหายทั้งหลาย งานเลี้ยงนี้จัดขึ้นอย่างฉุกระหุก อภัยที่ต้อนรับไม่ทั่วถึง ความจริงวันนี้มิใช่วันคล้ายวันเกิดข้าพเจ้าแต่ประการใด แต่ที่อ้างเช่นนี้เพราะมีเรื่องคับแค้นใจบางประการ คิดขอความเห็นจากท่านทั้งหลาย”
บรรดาผู้ที่ไม่รู้ความนัยน์พอรับฟังต้องงุนงงชั่วขณะ ล้วนครุ่นคิดสงสัย ไฉนเอ็กเล่าเอ็งฮงถึงจัดฉากงานเลี้ยงบังหน้าคิดพบประชาวยุทธ ไม่ทราบว่ามีความคับแค้นใจประการใด มีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า
“เอ็กเล่าเอ็งฮง เป็นที่เคารพนับถือของพวกเราตลอดมา ในยุทธภพแดนกังน่ำนี้หากไม่ได้ท่านผู้เฒ่าเป็นเสาหลักค้ำจุ่น ไหนเลยสงบสุขอยู่ได้ ความคับแค้นใจของท่านผู้เฒ่าขอให้บอกกล่าวออกมา พวกเราเหล่าสหายพี่น้องยินดีแบ่งเบาภาระช่วยเหลือ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ไม่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าแม้แต่น้อย”
คนผู้นี้พอกล่าวจบ ในแขกเหลื่อที่มามีไม่น้อยส่งเสียงสนับสนุนจนดังอื้ออึง
เอ็กเป่งไจ๋ นิ่งงันชั่วครู่แววตาทอแววซาบซึ้ง โบกมือเป็นสัญญาณต่อบ่าวไพล่ของหมู่ตึกขวัญกล้า ชั่วครู่บ่าวไพล่ห้ามโลงออกมาสองโลง ผู้คนล้วนแตกตื่น ไม่ทราบว่าในงานมงคลเช่นนี้ เอ็กเล่าเอ็งฮงจึงจัดเตรียมโลงศพไว้สองโลงไว้ทำกระไร พอโลงศพทั้งสองถูกหามมาตั้งวางไว้ที่กลางลาน บ่าวไพล่ก็เปิดฝาโลงออก กลิ่นเหม็นของศพก็ส่งกลิ่นออกมาเป็นที่สะอิดสะเอียน
พอเพ่งมองดูในโลงเห็นเป็นศพบุรุษหนุ่มฉกรรจ์สองคน แม้ตายมาแล้วหลายวันแต่ยังพอจำแนกหน้าตาออก บางผู้คนพอเห็นต้องแตกตื่นตกใจ ศพทั้งสองศพนี้ล้วนเป็นบุตรชายของเอ็กเป่งไจ๋ เหล่าชาวยุทธที่มา บ้างเคยมีไมตรีคบหากับสองคนนี้ ล้วนสะทกสะท้อนใจ บ้างเคยได้รับบุญคุณช่วยเหลือจากคนทั้งสองนี้พอเห็น ก็อดหลั่งน้ำตาไม่ได้ ล้วนเกิดคำถามเกิดขึ้นมากมาย บางคนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคับแค้นเป็นการใหญ่เปล่งเสียงตะโกนถามว่าเป็นฝีมือผู้ใด จนเสียงดังซอกแซกจอแจ เล็กเลี้ยงอันรีบกล่าวขึ้นว่า
“สหายทั้งหลาย โปรดสงบสักครู่ เรื่องราวเหล่านี้ให้ เอ็กเล่าเอ็งฮงเป็นผู้บอกกล่าวเถิด”
น้ำเสียงมันมีน้ำหนักไม่น้อย ถึงกับทำให้ผู้คนเงียบงันลง
เอ็กเป่งไจ๋ นิ่งอยู่ชั่วครู่ค่อยบอกกล่าวอย่างเนิบนาบ น้ำเสียงรันทดหดหู นัยน์ตาเศร้าสร้อย แต่ซุ่มเสียงได้ยินโดยทั่ว
“เราความจริงได้บุตรชายตอนอายุเกือบสี่สิบ ตอนนั้นนึกขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ให้ผู้แซ่เอ็กนี้ขาดผู้สืบสกุล บุตรเราทั้งสองคนนี้ ล้วนเติบโตแข็งแรง นิสัยกล้าหาญผดุงคุณธรรม นับเป็นที่ภาคภูมิใจต่อเราอย่างยิ่ง แต่ไม่คาดว่ายามนี้.. ยามนี้..กลับต้องตายอย่างน่าอนาถ ทั้งยังไม่ทันทิ้งทายาทให้กับเราก็ด่วนจากเราไป หรือสกุลเอ็กต้องจบสิ้นลงแล้ว... แต่นี้เราไม่อาจกล่าวโทษสวรรค์ หากจะโทษต้องโทษพรรคมังกรทะเล ในชีวิตผู้แซ่เอ็กไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้แซ่ฮ่วม แต่มันไฉนจึงสังหารบุตรชายเราทั้งสองคน”
มันยิ่งกล่าวยิ่งเดือดดาล น้ำเสียงแตกพร่าประกายตาแตกซ่าน นับว่าเศร้าเสียใจถึงขีดสุด ผู้คนได้ฟังต้องแตกตื่นสงสัยเมื่อรู้ว่าเป็นฝีมือของพรรคมังกรทะเล
ฟังว่าพรรคมังกรทะเลอยู่บนเกาะฝั่งทะเลตงไฮ่ เพียงอยู่แต่น่านน้ำไม่ยุ่งเรื่องราวบนแผ่นดิน อีกทั้งฮ่วมไต้เฮียบมีฝีมือลึกล้ำขับไล่โจรสลัดต่างแดน จนไม่กล้าย่างกรายเฉียดผ่านแทบทะเลตงไฮ่ ชื่อเสียงที่ได้ยินมาไม่ใช่คนชั่วช้าไร้เหตุผล ไฉนจึงมีเรื่องบาดหมางกับเอ็กเล่าเอ็งฮงถึงกับสังหารบุตรชายมันสองคน ล้ออันเพ็กพลันลุกขึ้นสีหน้าไม่ใคร่เชื่อถือว่าเป็นฝีมือของฮ่วมบ้วนลี้ มันเองก็ยกย่องชื่นชมต่อฮ่วมไต้เฮียบผู้นี้ แม้ไม่เคยพบหน้า แต่กิติศัพท์ที่ได้ยินมาย่อมสร้างความนับถือเลื่อมใสแก่มัน ร้องถามอย่างสงสัยว่า
“ฟังว่า ฮ่วมไต้เฮียบแม้มีนิสัยกระทำกระไรตามใจ แต่ก็ไม่เคยเข่นฆ่าคนโดยพละการณ์ นี่ที่แท้ใช่ฝีมือของฮ่วมไต้เฮียบจริงหรือไม่”
ล้ออันเพ็กพอกล่าวถามก็สะกิดความสงสัยแก่ผู้คนที่เคยได้ยินกิติศัพท์ข้อนี้มาบ้างจนต้องส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงม ฮ่วมเล้งซังเห็นมันกล่าวคล้ายนับถือบิดาตนต้องลอบละอายที่เมื่อครู่หัวเราะเยาะต่อมัน เอ็กเป่งไจ๋มีสีหน้าเคร่งขรึม ในดินแดนกังน่ำนี้น้อยคนนักจะไม่เชื่อถือวาจามัน เพ่งมองผู้กล่าวแววตาแสดงความไม่พอใจ กล่าวเสียงดังว่า
“ท่านผู้นี้ถามได้ดี เราเอ็กเป่งไจ๋เป็นคนเช่นไรทุกคนย่อมทราบดี หากไม่มีหลักฐานไหนเลยกล้ากล่าวให้ร้ายคน เกียรติภูมิที่เราสั่งสมมาย่อมเป็นประกันได้ แต่หากยังมีผู้ไม่เชื่อถือ ก็โปรดดูนี่เถิด”
พลางดึงผ้าคลุมศพออก เผยให้เห็นทรวงอกเปล่าเปลือย ที่ทรวงอกมีบาดแผลเป็นรูสามรูคล้ายโดนสิ่งหนึ่งสิ่งใดเจาะทะลุทรวงอก อีกศพหนึ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน
ผู้คนต่างคาดเดาไม่ออกว่าบาดแผลนี้เกิดจากอาวุธชนิดใด ล้วนครุ่นคิดสงสัยว่าบาดแผลพวกนี้เกี่ยวข้องอันใดกับพรรคมังกรทะเล เอ็กเป่งไจ๋กล่าวเสียงเน้นหนักว่า
“บาดแผลพวกนี้เกิดจากแส้เก้าปล่องมังกรวารี มีแต่กระบวนท่า มังกรวารีล่องลำน้ำ จึงสามารถทำให้เกิดบาดแผลเช่นนี้ได้ ผู้อาวุโสหลายท่านในที่นี้ล้วนเป็นที่ยืนยัน ในยุทธภพนี้แส้เก้าปล่องมังกรวารีมีหนึ่งเดียว หากไม่ใช่ฝีมือผู้แซ่ฮ่วม ยังจะเป็นผู้ใดได้”
บรรดาผู้คนพอได้รับฟังจึงค่อยเข้าใจ หากเป็นเช่นนี้นับว่าผู้แซ่ฮ่วมเป็นผู้ลงมือแล้ว
คนผู้หนึ่งในโต๊ะผู้นั่งคนสำคัญพลันผลุดลุกขึ้น กลับเป็นหัวหน้าพรรคปลาวาฬ ซงม่งเตา เค้นเสียงกล่าวกังวานว่า
“ผู้แซ่ฮ่วม นับเป็นตัวดีอันใด ถือดีว่ามีวรยุทธสูงส่ง เที่ยวก่อกรรมทำเข็ญรังแกผู้อื่น เราเองก็เคยอยู่แทบทะเลตงไฮ่แต่ถูกคนชั่วผู้นี้บีบครั้นบังคับจนไม่อาจอาศัยอยู่ได้ จำต้องโยกย้ายมายังลุ่มน้ำแยงซีเกียง ผู้คนแทบทะเลตงไฮ่เข้าใจว่ามันเป็นไต้เฮียบผู้หนึ่ง ที่แท้มันคือโจรร้ายผู้หนึ่ง”
ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบเศษผู้หนึ่งผลุดลุกขึ้นทามกลางโต๊ะแขกเหลื่อที่นั่งดื่มกิน คนผู้นี้เรียกว่า มือเหล็กร้อยวิญญาณ อูกิมเพียว เป็นชาวยุทธมีชื่อผู้หนึ่งในแดนกังน่ำ ตบโต๊ะดังฉาดใหญ่กล่าวอย่างครุ่นแค้นว่า
“เฮอะ ..สองปีก่อนมีโอกาสพบมันครั้งหนึ่ง มันผู้นี้เพียงคิดจะชิงปลาหลีฮื้อแดงของเรา ถึงกับลอบลงมือทำร้ายเรา ดีที่สวรรค์ยังเมตรา ให้เราหลุดรอดได้ คนผู้นี้เป็นโจรร้ายจริงๆคิดได้ของสิ่งใดก็ช่วงชิงเอา ไม่ทราบว่ามันอยู่น่านน้ำตงไฮ่ปล้นเรือสินค้าของพ่อค้าเรือไปกี่มากน้อย”
ฮ่วมเล้งซังพอเห็นอูกิมเพียวต้องอุทานดัง อา..ออกมา คล้ายกับเคยพบเห็นกันมาก่อน พอฟังมันกล่าวว่าร้ายบิดา ต้องขุ่นข้องคับแค้นจะลุกขึ้นคล้ายกล่าววาจาแต่จิวอวงยี้ฉุดห้ามไว้ ชายวัยกลางคนที่นั่งข้างจิ่นง้วนตัง พลันลุกขึ้น คนผู้นี้สีผมแซมหงอกขาวอายุสี่สิบห้าสิบปี ทวงท่าน่าเกรงขาม ข้างเอวสะพายกระบี่ยาว กลับเป็น จิ่นกวงทง รองเจ้าสำนักคุนลุ้นบิดาของจิ่นง้วนตัง สืบเท้าก้าวออกมากล่าวว่า
“ถูกต้องแล้วคนผู้นี้เป็นโจรร้าย มันกราบมารเฒ่า อี่น่ำเก็ง เป็นอาจารย์ ทั้งยังกราบจอมอสูรร้ายเค็กเอี้ยงเป็นพ่อตา คนสองคนนี้ในอดีตก่อกรรมทำเข็ญในยุทธภพมากมาย ยิ่งเค็กเอี้ยงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเข่นฆ่าชาวยุทธเราเป็นผักปลา พฤติกรรมของคนเหล่านี้ย่อมบ่งบอกถึงนิสัยของมันได้”
สำนักคุนลุ้นความจริงไม่ได้อยู่แดนกังน่ำแต่อยู่ทางตอนเหนือทางตะวันตก แต่จิ่นกวงทงมีไมตรีคบหากับเอ็กเป่งไจ๋เป็นอย่างดีเมื่อทราบว่าฮ่วมบ้วนลี้ฆ่าบุตรชายของเอ็กเล่าเอ็งฮง ก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้ มันพอกล่าวถึงอี่น่ำเก็งกับเค็กเอี้ยงเป็นเรื่องราวเมื่อหลายสิบปีก่อนแม้มีหลายคนไม่ได้พบเห็นด้วยตา แต่กลับเคยได้ยินมา ทราบว่าสองคนนี้เป็นมารร้ายยุทธภพ มีหลายคนไม่ทราบว่าซือแป๋ฮ่วมบ้วนลี้เป็นผู้ใด งักแป๋(พ่อตา)เป็นผู้ใด ยามนี้ได้ทราบ ล้วนครุ่นคิดว่าหากผู้แซ่ฮ่วมคลุกคลีอยู่กับคนพวกนี้ย่อมมีนิสัยโหดร้ายเป็นแน่
เอ็กเล่าเอ็งฮงพลันหลังน้ำตากล่าวน้ำเสียงสั่นพร่า
“บุตรชายเราทั้งสองในชีวิตล้วนกระทำแต่ความดี ไม่ทราบมีความผิดใด ถึงโดนมันเข่นฆ่าได้”
มีเสียงผู้คนอีกผู้หนึ่งร้องขึ้นว่า
“คนผู้นี้ชั่วช้าอย่างยิ่งปล่อยไว้ไม่ได้ เราทราบว่ามันฆ่าคนดีไปมากมาย พวกเราร่วมมือกันกำจัดมารร้ายนี้ แก้แค้นให้เอ็กไต้เฮียบทั้งสองเถอะ”
บรรดาผู้คนเมื่อได้ฟังเช่นนี้ต่างเห็นว่า ฮ่วมบ้วนลี้เป็นตัวร้าย การยื่นมือช่วยเหลือด้วยคุณธรรมเป็นสิ่งที่ถูกต้องจึงโห่ร้องสนับสนุน บางคนกล่าวด่าประณามอย่างรุ่นแรง
ฮ่วมเล้งซังไม่อาจทนฟังได้ ลุกขึ้นพรวดพราดกระโจนไปยังพื้นที่ลานกว้าง จิวอวงยี้ลอบร้องย่ำแย่รีบทยานร่างติดตามไปดุจเงาตามตัว ฮ่วมเล้งซังพอหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ก็ชี้หน้าเอ็กเป่งไจ๋ ร้องว่า
“พวกท่านดีแต่ให้ร้ายคน เรื่องราวพวกนี้ล้วนไม่เป็นความจริง”
ผู้คนต่างตะลึงงันไม่ทราบว่าเด็กน้อยผู้นี้มาจากที่ใด จู่จู่ก็โพล่พรวดพราดเข้ามา อีกทั้งยังมีบุรุษหนุ่มที่อยู่ด้านข้างอีกผู้หนึ่ง ดูมันก้าวมาที่หลังแต่บรรลุถึงโดยพร้อมเพียงนับว่าวิชาตัวเบาสูงส่งยิ่ง หัวหน้าพรรคปลาวาฬ ซงม่งเตา เห็นเด็กน้อยนี้พอมาถึงก็กล่าววาจาสามห้าวต่อเอ็กเล่าเอ็งฮง ทั้งยังแสดงกิริยาเสียมารยาท ต้องตวาดด่าขึ้น
“เด็กน้อยนี้มากับผู้ใด ไฉนจึงไม่มีผู้อบรมสั่งสอน ปล่อยให้มาเสียมารยาทในที่นี้”
ฮ่วมเล้งซังเพ่งมองซงม่งเตา ด้วยสายตาเขม่งเกียว ชี้หน้ามัน กล่าวว่า
“ซงม่งเตา ท่านโดนขับไล่ออกจากแทบทะเลตงไฮ่เนื่องด้วยประการใด ผู้อื่นล้วนไม่ทราบแต่ข้าพเจ้าทราบดี ผู้น้องท่าน ซงติงเทา ปล้นชิงเรือพ่อค้าทั้งยังสังหารคนเหล่านั้นหมดสิ้น ท่านผู้เป็นพี่ไม่เพียงไม่ลงโทษแต่กลับปกป้อง พรรคมังกรทะเลเพียงขับไล่ท่านออกจากทะเลตงไฮ่นับว่ากรุณามากแล้ว ท่านไม่เพียงไม่สำนึกยังกล้ากล่าววาจาให้ร้ายคน”
ซงม่งเตาหน้าพลันไร้สีเลือด ไฉนเด็กน้อยนี้รู้เรื่องที่ตี่ตี๋(น้องชาย)ของตนกระทำไว้ ยามกระทันหันนึกคำกล่าวแก่ต่างไม่ออก ฮ่วมเล้งซังไม่รอให้มันตอบคำดึงหมวกที่สวมอยู่ออกเผยให้เห็นผมยาวสยายปลกลง ผู้คนจึงทราบว่านางเป็นสตรีมิใช่บุรุษสร้างความแตกตื่นแก่ผู้คน พลันชี้มือไปยังอูกิมเพียว กล่าวต่อไปว่า
“ท่านจดจำข้าพเจ้าออกหรือไม่”
อู้กิมเพียว งงงันวูบก้าวเดินออกมาจากกลุ่มคนเพ่งพินิจดูครู่หนึ่ง พอนึกได้สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนถอยกายอย่างลืมตัว ร้องออกมา
“นางคือบุตรตรี ฮ่วมบ้วนลี้”
คำกล่าวนี้พอกล่าวออกมา ผู้คนต่างตื่นตระหนกระคนสงสัย ไฉนนางมาอยู่ยังที่นี้ เอ็กเล่าเอ็งฮงพอทราบดวงตาต้องทอประกายอำมหิตวูบหนึ่ง จิวอวงยี้ต้องลอบร้องย่ำแย่ ไฉนซังม่วยถึงไม่รู้ความเช่นนี้ ผู้คนในที่นี้ล้วนเห็นบิดานางเป็นศัตรูใคร่จะกินเลือดกินเนื้อ กลับเปิดเผยตัวออกไปนี่นับว่าตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งแล้ว ฮ่วมเล้งซังไม่ได้แยแสสนใจกล่าวขึ้นว่า
“นับว่าท่านยังจำได้ ท่านบอกว่าบิดาข้าพเจ้าลอบทำร้ายท่าน เพื่อแย่งชิงปลาหลีฮื้อแดง วันนั้นข้าพเจ้าก็อยู่ด้วย ขอถามหน่อย ปลาหลีฮื้อแดงความจริงเป็นของผู้ใด แล้วบิดาข้าพเจ้าลอบทำร้ายท่านในที่ใด”
อูกิมเพียวอ่ำอึ้งไม่ได้ตอบคำ ฮ่วมเล้งซังจึงกล่าวต่อไปว่า
“ท่านไม่บอกข้าพเจ้าบอกให้ก็ได้ ปลาหลีฮื้อแดงเป็นของชาวประมงผู้หนึ่งที่ตกได้ ท่านเห็นว่าปลาตัวนี้เป็นปลาวิเศษสามารถทำเป็นยาบำรุงแก้พิษร้าย จึงไปขอซื้อต่อจากชาวประมงผู้นั้น มันไม่ยอมขาย กลับถูกท่านทำร้ายจนขาหักกระดูกแตก บิดาข้าพเจ้าผ่านมาพบเห็น กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ชาวตงง้วนมีวิธีซื้อขายแบบแปลกๆ เช่นนี้จะลองไปซื้อต่อปลาหลีฮื้อแดงต่อจากท่านดู ท่านเองก็ไม่ยอมขาย บิดาข้าพเจ้าจึงลงมือทุบตีท่านจนขาหักกระดูกแตกเหมือนชาวประมงผู้นั้น ข้าพเจ้าสงสัยจึงกล่าวถามว่า บิดาไฉนลงมือทำร้ายคน บิดาข้าพเจ้าตอบว่า นี้คงเป็นวิธีซื้อขายอย่างหนึ่งของชาวแผ่นดินใหญ่ แต่วิธีนี้ไม่ดียิ่งภายหลังอย่าได้ทำเป็นอันขาด ตอนนั้นข้าพเจ้าเพิ่งออกจากเกาะไม่ทราบเรื่องราวกลับเข้าใจว่ามีวิธีเช่นนี้อยู่จริง ภายหลังไปถามต่อมารดาจึงได้ทราบว่า นี้เป็นการลงมือทำร้ายคนช่วงชิงของ”
นางกล่าววาจาใสซื่อไร้เล่ห์ลิ้นคารมแม้แต่น้อย กลับกล่าวเล่าออกมายืดยาวเป็นเรื่องราว แม้ฟังดูไม่น่าชวนหัว แต่เห็นท่าทีไร้เดียงสาของนางก็อดขำขันไม่ได้ในโลกนี้ไหนเลยมีวิธีซื้อขายตามบิดานางบอกกล่าว จิวอวงยี้ต้องลอบอมยิ้มครุ่นคิดไม่ทราบว่า ฮ่วมบ้วนลี้นี้เป็นบุคคลเช่นไร ถึงอบรมบุตรตรีออกมาเช่นนี้ได้ อูกิมเพียวหน้าแดงฉาดด้วยความอับอาย ซงม่งเตาพลันกระชากเสียงกล่าวว่า
“อย่าไปฟังเด็กผู้นี้กล่าวเหลวไหล เด็กผู้นี้เป็นฮ่วมบ้วนลี้ส่งมาให้ก่อกวนให้ร้ายผู้คน นางเป็นบุตรตรีฮ่วมบ้วนลี้ย่อมเข้าข้างบิดา ทางทีดีครากุมตัวไว้ก่อน”
วาจาของมันกล่าวยังไม่ทันจบก็ชิงลงมือแล้ว ฮ่วมเล้งซังแม้มีฝีมือดีแต่ประสบการณ์ยังอ่อนด้วยไม่คาดว่ามันจะลอบลงมือกระทันหันไม่ทันตั้งตัวปกป้อง ปากมันบอกครากุมแต่การลงมือรวดเร็วดุดันหมายฟาดทารกหญิงนี้ให้ตายในฝ่ามือเดียว จิวอวงยี้ระวังอยู่ก่อนแล้วกระชากเสียงกล่าวว่า
“คิดลงมือปิดปากผู้คน นั้นไม่ง่ายแล้ว”
พลางดึงฮ่วมเล้งซังไปด้านหลังตนเองฟาดฝ่ามือยมทูตออกต้านประทะ ซงม่งเตามีฝีมือมิใช่ชั่วกำลังภายในกล้าแข็งกว่านางขั้นหนึ่ง พอฝ่ามือทั้งสองปะทะกันจิวอวงยี้ต้องพริ้วกายหมุนตัวลดแรงกระแทกไปสองก้าว ซงม่งเตาร้องโอย.. ออกมา กุมมือข้างที่ฟาดออกสีหน้าเจ็บปวดยิ่ง เห็นเลือดหลังไหลมาตามฝ่ามือที่ใจฝ่ามือปักไว้ด้วยเข็มเล่มหนึ่ง ที่แท้เมื่อครู่จิวอวงยี้เห็นมันลอบทำร้ายฮ่วมเล้งซัง นางจึงลอบประทุษมันกลับคืนยามฟาดฝ่ามือออกต้านประทะ ซุกเข็มไว้ที่ฝ่ามือ ซงม่งเตาฟาดออกโดยแรงกลับโดนเข็มของนางปักทะลุฝ่ามือ อูกิมเพียวเห็นเข็มพิษชนิดนี้จดจำออกว่าเป็นของบุปผาร้อยพิษคังหมิ่นในสามภูติกวนตั๋ง ทราบว่ามีพิษร้ายแรง รีบคว้ากระบี่ผู้ที่อยู่ด้านข้างสะอึกกายเข้าหากล่าวว่า
“ซงปังจู้ นี้เป็นเข็มอสรพิษของสามภูติกวนตั๋ง หากปล่อยไว้อาจถึงแก่ชีวิต ทางที่ดีตัดมือข้างนี้ทิ้งก่อนพิษจะแล่นเข้าสู่หัวใจ”
ซงม่งเตาใจหายวาบพอทราบว่าเป็นเข็มอสรพิษของสามภูติกวนตั๋ง ฟังว่ามีเข็มนี้มีพิษร้ายแรงเพียงอึดใจเดียวยังไม่ทันหายารักษาก็ตกตาย หากเป็นเช่นนี้ชีวิตตนสำคัญกว่า เสียมือข้างหนึ่งจะเป็นไร ไม่คบคิดมากความพลันยื่นมือออกให้ อูกิมเพียวจัดการ อูกิมเพียวพอเงื้อมือสะบัดกระบี่ จิวอวงยี้รีบกล่าวห้าม
“นี่..ไม่ใช่เข็มอสรพิษของสามภูติกวนตั๋ง”
ซงม่งเตาต้องแตกตื่นรีบหดมือกลับแต่ไหนเลยทันการณ์ กระบี่ที่อูกิมเพียวฟาดฟันมีความรวดเร็วยิ่ง ฟัดมือมันขาดเสมอข้อ มันร้องโอดครวญก่นด่าอูกิมเพียวเป็นการใหญ่กล่าวอาฆาตจะเอาชีวิตสั่งบิรวารพรรคปลาวาฬให้จับตัวอูกิมเพียวไว้ อูกิมเพียวหน้าแปรเปลี่ยนจนบอกไม่ถูก มันไม่ได้มีเจตนาทำร้ายซงม่งเตา แต่กลับเข้าใจว่าเข็มที่บุรุษผู้นี้ใช้เป็นเข็มอสรพิษ ยามนี้กลับทำร้ายมือมันขาดข้างหนึ่ง เห็นมือดีของพรรคปลาวาฬกรูกันเข้ามาเจ็ดแปดคน รีบฝ่าวงล้อมกระโจนหลบหนี ปากยังตะโกนร้องกล่าว
“ผู้แซ่ซงเราเจตนาช่วยเหลือท่าน แต่เป็นทำร้ายท่านโดยไม่ตั้งใจแต่ท่านกลับคิดเอาชีวิตเรา”
คนพรรคปลาวาฬไหนเลยฟังคำติดตามหลังมันฝ่าผู้คนหมายคิดจับตัวให้ได้ บริวารที่เหลือรีบเข้าไปพยุงซงม่งเตาติดตามไปอีกผู้หนึ่ง เอ็กเป่งไจ๋คิดกล่าววาจาไกล่เกลี่ยก็ไม่ทันการณ์อารมณ์พลันเดือดดาลขึ้น ชี้มือไปที่จิวอวงยี้และฮ่วมเล้งซัง กระชากเสียงกล่าวว่า
“เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพราะสองคนนี้ จับกุมตัวไว้”
บริวารหมูตึกขวัญกล้าสิบยี่สิบคนรีบชักกระบี่รายล้อมเข้าหา จิวอวงยี้กอดเอวฮ่วมเล้งซังไว้ กระซิบกล่าวว่า
“ซังม่วย ท่านก้าวเท้าตามข้าพเจ้า”
พลางก้าวขาสลับหลบรอดคมกระบี่ที่ถาโถมเข้ามาดุจแห่ตะข่าย สะกิดเท้าทยานขึ้นบนหลังคาพอเหยียบย้ำก้าวเท้าสองครั้งก็พาฮ่วมเล้งซังบรรลุถึงหลังคาชั้นบนสุดของตัวตึก คาดคิดไว้ว่าหากอยู่ยังเบื้องล้างผู้คนมากมายไม่สามารถรับมือได้ ชิงหาชัยภูมิที่เหมาะสมคอยแก้สถานการณ์ บรรดาชาวยุทธที่มาเห็นตึกนี้สูงถึงห้าชั้นแต่บุรุษผู้นี้ก้าวทยานดุจเหินบินทั้งยังโอบประคองดรุณีนางหนึ่งยังสามารถขึ้นไปได้โดยง่าย ความสำเร็จในวิชาตัวเบาเช่นนี้ยากยิ่งจะพบพาน ต่างอดชมเชยมิได้ เอ็กเป่งไจ๋เห็นบุรุษผู้นี้พาร่างดรุณีนางหนึ่งหลบรอดคมกระบี่ที่แน่นหนาอย่างแยบคาย อีกทั้งเมื่อครู่ยังใช้เข็มพิษจู่โจมใส่ซงม่งเตา พลันฉุกคิดได้ ‘ที่แท้มันเป็นศิษย์สามภูติกวนตั๋ง เช่นนี้ก็ไม่อาจปล่อยไว้’ รีบสั่งบริวารทั้งหมดรายล้อมตัวตึกไว้ไม่ให้หลบหนี เค้นเสียงกล่าวตะโกนขึ้นไป
“ที่แท้เจ้าเป็นศิษย์เหล่าโจรร้ายสามภูติกวนตั๋ง ครั้งนี้พรรคมังกรทะเลสมคบมหาโจรส่งคนสองคนนี้มาก่อกวนงานของเรา วันนี้อย่าหมายหลบหนีไปได้”
จิวอวงยี้เชิดหน้ายิ้มเยาะ กล่าวว่า
“ท่านกล่าววาจาให้ร้ายคนพอรึยัง เป็นศิษย์โจรแล้วเป็นไร ยังดีกว่าหมู่ตึกขวัญกล้าท่าน เฮอะ..ได้ยินชื่อเสียงหมู่ตึกขวัญกล้ามานาน เรื่องรวมพรรคพวกทำร้ายผู้คน นับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ แม้เด็กผู้หญิงตัวน้อยๆผู้หนึ่งยังใช้วิธีกรุ่มรุม หากพวกท่านเก่งกล้าสามารถก็ขึ้นมาวัดฝีมือกันบนนี้เถอะ”
เอ็กเป่งไจ๋หน้าแดงชาด เดือดดาลจนหนวดเคราชูชัน คิดกระโจนขึ้นไปจริงๆ แต่กลับเห็นคนผู้หนึ่งสะอึกกายขวางหน้าไว้กลับเป็น จิ่นง้วนตัง ประสานมือต่อเอ็กเป่งไจ๋กล่าวว่า
“เอ็กเอี่ยเอี้ย เรื่องนี้มิต้องถึงมือท่าน ไว้เป็นหน้าที่ข้าพเจ้าจะนำตัวมันลงมาให้เอ็กเอี่ยเอี้ยสั่งสอน”
เอ็กเป่งไจ๋ ทราบว่าจิ่นง้วนตังมีฝีมือดี อีกทั้งคนหนุ่มคิดแสดงฝีมือไม่ควรขัดขวางจึงผงกศีรษะรับกล่าวว่า
“เช่นนั้นหลานจิ่น ระวังตัวให้มากไว้”
จิ่งง้วนตังรับคำพลางทยานร่างขึ้นก้าวกระโจนไปตามหลังคา พอถึงประสานกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าจิ่นง้วนตังแห่งคุนลุ้นขอรับทราบฝีมือแล้ว”
พลางชักกระบี่ออกดัง เปรื่อง ตระเตรียมพร้อม จิวอวงยี้แย้มยิ้มกล่าวเสียงดังว่า
“อ่อ.. ที่แท้ท่านคือจิ่นง้วนตังแห่งคุนลุ้น ได้ยินมาว่า คราก่อนท่านต่อยตีแย่งสตรีกับกระบี่ประกายฟ้า ล้ออันเพ็ก ที่เมืองกันจือ โค่นมันพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าจนต้องร้องขอชีวิต ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่”
จิ่นง้วนตังงงงันวูบไฉนเรื่องที่มันวิวาทกับล้ออันเพ็กถึงแพร่กระจายออกมาเช่นนี้ ยามกระทันหันยังไม่ได้ตอบคำ
ล้ออันเพ็กอยู่เบื้องล้างยังได้ยินอย่างชัดเจนอีกทั้งผู้คนที่อยู่ด้านล้างพอฟังก็เพ่งมองมันด้วยสายตาประหลาด คล้ายยึดถือว่าข่าวนี้เป็นจริง ไหนเลยยังนิ่งเฉยอยู่ได้รีบก้าวกระโดดขึ้นหลังคาไปอีกผู้หนึ่ง พอถึงรีบกล่าวว่า
“เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง คนผู้นี้ไหนเลยเคยชนะเรา ไม่ทราบเป็นผู้ใดปล่อยข่าวลือให้เสื่อมเสียแก่เรา”
จิวอวงยี้แสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ กล่าวว่า
“ท่านคือล้ออันเพ็กหรือ เมื่อครู่นั่งร่วมโต๊ะกับท่านกลับไม่ทราบ ข้าพเจ้าฟังมาจากศิษย์สำนักคุนลุ้นผู้หนึ่งนำมาเล่าให้ฟัง แต่ยังไม่ปักใจเชื่อนึกสงสัยอยู่บ้าง ฟังว่าบ้วนกิมเกี่ยมแม้กำเนิดหลังคุนลุ้นแต่มีเพลงกระบี่เด่นล้ำกว่า ไหนเลยกระบี่ประกายฟ้าที่เป็นศิษย์เอกของสำนักถึงผ่ายแพ้หมดรูปได้”
ล้ออันเพ็กพอฟังว่าผู้ปล่อยข่าวเป็นศิษย์สำนักคุนลุ้นต้องเดือดาลขึ้นเค้นเสียงกล่าวว่า
“เฮอะ...ผู้ปล่อยข่าวเป็นศิษย์คุนลุ้นย่อมต้องเข้าข้างพวกเดียวกัน ปล่อยข่าวยกย่องตนเองทำให้เราเสื่อมเสียเช่นนี้ไม่ถูกแล้ว”
จิ่นง้วนตัง ยามนี้คิดมาจับคนไม่ต้องการตอแยต่อล้ออันเพ็กจึงกล่าวว่า
“ผู้แซ่ล้อท่านถอยไปก่อน เรื่องราวของเราไว้ว่ากล่าวที่หลัง”
จิวอวงยี้รีบกล่าวแทรกขึ้น
“ไหนเลยกล่าวที่หลังได้ ในที่นี้มีผู้คนมากมายหากท่านย่อมถอยเท่ากับว่ายอมรับแล้ว ภายหน้าอย่าหมายแบกหน้าอยู่ในยุทธภพเราได้”
ล้ออันเพ็กแม้ทราบว่านางยุยง แต่คำกล่าวของนางนับว่าสมเหตุผล หากวันนี้ยอมถอย ต่อหน้าผู้คนมากมายไหนเลยแบกหน้าไว้ได้ ภายหลังจะกล่าวแก้ต่างได้เช่นไร พลางสะบัดกระบี่ออกจากฝักกล่าวว่า
“ผู้แซ่จิ่น วันนี้เรามาตัดสิ้นแพ้ชนะ อย่าให้เป็นที่ค้างคาใจผู้คน เกิดเป็นข่าวลืออุบาทว์อันใดอีก”
พลางสะอึกกายเข้าหา ฟาดฟันกระบี่ออกอย่างหักโหม คิดล้างข่าวโคมลอยอัปยศ ใช้เพลงกระบี่เก้าโคจรที่เลื่องลือของบ้วนกิมเกี่ยมเข้าห้ำหั่น หมายสยบจิ่นง้วนตังโดยเร็ว จิ่นง้วนตังเห็นประกายกระบี่เกรี้ยวกราดรวดเร็วจู่โจมมา ทราบว่าครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงรีบยกกระบี่ขวาง ร่ายรำสิบสามกระบี่เอกะคุนลุ้นเข้าต้านทาน เพลงกระบี่ล้ำเลิศของสองสำนักใหญ่ถูกใช้ออกด้วยศิษย์เอกสองสำนัก บันดาลให้ผู้คนชมดูด้วยใจระทึก ผู้คนต่างโห่ร้องชมเชยไม่ขาดปาก ชมดูไม่คาดสายตา
ตอนนี้ทั้งล้ออันเพ็กกับจิ่นง้วนตังล้วนครุ่นคิดขึ้น หากให้ผ่ายแพ้คงทำไม่ได้แล้ว นี่นับว่าไม่เกี่ยวพันเพียงศักดิ์ศรีของคนสองคน แต่กลับเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงสำนัก ภายใต้สายตาชาวยุทธมากมายย่อมโจษจันเล่าขานในการประลองครั้งนี้ เพลงกระบี่ของคนทั้งสองยิ่งใช้ออกสุดกำลังฝีมือ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากผ่ายแพ้ เห็นเงาสองสายโลดแล่นไปมาประกายกระบี่สะท้อนแสงจันทร์เป็นม่านวงดูระลานตา ตอนนี้กลับยังไม่สามารถจำแนกออกว่าเป็นผู้ใดมีฝีมือเหนือล้ำกว่ากัน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
กำลังโหลด...
2ความคิดเห็น