ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Sweetly Chapter 9 :: Alex's Secret
ในที่สุดดดดดด! ก็กลับมาอัพซะทีหลังจากที่หายไปนานนนนนมาก 555+ ขออภัยนักอ่านทุกคนด้วยนะคะ เราไม่ว๊างไม่ว่างจริงๆ ช่วงนี้ปิดเทอมได้กลับบ้านเกิดเลยมีโอกาสได้แต่งต่อมั่ง :D ยังไงก็ขอให้ติดตามกันเหมือนเดิมนะคะ จะพยายามคลอดตอนต่อไปให้เร็วๆค่ะ
อย่าลืมคอมเม้นติชม หรือโหวต หรือถ้าอ่านแล้วชอบก็กด FAV ไปเลยนะคะ ขอบคุณค่า _/l\_
_____________________________________________________________________________________
Sweetly Chapter 9 :
Alex's secret
“ต้นรัก เธออ่านชีวะจบรึยัง?”
“เกือบละ” ฉันตอบอเล็กซ์ทั้งๆที่ตายังจดจ่ออยู่กับหนังสือ
“เกือบของเธอมันแค่ไหน?”
“สามหน้า -_-;”
“ว่าแล้วเชียว เธอมันพึ่งพาไม่ได้จริงๆด้วย =_=”
อเล็กซ์พูดพลางถอนหายใจเฮือกก่อนจะถอยกลับไปอ่านหนังสือชีวะของตัวเองต่อบนโซฟา จะให้ฉันทำไงได้ล่ะ ก็เพิ่งจะเริ่มหยิบขึ้นมาเปิดเมื่อกี้นี้เองนี่ ถึงแม้ว่าฉันจะเรียนอยู่ฝั่งสามัญและอเล็กซ์เรียนฝั่งสองภาษา แต่พวกเราก็เรียนหลักสูตรเดียวกัน และแน่นอนว่าข้อสอบของเราต้องออกคล้ายกัน ต่างกันแค่ว่าของฉันเป็นภาษาไทย แต่ของอีตานี่เป็นภาษาอังกฤษ นี่คงหวังให้ฉันติวให้สินะ เสียใจด้วยย่ะ เชิญงมต่อไปเหอะ โฮะๆ (ฉันด้วย T^T)
นี่ก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วตั้งแต่อเล็กซ์มาอาศัยอยู่ที่บ้านของฉัน เราสองคนเริ่มสนิทกันมากขึ้นและทะเลาะกันน้อยลง ไม่น่าเชื่อล่ะสิ ยัง...ยังมีอะไรที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่านี้อีก นั่นก็คือภาษาอังกฤษของฉันที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างเมื่อกี้ที่ฉันกับอเล็กซ์คุยกัน เราก็คุยกันเป็นภาษาอังกฤษนะจ๊ะพี่น้อง >O< แถมสอบเก็บคะแนนภาษาอังกฤษครั้งที่แล้ว คะแนนของฉันพุ่งพรวดจาก 2 ขึ้นมาเป็น 60 ต้นๆเลยนะ เล่นเอาอึ้งตะลึงตึ่งโป๊ะกันยกสายชั้น งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้อเล็กซ์และยัยไอย์ที่เป็นคนช่วยเคี้ยวเข็ญบังคับให้ฉันอ่านหนังสือและพูดภาษาอังกฤษทุกวัน(อย่างโหดร้าย)
จู่ๆเสียงปากกาครูดคราดๆก็หยุดลง อเล็กซ์เงยหน้าขึ้นมองมาที่ฉันเหมือนนึกอะไรได้
“นี่วันนี้วันเกิดของอาร์ม น้องอั๋นแหละ เขาฝากฉันมาชวนเธอด้วยนะ อยากไปมั้ย?”
ฉันนิ่งไปสักพัก ก่อนจะตอบเขาด้วยเสียงที่พยายามให้ราบเรียบที่สุด “ก็ได้ ไปก็ไป”
“ดี งั้นก็ปิดหนังสือแล้วไปเตรียมตัวได้แล้ว อีกชั่วโมงนึงงานจะเริ่ม” อเล็กซ์พูดพลางหยิบหนังสือออกไปจากมือฉัน แล้วรุนหลังฉันเข้าไปในห้อง โดยที่ฉันยังไม่ทันได้ทักท้วงอะไรใดๆทั้งสิ้น ก่อนที่ฉันจะรู้สึกตัวก็มาอยู่ในห้องตัวเองซะแล้ว -O- ฉันหมุนตัวหันไปแหวใส่ประตูที่ปิดลงอย่างงงๆ
“น่ะ นี่! ฉันเพิ่งอ่านไปได้สามหน้ากับอีกสองบรรทัดครึ่งเองนะ”
“ช่างมันเถอะน่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยอ่านต่อก็ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวฉันติวให้เอง ฉันอ่านบทนั้นจบแล้ว” อเล็กซ์ตะโกนตอบกลับมา อะไรนะ? เขาอ่านจบแล้ว? =O=!! คุณพระคุณเจ้าช่วย เขาจะรีบอ่านไปไหนเนี่ย
“อ้อ ลืมบอกไป ธีมงานวันนี้คือละครสัตว์นะ หาชุดใส่ให้เข้ากับหน้า เอ้ย งานด้วยล่ะ -_-“
มีธีมด้วยเรอะ!? เหอๆ ก็น่าสนุกดีนะ เอ...ละครสัตว์ ใส่ชุดไรดีหว่า ฉันรื้อตู้เสื้อผ้าอยู่สักพักก็หยิบเอาชุดโบโซ่กระโปรงบานสีแดงที่เคยใส่แสดงสมัยม.ต้นออกมาพร้อมกับถุงน่องลายทางสีขาวแดงที่เพิ่งซื้อสัปดาห์ที่แล้วมาใส่ คับเหมือนกันแฮะ นี่ฉันอ้วนขึ้นหรอเนี่ย =_=; ฉันแขม่วพุงสุดฤทธิ์และรูดซิปปิดถึงคอ ก่อนจะหันไปสำรวจความเหมือนในกระจก
อืม...ชุดผ่านแล้ว เหลือหน้ากับผม ฉันจัดการแต่งหน้าเล็กน้อย ผมก็มัดเป็นหางม้าสูงบนหัว ไม่นานอีตาอเล็กซ์ก็มาเคาะประตูห้องของฉันอีกครั้ง ยังไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยปากพูดอะไร อีตานั่นก็คว้าแขนฉันแล้วลากไปขึ้นแท็กซี่ด้วยความไวแสง
ทันทีที่พวกเรามาถึง ปาร์ตี้ก็เริ่มไปแล้ว คนมาร่วมงานเยอะพอสมควร ส่วนมากก็เป็นพวกเด็กนักเรียนฝั่งสองภาษาทั้งนั้นนั่นแหละ และแต่ละคนก็แต่งตัวได้ประหลาดจนทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองมางานแฟนซีซาฟารีเวิล์ดอะไรอย่างนั้นเลย ดูนั่นสิ ยีราฟขนตายาวสองตัวกำลังคุยกัน ไหนจะสิงโตกำลังดื่มค็อกเทลสีฟ้าตรงเคาท์เตอร์อีก =_=
“เดี๋ยวเธอยืนรอตรงนี้ก่อนละกันนะ ฉันจะไปหาอั๋น”
อเล็กซ์หันมาพูดกับฉันท่ามกลางเสียงดนตรีจากเครื่องเสียงที่ดังกระหึ่ม ฉันพยักหน้าเออออเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะผละตัวออกไป
อ้อ ลืมบอกไปเลยว่าวันนี้อเล็กซ์แต่งตัวมาในชุดนักมายากล บนหัวของเขามีหมวกทรงสูงสีดำ เข้ากับชุดทักซีโด้สีดำ และเนื่องจากว่าอีตานี่แต่งตัวดูเป็นมนุษย์มนามากที่สุดในงานแล้ว (รวมถึงฉันด้วยอ่ะนะ) บวกกับหน้าตาและทรงผมที่เซ็ตมาอย่างดี ทำให้สาวๆในชุดสิงสาราสัตว์ทั้งหลายมองตามคอแทบหลุด เดาได้เลยว่าพวกหล่อนคงภาวนาให้ตัวเองใส่ชุดราตรีมาแทนที่จะเป็นคอสตูมนกพิราบแบบนี้ -_-;
“หวัดดีค่ะพี่ต้นรัก”
“อ้าว หวัดดีนิกส์” ฉันส่งยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้า นิกส์เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ฉันรู้จักที่เรียนที่แผนกสองภาษา เธอเป็นรุ่นน้องของฉันสองปี พ่อของนิกส์เป็นฝรั่งส่วนแม่เป็นคนไทย ทำให้นิกส์มีตาสีเขียวและจมูกโด่งเป็นสัน แต่ผมกลับเป็นสีดำเงายาว เมื่อก่อนบ้านเราสองคนอยู่ข้างกัน ก่อนที่บ้านนู้นจะย้ายออกไปด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่ฉันไม่รู้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังสนิทกันเหมือนเดิม เพราะเจอกันแทบจะทุกวันที่โรงเรียน
“แหม พี่ไม่เห็นบอกนิกส์เลยว่าจะมาปาร์ตี้ด้วย ไม่งั้นนิกส์จะขนมเค้กที่นิกส์ทำมาให้ชิมซะหน่อย”
“แฮ่ๆ พอดีมันกะทันหันนิดหน่อยน่ะ พี่ก็เพิ่งรู้ข่าววันนี้เหมือนกัน”
ฉันตอบพลางยิ้มแหยๆ นึกขอบคุณที่ไม่ต้องชิมขนมของยัยนิกส์ ถึงยัยนี่จะสวย เป็นถึงดาวเด่นของโรงเรียน แต่ขอโทษเถอะ ฝีมือทำขนมของเธอช่างตรงข้ามกับหน้าตาโดยสิ้นเชิง ครั้งที่แล้วที่กินคัพเค้กที่นิกส์ทำไป ฉันเกือบต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะท้องเสียไม่หยุด -_-; แน่นอนว่ายัยนิกส์ไม่รู้เรื่องเลยสักนิด และยังพยายามเอาขนมมา(ยัดเยียด)ให้ฉันกินเรื่อยๆ
“แล้วนี่พี่มากับใครอ่ะคะ?”
“อ๋อ พี่มากับอี...เอ่อ อเล็กซ์น่ะ ^^;” ฉันตอบพร้อมๆกับอเล็กซ์ที่เดินเข้ามาหาพลางยื่นน้ำสีสวยให้ฉัน ก่อนจะหันไปส่งยิ้มทักทายนิกส์ทันที
“สวัสดีครับ ผมชื่ออเล็กซ์ ยินดีที่รู้จัก”
“นิกส์ค่ะ ยินดีเช่นกัน เคยได้ยินชื่อพี่อเล็กซ์มานานแล้ว ^^” นิกส์ยิ้มเขินๆกลับพลางยื่นมือไปจับกับมืออเล็กซ์ที่ยื่นมาในตอนแรก ฉันได้แต่เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ โถ่เอ๊ย เจอคนสวยๆหน่อยไม่ได้เลยนะ หน้าหม้อชะมัด -_-^ ฉันยืนมองสองคนนั้นคุยกันสักพักก่อนจะปลีกตัวออกมายืนซดน้ำที่อเล็กซ์เอามาให้คนเดียวตรงเคาท์เตอร์บาร์ อร่อยดีเหมือนกันแฮะ น้ำอะไรเนี่ย ต้องผสมแอลกอฮอลล์เยอะแน่ๆเลย ช่างมันสิ! วันนี้แม่ไปสัมมนา กว่าจะกลับมาก็อีกสองวันนู่น ฮูว์แคร์ (Who care?) คริๆ
“โว้วๆ พี่สาว ค่อยๆดื่มสิครับ”
ฉันที่กำลังกระดกน้ำสีชมพูแก้วที่สามชะงักกับเสียงกวนๆปนรอยยิ้มของผู้ชายคนหนึ่ง พอหันไปมองก็เห็นว่าเขากำลังยิ้มอยู่จริงๆด้วย โครงหน้าที่คล้ายๆกับใครบางคนทำให้ฉันดื่มค็อกเทลจนหมดแก้ว ก่อนจะฉีกยิ้มหวาน
“อาร์มใช่มั้ย สุขสันต์วันเกิดนะ ฮิๆ >_<” ฉันหัวเราะแล้วเอามือตบบ่าอาร์มสองสามที ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหัวเราะทำไม งงตัวเองจริงๆ
“ครับๆ พี่ชื่ออะไรอะฮะ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”
อาร์มถาม แต่ฉันไม่สนใจที่จะตอบ กลับหันไปเคาะเคาท์เตอร์เสียงดังก่อนจะเรียกบาร์เทนเดอร์เพื่อขอเครื่องดื่มเพิ่ม
“เอาน้ำสีชมพูอีกแก้วได้ป่าวคะ มีสีอื่นอีกมั้ยอ่ะ เมื่อกี้เห็นสีฟ้า สีเขียวด้วย เอามาลองให้หมดเลยนะ >O<”
“พี่เมาแล้วเหรอครับ งานเพิ่งเริ่มไปชั่วโมงกว่าเองนะฮะ” อาร์มถามขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ฉันรับแก้วน้ำสีฟ้ามาถือในมือ
“ใครบอกว่าเมา ไม่เมาหรอก เห็นปะ ยังคุยกันรู้เรื่องอยู่เลย อิๆๆ”
“=_= ก็นี่แหละที่เรียกว่าเมา”
“ไอ้เด็กบ้า ใครเมากัน? ไม่เมาสักหน่อย เขาเรียกว่ากรึ่มๆกำลังดีต่างหาก” ฉันเถียงสุดกำลัง ก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนเคาท์เตอร์บาร์ วิวดีจริงๆ >O< ฉันมองเห็นทั่วงานเลย เหลือบไปเห็นอเล็กซ์ที่ยังยืนคุยกับนิกส์อยู่อย่างสนุกสนาน และไม่นานอั๋นก็เดินตามมาสมทบ ทั้งสามคนหัวเราะกันดูมีความสุขจนฉันต้องเบ้ปากอีกครั้งด้วยความหมั่นไส้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหมั่นไส้อะไร ก่อนที่ฉันจะยกแก้วขึ้นมาเตรียมดื่มอีก อาร์มก็รั้งแขนฉันเอาไว้ก่อน
“พอแล้วครับพี่ เดี๋ยวเมามากกว่านี้นะ ^^”
เอ๊ะ ไอ้เด็กนี่ ก็บอกแล้วไงว่าไม่เมาๆ เดี๋ยวปั๊ดสอยร่วงเลย -_-+ ขณะที่ฉันกำลังยื้อแก้วไปยื้อแก้วมากับอาร์มอยู่นั่นเอง อเล็กซ์ก็เดินเข้ามาพร้อมสองคนนั่นก่อนจะมองมาที่ฉันงงๆ
“เมาหรอ?” อเล็กซ์ถามฉัน แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบ อาร์มก็แย่งพูดเสียก่อน
“ใช่ครับ ไม่ต้องห่วงอเล็กซ์ เดี๋ยวผมดูแลเธอเอง”
“ไม่ต้อง ยัยนี่มากับฉัน เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายไม่ต้องยุ่ง” อเล็กซ์ปัดมือของอาร์มที่จับแขนฉันออก ก่อนที่เขาจะเข้ามาประคองฉันเข้าไปนั่งพักในห้องรับแขก ฉันทิ้งทั้งตัวลงไปนั่งบนโซฟานิ่ม เด้งไปเด้งมาสองสามทีพอเป็นพิธีก่อนที่อเล็กซ์จะทนไม่ไหวเอามือมากดหัวฉันให้นั่งนิ่งๆ
“นี่ ถ้าเธอจะคออ่อนขนาดกินค็อกเทลแล้วเมาขนาดนี้นะ ทีหลังอย่ากิน เข้าใจมั้ย?”
“ค่า >O<”
“ยิ่งมาปาร์ตี้คนเยอะๆแบบนี้ยิ่งต้องระวังตัวเข้าใจมั้ย เห็นสายตาไอ้เด็กนั่นมันมองเธอรึเปล่า ไว้ใจได้ที่ไหน”
“ค่า >O<”
“ให้ตายเหอะ กำลังจะได้เรื่องอยู่แล้วเชียว เมาทำไมเนี่ยฮะ!?”
“ค่า >O<”
“นี่ฟังรู้เรื่องรึเปล่าเนี่ย โอ้ย ฉันจะบ้าตาย อย่างกับเป็นพี่เลี้ยงเด็ก -_-^”
อเล็กซ์บ่นพึมพำๆอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว ท่าทางเขาหัวเสียน่าดูเลยด้วย ไม่รู้หงุดหงิดอะไรนักหนา มาปาร์ตี้ทั้งทีมันต้องเฮฮาลัลล้าสิ คิดได้ดังนั้น ฉันก็ลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดขึ้นไปเต้นบนโซฟาตามจังหวะเพลงซะเลย >O< เย้วๆ เพลงของเคธี เพอร์รี่ซะด้วย นักร้องโปรดฉันเลย
“This is the part of me that you’re never gonna ever take it away from me เย้วววววว!”
ฉันร้องคลอ ไม่สิ เรียกว่าตะโกนคลอจะถูกต้องกว่า ไปตามเสียงเพลงที่เปิดกระหึ่ม มีคนหันมามองฉันเต็มไปหมดเลย ฉันยิ่งได้ใจใหญ่ ทั้งกระโดดทั้งเต้น มันส์พะย่ะค่ะ >_<! ส่วนอีตาอเล็กซ์หลังจากที่มองฉันแบบอึ้งๆแล้วก็เปลี่ยนเป็นนั่งกุมขมับแทน โอ้ย อะไรมันจะเครียดขนาดนั้น สนุกสิคะ สนุก ฮิๆ แล้วจู่ๆฉันก็รู้สึกเหมือนบ้านเคลื่อนที่ขึ้นๆลงๆตามจังหวะที่ฉันกระโดด หัวตัวเองหนักขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่ฉันจะเอาหัวโหม่งพื้น คนข้างๆก็รีบมารับตัวฉันไปนั่งบนตักของเขา
“ต้นรัก! เฮ้ๆ เธอไหวรึเปล่าเนี่ย... ต้นรัก”
“อืมมม...”
ฉันปัดมือไปมาแล้วพยายามจะลุกขึ้นยืนเพื่อไปเต้นต่ออีกหน่อย (ยังไม่เลิกล้มความพยายาม) แต่ร่างกายกลับไม่ฟังเอาเสียเลย อีกทั้งยังมีแขนอีตาอเล็กซ์ที่ล็อคฉันไว้อย่างกับเป็นนักโทษที่หนีออกมาจากคุกอัซคาบันอะไรประมาณนั้นอีก แล้วเขาก็ตะโกนเรียกอั๋น
“เฮ้อั๋น สงสัยพวกเราต้องกลับก่อนละอะ ยัยนี่ท่าจะไม่ไหวแล้ว...”
ก่อนที่เสียงนั้นจะค่อยๆขาดหายไปพร้อมๆกับตาของฉันที่ปิดลง
ผมกับอั๋นช่วยกันลากยัยต้นรักออกมาจากบ้านด้วยความทุลักทุเล โดยมีนิกส์เป็นคนช่วยเรียกแท็กซี่และอาสานั่งไปด้วยเพราะเธอจะช่วยบอกทางแท็กซี่ให้ (เห็นว่าเธอเคยอยู่บ้านใกล้กับต้นรักหรือไงเนี่ยแหละ เลยรู้ทางดี) ผมก็ยินดีอย่างยิ่ง เพราะยัยต้นรักตัวหนักเป็นบ้า นี่ถ้าผมตาบอดคงคิดว่ากำลังแบกโอ่งมีแขนมีขาอยู่อ่ะ -_- อั๋นยืนส่งผมขึ้นแท็กซี่พลางส่งยิ้มอย่างเข้าใจให้ แต่ผมสังเกตเห็นสายตาที่เขามองต้นรักมันดูแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ สงสัยจะยังรู้สึกผิดเรื่องที่ปฏิเสธต้นรักไปอยู่ล่ะมั้ง
“เดี๋ยวจอดข้างหน้านี่แหละค่ะ”
นิกส์หันไปพูดกับคนขับ ก่อนที่จะจ่ายเงินค่าโดยสารไป ผมพยายามเอาเงินคืนเธอ แต่เธอก็ปฏิเสธก่อนจะมาช่วยผมพยุงต้นรักเข้าบ้าน ทำให้ผมอดยิ้มให้อย่างเอ็นดูไม่ได้
“บ้านยังเหมือนเดิมเลยนะคะเนี่ย เมื่อก่อนนิกส์มาเล่นที่นี่บ่อยมากๆเลย”
นิกส์เปิดประตูให้ผมแบกยัยโอ่งต้นรักเข้ามาในบ้าน พลางเดินสำรวจรอบๆ ก่อนที่เธอจะชี้ไปที่ประตูห้องนอนของผม
“นั่นห้องพี่ต้นรักรึเปล่าคะ?”
“เปล่าๆ นั่นห้องฉันน่ะ ห้องต้นรักน่ะห้องนี้” ผมพูดพลางใช้เท้าเตะประตูห้องของต้นรักให้เปิดออก อาจจะเป็นเพราะผมหงุดหงิดที่ต้องแบกต้นรักกลับบ้านทำให้ผมจะเตะแรงไปหน่อย ประตูห้องยัยนี่เลยล้มตึงไปนอนอยู่บนพื้นทันที =_= งานเข้าเลยอเล็กซ์
“แฮ่ๆ สงสัยพี่ต้นรักต้องนอนห้องพี่อเล็กซ์แล้วล่ะค่ะ ^^;”
ผมถอนหายใจก่อนจะลากยัยต้นรักเข้าไปในห้องของผม แล้วโยนลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี -_-^ ปัญหาเยอะจริงนะเธอเนี่ย รอให้ตื่นก่อนเถอะ จะเอาคืนให้สาสมเลย นิกส์เดินตามเข้ามาพลางช่วยจัดท่านอนให้ต้นรัก ก่อนจะเดินดูรอบๆห้องของผม
“ห้องพี่อเล็กซ์นี่เรียบร้อยดีจังเลยนะคะ ผิดกับห้องของน้องนิกส์เลย มีแต่โปสเตอร์เกมส์เต็มไปหมด”
“ก็ฉันไม่ได้มาอยู่ถาวรนี่นา บ้านก็ไม่ใช่บ้านฉัน จะติดอะไรตามใจก็ไม่ได้หรอก”
“จริงด้วย ลืมไปเลยว่าพี่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนี่เนอะ อ๊ะ สร้อยข้อมือเส้นนี้สวยจังเลยค่ะ ใครเป็นคนถักให้เหรอคะ”
ผมหันขวับไปมองทันที ก่อนที่จะรีบเดินเข้าไปหยิบสร้อยเส้นนั้นมาถือไว้เองอย่างติดนิสัยไม่ชอบให้คนอื่นมารื้อของส่วนตัว แต่จะว่าไปแล้วผมก็เป็นคนวางสร้อยไว้บนโต๊ะเองตั้งแต่แรก ไม่ผิดหรอกที่นิกส์จะเห็น
“ขอโทษนะคะพี่อเล็กซ์ นิกส์ไม่น่าหยิบออกมาเลย เห็นมันสวยดีน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรๆๆ คือของชิ้นนี้มันสำคัญกับพี่มากน่ะ พี่ไม่ได้โกรธอะไรหรอก แฮ่ๆ”
“ค่ะ ^^ สร้อยแบบนี้นิกส์ก็มีที่บ้านค่ะ ชอบถักกับเพื่อนๆสมัยยังเด็กๆ”
ผมเงยหน้าขึ้นจากสร้อยที่ถืออยู่ในมือทันที ก่อนจะจับไหล่นิกส์ด้วยความตื่นเต้น ไม่แน่นะ...ไม่แน่นิกส์อาจจะเป็นคนๆนั้นก็ได้
“จริงเหรอ!? นิกส์ถักสร้อยแบบนี้เป็นเหรอ?”
“คะ ค่ะ เป็นค่ะ คนส่วนใหญ่ก็ถักสร้อยแบบนี้เป็นทั้งนั้นแหละค่ะ ขนาดเด็กตัวเล็กๆยังทำได้เลยนะคะ มันง่ายนิดเดียวเอง”
“งั้นหรอกเหรอ...”
ผมค่อยๆปล่อยมือออกจากไหล่นิกส์ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะหันไปฝืนยิ้มให้นิกส์อีกครั้ง เฮ้อ นึกว่าจะเจอแล้วเสียอีก ก็ว่าอยู่แหละว่าอะไรมันจะเจอง่ายขนาดนั้น นี่ก็ผ่านมาตั้งเป็นสิบๆปี เด็กคนนั้น...เป็นใครกันนะ
“เอ้อ แล้วนี่นิกส์จะกลับยังไงล่ะ นี่ก็ดึกแล้วนะ มันอันตราย”
“อ๋อ ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวนิกส์โทรตามคนขับรถให้มารับ แป๊บเดียวก็มาถึงละค่ะ ^^”
“โอเคๆ ขอโทษจริงๆนะที่ต้องทำให้ออกจากปาร์ตี้มาก่อนแบบนี้ กำลังสนุกแท้ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะๆ” นิกส์ตอบพลางโบกมือไปมา “ไม่ลำบากเลย นิกส์เองก็ไม่ได้ชอบปาร์ตี้มากเท่าไหร่อยู่แล้ว ที่ไปเพราะอาร์มชวนมากกว่าน่ะค่ะ”
พูดถึงอาร์มแล้วหน้าตากับรอยยิ้มกวนประสาทก็ลอยขึ้นมาทันที หมอนั่นเป็นน้องอั๋นจริงๆเหรอเนี่ย ให้ตายสิ แตกต่างอะไรกันได้ขนาดนี้เลยเหรอ อั๋นออกจะเป็นคนดี ยิ้มง่าย ใจดี มีมารยาท ขนาดเขาแค่ปฏิเสธต้นรักไปยังทำหน้ารู้สึกผิดอย่างกับทำไข่ทองคำของต้นรักหาย =_= ส่วนอาร์มแค่หน้า ไม่สิ แค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าเป็นพวกเสเพล เพลย์บอย กระล่อน เจ้าเล่ห์แน่ๆ ไม่ต้องเดาให้มากเลย
ไม่นานหลังจากผมเดินไปส่งนิกส์ขึ้นรถแล้ว ก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน ดีนะที่แม่ของต้นรักไม่อยู่ ไปสัมมนาที่จังหวัดอะไรสักจังหวัดทางใต้นู่น ไม่งั้นยัยต้นรักเละแน่ที่เมากลับมาไม่รู้เรื่องแบบนี้ แถมยังมานอนห้องผู้ชายอีกต่างหาก (ไม่เกี่ยวกับการที่ผมเตะประตูพังนะครับ ไม่เกี่ยวเลยจริงๆ -_-;) ผมถอนหายใจก่อนจะหยิบกะละมังในอ่างล้างจานมาใส่น้ำ แล้วหยิบผ้าขนหนูในตู้ออกมา แล้วค่อยๆเช็ดไปตามใบหน้าของต้นรักให้อย่างเซ็งๆ
“ดื่มทำไมตั้งเยอะแยะก็ไม่รู้ ลำบากคนอื่นเขาไปหมดเลยให้ตายสิ” ผมบ่นเบาๆ แกล้งกดผ้าไปบนหน้าต้นรักแรงๆสองสามทีเพื่อความสะใจ -..- แน่นอนว่ายัยนี่ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด หึๆ แล้วผมก็นึกอะไรดีๆออก
“นี่ รู้มั้ย ประตูห้องเธอที่พังน่ะ ไม่ใช่ฝีมือฉันเลยสักกะติ๊ดนะ เธอเมาเละเทะแล้วเตะประตูห้องตัวเองล้มเองนะรู้เปล่า ตื่นมาแล้วจัดการซ่อมเองด้วยล่ะ เข้าใจมั้ย =O=”
“...อืมม”
หึๆๆ ผมจัดการอัดเสียงบทสนทนาเมื่อกี้ไปเรียบร้อย ยัยต้นรักก็บ้าจี้ตอบรับอีกแหนะ เสร็จผมครับ >_< ผมจัดการเช็ดหน้าและเครื่องสำอางบนหน้าของต้นรักต่อจนพอให้สิวไม่ขึ้น เสร็จแล้วก็ไปจัดการกับตัวเองบ้าง พอผมอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วก็จำต้องเนรเทศตัวเองไปนอนบนโซฟาด้านนอกแทน -_-^ ให้ตายสิ ยัยต้นรักเกิดมาเพื่อสร้างความลำบากให้คนอื่นเขาจริงๆเลย
ผมหยิบสร้อยเชือกถักเส้นนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง อย่างที่ทำทุกๆคืนก่อนนอน ย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่ได้มา ตอนนั้นผมยังเด็กมากๆเลย เราสามคนพ่อแม่ลูกมาเที่ยวฮ่องกงกัน แล้วผมก็ดันทำตัวซ่า เดินดุ่มๆออกมานอกสนามบินไม่ยอมตามพ่อกับแม่ที่เดินเข้าเกตไปก่อนแล้ว พอออกมาแล้วก็เพิ่งจะสำนึกขึ้นได้ว่าได้ทำพลาดไปซะแล้ว ผมยืนหันซ้ายหันขวาอยู่ตรงนั้นอย่างทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับจูงพ่อแม่ของเธอมาด้วย พวกเขาคุยกันด้วยภาษาอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ซึ่งผมมารู้เอาทีหลังว่าเป็นภาษาไทย พอเห็นผมก็พอจะเดาได้ว่าผมหลงทาง จึงช่วยพาผมไปที่ประชาสัมพันธ์จนพ่อกับแม่ของผมตามหาผมเจอในที่สุด ผมโดนแม่ดุซะยับเยินเลยตอนนั้นน่ะ ร้องไห้ด้วย จนกระทั่งเด็กคนนั้นยื่นสร้อยข้อมือเส้นนี้มาให้และบอกให้แม่ของเธอบอกผมเป็นภาษาอังกฤษให้หยุดร้องไห้เพราะสร้อยนี้เธอเป็นคนถักเอง มีเส้นเดียวในโลก มาถึงตอนนี้ผมล่ะอยากจะขำตัวเองจริงๆที่ตอนนั้นผมหยุดร้องไห้และมองไปที่เชือกถักอย่างตื่นตะลึง ผมรีบรับเชือกนั้นมาผูกไว้ที่ข้อมือและถอดสร้อยที่ผมใส่ไว้ที่คอให้เธอไปเป็นการตอบแทน เธอยิ้มกว้างให้ผมอย่างขอบคุณก่อนจะเดินจากไป แต่ผมไม่เคยลืมเธอเลยตั้งแต่วันนั้น
หลังจากนั้นผมก็ใส่สร้อยข้อมือนั้นมาตลอด ไม่เคยถอดเลยจนสายรัดที่เป็นเชือกเริ่มเปื่อย แม่ผมเลยอาสาเอาไปซ่อมให้และบอกว่าจะเอามาให้ตอนผมเลิกเรียน แต่วันนั้นนั่นเองพ่อกับแม่ของผมก็ถูกรถบรรทุกชนจนเสียชีวิตทั้งคู่ ตอนที่ผมเห็นร่างโชกเลือดของแม่กับพ่อที่เจ้าหน้าที่งัดออกมาจากซากรถที่พังยับเยิน ผมถึงกับตัวสั่น ขาสั่นเหมือนไร้เรี่ยวแรงไปหมด จังหวะที่เจ้าหน้าที่เข็นร่างของแม่ผ่านหน้าผมไป สร้อยข้อมือเส้นนี้ก็ร่วงออกมาจากมือแม่ ผมรีบเข้าไปคว้าไว้แล้วก็ร้องไห้อีกยกใหญ่ ไม่นานญาติของผมก็มาถึงและรับผมไปอยู่ด้วยและเลี้ยงดูผมมาจนถึงตอนนี้ พอเห็นประกาศรับนักเรียนแลกเปลี่ยนมาที่ประเทศไทย ผมก็ตื่นเต้นมาก รีบไปขอที่บ้าน ซึ่งทุกคนก็ไม่ได้ว่าอะไรและยังสนับสนุนให้มาอีก ผมจัดการเตรียมเอกสารทุกอย่างด้วยตัวเองและรีบเดินทางมาที่ประเทศไทยทันทีที่ได้รับการตอบรับจากแม่ของต้นรักที่จะเป็นโฮสแฟมมิลี่ให้ผม
ที่ผมต้องการหาเด็กผู้หญิงที่ให้สร้อยข้อมือนี้กับผม ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเธอเป็นเหมือนรักแรกของผมแค่อย่างเดียวหรอก แต่ผมอยากจะขอบคุณ ขอบคุณที่ให้สร้อยเส้นนี้กับผมมา มันเป็นเหมือนทั้งตัวแทนอีกอย่างพ่อแม่ของผม ทุกครั้งที่ผมเห็นสร้อยเส้นนี้ก็จะเกิดความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดขึ้นในอก เหมือนท่านทั้งสองคนอยู่ใกล้ๆ มันช่วยให้ผมผ่านช่วงเวลาอันโหดร้ายมาได้ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เป็นผู้เป็นคนอย่างทุกวันนี้แน่ๆ ผมกำสร้อยข้อมือในมือแน่น มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มบางๆเพียงแค่นึกว่าผมใกล้เธอแค่นี้เอง จากที่เราเคยอยู่กันคนละซีกโลก ผมต้องตามหาเธอให้เจอให้ได้
TO BE CONTINUE >>>______________________________________________________
ความคิดเห็น