ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
จิวอวงยี้ ตีนแมวเทวดา

ลำดับตอนที่ #10 : ธิดาสมุทร ฮ่วมเล้งซัง

  • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 48


ตอนที่ 10 ธิดาสมุทร ฮ่วมเล้งซัง



เทียนอี้กับเอี๊ยะซินแซพอตามมาถึง เห็นสีหน้าลู่ซุนไม่ใคร่ดี คาดคิดว่าคงเสียดายต่อข้าวของที่สูญเสีย เอี๊ยะซินแซกริ่งเกรงว่าลู่ซุนจะเอาเรื่องต่อเซียวโกวเนี้ย ให้เป็นที่ไม่พอพระทัยแก่องค์ไทจือ กลัวเกรงองค์ไทจือมีโทสะจะลงโทษมัน มันเพียงแต่ล่วงเกินเซียวโกวเนี้ย ยังถูกสั่งให้คุกเข่า หากถึงขั้นลงมือทำร้าย ก็ไม่อาจคาดคิดถึงผลที่จะตามมาแล้ว รีบเข้าไปกล่าวปลอบว่า

“น้องลู่ เราลูกผู้ชายใจกว้าง อย่าได้ถือสากับข้าวของนอกกายให้เป็นที่ขุ่นเคืองใจ ของเมื่อเสียไปแล้วก็ถือเสียว่าฟาดเคราะห์เถอะ”

เอี๊ยะซินแซรู้สึกถูกชะตากับนายกองมือปราบนี้ตั้งแต่แรก ยามนี้เห็นสีหน้าของมันก็รู้สึกเห็นใจไม่น้อย ลู่ซุนเค้นยิ้มอย่างหดหู ไม่ตอบคำ พลันดูของที่อยู่ในมือล้วนแล้วแต่เป็นเศษใช้การไม่ได้ แม้รู้สึกเสียใจ และเสียดาย แต่เก็บไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงตัดใจรวบรวมโยนลงกองไฟ เขี่ยเศษถ่านทับถมให้เกิดไฟลุกขึ้น จิวอวงยี้เห็นการกระทำของมันยามนี้อดบังเกิดสะทกสะท้อนใจมิได้ แต่วาจาที่จะกล่าวกลับไม่มี คล้ายริมฝีปากหนักถึงพันชั่งก็ปาน เห็นมันกำลังจะโยนตุ๊กตาไม้หลายตัวในมือลงตาม นางต้องกล่าวทัดทานอย่างลืมตัว

“นั้นทำไม่ได้”



ลู่ซุนต้องชะงัก รู้สึกประหลาดใจ ไม่ทราบว่านางต้องการสิ่งใดจากตนอีก จึงกล่าวว่า

“เซียวโกวเนี้ย มีสิ่งใดหรือ”

มันยังคงกล่าวน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่มีโทสะคับแค้นอันใด แต่วาจาน้ำเสียงกลับดูเย็นชาอย่างยิ่ง ที่สำคัญมันไม่หันมามองนางเลยแม้แต่น้อย  จิวอวงยี้รู้สึกว่าเช่นนี้เจ็บปวดกว่าที่มันระบายโทสะใส่ตนเสียอีก บังคับเสียงให้เป็นปกติก่อนกล่าวว่า

“ตุ๊กตาพวกนั้นหากท่านไม่ต้องการ ก็ให้กับข้าพเจ้าได้หรือไม่”



ลู่ซุนนิ่งงันลงเล็กน้อยก่อนตอบว่า

“ของพวกนี้ล้วนเสียหายหมดแล้ว มีที่น่าเล่นอันใด หากเซียวโกวเนี้ยต้องการ ที่ตลาดกลางเมืองมีตุ๊กตาสวยสดงดงามกว่านี้หลายเท่านัก เซียวโกวเนี้ยสามารถหาซื้อได้ อีกอย่างตุ๊กตาพวกนี้ ข้าพเจ้าแกะสลักไว้ให้กับม่วยม่วยของข้าพเจ้าไม่อาจมอบต่อผู้อื่น”

กล่าวจบก็โยนตุ๊กตาทั้งหมดลงกองไฟ จิวอวงยี้พอฟังคำว่า ม่วยม่วยของข้าพเจ้า รู้สึกปลาบปลื้มยินดี ที่มันยังจดจำตนเองมิลืมเลือน จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเศร้าสลด ครุ่นคิดกล่าวในใจ‘ม่วยม่วยของท่านก็อยู่ในที่นี้แล้ว’ครุ่นคิดแล้วต้องเหม่อลอยซึมเซา



ลู่ซุนหลังจากโยนตุ๊กตาไม้ลงกองไฟหมดสิ้น ก็กราบทูลต่อองค์ไทจือว่า

“ข้าพระองค์ มีงานเร่งด่วนต้องกระทำ ขอพระราชทานยาถอนพิษจากพระองค์ นำยาไปช่วยเหลือผู้แซ่ท้ง เพื่อให้มันช่วยเหลือการสืบเรื่องราวด้วยเทอญ”

เทียนอี้จึงล้วงเม็ดยาที่ได้จากจิวอวงยี้ส่งมอบให้ ลู่ซุนกล่าวขอบพระทัยล่าถอยออกมา จากนั้นก็กล่าวทูลลา เร่งฝีเท้าออกจากแหล่งไปอย่างรวดเร็ว จิวอวงยี้พลันได้สติ ไม่คบคิดมากความ มันตามหา ตั่วกอ หยั่งยากเย็น ยามนี้ได้พบแล้วไหนเลยให้จากไปได้ รีบกล่าวต่อเทียนอี้ว่า

“เทียนกงจื้อ ข้าพเจ้าก็ต้องอำลาแล้ว”

กล่าวจบไม่รอฟังคำของฝ่ายตรงข้าม รีบทยานร่างตามหลังลู่ซุนไป เทียนอี้งงงันวูบ รีบตะโกนร้องเรียก แต่นางกลับคล้ายไม่ได้ยิน คิดตามไปอีกผู้หนึ่งแต่นางมีท่าร่างรวดเร็วไหนเลยติดตามทัน



ลู่ซุนเร่งฝีเท้าได้ระยะหนึ่งทราบว่ามีผู้กระชั้นชิดมายังด้านหลัง รีบหยุดชะงักเท้าหันกายกลับไป พบเห็นผู้มาเป็นเซียวโกวเนี้ย สีหน้าต้องแปรเปลี่ยน มันที่เร่งรุดออกมา เพื่อรีบช่วยคนกับไม่ต้องการพบหน้านางอีก เมื่อครู่อยู่ต่อหน้าองค์ไทจือ ทราบว่าองค์ไทจือพึงพอใจนาง ไม่ต้องการเสียมารยาท จึงข่มกลั่นอารมณ์ไว้ แต่นางกลับตอแยมันไม่เลิกรา ยามนี้อารมณ์ที่กักเก็บไว้ไม่อาจข่มอยู่ แสดงออกทางสีหน้าและวาจา กระชากเสียงด้วยความคับแค้นใจกล่าวว่า

“เซียวโกวเนี้ย ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินท่าน ทั้งยังคุกเข่าโขกศีรษะขอขมาต่อท่านแล้ว ความแค้นระหว่างเราถือว่าเป็นอันจบสิ้น ไฉนยังคอยตามรังควานข้าพเจ้า หรือต้องให้ข้าพเจ้าคุกเข่าเอ่ยคำวิงวอน ท่านถึงจะพอใจ”

  

จิวอวงยี้ได้ยินมันกล่าวตะคอก ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ชิงชังตนจนถึงเนื้อกระดูก ในใจขมขื่นยากจะทนทาน รู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่ตนเองกระทำต่อมัน กล่าวคำว่า ไม่.. ไม่.. สองคำก็ไม่อาจกล่าวสืบต่อ น้ำตาพลันเอ่อคลอไหลลงอาบสองแก้มเป็นสายทาง ลู่ซุนประหลาดใจเล็กน้อยในอารมณ์ที่แปรผันของนาง ยามนี้กลับดูเศร้าเสียใจคล้ายสำนึกผิด แต่แล้วครุ่นคิดขึ้น ‘สตรีผู้นี้มากเล่ห์เพทุบาย ไม่แน่ว่าเป็นการเสแสร้ง หาทางกลั่นแกล้งด้วยวิธีอื่นอีก เราเองกำลังสืบสาวงานใหญ่ หากถูกนางก่อกวนจนเสียแผนการนับว่าย่ำแย่ยิ่ง อีกทั้งนางยังเป็นหญิงในดวงใจขององค์ไทจือไหนเลยทำร้ายได้’ พลางสะบัดชายเสื้อคุกเข่าลงอีกครา กล่าวขึ้นว่า

“เซียวโกวเนี้ย ถือว่าข้าพเจ้าวิงวอนท่าน ท่านเองก็เป็นพระสหายกับองค์ไทจือ เห็นแก่องค์ไทจือสักครา อย่าได้ติดตามก่อกวนข้าพเจ้าอีกต่อไป”



จิวอวงยี้ต้องตะลึงงันอยู่กับที่ ไม่คาดคิดว่ามันจะคุกเข่าวิงวอนต่อตนเองจริงๆ วาจาของมันเช่นนี้ไยมิใช่หมายความว่าไม่ต้องการพบเห็นตนอีก นางไม่อาจอยู่ทนได้อีก รีบปิดหน้าวิ่งร่ำไห้จากมา ก้าวทยานอย่างไร้จุดหมาย น้ำตาที่ราดรดลงสองแก้มเปียกชุมโชกลงบนคอเสื้อ พอถึงที่สงบแห่งหนึ่งคล้ายกับเป็นศาลเจ้าร้าง ก็ทิ้งร่างลงนั่งชันเข่าทั้งสองข้าง ฟุบหน้าลงกับหัวเข่าของตนเองสะอึกสะอื้นร่ำไห้ โดยไม่แยแสสนใจว่าตนเองอยู่ที่แห่งใด ชุดที่สระสวยของนางจะแปดเปื้อนหรือไม่ รำไห้รำพึงแต่ผู้เดียว ‘ลู่ซุนตั่วกอ ท่านถูกผู้คนทำร้ายก็เพราะตามหาข้าพเจ้า ท่านเจตนาสืบคดีบ้านตระกูลจิวคงเพื่อข้าพเจ้า หลายปีนี้ท่านคงลำบากไม่น้อย แต่ข้าพเจ้ากลับทำให้ท่านต้องเสื่อมเสียศักดิ์ศรีถึงสองครา ทั้งยังทำลายของหวงแหนของท่าน สมควรแล้วที่ท่านเกลียดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่มีหน้าไปพบท่านแล้ว’ พอครุ่นคิดแล้วถึงกับคับแค้นใจตัวเอง สะอื้นไห้ไม่หยุดหย่อน ฉับพลันได้ยินเสียงหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ดังในระยะใกล้ ต้องรีบข่มสะอื้นปาดเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นแค่นเสียงกล่าวถาม

“เป็นผู้ใด กระทำการเสียมารยาท ยังไม่รีบปรากฏกายออกมา”



ได้ยินซุ่มเสียงหนึ่งกล่าวปนหัวเราะว่า

“มีแต่สตรีที่ผิดหวังในความรัก จึงมานั่งร่ำไห้รำพึงเช่นนี้ โลกนี้มีรักย่อมมีทุกข์ เป็นเที่ยงแท้”

ร่างหนึ่งค่อยๆพ้นเทวรูปออกมาจากด้านหลัง คนผู้นี้มีรูปกายบึกบึนล่ำสัน ผิวคล้ำเล็กน้อย เค้าหน้าสี่เหลี่ยม สองแก้มโหนกนูน รูปเคราขึ้นเขียวเป็นต่อสองฝั่งแก้ม อายุประมาณสามสิบเศษ ทวงท่าโอหัง ถือดาบใหญ่พาดไว้บนบ่าข้างหนึ่ง เห็นมันแต่งชุดคล้ายหลวงจีน แต่กลับไม่เหมือนหลวงจีนวัดเส้าหลินกลับคล้ายคลึงลามะทางธิเบต ที่ปลายจีวร ปักรูปดาบเล่มหนึ่งทิ้งปลายดาบลง บริเวณปลายดาบมีหยดเลือดหยาดหยดลงมาดูแล้วน่าสะพรึงกลัว ไฉนบรรพชิตถึงได้ปักลวดลายน่ากลัวเช่นนี้ไว้ที่ปลายจีวร นางกลับขบคิดไม่เข้าใจ หลวงจีนผู้นี้พอเห็นโฉมหน้าจิวอวงยี้ ต้องอุทานดัง อ้า.. แย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย กล่าวสืบต่อ

“คิดไม่ถึงว่าเจ้ามีรูปร่างหน้าตางดงามบาดใจปานนี้ ยังมีตัวโง่งมไม่ต้องการ เหอะ เหอะ เมื่อมันไม่ต้องการ เจ้าก็มาอยู่กับเราเถอะ”  

พลันคว้ามือออกหมายฉุดดึงนางเข้ามาใกล้ นางรีบถลันหลบวูบสภาพร่างไม่เร่งร้อนลนลาน มันกลับคว้าไม่ถูก ต้องฉุกใจคิด แย้มยิ้มที่มุมปาก กล่าวขึ้น

“ที่แท้ ไม่เพียงงดงามยังมีฝีเท้ารวดเร็ว เรากลับนิยมชมชอบไล่จับสตรียิ่ง มา มา เรามาลองเล่นกันสักตา”



ยามนี้นางอารมณ์ขุ่นมัว ฟังมันกล่าววาจาลวนลาม ต้องบังเกิดโทสะ คิดระบายโทสะใส่มันสักครา จึงกล่าวเสียงหยาดเยิ้ม แช่มช้าว่า

“ไต้ซือหู(คำยกย่องหลวงจีน)  หากคิดจับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไยไม่ใช่อยู่ที่นี้แล้ว”

หลวงจีนลามะ ได้ฟังน้ำเสียงอันไพรเราะ หยาดเยิ้มกล่าวเชิญชวน ในใจวาบหวิว หัวเราะอย่างลืมตัว รีบสาวเท้าพุ่งกายเข้าหา เอื้อมมือไขว่คว้าออก พอถึงนางก็ถลันหลบอย่างฉิวเฉียด หลวงจีนลามะต้องลอบเสียดาย เร่งเร้าฝีเท้ามากกว่าเดิมมือที่คว้าออกก็แฝงกำลังภายในให้รวดเร็วขึ้น แต่ไม่ว่าจะเร่งฝีเท้าฝีมือเช่นไร ทุกครั้งล้วนถูกนางหลบรอดได้หวุดหวิดจวนเจียน ในศาลเจ้าพื้นที่คับแคบ หากคนผู้หนึ่งคิดหลบหลีกคนอีกผู้หนึ่งโดยไม่ออกไปยังภายนอก ย่อมกระทำได้ยากยิ่ง แต่จิวอวงยี้ไม่เพียงมีฝีเท้ารวดเร็วแม้การก้าวสลับเท้ายังทำได้อย่างแยบยลพิสดาร การหักเหทิศทางแทบไม่อาจคาดเดาถูก



ทั้งคู่วิ่งวนสลับไล่จับกันในศาลเจ้าเป็นเวลานาน หลวงจีนลามะยังไม่สามารถถูกกระทบต้องตัวนางได้ จิวอวงยี้ยิ่งเล่นยิ่งสนุกสนาน ครุ่นคิดขึ้น ‘วิชาคว้าจับแมวสามขาเช่นนี้ ไหนเลยถูกกระทบตัวเราได้ ต่อให้ไล่จับทั้งชาติ ท่านก็ไม่มีวันจับตัวเราได้’พลันหัวเราะเจือยแจ้ว กล่าวน้ำเสียงเย้ยหยัน แต่หยาดเยิ้มยั่วยวน

“ไต้ซือหู ดูท่านเหน็ดเหนื่อยแล้ว โคแก่ไม่สามารถทำงานหนัก ท่านก็พักผ่อนสักครู่เถอะ”



ควรทราบว่าผู้ที่จู่โจมลงมือย่อมใช้พลังมากกว่าผู้หลบหลีกหลายเท่า หลวงจีนลามะเพื่อต้องการจับตัวนางต้องเร่งเร้ากำลังทั้งแขนขาทุ่มเทวิชาคว้าจับออก แต่นางอาศัยวิชาตัวเบาอันเด่นล้ำของนางใช้พลังเพียงน้อยนิดก็สามารถหลบรอดได้ จิวอวงยี้เห็นวิชาคว้าจับของหลวงจีนลามะนี้ ไม่มีที่พิสดาร เช่นนี้ต่อให้มันมีกำลังภายในกล้าแข็งกว่านางทุ่มเทจนสุดกำลังก็ไม่สามารถจับตัวนางได้



หลวงจีนลามะกลับเหนื่อยขึ้นมาจริงๆ พอฟังวาจานางเหน็บแนมต้องครุ่นแค้นเดือดดาล ความหมายในวาจาไยไม่ใช่หมายความว่า เป็นโคแก่คิดเคี้ยวหญ้าอ่อนแต่ไม่มีปัญญา แต่พลันฉุกคิดขึ้น ‘ที่แท้ นางมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ กลับเล่นตลกกับเรา ให้เราสูญเสียกำลังโดยเปล่าประโยชน์ เฮอะ ดูว่าท่านสามารถหลบหลีกจากเพลงดาบอสูรโลหิตได้หรือไม่’

พลันร่ายรำดาบออก ใช้ทวงท่าขวางแปดทิศ พอฟาดฟันสภาวะดาบกลับครอบคลุมการก้าวย่างของนาง ฝีเท้านางเริ่มรวนเลเล็กน้อย พอสามสิบกว่ากระบวนท่า ฝีเท้าก็เริ่มสับสัน ประกายดาบฉิวเฉียดเส้นผมของนางหลุดออกมาปอยหนึ่ง จิวอวงยี้ต้องแตกตื่นขึ้น ไม่กล้าประมาททุ่มเทวิชาตัวเบาอย่างสุดกำลังคิดหลีกหนีจากมุมอับ แต่ดาบของมันประดุดเงาตามตัวจี้ชิดติดแผ่นหลัง จิวอวงยี้รีบซัดเข็มอสรพิษ ในหลักวิชาซัดอาวุธลับ พิรุณปกคลุมฟ้า เข็มอสรพิษสิบเล่มพุ่งเข้าหาจุดสำคัญบนร่างมันสิบจุดโดยพร้อมเพียง หลวงจีนลามะอุทานดัง อ่า ..รีบหมุนกายออก วกดาบจากการลุกไล่นางมาปัดป้อง เสียง เคล้ง เคล้ง หลายคราดังแทบเป็นเสียงเดียวเข็มอสรพิษถูกปัดกระแทกลงพื้นจนหมดสิ้น แค่นยิ้มกล่าวว่า

“กุหลาบสวยย่อมมีหนามแหลมคม นับว่ากล่าวได้ไม่ผิด”



ความจริงหลักการ พิรุณปกคลุมฟ้า ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งหลักการซัดอาวุธซัด ยิ่งภายใต้การซัดของจิวอวงยี้ที่มีฝีมือรวดเร็วแม่นย่ำ ทั้งยังซัดในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้ยากยิ่งจะมีผู้หลบรอด นางเข้าใจว่าต่อให้มันกระโจนหลบได้ทัน ก็ต้องมีเข็มใดเข็มหนึ่งปักตรึงบนร่างมัน ไม่คาดว่ามันสามารถใช้ดาบเล่มหนึ่งปัดกระแทกเข็มของนางจนหมดสิ้น เห็นมันมีเพลงดาบลึกล้ำปานนี้ อดแตกตื่นครุ่นคิดไม่ได้ ‘หลวงจีนลามกนี้มีเพลงดาบลึกล้ำยากยิ่งจะตอแย ทางทีดีถดถอยก่อนประเสริฐกว่า’ รีบฉกฉวยโอกาส พลิ้วกายออกนอกประตู ย่อกายคารวะอย่างแช่มช้อยกล่าวว่า

“ไต้ซือหู ไว้โอกาสหน้าค่อยพบกันใหม่ ข้าพเจ้าขออำลาแล้ว”

พลางสะกิดเท้าทยานร่างออกไปอย่างรวดเร็ว หลวงจีนลามะรีบสาวเท้าออกมาหน้าประตู เห็นเงาร่างของนางจากไปไกลโข อดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเสียดายมิได้



จิวอวงยี้พอเห็นหลวงจีนลามะไม่ติดตามมา ก็ผ่อนฝีเท้าลง นางกลับไม่ทราบว่าจะไปยังที่แห่งใด ในใจคิดถึงลู่ซุนยิ่ง แต่ก็ไม่กล้าพบหน้ามัน เดินครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย พลันคิดได้สิ่งหนึ่ง พลันแย้มยิ้มออกมา พึมพำกล่าวว่า

“ถูกต้องแล้ว ผู้ที่ทำผิดหาใช่จิวอวงยี้ไม่ หากแต่เป็นเซียวโกวเนี้ย เมื่อเซียวโกวเนี้ยเป็นผู้ทำก็ต้องเป็นผู้แก้ หากข้าพเจ้าทำให้ท่านชมชอบต่อเซียวโกวเนี้ย ได้ ท่านย่อมต้องชมชอบต่อจิวอวงยี้ ถึงครานั้นข้าพเจ้าค่อยบอกต่อท่านว่าข้าพเจ้าเป็นม่วยม่วยของท่าน นี่จึงถูกต้อง”

หัวใจพลันแช่มชื่นขึ้น มีสติแจ่มใสขึ้นมา เมื่อมองดูที่ทางโดยรอบ พลันหันรีหันขวาง ขมวดคิ้วกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด ยามนี้กลับไม่ทราบว่าตนเองอยู่แห่งหนตำบลใด ต้องสบถออกมา

“แล้วที่นี้เราจะตามหาท่านจากที่ใดเล่า”



ที่แท้นางครุ่นคิดเหม่อลอยเดินไร้ทิศทาง ยามนี้กลับไม่ทราบว่าตนอยู่ ณ ที่ใด อีกทั้งไม่ทราบว่าลู่ซุนไปยังทิศทางใด พอคิดค้นหามันก็จับเส้นสายปลายทางไม่ถูก พลันคิดขึ้นได้ว่า ผู้แซ่ท้งเคยบอกไว้ว่าจะนำทรัพย์สินไปเมืองหูหนัน ตั่วกอเมื่อร่วมมือกับมัน คงต้องรวมเดินทางไปสืบที่เมืองหูหนันอย่างแน่นอน จึงหาทิศทางสู่เมืองหูหนัน เร่งรุดเดินทาง



    เมืองหูหนัน เป็นเมืองที่ตั้งใจกลางของดินแดนกังน่ำ มีแม่น้ำแยงซีเกียงไหลผ่าน มีท่าเรือค้าขายใหญ่โต หากคิดเดินทางจากเสฉวนสู่หูหนัน นับว่าทางเรือย่อมดีที่สุด นางหาท่าเรือแทบเสฉวน จับจองเรือโดยสารลำหนึ่งขึ้นโดยสาร พอก้าวขึ้นเรือสายตาเหลือบแลเห็น ต้องถลันหลบวูบ ที่แท้ภายในเรือยามนี้ นอกจากมีผู้คนโดยสารอื่นแล้ว ยังมีหลวงจีนลามะจอมลามกรวมอยู่ด้วย หรือมันก็คิดไปยังเมืองหูหนัน ไฉนถึงบังเอิญเช่นนี้ นางไม่ต้องการตอแยเรื่องราว รีบไปยังคันทายเรือ บอกต่อนายท้ายเรือ ขอซื้อเสื้อผ้าบุรุษต่อจากมัน นายท้ายเรือเข้าใจโดยทันที สตรีผู้นี้หากไม่หลบหนีคนรู้จัก ก็เป็นชาวยุทธคิดปลอมแปลงโฉมหลบศัตรู มันไม่ต้องการให้มีการต่อยตีกันบนเรือ จึงรีบลงไปหยิบเสื้อผ้าบุรุษส่งต่อนางชุดหนึ่ง แต่เห็นจิวอวงยี้เป็นสาวงาม พอคิดถึงว่านางต้องสวมใส่เสื้อผ้าของมัน ในใจอดหวายหวิวไม่ได้



หามุมสงบบนเรือ ถอดชุดสตรีภายนอกออก เหลือไว้แต่ชุดภายในสีขาว ฉีกชุดที่ถอดออกมาแทบหนึ่ง รวบรัดบริเวณหน้าอกไว้แนบแน่น แม้รู้สึกอึดอันแต่ก็ไม่มีหนทาง นางมีหน้าอกอวบอิ่ม หากคิดปลอมเป็นบุรุษโดยไม่ทำวิธีนี้ ต่อให้ปลอมแปลงโฉมได้ แต่เรือนร่าง ไม่อาจปิดบัง ยิ่งเรือนร่างของนางโดดเด่นยิ่งเป็นที่สังเกตุได้โดยง่าย พอจัดการกับทรวดทรงได้แล้ว จึงค่อยสวมเสื้อผ้าบุรุษทาบทับลงไป ปล่อยผมที่เกล้าเป็นมวยถักเปียไว้ให้ยาวสยาย รวดรัดแบบลวกๆ เช็ดคราบเครื่องประทินโฉมออกจากใบหน้า ใช้คราบฝุ่นทีมีทาถูใบหน้าจนมอมแมม เปลี่ยนแปลงท่าท่างการเดิน เลียนแบบงุ้ยเลี่ยงแชผู้เป็นยี่ซือแป๋ของนาง ยามนี้หากไม่มีผู้ปลดเปลื้องเสื้อผ้านางออกคงไม่มีผู้ใดทราบว่านางเป็นสตรี ก้าวเดินเข้าห้องโถงของเรือ ไปนั่งมุมหนึ่งของห้องคอยจับสังเกตุ หลวงจีนจอมลามกผู้นั้น



เรือโลดแล่นอยู่ในลำน้ำสองวัน พอถึงท่าเรือแห่งหนึ่งก็เข้าเทียบท่าผลัดเปลี่ยนผู้โดยสาร พอเรือจะออกจากท่า ลอยอยู่กลางลำน้ำ ได้ยินเสียงสตรีเจือยแจ้ว ร้องขึ้นจากท่าเรือ

“หยุดก่อน ชะลอเรือสักครู่”

ตัวเรือโคลงวูบหนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งทยานออกจากท่าเรือ ทิ้งร่างลงบนหัวเรือ เห็นเป็นดรุณีน้อยอายุประมาณสิบหก สิบเจ็ดปี ใบหน้าจิ่มลิ้มน่ารัก ดวงตากลมโตจมูกโด่งเล็กน้อยรับกับวงปากที่เล็กจิ้มลิ้ม สวมอาภรณ์สีเหลืองใสกางเกงบู๊สตรีสีขาว จิวอวงยี้กับหลวงจีนลามะต้องประหลาดใจเล็กน้อย กับสิ่งที่คล้องไว้ที่เอวของนาง กลับเป็นแส้เก้าปล้อง มีเกล็ดสีขาวยวงแวววาวสะท้อนหยอกล้อแสงตะวันระยับตา ดูปราดเดียวก็ทราบว่าแส้นี้มีส่วนเหนือธรรมดา



แส้เก้าปล้อง จัดว่าเป็นมังกรแห่งศาสตราวุฒิ แต่เนื่องจากฝึกฝนลำบากยากเย็น แถมเพลงแส้เก้าปล้องที่เด่นล้ำก็ไม่สืบทอดให้คนภายนอก ส่วนใหญ่จะสืบทอดแก่คนในตระกูล หากผู้ใช้ฝึกฝนไม่เพียงพอ ใช้ได้ไม่ดี แทบไม่มีประโยชน์ไปมากกว่าแส้อ่อนธรรมดา แต่ถ้าใช้ได้อย่างช่ำชองแล้วจึงแสดงอนุภาพมังกรแห่งศาสตราวุฒิออกมา ในยุทธภพผู้ที่ใช้แส้เก้าปล้องได้เลิศล้ำนั้นนับว่าน้อยจนสามารถนับคนได้  แต่ยอดศาตราวุฒิที่ฝึกยากลำบากนี้ กลับคล้ายเป็นอาวุธประจำกายของโกวเนี้ยน้อยเยาว์วัยผู้หนึ่ง ทั้งสองจึงอดประหลาดใจไม่ได้ ล้วนต่างครุ่นคิด ‘หรือนางเพียงคล้องต่างเครื่องประดับ ไว้ใช้ข่มขู่ผู้คน หาได้ใช้เป็นอาวุธแต่ประการใดไม่’



นางพอย่างเหยียบหัวเรือ ก็ถอนใจอย่างโล่งอก แย้มยิ้มอย่างร่าเริง โยนเงินให้คนเรือเป็นค่าโดยสาร ก้าวเข้ามายังด้านใน เห็นที่ใกล้จิวอวงยี้มีที่ว่าง จึงวางห่อผ้าลง นั่งลงเอนพริ้มตาลงคล้ายพักผ่อนโดยไม่สนใจผู้คน หลวงจีนลามะกลับลอบมองนาง ดวงตาส่อประการอย่างมีความหมาย จิวอวงยี้ลอบสังเกตุเห็น คาดว่าหลวงจีนลามกผู้นี้ต้องตานางเข้าแล้ว ต้องครุ่นคิดสงสัย ไม่ทราบว่ามันเป็นหลวงจีนหรือโจรราคะกันแน่



พอตกค่ำคืน จิวอวงยี้ขณะกำลังหลับ โสตประสาทกลับจับกระแสเสียงผิดปกติได้ พอหรี่ตาขึ้นดู เห็นหลวงจีนลามะกำลังสังหารคนบนเรือที่กำลังหลับใหล จับบิดกระดูกคอที่ล่ะคน อย่างเงียบเชียบ จิวอวงยี้ทราบได้ในที ลามะผู้นี้คิดข่มเหงโกวเนี้ยน้อยผู้นี้ จึงลงมือสังหารผู้คนบนเรือ เห็นมันกำลังเคลื่อนกายใกล้เข้ามา คาดว่าตนเองคงเหลือเป็นคนสุดท้ายแล้ว รีบสะกิดดรุณีชุดเหลืองโดยแรง ตนเองรีบพลิกตัวหลบดาบที่ฟาดฟันลงมา หลวงจีนลามะพอคิดว่าเหลือบุรุษผู้นี้เป็นคนสุดท้ายแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเก็บซุ่มเสียงอีก จึงใช้ดาบฟันลงหมายสังหารค่อยจัดการกับดรุณีชุดเหลือง ไม่คาดว่ามันกลับไหวตัวทัน ต้องชะงักงันชั่วขณะ ดรุณีชุดเหลืองพอถูกสะกิดตื่นกระทันหัน ต้องสะดุ้งขึ้น ทราบว่ามีอันตรายรีบกลิ่งตัวออกไปอีกด้านหนึ่ง ลุกขึ้นชี้หน้าจิวอวงยี้กล่าวกระชากเสียงว่า

“ท่านคิดทำอะไร”

แต่พอเห็นดาบของหลวงจีนลามะที่ฟาดฟันลง จึงเข้าใจในบัดดล ที่แท้มันสะกิดเตือนภัยแก่เรา กลับเข้าใจว่ามันลวนลาม หลวงจีนลามะต้องบันดาลโทสะ กล่าวด่าจิวอวงยี้ในคราบบุรุษว่า

“เด็กโสโครกไม่ทราบมีพรายกระซิบตนใดช่วยเหลือ เจ้าความจริงควรหลับใหลตายอย่างเป็นสุข แต่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว บิดาจะทรมานเจ้าก่อน แล้วค่อยให้ตาย”



จิวอวงยี้ หัวร่อ เหอะ เหอะ เปลี่ยนน้ำเสียงทุ้มให้คล้ายบุรุษ กล่าวว่า

“เป็นหลวงจีนกลับฆ่าคนมากมายเพื่อข่มเหงสตรี ยังคงถอดจีวร แบกป้ายยี่ห้อโจรราคะยังเหมาะสมกว่า”



หลวงจีนลามะ ต้องหน้าแดงวูบที่ถูกบุรุษผู้นี้เปิดโปงแผนการ ดรุณีชุดเหลืองพอฟังสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเผือกขาว หากเมื่อครู่บุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่ได้ไหวตัว เราเองใยมิใช่ตกเป็นเหยื่อของมัน กระชากเสียงกล่าวด่าหลวงจีนลามะอย่างคับแค้น

“ลามะโฉด กลับกล้าคิดการอุบาทว์ต่อเรา รับรองไม่ได้ตายดี”

พลางขยับแส้เก้าปล้องจากเอวออก เสียงลั่น เกรียวกร้าว ดังกระทบกัน พอสะบัดวูบเสียงดัง เฟี้ยว ฟ้าว ปลายแส้พุ่งแหวกอากาศอย่างเร่งร้อนเข้าหาหลวงจีนลามะ มันรีบวกดาบปัดปลายแส้ออก พอกระทบถูกปลายแส้พลันสะบัดหักเหทิศทาง พลิกลงจู่โจมล่าง หลวงจีนลามะเค้นยิ้มเยาะเย้ย ครุ่นคิด ‘ที่แท้หลอกบนจู่โจม ล่าง เหอะนับว่ามีฝีมืออยู่ท่าสองท่า’ พอวกดาบลงต้าน ปลายแส้พลันพุ่งขึ้นอย่างเร่งร้อน ย้อนกลับทิศทางจู่โจมบนอีกครา



หลวงจีนลามะต้องแตกตื่นขึ้น ไม่คาดว่า กระบวนท่านี้จู่โจมถึงสามครั้งซ้อนกัน ดาบพึ่งวกลงไม่สามารถยกขึ้นปกป้องได้ทัน พลันใช้เพลงดาบอสูรโลหิต กระบ่วนท่า ทวนกระแสน้ำ ปล่อยด้ามจับ เตะเท้าใส่ตัวดาบคราหนึ่ง ดาบพลันหมุนควง กระดอนขึ้นต้านรับแส้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ปลายแส้จะกระทบถูกใบหน้ามัน ดาบนี้เมื่อไร้คนยึดจับ ความจริงควรถูกแส้ฟาดกระเด็นไปตามแรง แต่สิ่งที่สะท้อนออกเป็นปลายแส้ของดรุณีชุดเหลือง ดาบหลังจากถูกฟาดใส่ยังคงหมุนควงลอยอยู่ คล้ายถูกยึดจับโดยมือที่มองไม่เห็น หลวงจีนลามะรีบคว้าดาบที่ลอยอยู่มาถือมั่นก่อนมันจะตกลง เค้นเสียง ฮึ  ครุ่นคิด ‘ดูท่าแส้เก้าปล้องของนางนี้ ไม่ได้มีไว้ประดับกาย ตามที่คิดแล้ว’



เห็นนางจู่โจมตามติดเข้ามา คราวนี้ไม่ประมาท ร่ายรำเพลงดาบอสูรโลหิตเข้าห้ำหั่น เพลงแส้ของนางพลิกแพลงพิสดาร การใช้แส้เก้าปล่องของนางก็ช่ำชองไม่น้อย จิวอวงยี้ชมดูอยู่ด้านข้าง เห็นนางอายุเยาว์วัยยังสามารถใช้แส้เก้าปล่องได้ดีเช่นนี้ อีกทั้งแส้ของนางก็ไม่คล้ายแส้ธรรมดา ยามโบกสะบัดคล้ายมังกรสีเงินทยานสะบัดร่าง พลันนึกขึ้นได้ ‘หรือแส้ที่โกวเนี้ยผู้นี้ใช้ เป็นแส้มังกรวารีเก้าปล้อง เช่นนี้นางก็เป็นทายาทของ บ้วนเล้งไฮ่(หมื่นมังกรทะเล) ฮ่วมบ้วนลี้ แล้ว คนผู้นี้มีเพลงแส้เก้าปล่องเป็นเอกในแผ่นดิน ทั้งยังมีพลังฝีมือลึกล้ำ หากนางไม่ใช่ทายาทของมันผู้นั้น ไหนเลยมีความสันทัดจัดเจนแส้เก้าปล่องตั้งแต่อายุยังเยาว์’



ดรุณีชุดเหลืองแม้สามารถใช้แส้เก้าปล้องได้อย่างจัดเจนแต่พลังฝึกปรือยังไม่กล้าแข็ง เพียงยี่สิบกว่ากระบวนท่าก็ถูกหลวงจีนลามะข่มสะกดการจู่โจมไว้ กลับต้องเป็นฝ่ายรับถ่ายเดียว มีหลายครั้งหวาดเสียวจวนเจียน แต่นางยังสามารถพลิกแส้ต้านรับได้อย่างทันท่วงที



หลวงจีนลามะร่ายรำเพลงดาบอสูรโลหิตยี่สิบกว่ากระบวนท่า ยังไม่สามารถจัดการดรุณีเยาว์วัยให้พ่ายแพ้ รู้สึกอึดอัดขัดข้องอย่างยิ่ง พลันพลิกท่าร่างเปลี่ยนแปลงกระบวนท่า เป็น ขวางแปดทิศ จิวอวงยี้หน้าแปรเปลี่ยนวูบ ท่านี้เคยใช้รุกไล่นางในศาลเจ้าร้าง  ตนเองมีท่าร่างรวดเร็วยังหลบรอดได้อย่างฉิวเฉียด โกวเนี้ยผู้นี้ แม้ดูแล้วแม้มีวิชาตัวเบายอดเยี่ยมแต่ก็ไม่เทียบเท่าตนยากยิ่งจะหลบพ้น หากคิดใช้แส้ต้านประทะดาบของมันในกระบวนท่านี้ คาดคิดว่ากำลังภายในของนางไม่น่าต้านทานหลวงจีลามกผู้นี้ได้



จริงดังคาดพอดรุณีชุดเหลืองสะบัดแส้ขึ้นต้านประทะ กลับถูกดาบแฝงกำลังภายในของมันฟาดจนแส้สะท้อนหันเหเปลี่ยนทิศทางยากยิ่งจะควบคุมกลับคืน ลำตัวพลันเปิดช่องว่าง พอดาบที่สองตามติดคิดหลบหลีกก็ไม่ทันการ คิดปัดป้องก็ทำไม่ได้ ต้องแตกตื่นตกใจ หลวงจีนลามะย่อมไม่ต้องการให้นางเสียชีวิตหรือเกิดบาดแผล ดาบนี้กลับฟันด้วยสันดาบมิใช่ด้านคม แต่กระนั้นหากกระทบถูก ย่อมต้องสลบไสล ได้รับบาดเจ็บ



จิวอวงยี้รีบใช้ฝ่ามือยมทูติคว้าจับข้อมือที่ถือดาบกำลังฟาดฟัน อีกมือหนึ่งใช้ฝ่ามืออสรพิษคีบเข็มเล็กละเอียด พุ่งใส่ทะลวงดวงตาของหลวงจีนลามะ หลวงจีนลามะต้องตื่นตระหนกไม่คาดว่าตัวโสโครกน้อยนี้มีวรยุทธพิสดาร ใช้ออกสองท่วงท่าในคราเดียว รีบพลิกข้อมือข้างที่ถือดาบหลบวูบสูญเสียสภาวะการณ์จู่โจมใส่ดรุณีชุดเหลือง ใช้มืออีกข้างหนึ่งต้านฝ่ามือของนางที่คุกคามถึงเบื้องหน้า พอกระทบถูก มือข้างนั้นพลันลื่นเลื้อยไต่ตามแขนของมัน เข็มอสรพิษพลิกจากจู่โจมดวงตา มาจู่โจมลำคอ หลวงจีนลามะลอบร้องย่ำแย่ ยามแตกตื่นลนลาน คิดหาวิธีคลี่คลายไม่ได้ รีบหดคอ อ้าปากงับเข็มอสรพิษของนางไว้



จิวอวงยี้คิดสยบหลวงจีนลามะด้วยกระบวนท่าเดียว อาศัยที่มันยังไม่ทันตั้งตัวกับไม่รู้แนวทางวิชาของนาง ใช้หลักจู่โจมสายฟ้า ใช้สุดยอดวิชาพิสดารสองแขนงในกระบวนท่าเดียว คาดคิดว่ายามกระทันหันมันยากจะหาวิธีคลี่คลาย ไม่คาดว่ามันจะคลี่คลายด้วยวิธีนี้ แม้ดูทุลักทุเล แต่ก็สามารถหยุดยั้งเข็มของนางได้  จิวอวงยี้รีบปล่อยปลายเข็มออกสะบัดฝ่ามือตบหน้ามันฉาดใหญ่ ครานี้มันไร้วิธีปัดป้องถูกตบจนใบหน้าเป็นรอยแดงรูปฝ่ามือ จนเห็นดาวทองระยิบระยับ พอเห็นนางคิดฟาดฝ่ามือตบอีกข้างต้องรีบฟันดาบขวางออกสกัดกั้น ถอยกายออกไปสี่ห้าก้าว ถ่มถุยเข็มอสรพิษออกจากปาก เข็มนั้นปะป่นมากับน้ำลายคราบเลือด ที่แท้กลับถูกนางตบจนภายในปากแตกเป็นแผล เลือดไหลนอง  ดรุณีชุดเหลืองเห็นต้องปรบมือหัวเราะชมชอบ กล่าวว่า

“สมควรโดนแล้ว สมควรโดนแล้ว”



หลวงจีนลามะ ค่ำคืนนี้ลงมือไม่ประสบผลทั้งยังถูกหนึ่งดรุณีหนึ่งบุรุษรุ่นเยาว์ก่อกวน จนเลือดหลังไหล ต้องกระชากเสียงด่า อย่างเดือดดาล

“เอ็กโอ้โอ้ก อับอองไอ่ไอ้เอ้าอายอี (เด็กโสโครก รับรองไม่ให้เจ้าตายดี)”

มันพอกล่าวต้องงงงันวูบ รู้สึกภายในปากปวดด้านชา ลิ้นแข็งขยับไม่คล่อง ที่แท้เมื่อครู่มันคาบเข็มอสรพิษ ปลายเข็มมีพิษปวดชาอยู่ พอพิษซึมสู่น้ำลายเข้าทางช่องแผลในปากจึงบังเกิดผล



ดรุณีชุดเหลืองต้องหัวร่องอหงาย รู้สึกว่าบุรุษหน้ามอมแมมนี้ ลงมือต่อหลวงจีนลามะได้สะใจนางยิ่ง กล่าวเย้ยว่า

“ท่านกล่าวกระไร เราได้ยินไม่ชัด ขออีกเที่ยวได้หรือไม่”

จิวอวงยี้เองก็ไม่คาดคิดว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ต้องหัวร่อ ออกมาเช่นกัน



หลวงจีนลามะเดือดดาลเป็นการใหญ่ เพลิงโทสะลุกฮือ ฟาดฟันดาบใส่คนทั้งสองเปะปะวุ่นวาย ดรุณีชุดเหลืองเห็นว่าบนเรือคับแคบ ยากจะมีที่หลบหลีก รีบฉุดข้อมือจิวอวงยี้กล่าวว่า

“เราหนีเถอะ อย่าได้สนใจคนวิกลจริตนี้แล้ว”

พลางดึงนางกระโจนลงน้ำ จิวอวงยี้ใจหายวูบนางเติบโตอยู่แถบเขาสูงไหนเลยรู้จักวิชาทางน้ำ แต่ไม่ทันกล่าวกระไรก็ถูกดึงลงน้ำไปแล้ว หลวงจีนลามะเห็นคนทั้งสองพุ่งตัวลงน้ำ มันเองก็ไม่รู้จักวิชาทางน้ำ ไม่ทราบจะติดตามไปชำระแค้นได้เช่นไร ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฟาดฟันดาบใส่ตัวเรือระบายโทสะ



จิวอวงยี้พอร่างถลันลงน้ำ ก็แตกตื่นลนลาน สายน้ำไหลเชียวกราด คล้ายจะดึงดูดร่างนางให้จมลง รีบตะเกียดตะกายเป็นการใหญ่ ดรุณีชุดเหลืองกลับไม่ทราบ คาดคิดว่านางว่ายน้ำเป็น แหวกว่ายขึ้นฝั่งโดยไม่ได้หันมามอง พอได้ยินเสียงร้องละล่ำละลักจึง เอะใจ รีบหันไปดู เห็นร่างหนึ่งกำลังจมลง ต้องแตกตื่นใจหาย รีบว่ายกลับไปช่วยเหลือ แต่ร่างของจิวอวงยี้กลับจมลงไปแล้ว ต้องด่ำดิ่งไปควานตัวขึ้นมา



พอได้ตัวรีบพาขึ้นฝัง แต่จิวอวงยี้สลบไสลไม่ได้สติ ดรุณีชุดเหลืองพอใช้แขนเสื้อปราดเช็ดใบหน้าจิวอวงยี้ คราบฝุ่นถูกชำระล้างออกหมด เห็นเป็นบุรุษหน้ามนหล่อเหลา ใบหน้ามีเค้าโครงหวานซึ้ง อดหน้าแดงวูบไม่ได้   พอเขย่าตัวเรียกมันกลับไม่ได้สติ เข้าใจว่าคนผู้นี้คงจมน้ำสำลักน้ำเข้าปอด ต้องทำการระบายลมหายใจ แต่ยังลังเลครุ่นคิด ฉับพลันพลันตัดสินใจ มันมีบุญคุณช่วยเหลือไม่อาจไม่ช่วยได้ อีกทั้งเรายังเป็นผู้ฉุดดึงมันลงน้ำจนมันมีสภาพนี้ จึงก้มกายอย่างแช่มช้า ใช้ริมฝีปากอ่อนนุ่มประกบริมฝีปากมัน ระบายลมหายใจให้เป็นจังหวะ ตามวิธีช่วยเหลือ



ทำอยู่สี่ห้าครั้ง ทุกครั้งนางอดหน้าแดงซ่านไม่ได้ พอจะทำอีกครั้งจิวอวงยี้พลันสำลักเอาน้ำที่คลั่งค้างออกมา ไอโขรกๆ ได้สติเหลือบแลเห็นใบหน้าวงหนึ่งจ่ออยู่บนใบหน้าตน ต้องแตกตื่นลนลาน ผลักออกโดยเร็วกล่าวเสียงแหบแห้งว่า

“ท่านทำกระไร”

จิวอวงยี้ลนลานจนลืมดัดซุ่มเสียง แต่เสียงของนางยามนี้แหบพร่า อีกทั้งดรุณีชุดเหลืองอยู่ในความเขินอายไม่ทันได้จับสังเกตุ มีสีหน้าแดงดุดผลตำลึง หลุบหน้าลงใช้สองมือจับเล่นปอยผมแก้เขอะเขิน กล่าวอ่อมแอ้มว่า

“ผู้อื่นช่วยเหลือท่าน ยังถามว่าทำกระไร”



จิวอวงยี้พลันนึกขึ้นได้ ว่าเมื่อครู่ตนเองจมน้ำ เช่นนี้นางเป็นผู้ช่วยเหลือเราขึ้นมา แต่สมองคล้ายยังมึนงงอยู่บ้าง ครู่หนึ่งจึงดัดซุ่มเสียงกล่าวว่า

“เช่นนั้นขอบคุณโกวเนี้ยมากแล้ว”

พลันลุกขึ้น มองไปรอบทิศทางคิดออกเดินทางไปยังเมืองหูหนันต่อ ดรุณีชุดเหลืองเห็นมันกำลังจะไป ต้องร้องเรียกกล่าวว่า

“นี่.. นี่  ท่านเสียมารยาทยิ่ง ผู้อื่นช่วยเหลือท่าน ท่านไม่คิดบ่งบอกชื่อแซ่ตนเองบ้างเลยหรือ”

จิวอวงยี้ต้องชะงักเท้าหันกลับมา ยามกระทันหันนึกชื่อไม่ออก พลันนึกขึ้นได้ชื่อหนึ่ง กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าแซ่ลู่ นามอวงยี้”

นางกลับเอาแซ่ของลู่ซุนมาใช้ ใส่ชื่อตนเองตามหลัง ชื่ออวงยี้ใช้ได้ทั้งชายและหญิงย่อมไม่เป็นที่ผิดสังเกตุ แต่พอคิดว่าตนเองใช้แซ่ลู่นำหน้าอดหวาบหวามใจมิได้ ครุ่นคิดว่าหากเป็นจริงจะดีไม่น้อย



ดรุณีชุดเหลือง มีท่าทีเอียงอายกล่าวว่า

“ข้าพเจ้า แซ่ฮ่วม นามเล้งซัง ท่านก็เรียกข้าพเจ้าว่า ซังม่วยเถอะ”



จิวอวงยี้แม้คาดเดาออกแต่แรกว่านางเป็นทายาท บ้วนเล้งไฮ่ ฮ่วมบ้วนลี้ แต่พอฟังว่านางแซ่ฮ่วมจริงๆก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ในบันทึกข้อห้ามของซือแป๋ตน  มีห้าชื่อถือสาที่ไม่อาจตอแยล่วงเกิน คือ สมณะศักดิ์สิทธิ์ ไต้ซือซินคงแห่งเส้าหลิน เซียนวิเศษชี้ทาง ลกปิงเต้าเจี้ยงแห่งบู๊ตึง  บ้วนเล้งไฮ่ ฮ่วมบ้วนลี้แห่งพรรคมังกรทะเล ขอทานเทวะนิททรา กุยเต็งแกแห่งพรรคกระยาจก และเฒ่าประหลาดเต็กอุ้น



ความจริงมีสี่ชื่อ ชื่อเฒ่าประหลาดเต็กอุ้นพึ่งเพิ่มเติมลงไปในภายหลัง จึงกลายเป็นห้า เพราะไม่เคยได้ยินชื่อฉายาเต็กอุ้นมาก่อนจึงเรียกมันเป็นเฒ่าประหลาด ในที่นี้ไต้ซือซินคงได้มรณภาพไปแล้ว ในยุทธภพตอนนี้กลับเหลือสี่คน ที่ไม่ควรตอแยล่วงเกิน



จิวอวงยี้ครุ่นคิดถึงต้องรีบไปเมืองหูหนันติดตามหาลู่ซุน จึงยกมือประสานกล่าวว่า

“ขอบคุณ ซังม่วย ที่ช่วยเหลือ ยามนี้ข้าพเจ้ามีธุระด่วนต้องรีบไป ไว้โอกาสหน้าพบกันใหม่”

ฮ่วงเล้งซังรีบกล่าวถามขึ้น

“ท่านจะไปยังที่ใด”

จิวอวงยี้กล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าจะไปเมืองหูหนัน”



“เช่นนั้นดียิ่ง ข้าพเจ้าก็จะไปหูหนัน เราร่วมทางกันดีหรือไม่”

จิวอวงยี้ไม่สะดวกกลับการปฏิเสธ จึงผงกศีรษะรับ ฮ่วมเล้งซังเห็นมันตอบรับรู้สึกปิติแย้มยิ้มอย่างร่าเริงก้าวเดินเคียงคู่กับจิวอวงยี้ ระหว่างเดินก็ชวนสนทนาไม่หยุดหย่อน จนจิวอวงยี้รู้สึกว่าดรุณีผู้นี้ไร้เดียงสาอย่างยิ่ง  

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

2ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

2ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture