ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ ๑/๘ - ชาวบัดวี
๘. ชาวบัดวี
ข้าไม่เคยนึกว่าในเวลาชั่ววัน คนเราจะอ่านบันทึกได้มากมายเพียงนี้
ใต้เงาของผายามบ่ายแก่ ข้ากับสิมูนช่วยกันดูบันทึกสารพัดม้วนที่ข้ารวบรวมใส่กระเป๋าหนังตั้งแต่เริ่มเดินทาง ทีแรกเกรงว่าตนเองอาจต้องค่อยๆ อ่านให้นางฟัง ทว่าหญิงสาวกลับอ่านภาษาเอลลิเนสได้รวดเร็วแตกฉานกว่าเจ้าของภาษาอย่างข้า ลางที ข้ารู้สึกเหมือนนางไม่ได้อ่าน แต่เพียงมองหรือแตะต้องก็ทราบใจความของกระดาษแผ่นนั้นหมดสิ้นแท้ๆ
ด้วยเหตุนี้ นางจึงดูบันทึกต่างๆ ไปได้เกินครึ่ง ขณะที่ข้านั่งถอดลายมือของตนเองไปได้แค่หนึ่งในสี่ของทั้งหมดที่เตรียมมา สีหน้าของหญิงสาวไม่บอกว่าพบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์หรือจำได้ แต่แล้วนางก็พึมพำเบาๆ โดยไม่คาดฝัน
“...เอลลิล”
“ทำไมหรือ” ข้าหันไปมองนาง
“ในนี้มีชื่อเอลลิล” หญิงสาวส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ข้า “แต่...ข้าไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกับที่เจ้าพูดถึงหรือเปล่า”
ข้ารีบอ่านบันทึกของตนเองคร่าวๆ มันลงวันที่ไว้ราวหกปีก่อน ว่าด้วยวายุเทพเอลลิลของชาวบาบิโลเนียน ราชันแห่งทวยเทพ โอรสแห่งนภาเทพอานูและพระแม่ธรณีอารูรู เอลลิลเป็นผู้รักษาแผ่นป้ายศิลาแห่งชะตากรรม ซึ่งบอกเล่าชะตากรรมของทุกสิ่ง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มี
ในวัยเยาว์ เอลลิลขืนใจหญิงนางหนึ่ง นามของนางคือมุลลิตู บางแห่งว่านางเป็นธิดาของเทพแห่งยุ้งฉางและเทพกัญญาแห่งธัญพืช บางแห่งว่านางเป็นธิดาแห่งนภาเทพอานูกับเทพกัญญาแห่งการสรรค์สร้างนัมมู แต่ไม่ว่าบิดามารดาของนางจะเป็นใคร เอลลิลก็ถูกพิพากษาโทษจองจำในอิร์คัลลา หรือปรภพของชาวบาบิโลเนียน ทว่ามุลลิตูซึ่งตั้งครรภ์ลูกของเขาได้ตามลงมา เอลลิลลักลอบมีสัมพันธ์กับนางในรูปลักษณ์ปลอมแปลงต่างๆ กระทั่งทั้งสองให้กำเนิดเทพอีกห้าองค์ก่อนเอลลิลจะพ้นโทษ ส่วนมุลลิตูเมื่อสิ้นชีวิตก็ได้เป็นเทพกัญญาแห่งอากาศ หรือบ้างก็ว่าสายลมตะวันตก
เอนลิลกับเอลลิลฟังคล้ายคลึงกันมาก ซ้ำยังเป็นวายุเทพ น่าจะเกี่ยวข้องกับลมทะเลทรายของสิมูน ข้าบอกนางตามนั้น ทว่าไม่มีชื่อของนางปรากฏในเรื่องนี้ โดยเฉพาะในฐานะบุตรทั้งห้าของเอลลิลกับมุลลิตู ซ้ำ...ตำนานนี้ยังประหลาดเกินความเข้าใจของข้า หากมุลลิตูถูกเอลลิลข่มเหง ไยจึงต้องลงมาหาเขาและให้กำเนิดบุตรอื่นๆ ไยนางจึงตายได้อย่างมนุษย์ในเมื่อบิดามารดาล้วนเป็นเทพ และได้เป็นเทพหลังสิ้นชีวิตแล้วเท่านั้น ข้าไม่อาจเข้าใจได้
“หรือ...ท่านคือมุลลิตู” ข้าสันนิษฐาน แล้วก็รีบแก้ทันควันด้วยความกระดาก “คงไม่ใช่ ดูอย่างไรท่านก็ยัง...เยาว์วัย ไม่น่าจะมีลูกมาแล้วเลย”
หญิงสาวสั่นศีรษะ ดูเหมือนนางยังจับความรู้สึกของข้าไม่ได้
“ข้าจำไม่ได้ เพียงแต่สะดุดตาที่ชื่อเอนลิลกับเอลลิลคล้ายกัน เลยสนใจขึ้นมา”
“นั่นสิ ข้าก็ลืมไปเสียสนิทว่าเคยจดเรื่องนี้ไว้ ถ้าอย่างนั้นลองค้นตำนานบาบิโลเนียนดูอีกรอบเถอะ”
เราช่วยกันจนค่ำ ชื่อของเอลลิลปรากฎประปรายในเรื่องอื่นๆ ในมหากาพย์อาทราฮาสิส เอลลิลเป็นวายุเทพผู้รำคาญเสียงการเสพสังวาสของมนุษย์ จึงบันดาลให้เกิดน้ำท่วมล้างโลก ในมหากาพย์กิลกาเมช เอลลิลคือเทพที่ไม่ยอมฟังคำขอร้องของกษัตริย์กิลกาเมชให้คืนชีพเอนคิดูผู้เป็นสหาย มีเรื่องหนึ่งกล่าวถึงแผ่นป้ายศิลาแห่งชะตากรรมของเอลลิลซึ่งถูกอสูรวิหคยักษ์นามอันซูลักไป แต่ก็ได้เทพนินูร์ตาผู้เป็นโอรสสังหารอสูร และนำแผ่นป้ายคืนมาในที่สุด ทว่าไม่มีเรื่องใดที่มีชื่อสิมูนเลย
สุดท้าย ฟ้าก็มืดจนข้าไม่สามารถอ่านหนังสือได้อีกต่อไป ทว่าสิมูนไม่มีปัญหาเรื่องใช้แสงไฟ ข้าจึงตัดสินใจมอบม้วนบันทึกทั้งหมดให้นางนำไปดูต่อในคืนนั้น แล้วนัดพบกันในบ่ายวันต่อมา
* * * * *
ไม่นานเราก็พบว่าตำนานต่างๆ ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ ข้าจึงลองถามพ่อค้าและนักเดินทางอื่นๆ ดู มีบ้างที่รู้จักวายุเทพเอลลิลและยืนยันข้อมูลเดิมที่ข้ามี ทว่าไม่มีพวกเขาคนใดรู้จักสิมูนหรือธิดาแห่งวายุ เหลือเพียงพวกโนมาเดสหรือบัดวีที่ข้าไม่แน่ใจว่าควรข้องแวะหรือไม่ แต่ครั้นคิดว่าต้องเสี่ยงดู ข้าก็พบปัญหาใหญ่กว่านั้น
แม้นเดินทางรอนแรมในทะเลทรายมานานจนพูดภาษาสำคัญที่พวกพ่อค้าและนักเดินทางมักใช้กันได้คล่อง ข้าก็ไม่ทราบภาษาบัดวีแม้แต่น้อย กระนั้น เมื่อปรับทุกข์กับสิมูน ก็รู้เรื่องอันแสนวิเศษไม่คาดฝัน
“พวกบัดวี...หมายถึงคนที่เลี้ยงแพะแกะน่ะหรือ”
“ใช่” ข้าชะงักเมื่อฉุกคิดบางอย่างได้ “ท่านฟังพวกเขาเข้าใจหรือ”
นางกลับมองข้าอย่างประหลาดใจ
“ก็เข้าใจเหมือนที่พูดกับเจ้า”
“จริงหรือ!” ข้าอุทาน “ท่านทราบไหมว่าข้าพูดภาษาอะไร”
นางสั่นศีรษะ
“มิน่าท่านจึงอ่านภาษาเอลลิเนสได้ ท่านฟังคำพูดของข้าออก...เหมือนคำพูดของพวกเขา โดยไม่รู้ว่าเป็นภาษาอะไรด้วยซ้ำหรือ”
“ข้า...ไม่เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาพูดกับสิ่งที่เจ้าพูดแตกต่างกันเลย” สิมูนพูดง่ายๆ สีหน้าของนางออกงุนงงด้วยซ้ำ “ก็เข้าใจเหมือนกัน”
“ท่านพูดอะไรสักอย่างได้ไหม พูดโดยคิดว่าท่านกำลังพูดกับคนพวกนั้น ไม่ใช่ข้า” ข้าลองถาม
หญิงสาวเอ่ยถ้อยคำที่ข้าไม่อาจเข้าใจ ทำเอาข้านิ่งตะลึงงัน
“เมื่อครู่ท่านพูดอะไร”
“...สวัสดี...” ข้าได้ยินนางเอ่ยภาษาเอลลิเนสอย่างลังเล “...ฟังไม่ออกหรือ”
“ใช่!” ข้าตอบ ผุดลุกจากพื้นทรายอย่างลิงโลด เริ่มเห็นความหวังขึ้นมารำไร
“ข้าจะนำกระดาษมาจด บางทีวิธีนี้อาจได้ผล”
ข้าย้อนไปนำกระดาษปาปิรุสเพิ่มเติม ฟังคำพูดของสิมูนแล้วถอดความเป็นอักษรเอลลิเนสให้อ่านออกเสียงตาม ที่จริงไม่ง่ายเลย มีอักษรมากมาย มีหลายคำที่ได้ยินแตกต่างจากเสียงที่รู้จัก แต่โดยรวมก็ใช่เหลือบ่ากว่าแรงนัก ข้านัดพบกับนางอีกครั้งในบ่ายวันต่อมา และกลับไปฝึกออกเสียงแต่ละคำให้คล่องเท่าที่จะทำได้
* * * * *
ครั้นถึงเวลานัด เราทั้งสองมาใกล้ค่ายพักแรมของพวกบัดวี ชะเง้อมองหาผู้ที่น่าจะพูดคุยด้วยได้
“แน่ใจหรือว่าจะได้ผล” นางถาม
“...ไม่ลองก็ไม่รู้” ข้าตัดใจตอบพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะหันไปส่งยิ้มน้อยๆ ให้สิมูนซึ่งตามหลังมาห่างๆ “เอาเถอะ ข้าลองฝึกถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาน่าจะฟังรู้เรื่องบ้าง หากท่านต้องการเสริมอะไรก็ขอให้ค่อยๆ พูดช้าๆ ทีละนิด ให้ข้าออกเสียงได้ตามก็แล้วกัน”
นางเงียบไปเหมือนไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้นัก ทว่าข้าได้แต่กระชับกระดาษปาปิรัสซึ่งจดคำถามแบบง่ายๆ ตามที่ข้าขอให้สิมูนออกเสียงให้ฟัง พลางภาวนาขอให้ได้ผล
ไม่นาน สายตาของข้าปะเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบ กับเด็กหญิงราวๆ หกเจ็ดขวบเค้าหน้าคล้ายกัน ทั้งสองกำลังต้อนแพะฝูงหนึ่งมา ข้าเดินเข้าไปหาพวกเขา เอ่ยคำว่า “สวัสดี” ตามที่จดไว้
เด็กผิวคล้ำทั้งสองหันขวับมาทางข้า คนอายุน้อยรีบผลุบเข้าหลบหลังพี่ชาย ข้าพยายามยิ้มน้อยๆ ให้ทั้งสองวางใจว่าตนเป็นมิตร แต่ก็ไม่อาจลบสายตาหวาดระแวงของพวกเขาได้
“รู้จักยาบินต์-อัลฮาวาไหม” กระนั้น ข้าก็ได้แต่ถามต่อไป
ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง ข้าจึงถามซ้ำแบบช้าๆ และชัดถ้อยชัดคำกว่าเดิม ครั้นเด็กชายสั่นศีรษะ ข้าเลยก้มมองกระดาษจด หาคำถามต่อไป
“ในเผ่ามีคนที่น่าจะรู้จักยาบินต์-อัลฮาวาไหม”
เด็กคนโตสั่นศีรษะตามเดิม ข้าจึงหันไปมองสิมูนเพื่อขอความเห็น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหวีดร้องแหลม ข้าหันกลับ เห็นเด็กหญิงวิ่งหนีไปอีกทาง มีพี่ชายรั้งท้ายพลางต้อนแพะตาม
ข้าถอนใจ คิดจะไปถามชาวบัดวีคนอื่นที่อายุมากกว่า ก็พอดีได้ยินเสียงเด็กหญิงพูดรัวเร็วกับหญิงสวมผ้าคลุมสีดำปกปิดหน้าตา คงเป็นแม่ของเด็กทั้งสอง พอมองตามนิ้วที่เด็กหญิงชี้มายังพื้นทราย ก็พบสร้อยข้อมือลูกปัดหินสีตกอยู่
เด็กชายคนพี่เสี่ยงวิ่งเข้ามา คงตั้งใจเอาสร้อยข้อมือกลับไป แต่ข้าไวกว่า ซ้ำจุดที่มันตกยังอยู่ใกล้กับตัวข้ามากกว่า เด็กชายเลยชะงักอยู่ห่างๆ
ทีนี้จะทำอย่างไรดี... ข้าคิดขณะมองสร้อยข้อมือหินที่ตนถืออยู่ สายตาของทั้งสามเริ่มบอกความไม่เป็นมิตรชัดแจ้ง ข้าจึงรีบค้นกระดาษหาคำว่า “ขอโทษ” พูดไปโดยเร็ว สิมูนยืนละล้าละลังนิ่งเงียบอยู่ข้างหลัง
“ข้าไม่มีเจตนาร้าย...ภาษาบัดวีว่าอย่างไร” ข้ารีบถามนาง แต่หญิงชุดดำกลับตอบห้วนๆ เป็นภาษาที่ข้าเข้าใจชัดแจ้ง สำเนียงของนางแปร่งปร่า
“ข้าฟังเข้าใจดี ไม่ต้องหาภาษาบัดวี คืนของของลูกข้ามาเดี๋ยวนี้”
“ค่อยยังชั่วหน่อย” ข้าถอนใจเฮือก “ข้าเพียงแต่มีเรื่องอยากถาม เดี๋ยวจะคืนสร้อยให้”
ดวงตาของหญิงผู้คลุมหน้าจ้องมองข้าอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังดูท่าที ก่อนเอ่ยต่อ
“พวกเจ้ามีอะไรก็ว่ามา”
“นางมองเห็นข้า!” สิมูนพลันอุทานขึ้นก่อนข้าทันเอ่ยปาก
ข้าหันขวับไปมองหญิงชุดขาวซึ่งเบิกตาอย่างประหลาดใจ เพิ่งฉุกใจว่าหญิงชาวบัดวีใช้คำว่า “พวกเจ้า” แสดงว่าไม่ใช่ข้าคนเดียว นางเห็นสิมูนด้วยจริงๆ ทว่าพอหันกลับมาทางหญิงชุดดำ ข้าก็พบว่านางเบิกตาไม่ต่างกัน
“ท่านเห็นสตรีชุดขาวที่มากับข้าใช่ไหม ท่านรู้จักนางหรือเปล่า” ข้ารีบถาม
“ข...ข้าไม่เห็นใครทั้งนั้น! วางสร้อยไว้ตรงนั้นแล้วไปเสีย!” อีกฝ่ายตอบเสียงดังแทบเป็นตะโกน
“ไม่!” ข้าตอบเสียงแข็ง “ข้ารู้ว่าท่านเห็นนาง ท่านรู้จักยาบินต์-อัลฮาวาใช่ไหม ตอบมาก่อน แล้วข้าจะคืนสร้อยให้!”
หญิงชาวบัดวีนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่แล้วนางก็หันไปพูดกับเด็กทั้งสองก่อนจะจูงพวกเขาไป ข้าตั้งใจวิ่งตามไปถามให้รู้เรื่อง แต่สิมูนกลับปรามเสียก่อน
“พอเถิด อามอน”
“แต่ว่า...เราเกือบรู้แล้วแท้ๆ!” ข้าแย้งด้วยความเสียดาย ทว่านัยน์ตาของสิมูนเครียดขรึม ซ้ำแฝงความกังวล ข้าจึงอดถามไม่ได้ “ทำไมหรือ”
“หญิงคนนั้น ข้ารู้สึกเหมือนนาง...ผิดแปลกจากคนอื่น” สิมูนเอ่ยอย่างลังเล “แต่ข้าไม่ทราบว่าเพราะอะไร ข้าไม่เคยรู้สึกอย่างนี้เวลาเห็นใครมาก่อนเลย”
ข้าระบายลมหายใจพร้อมกับเตะทรายเบาๆ
“น่าแปลก...ถ้านางเห็นท่านแล้วรู้จัก ทำไมไม่ยอมบอก”
หรือตัวตนของธิดาแห่งวายุจะเป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่อาจแสดงออกว่าตน ‘รับรู้ได้’...ข้าคิดแต่ไม่อาจได้ความกระจ่าง
“ช่างเถิด เดี๋ยวไปถามคนอื่นแทนก็ได้”
ข้าตั้งใจจะวางสร้อยข้อมือลงบนพื้นทราย ให้พวกนางมาเก็บเอง ก็พลันมีเสียงตะโกนโฮกฮาก หันไปทางต้นเสียงก็เห็นชายชาวบัดวีกลุ่มหนึ่งวิ่งตรงมาหาข้า
“หนี! อามอน!” สิมูนร้องบอกข้า “พวกเขาจะมาจับตัวเจ้า!”
ไม่ทันถามนางว่าเพราะอะไร เท้าทั้งสองของข้าก็ออกวิ่งตามสัญชาตญาณ แต่แล้วใครคนหนึ่งก็ไล่กวดจนทันก่อนจะผลักข้าล้มคะมำ อีกหลายคนตามมากลุ้มรุม ข้าเลิกดิ้นรนทันทีเมื่อเห็นประกายแปลบปลาบจากกริชและดาบที่พวกเขาชักออกมา
ไม่นานข้าก็ถูกมัดมือไพล่หลัง กระชากให้ลุกขึ้นยืน แล้วรุนหลังให้ก้าวซวนเซอยู่กลางวงของพวกเขาอย่างไม่ปรานีนัก
สิมูนร้องเรียกชื่อข้าตลอดเวลา แต่นางคงไม่อาจทำสิ่งใดมากกว่านั้น ท่ามกลางชายร่างสูงใหญ่สวมผ้าคลุมกันทรายสีเข้ม ข้าเหลือบเห็นเงาสีขาวไวๆ นอกวงล้อมนั้นเพียงแวบเดียว ไม่ช้าน้ำเสียงของนางแผ่วหาย น่ากลัวว่าชายฉกรรจ์พวกนี้จะพาข้าออกนอกเขตแดนของสิมูนเสียแล้ว
ข้าเองไม่ทราบว่าพวกเขาจะพาตนไปที่ใด แต่ก็พอเดาได้เลาๆ ว่าคงไม่ใช่ที่ที่ดีนัก
* * * * *
พวกเขาพาข้าไปยังที่พักแรมของชาวบัดวี แล้วผลักข้าเซถลาเข้าไปในกระโจมใหญ่หลังหนึ่ง เบื้องหน้าชายวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาเคร่งเครียด ผมและหนวดเครายาวเฟิ้มของเขาเริ่มแซมสีเทาของความชรา
“เจ้าคนต่างถิ่นนี่รึ” เขาพูดภาษาของพวกพ่อค้าที่ข้ารู้จัก สำเนียงแปร่งปร่าคล้ายหญิงสาวคนก่อนหน้า “ที่กล้าดีพูดจาแทะโลมสะใภ้ข้า!”
ข้าสะดุ้งเฮือก
“ม...มิได้ ข้าสาบานได้ว่าไม่ได้พูดอย่างนั้นจริงๆ!” ข้าหันไปเห็นหญิงชุดดำ นางยืนอยู่ใกล้ชายฉกรรจ์เค้าหน้าคล้ายชายที่นั่งอยู่ ลูกเล็กๆ ทั้งสองของนางเกาะชายผ้าคลุมของชายฉกรรจ์คนนั้นไว้ ทำให้ข้าเข้าใจว่าชายนั้นคงเป็นพ่อของพวกเขา สีหน้าของชายฉกรรจ์ถมึงทึง บ่งบอกว่าแทบอยากกินเลือดเนื้อของข้า
แต่ข้าไม่ได้ล่วงเกินภรรยาของเขาเลย ข้าไม่เข้าใจว่าพวกเขาเข้าใจผิดได้อย่างไร...นอกจากใครสักคนเป็นผู้บอก
...ใครสักคนที่ไม่อยากให้ข้าเข้ามายุ่มย่ามกับตนมากกว่านี้
ข้าจ้องตรงไปยังดวงหน้าใต้ผ้าคลุมของหญิงผู้มองเห็นสิมูน หมายคาดคั้นให้นางรู้สึกผิด แต่นางก็เบือนหลบไม่มองตอบ
“ข้าเพียงต้องการถามท่านเรื่องยาบินต์-อัลฮาวาเท่านั้น ไม่ได้พูดจาล่วงเกินท่านแต่อย่างใด ไยต้องใส่ร้ายข้าด้วย!”
นางไม่ตอบข้า กลับพูดภาษาบัดวีรัวเร็วกับชายที่น่าจะเป็นสามี น้ำเสียงเหมือนร้องไห้โฮอยู่ในที
นัยน์ตาของชายสูงวัยผู้กุมชีวิตข้าไว้ในมือยิ่งลุกโชน
“แก้ตัวไปก็ไร้ประโยชน์” เขาพูดเสียงกร้าว “คิดว่าข้าจะเชื่อพวกหน้าไร้ขนอย่างแกมากกว่าพยานจากเผ่าข้าเองรึ หากเจ้าลบหลู่นางก็เท่ากับลบหลู่ลูกชายข้า ลบหลู่ข้าที่เป็นหัวหน้าเผ่า แล้วก็ลบหลู่พวกเราทุกคนในเผ่าด้วย!”
“แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เชื่อข้าเถอะ!” ข้าละล่ำละลัก
“เห่าเข้าไปเถอะ” ชายสูงวัยหัวเราะเหี้ยมๆ “เพราะต่อไป...นั่นคือเสียงเดียวที่ปากโสโครกของเจ้าจะทำได้”
เพียงเขาพูดภาษาบัดวีเป็นถ้อยคำสั้นเฉียบขาด พวกชายฉกรรจ์ที่จับตัวข้าอยู่ยิ่งกดบ่าหนักขึ้นจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ข้าใจหายเมื่อเขาชักกริชที่ข้างเอวตนส่งให้ลูกชาย
ชายหนุ่มผละจากภรรยาซึ่งพยายามยุดแขนเขาไว้ ข้ารู้เองในทันใดว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใด
“ย...อย่า...ได้โปรดเถอะ ข้า...ข้าขออภัยที่รบกวนคนของท่าน แต่ข้าไม่ได้พูดล่วงเกินนางจริงๆ!”
“สายไปแล้ว” หัวหน้าเผ่าตัดบท ลูกชายของก้าวมาเบื้องหน้าข้า สีหน้าฉายโทสะเย็นชา
เขาแทบกระชากลิ้นของข้าออกจากปาก...คมกริชถูกเลื่อนเข้ามาจ่อใกล้จนเสียวสันหลังวาบ...ข้าหลับตาลงพร้อมกับสวดภาวนาผิดๆ ถูกๆ อยู่ในใจ...
“ช้าก่อน!”
ผ้ากั้นประตูพลันสะบัดพรึบพร้อมคำคำนี้ คำอันทรงอำนาจในเสียงคลับคล้าย...ซึ่งข้าไม่คาดฝันเลยว่าจะได้ยินอีกครั้ง
* * * * *
ตอนนี้มีแต่ชื่อของเทพสุเมเรีย ซึ่งคนอาจรู้จักน้อยกว่าเทพกรีก จึงแนบคำอธิบายอย่างย่นย่อมาด้วยครับ
รายชื่อ
เอลลิล - Ellil เทพแห่งลม
อานู - Anu เทพแห่งฟ้า
อารูรู - Aruru พระแม่ธรณี
มุลลิตู - Mullitu ชายาของเอลลิล เทพีแห่งอากาศหรือสายลมตะวันตก
นัมมู - Nammu เทพีแห่งการสรรค์สร้าง
อิร์คัลลา - Irkalla ปรภพของสุเมเรีย
อาทราฮาสิส - Atrahasis/ Atra-Hasis มหากาพย์น้ำท่วมโลกของชาวอัคคาเดียน มีตัวเอกชื่ออาทราฮาสิส
กิลกาเมช - Gilgamesh ชื่อมหากาพย์ของบาบิโลเนีย และกษัตริย์ที่เป็นตัวเอก
เอนคิดู - Enkidu สหายของกิลกาเมช
อันซู - Anzu ปีศาจนกยักษ์ที่ขโมยแผ่นป้ายชะตากรรมของเอลลิล
นินูร์ตา - โอรสของเอลลิลกับมุลลิตู (บางฉบับว่าเป็นลูกของนินฮูร์ซัก - Ninhursag อีกชื่อหนึ่งของอารูรู) เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนิปปูร์เช่นเดียวกับเอลลิล
มหากาพย์อาทราฮาสิส (Wiki)
มหากาพย์อาทราฮาสิส
เอลลิลกับนินลิลเป็นคนเดียวกันหรือไม่ และใครมาช่วยม่อน ติดตามอ่านตอนต่อไปได้ครับ :)
ข้าไม่เคยนึกว่าในเวลาชั่ววัน คนเราจะอ่านบันทึกได้มากมายเพียงนี้
ใต้เงาของผายามบ่ายแก่ ข้ากับสิมูนช่วยกันดูบันทึกสารพัดม้วนที่ข้ารวบรวมใส่กระเป๋าหนังตั้งแต่เริ่มเดินทาง ทีแรกเกรงว่าตนเองอาจต้องค่อยๆ อ่านให้นางฟัง ทว่าหญิงสาวกลับอ่านภาษาเอลลิเนสได้รวดเร็วแตกฉานกว่าเจ้าของภาษาอย่างข้า ลางที ข้ารู้สึกเหมือนนางไม่ได้อ่าน แต่เพียงมองหรือแตะต้องก็ทราบใจความของกระดาษแผ่นนั้นหมดสิ้นแท้ๆ
ด้วยเหตุนี้ นางจึงดูบันทึกต่างๆ ไปได้เกินครึ่ง ขณะที่ข้านั่งถอดลายมือของตนเองไปได้แค่หนึ่งในสี่ของทั้งหมดที่เตรียมมา สีหน้าของหญิงสาวไม่บอกว่าพบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์หรือจำได้ แต่แล้วนางก็พึมพำเบาๆ โดยไม่คาดฝัน
“...เอลลิล”
“ทำไมหรือ” ข้าหันไปมองนาง
“ในนี้มีชื่อเอลลิล” หญิงสาวส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ข้า “แต่...ข้าไม่แน่ใจว่าใช่คนเดียวกับที่เจ้าพูดถึงหรือเปล่า”
ข้ารีบอ่านบันทึกของตนเองคร่าวๆ มันลงวันที่ไว้ราวหกปีก่อน ว่าด้วยวายุเทพเอลลิลของชาวบาบิโลเนียน ราชันแห่งทวยเทพ โอรสแห่งนภาเทพอานูและพระแม่ธรณีอารูรู เอลลิลเป็นผู้รักษาแผ่นป้ายศิลาแห่งชะตากรรม ซึ่งบอกเล่าชะตากรรมของทุกสิ่ง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มี
ในวัยเยาว์ เอลลิลขืนใจหญิงนางหนึ่ง นามของนางคือมุลลิตู บางแห่งว่านางเป็นธิดาของเทพแห่งยุ้งฉางและเทพกัญญาแห่งธัญพืช บางแห่งว่านางเป็นธิดาแห่งนภาเทพอานูกับเทพกัญญาแห่งการสรรค์สร้างนัมมู แต่ไม่ว่าบิดามารดาของนางจะเป็นใคร เอลลิลก็ถูกพิพากษาโทษจองจำในอิร์คัลลา หรือปรภพของชาวบาบิโลเนียน ทว่ามุลลิตูซึ่งตั้งครรภ์ลูกของเขาได้ตามลงมา เอลลิลลักลอบมีสัมพันธ์กับนางในรูปลักษณ์ปลอมแปลงต่างๆ กระทั่งทั้งสองให้กำเนิดเทพอีกห้าองค์ก่อนเอลลิลจะพ้นโทษ ส่วนมุลลิตูเมื่อสิ้นชีวิตก็ได้เป็นเทพกัญญาแห่งอากาศ หรือบ้างก็ว่าสายลมตะวันตก
เอนลิลกับเอลลิลฟังคล้ายคลึงกันมาก ซ้ำยังเป็นวายุเทพ น่าจะเกี่ยวข้องกับลมทะเลทรายของสิมูน ข้าบอกนางตามนั้น ทว่าไม่มีชื่อของนางปรากฏในเรื่องนี้ โดยเฉพาะในฐานะบุตรทั้งห้าของเอลลิลกับมุลลิตู ซ้ำ...ตำนานนี้ยังประหลาดเกินความเข้าใจของข้า หากมุลลิตูถูกเอลลิลข่มเหง ไยจึงต้องลงมาหาเขาและให้กำเนิดบุตรอื่นๆ ไยนางจึงตายได้อย่างมนุษย์ในเมื่อบิดามารดาล้วนเป็นเทพ และได้เป็นเทพหลังสิ้นชีวิตแล้วเท่านั้น ข้าไม่อาจเข้าใจได้
“หรือ...ท่านคือมุลลิตู” ข้าสันนิษฐาน แล้วก็รีบแก้ทันควันด้วยความกระดาก “คงไม่ใช่ ดูอย่างไรท่านก็ยัง...เยาว์วัย ไม่น่าจะมีลูกมาแล้วเลย”
หญิงสาวสั่นศีรษะ ดูเหมือนนางยังจับความรู้สึกของข้าไม่ได้
“ข้าจำไม่ได้ เพียงแต่สะดุดตาที่ชื่อเอนลิลกับเอลลิลคล้ายกัน เลยสนใจขึ้นมา”
“นั่นสิ ข้าก็ลืมไปเสียสนิทว่าเคยจดเรื่องนี้ไว้ ถ้าอย่างนั้นลองค้นตำนานบาบิโลเนียนดูอีกรอบเถอะ”
เราช่วยกันจนค่ำ ชื่อของเอลลิลปรากฎประปรายในเรื่องอื่นๆ ในมหากาพย์อาทราฮาสิส เอลลิลเป็นวายุเทพผู้รำคาญเสียงการเสพสังวาสของมนุษย์ จึงบันดาลให้เกิดน้ำท่วมล้างโลก ในมหากาพย์กิลกาเมช เอลลิลคือเทพที่ไม่ยอมฟังคำขอร้องของกษัตริย์กิลกาเมชให้คืนชีพเอนคิดูผู้เป็นสหาย มีเรื่องหนึ่งกล่าวถึงแผ่นป้ายศิลาแห่งชะตากรรมของเอลลิลซึ่งถูกอสูรวิหคยักษ์นามอันซูลักไป แต่ก็ได้เทพนินูร์ตาผู้เป็นโอรสสังหารอสูร และนำแผ่นป้ายคืนมาในที่สุด ทว่าไม่มีเรื่องใดที่มีชื่อสิมูนเลย
สุดท้าย ฟ้าก็มืดจนข้าไม่สามารถอ่านหนังสือได้อีกต่อไป ทว่าสิมูนไม่มีปัญหาเรื่องใช้แสงไฟ ข้าจึงตัดสินใจมอบม้วนบันทึกทั้งหมดให้นางนำไปดูต่อในคืนนั้น แล้วนัดพบกันในบ่ายวันต่อมา
* * * * *
ไม่นานเราก็พบว่าตำนานต่างๆ ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ ข้าจึงลองถามพ่อค้าและนักเดินทางอื่นๆ ดู มีบ้างที่รู้จักวายุเทพเอลลิลและยืนยันข้อมูลเดิมที่ข้ามี ทว่าไม่มีพวกเขาคนใดรู้จักสิมูนหรือธิดาแห่งวายุ เหลือเพียงพวกโนมาเดสหรือบัดวีที่ข้าไม่แน่ใจว่าควรข้องแวะหรือไม่ แต่ครั้นคิดว่าต้องเสี่ยงดู ข้าก็พบปัญหาใหญ่กว่านั้น
แม้นเดินทางรอนแรมในทะเลทรายมานานจนพูดภาษาสำคัญที่พวกพ่อค้าและนักเดินทางมักใช้กันได้คล่อง ข้าก็ไม่ทราบภาษาบัดวีแม้แต่น้อย กระนั้น เมื่อปรับทุกข์กับสิมูน ก็รู้เรื่องอันแสนวิเศษไม่คาดฝัน
“พวกบัดวี...หมายถึงคนที่เลี้ยงแพะแกะน่ะหรือ”
“ใช่” ข้าชะงักเมื่อฉุกคิดบางอย่างได้ “ท่านฟังพวกเขาเข้าใจหรือ”
นางกลับมองข้าอย่างประหลาดใจ
“ก็เข้าใจเหมือนที่พูดกับเจ้า”
“จริงหรือ!” ข้าอุทาน “ท่านทราบไหมว่าข้าพูดภาษาอะไร”
นางสั่นศีรษะ
“มิน่าท่านจึงอ่านภาษาเอลลิเนสได้ ท่านฟังคำพูดของข้าออก...เหมือนคำพูดของพวกเขา โดยไม่รู้ว่าเป็นภาษาอะไรด้วยซ้ำหรือ”
“ข้า...ไม่เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาพูดกับสิ่งที่เจ้าพูดแตกต่างกันเลย” สิมูนพูดง่ายๆ สีหน้าของนางออกงุนงงด้วยซ้ำ “ก็เข้าใจเหมือนกัน”
“ท่านพูดอะไรสักอย่างได้ไหม พูดโดยคิดว่าท่านกำลังพูดกับคนพวกนั้น ไม่ใช่ข้า” ข้าลองถาม
หญิงสาวเอ่ยถ้อยคำที่ข้าไม่อาจเข้าใจ ทำเอาข้านิ่งตะลึงงัน
“เมื่อครู่ท่านพูดอะไร”
“...สวัสดี...” ข้าได้ยินนางเอ่ยภาษาเอลลิเนสอย่างลังเล “...ฟังไม่ออกหรือ”
“ใช่!” ข้าตอบ ผุดลุกจากพื้นทรายอย่างลิงโลด เริ่มเห็นความหวังขึ้นมารำไร
“ข้าจะนำกระดาษมาจด บางทีวิธีนี้อาจได้ผล”
ข้าย้อนไปนำกระดาษปาปิรุสเพิ่มเติม ฟังคำพูดของสิมูนแล้วถอดความเป็นอักษรเอลลิเนสให้อ่านออกเสียงตาม ที่จริงไม่ง่ายเลย มีอักษรมากมาย มีหลายคำที่ได้ยินแตกต่างจากเสียงที่รู้จัก แต่โดยรวมก็ใช่เหลือบ่ากว่าแรงนัก ข้านัดพบกับนางอีกครั้งในบ่ายวันต่อมา และกลับไปฝึกออกเสียงแต่ละคำให้คล่องเท่าที่จะทำได้
* * * * *
ครั้นถึงเวลานัด เราทั้งสองมาใกล้ค่ายพักแรมของพวกบัดวี ชะเง้อมองหาผู้ที่น่าจะพูดคุยด้วยได้
“แน่ใจหรือว่าจะได้ผล” นางถาม
“...ไม่ลองก็ไม่รู้” ข้าตัดใจตอบพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะหันไปส่งยิ้มน้อยๆ ให้สิมูนซึ่งตามหลังมาห่างๆ “เอาเถอะ ข้าลองฝึกถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาน่าจะฟังรู้เรื่องบ้าง หากท่านต้องการเสริมอะไรก็ขอให้ค่อยๆ พูดช้าๆ ทีละนิด ให้ข้าออกเสียงได้ตามก็แล้วกัน”
นางเงียบไปเหมือนไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้นัก ทว่าข้าได้แต่กระชับกระดาษปาปิรัสซึ่งจดคำถามแบบง่ายๆ ตามที่ข้าขอให้สิมูนออกเสียงให้ฟัง พลางภาวนาขอให้ได้ผล
ไม่นาน สายตาของข้าปะเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบ กับเด็กหญิงราวๆ หกเจ็ดขวบเค้าหน้าคล้ายกัน ทั้งสองกำลังต้อนแพะฝูงหนึ่งมา ข้าเดินเข้าไปหาพวกเขา เอ่ยคำว่า “สวัสดี” ตามที่จดไว้
เด็กผิวคล้ำทั้งสองหันขวับมาทางข้า คนอายุน้อยรีบผลุบเข้าหลบหลังพี่ชาย ข้าพยายามยิ้มน้อยๆ ให้ทั้งสองวางใจว่าตนเป็นมิตร แต่ก็ไม่อาจลบสายตาหวาดระแวงของพวกเขาได้
“รู้จักยาบินต์-อัลฮาวาไหม” กระนั้น ข้าก็ได้แต่ถามต่อไป
ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง ข้าจึงถามซ้ำแบบช้าๆ และชัดถ้อยชัดคำกว่าเดิม ครั้นเด็กชายสั่นศีรษะ ข้าเลยก้มมองกระดาษจด หาคำถามต่อไป
“ในเผ่ามีคนที่น่าจะรู้จักยาบินต์-อัลฮาวาไหม”
เด็กคนโตสั่นศีรษะตามเดิม ข้าจึงหันไปมองสิมูนเพื่อขอความเห็น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหวีดร้องแหลม ข้าหันกลับ เห็นเด็กหญิงวิ่งหนีไปอีกทาง มีพี่ชายรั้งท้ายพลางต้อนแพะตาม
ข้าถอนใจ คิดจะไปถามชาวบัดวีคนอื่นที่อายุมากกว่า ก็พอดีได้ยินเสียงเด็กหญิงพูดรัวเร็วกับหญิงสวมผ้าคลุมสีดำปกปิดหน้าตา คงเป็นแม่ของเด็กทั้งสอง พอมองตามนิ้วที่เด็กหญิงชี้มายังพื้นทราย ก็พบสร้อยข้อมือลูกปัดหินสีตกอยู่
เด็กชายคนพี่เสี่ยงวิ่งเข้ามา คงตั้งใจเอาสร้อยข้อมือกลับไป แต่ข้าไวกว่า ซ้ำจุดที่มันตกยังอยู่ใกล้กับตัวข้ามากกว่า เด็กชายเลยชะงักอยู่ห่างๆ
ทีนี้จะทำอย่างไรดี... ข้าคิดขณะมองสร้อยข้อมือหินที่ตนถืออยู่ สายตาของทั้งสามเริ่มบอกความไม่เป็นมิตรชัดแจ้ง ข้าจึงรีบค้นกระดาษหาคำว่า “ขอโทษ” พูดไปโดยเร็ว สิมูนยืนละล้าละลังนิ่งเงียบอยู่ข้างหลัง
“ข้าไม่มีเจตนาร้าย...ภาษาบัดวีว่าอย่างไร” ข้ารีบถามนาง แต่หญิงชุดดำกลับตอบห้วนๆ เป็นภาษาที่ข้าเข้าใจชัดแจ้ง สำเนียงของนางแปร่งปร่า
“ข้าฟังเข้าใจดี ไม่ต้องหาภาษาบัดวี คืนของของลูกข้ามาเดี๋ยวนี้”
“ค่อยยังชั่วหน่อย” ข้าถอนใจเฮือก “ข้าเพียงแต่มีเรื่องอยากถาม เดี๋ยวจะคืนสร้อยให้”
ดวงตาของหญิงผู้คลุมหน้าจ้องมองข้าอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังดูท่าที ก่อนเอ่ยต่อ
“พวกเจ้ามีอะไรก็ว่ามา”
“นางมองเห็นข้า!” สิมูนพลันอุทานขึ้นก่อนข้าทันเอ่ยปาก
ข้าหันขวับไปมองหญิงชุดขาวซึ่งเบิกตาอย่างประหลาดใจ เพิ่งฉุกใจว่าหญิงชาวบัดวีใช้คำว่า “พวกเจ้า” แสดงว่าไม่ใช่ข้าคนเดียว นางเห็นสิมูนด้วยจริงๆ ทว่าพอหันกลับมาทางหญิงชุดดำ ข้าก็พบว่านางเบิกตาไม่ต่างกัน
“ท่านเห็นสตรีชุดขาวที่มากับข้าใช่ไหม ท่านรู้จักนางหรือเปล่า” ข้ารีบถาม
“ข...ข้าไม่เห็นใครทั้งนั้น! วางสร้อยไว้ตรงนั้นแล้วไปเสีย!” อีกฝ่ายตอบเสียงดังแทบเป็นตะโกน
“ไม่!” ข้าตอบเสียงแข็ง “ข้ารู้ว่าท่านเห็นนาง ท่านรู้จักยาบินต์-อัลฮาวาใช่ไหม ตอบมาก่อน แล้วข้าจะคืนสร้อยให้!”
หญิงชาวบัดวีนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่แล้วนางก็หันไปพูดกับเด็กทั้งสองก่อนจะจูงพวกเขาไป ข้าตั้งใจวิ่งตามไปถามให้รู้เรื่อง แต่สิมูนกลับปรามเสียก่อน
“พอเถิด อามอน”
“แต่ว่า...เราเกือบรู้แล้วแท้ๆ!” ข้าแย้งด้วยความเสียดาย ทว่านัยน์ตาของสิมูนเครียดขรึม ซ้ำแฝงความกังวล ข้าจึงอดถามไม่ได้ “ทำไมหรือ”
“หญิงคนนั้น ข้ารู้สึกเหมือนนาง...ผิดแปลกจากคนอื่น” สิมูนเอ่ยอย่างลังเล “แต่ข้าไม่ทราบว่าเพราะอะไร ข้าไม่เคยรู้สึกอย่างนี้เวลาเห็นใครมาก่อนเลย”
ข้าระบายลมหายใจพร้อมกับเตะทรายเบาๆ
“น่าแปลก...ถ้านางเห็นท่านแล้วรู้จัก ทำไมไม่ยอมบอก”
หรือตัวตนของธิดาแห่งวายุจะเป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่อาจแสดงออกว่าตน ‘รับรู้ได้’...ข้าคิดแต่ไม่อาจได้ความกระจ่าง
“ช่างเถิด เดี๋ยวไปถามคนอื่นแทนก็ได้”
ข้าตั้งใจจะวางสร้อยข้อมือลงบนพื้นทราย ให้พวกนางมาเก็บเอง ก็พลันมีเสียงตะโกนโฮกฮาก หันไปทางต้นเสียงก็เห็นชายชาวบัดวีกลุ่มหนึ่งวิ่งตรงมาหาข้า
“หนี! อามอน!” สิมูนร้องบอกข้า “พวกเขาจะมาจับตัวเจ้า!”
ไม่ทันถามนางว่าเพราะอะไร เท้าทั้งสองของข้าก็ออกวิ่งตามสัญชาตญาณ แต่แล้วใครคนหนึ่งก็ไล่กวดจนทันก่อนจะผลักข้าล้มคะมำ อีกหลายคนตามมากลุ้มรุม ข้าเลิกดิ้นรนทันทีเมื่อเห็นประกายแปลบปลาบจากกริชและดาบที่พวกเขาชักออกมา
ไม่นานข้าก็ถูกมัดมือไพล่หลัง กระชากให้ลุกขึ้นยืน แล้วรุนหลังให้ก้าวซวนเซอยู่กลางวงของพวกเขาอย่างไม่ปรานีนัก
สิมูนร้องเรียกชื่อข้าตลอดเวลา แต่นางคงไม่อาจทำสิ่งใดมากกว่านั้น ท่ามกลางชายร่างสูงใหญ่สวมผ้าคลุมกันทรายสีเข้ม ข้าเหลือบเห็นเงาสีขาวไวๆ นอกวงล้อมนั้นเพียงแวบเดียว ไม่ช้าน้ำเสียงของนางแผ่วหาย น่ากลัวว่าชายฉกรรจ์พวกนี้จะพาข้าออกนอกเขตแดนของสิมูนเสียแล้ว
ข้าเองไม่ทราบว่าพวกเขาจะพาตนไปที่ใด แต่ก็พอเดาได้เลาๆ ว่าคงไม่ใช่ที่ที่ดีนัก
* * * * *
พวกเขาพาข้าไปยังที่พักแรมของชาวบัดวี แล้วผลักข้าเซถลาเข้าไปในกระโจมใหญ่หลังหนึ่ง เบื้องหน้าชายวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาเคร่งเครียด ผมและหนวดเครายาวเฟิ้มของเขาเริ่มแซมสีเทาของความชรา
“เจ้าคนต่างถิ่นนี่รึ” เขาพูดภาษาของพวกพ่อค้าที่ข้ารู้จัก สำเนียงแปร่งปร่าคล้ายหญิงสาวคนก่อนหน้า “ที่กล้าดีพูดจาแทะโลมสะใภ้ข้า!”
ข้าสะดุ้งเฮือก
“ม...มิได้ ข้าสาบานได้ว่าไม่ได้พูดอย่างนั้นจริงๆ!” ข้าหันไปเห็นหญิงชุดดำ นางยืนอยู่ใกล้ชายฉกรรจ์เค้าหน้าคล้ายชายที่นั่งอยู่ ลูกเล็กๆ ทั้งสองของนางเกาะชายผ้าคลุมของชายฉกรรจ์คนนั้นไว้ ทำให้ข้าเข้าใจว่าชายนั้นคงเป็นพ่อของพวกเขา สีหน้าของชายฉกรรจ์ถมึงทึง บ่งบอกว่าแทบอยากกินเลือดเนื้อของข้า
แต่ข้าไม่ได้ล่วงเกินภรรยาของเขาเลย ข้าไม่เข้าใจว่าพวกเขาเข้าใจผิดได้อย่างไร...นอกจากใครสักคนเป็นผู้บอก
...ใครสักคนที่ไม่อยากให้ข้าเข้ามายุ่มย่ามกับตนมากกว่านี้
ข้าจ้องตรงไปยังดวงหน้าใต้ผ้าคลุมของหญิงผู้มองเห็นสิมูน หมายคาดคั้นให้นางรู้สึกผิด แต่นางก็เบือนหลบไม่มองตอบ
“ข้าเพียงต้องการถามท่านเรื่องยาบินต์-อัลฮาวาเท่านั้น ไม่ได้พูดจาล่วงเกินท่านแต่อย่างใด ไยต้องใส่ร้ายข้าด้วย!”
นางไม่ตอบข้า กลับพูดภาษาบัดวีรัวเร็วกับชายที่น่าจะเป็นสามี น้ำเสียงเหมือนร้องไห้โฮอยู่ในที
นัยน์ตาของชายสูงวัยผู้กุมชีวิตข้าไว้ในมือยิ่งลุกโชน
“แก้ตัวไปก็ไร้ประโยชน์” เขาพูดเสียงกร้าว “คิดว่าข้าจะเชื่อพวกหน้าไร้ขนอย่างแกมากกว่าพยานจากเผ่าข้าเองรึ หากเจ้าลบหลู่นางก็เท่ากับลบหลู่ลูกชายข้า ลบหลู่ข้าที่เป็นหัวหน้าเผ่า แล้วก็ลบหลู่พวกเราทุกคนในเผ่าด้วย!”
“แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เชื่อข้าเถอะ!” ข้าละล่ำละลัก
“เห่าเข้าไปเถอะ” ชายสูงวัยหัวเราะเหี้ยมๆ “เพราะต่อไป...นั่นคือเสียงเดียวที่ปากโสโครกของเจ้าจะทำได้”
เพียงเขาพูดภาษาบัดวีเป็นถ้อยคำสั้นเฉียบขาด พวกชายฉกรรจ์ที่จับตัวข้าอยู่ยิ่งกดบ่าหนักขึ้นจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ข้าใจหายเมื่อเขาชักกริชที่ข้างเอวตนส่งให้ลูกชาย
ชายหนุ่มผละจากภรรยาซึ่งพยายามยุดแขนเขาไว้ ข้ารู้เองในทันใดว่าพวกเขาคิดจะทำสิ่งใด
“ย...อย่า...ได้โปรดเถอะ ข้า...ข้าขออภัยที่รบกวนคนของท่าน แต่ข้าไม่ได้พูดล่วงเกินนางจริงๆ!”
“สายไปแล้ว” หัวหน้าเผ่าตัดบท ลูกชายของก้าวมาเบื้องหน้าข้า สีหน้าฉายโทสะเย็นชา
เขาแทบกระชากลิ้นของข้าออกจากปาก...คมกริชถูกเลื่อนเข้ามาจ่อใกล้จนเสียวสันหลังวาบ...ข้าหลับตาลงพร้อมกับสวดภาวนาผิดๆ ถูกๆ อยู่ในใจ...
“ช้าก่อน!”
ผ้ากั้นประตูพลันสะบัดพรึบพร้อมคำคำนี้ คำอันทรงอำนาจในเสียงคลับคล้าย...ซึ่งข้าไม่คาดฝันเลยว่าจะได้ยินอีกครั้ง
* * * * *
ตอนนี้มีแต่ชื่อของเทพสุเมเรีย ซึ่งคนอาจรู้จักน้อยกว่าเทพกรีก จึงแนบคำอธิบายอย่างย่นย่อมาด้วยครับ
รายชื่อ
เอลลิล - Ellil เทพแห่งลม
อานู - Anu เทพแห่งฟ้า
อารูรู - Aruru พระแม่ธรณี
มุลลิตู - Mullitu ชายาของเอลลิล เทพีแห่งอากาศหรือสายลมตะวันตก
นัมมู - Nammu เทพีแห่งการสรรค์สร้าง
อิร์คัลลา - Irkalla ปรภพของสุเมเรีย
อาทราฮาสิส - Atrahasis/ Atra-Hasis มหากาพย์น้ำท่วมโลกของชาวอัคคาเดียน มีตัวเอกชื่ออาทราฮาสิส
กิลกาเมช - Gilgamesh ชื่อมหากาพย์ของบาบิโลเนีย และกษัตริย์ที่เป็นตัวเอก
เอนคิดู - Enkidu สหายของกิลกาเมช
อันซู - Anzu ปีศาจนกยักษ์ที่ขโมยแผ่นป้ายชะตากรรมของเอลลิล
นินูร์ตา - โอรสของเอลลิลกับมุลลิตู (บางฉบับว่าเป็นลูกของนินฮูร์ซัก - Ninhursag อีกชื่อหนึ่งของอารูรู) เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนิปปูร์เช่นเดียวกับเอลลิล
มหากาพย์อาทราฮาสิส (Wiki)
มหากาพย์อาทราฮาสิส
เอลลิลกับนินลิลเป็นคนเดียวกันหรือไม่ และใครมาช่วยม่อน ติดตามอ่านตอนต่อไปได้ครับ :)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น