ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
☾ guerilla.

ลำดับตอนที่ #10 : 07 – scrupulous.

  • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ย. 65




          รู้อะไรไหม? เขายังไม่หายแค้นที่นิมูเอลกลับคำพูดของตนเอง


          เดิมทีแล้วก็ไม่ได้สนิทสนมกันเสียจนนัดแนะอะไรเช่นนี้หรอก— อีกฝ่ายมักปล่อยให้การพบเจอในแต่ละครั้งคราเป็นไปตามจังหวะของโชคชะตา อาจมีละเว้นบ้างในกรณีที่น้องสาวสุดที่รักเอ่ยปากขอให้ชวนมาที่บ้าน แต่โดยปกติเขาก็คงไม่ได้ได้เหยียบเข้าไปในเขตหวงห้ามดังกล่าวแต่อย่างใด


          มันเป็นความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างมีขอบเขตของการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวต่อกันและกัน ซึ่งก็ไม่มีใครคิดจะฝ่าฝืนป้ายที่มีคำเตือนแปะอยู่อย่างโดดเด่นนั่น... ถือว่าดีอยู่พอควร


         เป็นการเคารพซึ่งกันและกันน่ะ


          จะเสียก็ตรงที่ความสนิทสนมในระดับนั้นนำมาซึ่งการกลั่นแกล้งเล็กๆน้อยๆที่พลั้งเผลอให้เกิดขึ้น— กลวิธีการเอาคืนด้วยการใช้งานอีกฝ่ายแทนกรรมการนักเรียนก็ใช่ว่าจะคุ้มค่าเสียขนาดนั้น มันแลดูคล้ายหน้าที่ซึ่งไม่มีนามของผู้อื่นถูกเสนอขึ้นมานอกเสียจากนิมูเอลมากกว่า และนั่นก็ทำให้หัวคิ้วเรียวของแอรีสกระตุกในทุกครั้งคราที่นึกถึง


          แต่ตอนนี้ไม่ว่าง เพราะฉะนั้นก็ไว้เอาคืนคราวหลัง...


         ใช่ว่าการโดนแกล้งจะไม่นำพาเรื่องดีมาหาเขาด้วย


          “ข้อนี้เหมือนโจทย์จะผิดนะ”


          เสียงหวานใกล้ตัวดึงดูดให้มุมมองของสายตาเปลี่ยนทิศ— แอรีสเบนมันออกจากใบหน้าของคนข้างกายมายังหนังสือของตนเองอีกครั้งหนึ่ง ดึงสติสัมปชัญญะออกจากห้วงความคิดแต่โดยดี กระนั้นก็ยังคงรอยยิ้มอยู่ที่มักจะมอบให้เธอต่อ


          “งั้นเหรอ?” เขาเอ่ยพลางอ่านทวนเป็นรอบที่สอง


          “อืม เหมือนคราวนี้จะไปอัปเดตแค่ในไฟล์ PDF เฉยๆ”


          “พิลึกดี”


          “นั่นน่ะสิ” โทปาซแค่นหัวเราะ


          สถิติความรวดเร็วในการอธิบายของมิสเวลลิงตันที่ถูกหล่อนทำลายไปอีกครั้งหนึ่งนั้นมีรางวัลเป็นช่วงเวลาฟรีไทม์— พวกเขามีเวลาทบทวนและสอบถามเพิ่มเติมมากกว่าปกติ ไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลานอกห้องเรียน อีกทั้งยังถือว่าเป็นการพักสมองระหว่างคลาสแรกๆในวันจันทร์อันน่าอดสูยิ่งนี่


          แคลคูลัสเป็นวิชาบังคับของหลักสูตร และเขาที่ห่วยในการคำนวณตัวเลขยิ่งกว่าอะไรก็รู้สึกหมดหวังในทุกครั้งคราที่เห็นว่ามันจบลงก่อนที่เข็มนาฬิกาจะไปถึงจุดหมายของมัน


          อย่างกับทำสปีดรันอย่างไรอย่างนั้น... เขาถึงได้ไม่ชอบลงเรียนร่วมกับบรรดาผู้คนที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันเป็นพิเศษไง


         ถ้าดร็อปได้ก็คงดร็อปไปตั้งแต่ตอนที่อยู่เกรด 10 แล้ว


          “คลาสนี้ไหวไหม?” เธอช้อนตาขึ้นมองเขาพลางเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา— คงเข้าใจถึงความยากของเนื้อหาที่เล่นเอาเด็กเกรด 12 ปวดหัวมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น แม้ว่าระดับมันสมองและความวิริยะด้านการเรียนจะต่างกันโดยสิ้นเชิง


          “คิดว่านะ บางทีถ้ากลับไปทวนก็อาจจะดีขึ้น”


          “เอาจริงๆคือฉันไม่คิดว่านายจะไม่ถนัดแคล”


          “ฉันมีไวบ์เด็กสายวิทย์งั้นเหรอ?


          “ไม่รู้สิ— อาจจะดูเป็นคนที่ไม่ว่าแตะอะไรก็เก่งล่ะมั้ง”


          “เธอไบแอสชัดๆเลยนี่” เขากลั้วหัวเราะ


          “นอกจากวิชาสังคมกับจิตวิทยา ฉันก็ไม่ชอบเรียนอะไรทั้งนั้นแหละ”


          “อ้อ...”


          เขาไม่ใช่นักเรียนลำดับต้นๆ— ต่อให้จะคลุกคลีกับคนในแวดวงดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้มีผลการเรียนหรือผลงานที่โดดเด่นเสียขนาดนั้น เรียกได้ว่าเนื่องด้วยทักษะการกระชับความสัมพันธ์เป็นครั้งคราวกับพวกเขามากกว่าที่ทำให้ได้ใกล้ชิดกันพอควร นอกเหนือจากนั้นก็มีระยะห่างระหว่างกันไม่น้อย


          การเป็นคนเจนโลกประมาณหนึ่งส่งผลต่อแนวคิดซึ่งมักจะแตกย่อยไว้หลายทางเพื่อแก้ไขปัญหาปัญหาหนึ่ง


          ทักษะส่วนใหญ่ที่ใช้ในชีวิตประจำวันมักจะข้องเกี่ยวกับกลุ่มบุคคลมากกว่าศาสตร์ศาสตร์หนึ่ง— มันสะดวกไม่น้อย ทว่าก็เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้ไม่ชัดเจนเทียบเท่า มีช้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันกับในเรื่องวิชาการ ไหนจะเรื่องที่พวกวิชาซึ่งบังคับใช้สูตรตามเอกสารลดทอนผลประโยชน์ของมันในชีวิตประจำวันอีก


          แต่หากถามว่า ‘พอใจกับมันหรือเปล่า?ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่แอรีสจะต้องปฏิเสธ


          มุมปากยกขึ้นพลางสังเกตได้ว่าอัญมณีคู่นั้นสะท้อนเงาของมือซึ่งสวมใส่เครื่องแต่งกายป้องกันคำสาปไว้— ชายหนุ่มเลื่อนสายตาลงมองเช่นเดียวกับเธอ เอียงคอเล็กน้อยพลางคาดเดาความคิดที่ซ่อนไว้ในแววตาดังกล่าว


เขาขยุบงกายให้เข้าหาอีกฝ่ายทีละน้อย ปลายนิ้วที่ถูกปกคลุมนั้นสัมผัสกับเนื้อผ้าคาร์ดิแกนสีชมพูอ่อนของโทปาซ...


         ก่อนมันจะยกขึ้นสูงในคราวที่อีกฝ่ายเลื่อนปลายนิ้วเข้ามาในถุงมือ


          เปรี๊ยะ!


          ใบหน้าเขาเห่อร้อนอย่างไม่ทันตั้งตัว


          “โทปาซ!”


“อ่ะ—”


ใครสักคนในห้องเรียกชื่อเธอ— คงด้วยความตกใจในกระแสไฟฟ้าและท่าทีซึ่งชะงักไปของพวกเขาทั้งคู่


          คนที่ตกใจจนทำสีหน้าไม่ถูกสะดุ้ง หันไปกล่าวขอโทษที่รบกวนสมาธิภายในห้องเรียนโดยรวดเร็วโดยที่ยังคงจับปลายถุงมือของเขาไว้— รอยยิ้มเหยเกที่เรียกเสียงหัวเราะได้พอสมควรนั้นบ่งบอกถึงความเป็นทางการที่ถูกละเลยไปในท้ายที่สุด เหลือแต่เพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่เผลอสร้างปัญหาร่วมกับเขาโดยไม่รู้ตัว


โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร... ถึงความจริงแล้วจะไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นก็เถอะ


เขาแค่เขิน— อาจน่าอาย แต่ไม่ใช่เรื่องแย่เสียหน่อย


          “โทษที...” เธอกล่าวในยามที่หันมาสบตากันอีกครั้ง


          ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะขยับปลายนิ้วอีกข้างไปแตะลงบริเวณระหว่างคิ้วของอีกฝ่าย— กระตุ้นให้ใบหน้าซุกซนนั่นย่นลงเล็กน้อยด้วยความฉงน และสร้างความรู้สึกหวาดเสียวประหลาดๆให้ริมฝีปากเธอเบะลง


          โทปาซใช้เวลาประมวลความคิดของตนเองไปครู่หนึ่ง


          “...นี่เป็นบทลงโทษเหรอ?


          “อ่าฮะ”


         และเขาก็คิดว่ามันน่ารักดี

 


___

 


          ปัง!


          “คุณดูอารมณ์เสียนะคะคุณโจนาห์”


          “ผมแค่ชอบเสียงของมันน่ะ ทำให้ตื่นดี อีกอย่างก็คือล็อกเกอร์นี่ก็ค่อนข้างฝืด ผลักเบาๆมันปิดไม่ได้หรอก”


          “เป็นอย่างนั้นสินะคะ...”


          ความโชคดีประการที่สองของวันคือการที่โทปาซนั้นต้องไปเตรียมตัวคลาสฝรั่งเศส— ถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์คนนี้และเธอจะไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่เขาก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าโรวีน่า เคนเนดี้เป็นหนึ่งในส่วนดีๆของชีวิต


          เป็นอคติส่วนตัวซึ่งกอบกุมหัวใจไว้อย่างแน่นหนา ต่อให้พยายามขูดมันออกด้วยเรี่ยวแรงมากเพียงใดก็ยังคงหลงเหลือเศษเสี้ยวของความทรงจำซึ่งไม่อาจทำเป็นไม่รับรู้ได้


         เขาไม่เคยลืมสีหน้าของทากะฮิโระในวันนั้น


          แอรีสสบตากับตนเองในกระจกซึ่งติดอยู่ด้านนอกประตูล็อกเกอร์— พิจารณาสีหน้าแนบนิ่งที่อาจถูกตีความได้ว่าไม่เป็นมิตร แล้วจึงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยให้เข้ากับภาพจำตนเองในสายตาคนรอบข้าง


          “อีกไม่กี่นาทีผมต้องไปเรียนนะครับ ถ้ามิสอยากจะคุยก็กล่าวเกริ่นๆไว้ แล้วค่อยลงรายละเอียดตอนเช้าชมรมได้หรือเปล่า?” เอ่ยมันออกมาด้วยน้ำเสียงปกติพลางหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย


          “นี่เป็นเรื่องด่วนน่ะค่ะ”


          “อ้อ... เรื่องด่วน”


          “ค่ะ ดิฉันคิดว่าเราคงต้องย้ำเตือนเรื่องขอบเขตของบทการแสดงที่ร่วมทำกันระหว่างทั้ง 3 ชมรมสักเล็กน้อย มันอดเป็นห่วงไม่ได้ หลังจากที่ได้ยินมาว่าเค้าโครงไอเดียของคุณโจนาห์จะมีส่วนข้องเกี่ยวกับชีวิตจริงน่ะค่ะ”


          “ผมรู้ขอบเขตของทุกอย่างนะครับมิส คุณก็รู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมระมัดระวังเรื่องส่วนตัวมากเพียงใด”


          “ค่ะ แต่—”


         “ถ้าเป็นเรื่องโทปาซก็พูดมาครับ ไม่ต้องอ้อมค้อม”


          สายน้ำที่ไหลเชี่ยวในวินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกับมันคือตัวบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ไม่คงที่ของแอรีส โจนาห์ได้เป็นอย่างดี— เขาใจเย็นแค่เพียงภายนอก กักเก็บอารมณ์ด้านลบไว้เพื่อระบายมันใส่อย่างอื่นตามฉบับวิธีการจัดการอารมณ์ที่ถูกต้อง ต่อให้ภายในรุ่มร้อนเพียงใดก็ต้องชโลมมันด้วยความเห็นในอีกมุมมอง แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยเพียงใดก็ตาม


          เคนเนดี้ชะงักงัน— หุบยิ้มลงได้อย่างง่ายดายด้วยประโยคดังกล่าวที่เขาเอ่ยมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว


ความอ้อมค้อมของหล่อนเปรียบเสมือนสิ่งที่กำบังตนเองจากความเป็นจริง— เป็นสิ่งที่คอยห่อหุ้มตัวตนซึ่งได้พร่ำบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอุทิศเพื่อบรรดานักเรียนอันเป็นที่รัก แม้ว่าแท้จริงแล้วจะก่อเกิดมาจากผลประโยชน์ที่ได้รับตอบแทนมา


          ใช่ว่าเขาจะมีภาพลักษณ์ที่แย่ในสายตาอาจารย์คนนี้...


         แค่ในมุมมองของคนที่เมินเฉยต่อนักเรียนระดับธรรมดา เขาดูห่างไกลกับโทปาซ และไม่ควรค่าแก่การถูกหยิบใส่กล่องของขวัญติดโบว์ใหญ่หรูหราเช่นเดียวกันก็เท่านั้น


          มหาสมุทรและคลื่นลูกเล็กที่ซัดเข้าฝั่งถี่ๆของมันสร้างเสียงดังเป็นระยะ— สงครามประสาทยังคงดำเนินต่อไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงแต่สายตาซึ่งไม่ละออกไปไหนเป็นตัวบ่งบอกถึงการที่เขาจะไม่ปล่อยให้มันสิ้นสุดลงแต่โดยดี


          เคนเนดี้ยังคงอ้ำอึง เหมือนกับทุกครั้งคราที่เธอไม่สามารถต่อปากต่อคำกับเขาได้


          “มิสรู้จักผมมานานพอที่จะรู้ว่าไม่มีพฤติกรรมไหนของผมที่จะส่งผลเสียต่อโทปาซนะ... อีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะในเชิงมิตรหรือเชิงชู้สาว เรื่องพวกนี้ก็เป็นประเด็นส่วนตัวด้วย”


          ราวกับว่าเขาลืมทุกทริคที่นักบำบัดเคยแนะนำให้ทำเวลาอารมณ์ด้านลบเริ่มครอบงำเสียอย่างนั้น— ปลายเท้าเคาะเป็นจังหวะเบาๆกับพื้น ความเร็วนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในยามที่คลื่นกระแทกจากภูเขาไฟใต้ผืนน้ำค่อยๆสะเทือนจากสีหน้าไปสู่ท่อนแขนที่ถ่ายแรงไปยังของในมือ


          “ผมคิดว่าทางโรงเรียนน่าจะมีอบรมเรื่องสิทธิส่วนบุคคลอยู่นะ—”


          “มิสครับ! ผมขอปรึกษาเรื่องเอกสารพวกนี้หน่อย”


          “ด— ได้ค่ะ”


          แอรีสเลิกคิ้วขึ้น


          เขาปรายตามองทากะฮิโระที่โผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง— เบนสายตาตามสองร่างอาจารย์ศิษย์ซึ่งเดินผ่านตนเองไปเงียบๆ ใคร่สงสัยถึงจังหวะเวลาซึ่งประจวบเหมาะเสียยิ่งกว่าอะไร


          และเมื่อจุดสนใจที่หายไปจากระยะสายตาเรียบร้อย ภาพสะท้อนในมหาสมุทรคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนมายังมิตรเดมิเกิร์ลของตนเองที่ยืนกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์อยู่


          เขาคงเห็นมาแล้วสักพัก— อารมณ์ที่เริ่มครอบงำเมื่อครู่ส่งผลให้ทุกสิ่งรอบตัวหยุดนิ่งในหัวเขา ไม่มีอะไรดำเนินไปพร้อมเพรียงกับบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดนั่น และเมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้ ก็กลายเป็นว่าเขาถูกส่งมายังอีกห้วงมิติหนึ่งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปเช่นเดิม


         ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเบาๆในยามที่เห็นสายตาเหน็บแนมของเพื่อนร่วมชมรม


          “นายต้องล้อฉันเล่นแน่”


          “ช่วยไม่ได้ เขาชักจะเริ่มข้ามคอมฟอร์ทโซนฉันไปในทุกๆวัน”


          “รู้ว่ายาก แต่เรื่องนี้ไม่ได้กระทบแค่คนเดียวเหมือนคราวก่อนๆแล้วนะ”


          “ก็รู้อยู่...”


          นี่คงเป็นความรู้สึกของแอนโธนี่ที่เจ้าตัวเคยบอกเขาเมื่อไม่นานมานี้— อึดอัด กระนั้นก็ต้องอดทนไว้


          สองมือที่ถือกระปุกยาสำหรับคำสาปของตนเองค้างไว้นั้นเปลี่ยนท่าทีของมัน— หนึ่งข้างกอบกุมมันแน่น ในขณะที่อีกข้างพยายามเปิดฝาอย่างรวดเร็วด้วยจิตใจที่ตระหนักได้ว่าตนเองไม่สามารถขาดมันได้ ณ ตอนนี้


         ถึงจะมีถุงมือ แต่ก็ต้องระมัดระวังไว้ก่อน...


          “เออ ฉันเพิ่งเขาหนอนกับดักแด้ไปให้ในล็อกเกอร์มิสมา ไม่อยากจะเชื่อว่าสกิลสะเดาะกลอนยังไม่ฝืด”


          “เอ—”


          “เจอโทปาซด้วย ดูเหมือนว่ารายนั้นจะไม่ค่อยสนอะไรเคนเนดี้ เห็นว่าแค่ยิ้มๆให้แล้วก็เดินไปทางอื่น”


          แอรีสเงียบไปครู่หนึ่ง— ร่างกายซึ่งดูดซึมยาได้อย่างรวดเร็วของเขากำลังทำให้สติสัมปชัญญะเลอะเลือนเล็กน้อย


          และเมื่อตระหนักได้ว่าถ้อยคำเหล่านั้นหมายความเช่นใด ก็หัวเราะออกมาทันที


          “อ่ะ เบลอยาๆ”


          “ขอโทษได้ไหมล่ะ?


          “ว่าแต่คาบต่อไปเรียนไร? ฉันติดอยู่กับเคมีเวทมนตร์และอยากโดดเป็นบ้า ไม่น่าให้รูมเมทลงให้ในตอนที่ติดแข่งเลย”


          “จิตวิทยา”


          “งั้นขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยหนึ่งคาบถ้วน”


          “ตามสบาย”

 


___

 


          “ก็คือนายรู้จักเอพริล?


          “อืม อยู่ชมรมเดียวกัน”


          “โลกนี้มันกลมเป็นบ้า”


          “ไม่ก็มันกลมกว่าเดิมในปีนี้”


          “...หมายความแบบโดยนัยสินะ”


          “อืม… คงงั้นมั้ง” เขายิ้ม— หยอกล้อใส่เจ้าของสีหน้าที่เริ่มไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะหยิบขวดน้ำในกระเป๋าให้เธอ


          หมับ!


          คิ้วที่ขมวดเข้าหากันในจังหวะเดียวกับเสียงที่สัมผัสกับพลาสติกนั้นทำให้เผลอหลุดหัวเราะออกมา— มันไม่ต่างอะไรกับพวกฉากที่ถูกจัดตามพวกภาพยนตร์ซิทคอม เหมือนกับเหตุการณ์หนึ่งที่เธอคงจะหยิบมากล่าวถึงในบทสนทนาทั่วๆไปเกี่ยวกับความบังเอิญของชีวิต และเพราะเป็นเช่นนั้นจึงยิ่งทำให้ดูน่าประทับใจไปอีก


          หรือว่าพวกเขากำลังอยู่ในโลกของการละครกันนะ?


ชักจะสงสัยแล้วสิ...


          “ก็ชงมาเองนี่”


          “ก็จู่ๆมันสงสัยนี่นา มันไม่ต่างอะไรกับพวกคำถามประมาณว่า ‘น้ำเปียกหรือเปล่า? เลยเสียด้วยซ้ำ”


          “ไอ้คำถามนั้นยังไม่ได้คำตอบแน่ชัดอีกเหรอ?


          “ไม่อ่ะ คงหลอกหลอนกันไปจนวันตาย” โทปาซไหวไหล่


          “ฉันอยู่ทีมน้ำไม่เปียก แต่คิดว่ามันทำให้อย่างอื่นเปียกแทน”


          “แล้วถ้ามันไม่เปียก มันจะทำให้อย่างอื่นเปียกได้ไงกัน?


          “อันนั้นต้องถามผู้กำหนดชะตา”


          “โยนให้พระเจ้าเลยเหรอปาซ?


          “อุ๊บส์” แล้วเธอก็ป้องปาก ทำตาโตประหนึ่งว่ากำลังตกใจ— แลบลิ้นน้อยๆใส่เขาในจังหวะที่ผละมือออก


          ตัวเขาไม่ได้มีคำตอบในใจไว้สำหรับปริศนาซึ่งไม่อาจมีผู้ล่วงรู้คำตอบนั่นหรอก กระนั้นการฟังเหตุผลของผู้อื่นก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่อยากจะทำ— หากคนเรามีโอกาสในการทำความเข้าใจหลักการคิดของคนรอบตัวก็ควรจะทำ มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับความสัมพันธ์ซึ่งปรารถนาจะเพิ่มความแน่นแฟ้นให้


         และในขณะเดียวกัน ความคิดของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่อัศจรรย์


          “แล้วคลาสวันนี้เป็นไง?” แอรีสกล่าวเปลี่ยนประเด็น


          “ก็ทั่วๆไป เจอควิซนิดหน่อย แต่พอถูไถได้ คิดว่าคงอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยปกติ”


          “สุดยอดไปเลยนี่”


          “ไบแอสหรอก”


          ถ้อยคำที่ถูกเรียงร้อยด้วยเจตนาอ้างอิงคำที่เขาเคยกล่าวนั้นกระตุ้นให้คิ้วเลิกขึ้นโดยไม่รู้ตัว— ชายหนุ่มหลุดเสียงหายใจที่ติดขัดในระยะหนึ่งออกมา คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นการแสดงอารมณ์ขบขันเล็กน้อย หากแต่ไม่ต้องการจะหัวเราะเสียงดังจนเป็นจุดสนใจในหมู่นักเรียนในโรงยิม


          โทปาซแลดูยังคงอึดอัดกับการเป็นจุดรวมสายตาหลายคู่ที่มากกว่าจำนวนเพื่อนสนิทของเธออยู่...


          “อ่า... แต่ก็ขอบคุณนะ”


          “ครับ”


         และเขาจะเคารพมัน


          “อีกเดี๋ยวมิกซ์จะให้วอร์มร่างกายนะ”


          “อ่า... ให้ตายเถอะ นายต้องเห็นถึงความอ่อนด้านกีฬาของฉันแน่ๆ”


          “มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่า”


          “ถ้าเป็นตามที่นายพูดก็ดีน่ะสิ”


          ในโรงยิมที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย พวกเขาไม่ได้มีแสงสาดส่องให้ดูโดดเด่น— หากไม่สร้างสิ่งที่ทำให้สนใจก็จะกลืนไปกับพื้นหลังเสียด้วยซ้ำ มันเป็นความสงบเสงี่ยมท่ามกลางผู้คนที่คุ้นเคยน้อยกว่าในโถงทางเดิน และก็นับว่าเป็นเรื่องดีเพียงไม่กี่เรื่องของการมีตารางฝึกที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติเป็นรายวัน


          นักเรียนผู้โดนสาปต่างก็ยึดคติ ‘ทุกคนมีเหตุผลของกันเอง’ และเหล่านักกีฬาก็ใช่ว่าจะอยากมอบเวลาส่วนตัวให้กับใครสักคนที่ไม่ได้มีอิทธิพลต่อชีวิตตนเองเสียขนาดนั้น— นั่นเป็นสิ่งที่เขาสังเกตได้ ซึ่งโทปาซก็คล้ายกับว่าจะรับรู้ได้ในคลาสนี้


          ริมฝีปากที่มักจะเอ่ยทุกถ้อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงน่าฟังกำลังเม้มเป็นเส้นตรง— พิจารณาบรรยากาศรอบข้าง ทักษะด้านร่างกายของตนเอง และคาดคะเนถึงผลตอบรับในอนาคตที่จะเกิดขึ้น


          นาดีรา จาซีรีหาใช่อาจารย์ที่ทำอะไรโดยไม่ผ่านการไตร่ตรองถี่ถ้วน เพราะฉะนั้นหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาคงจะไม่เป็นอะไรหรอก


          แป๊ก!


         เจ้าตัวก็แค่ต้องรับรู้ถึงความจริงข้อนั้น


          “เอากิ๊บไหม?” เขาถาม— ปลายนิ้วที่ลูบพื้นผิวอันเรียบลื่นของเครื่องประดับในมือนั้นหยุดลงในจังหวะที่ประสานสายตากับสกายบลูโทปาซของเธอ


          “อ่า— อืม ฝากด้วยนะ”


...หืม?


“เอาจริงๆคือตรงนี้ควรมีกระจกนะ ถึงจะไม่ใช่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียทีเดียวก็เถอะ”


          แอรีสพยักหน้า— ทุกอย่างชะงักงันไปเพียงแค่เสี้ยววินาที กระนั้นเขาก็หวังว่าเธอจะไม่สังเกตเห็นความลนลานเล็กน้อยที่สะท้อนผ่านแววตาตนเอง มันค่อนข้างจะน่าอาย ด้วยความที่ในตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไรเช่นนี้


          สัมผัสนั้นเบาหวิวเสียจนเขาชักจะประหม่ากับการลงน้ำหนักของตนเอง...


เรือนผมสีแสดของอีกฝ่ายตัดกับสีของกิ๊บที่เป็นเช่นเดียวกับของดอกไฮยาซินธ์— มันถูกคัดเลือกให้เข้ากับโทนสีของชุดในตู้เสื้อผ้าเป็นหลัก และโดยปกติก็ไม่ได้ถูกใช้บ่อยนัก เนื่องด้วยสรรพคุณของเจลเซ็ตผมที่มักจะทำให้ไม่มีตัวสร้างความรำคาญบนใบหน้าเขาระหว่างฝึกร่างกาย


และในกรณีนี้ โทปาซที่มีหน้าม้าแสกข้างซึ่งแทบจะปกปิดทัศนียภาพบางส่วนของเธอนั้นแลดูจะต้องการมันมากกว่าเขา


แป๊ก!


          “ขอบคุณ”


          “ยินดีครับ”


          “อ้อ! งั้นเดี๋ยวฉันให้อะไรตอบแทนดีกว่า วันนี้นายก็ไม่ได้เซ็ตผมมาด้วยนี่”


          “หืม?


          สวบ!


“โชคดีที่ยังไม่ได้เอาออกจากกระเป๋า— กันผมปรกหน้าได้ดีเลยล่ะ”


สองมือนั้นถูกยกขึ้นมาจัดแจงที่คาดผมสีเรียบซึ่งอีกฝ่ายที่สวมให้เมื่อครู่อีกครั้ง— รู้สึกผิดวิสัยเล็กน้อยที่หน้าผากนั้นสัมผัสกับแสงแดดจากนอกหน้าต่างโรงยิมโดยตรง กระนั้นมันก็ไม่ได้เป็นภาระอะไรมากมาย ออกมาสะดวกกว่าใช้กิ๊บเสียด้วยซ้ำ


          “อ้อ...”


          “อ่า— ไม่สิ ฉันน่าจะถามนายก่อน”


          “ไม่เป็นไรๆ” เขาโบกมือปฏิเสธ


          “ขอบคุณครับ”


          ปัญหามันไม่ใช่ตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย...


          จะว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณก็ไม่ผิด แอรีสรับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องมายังตนเองสักพักหนึ่งแล้ว— ภาพซึ่งสะท้อนผ่านเงาของมหาสมุทรคู่นั้นคือใบหน้าของคนข้างกายที่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย บ่งบอกถึงการที่สัญชาตญาณของสาวเจ้าเริ่มทำงานหลังจากผละความสนใจออกจากประเด็นเรื่องผม


         บรรยากาศเพิ่งจะสงบไปได้ไม่นานเองแท้ๆ


“ปาซ—”


มันอดไม่ได้ที่เขาจะต้องพิจารณาดูปฏิกิริยาของโทปาซก่อนจะทำอะไร... กรณีของเธอละเอียดอ่อนเกินกว่าจะทำตัวบุ่มบ่าม— ต่อให้เจ้าตัวจะไม่ได้เปราะบางเสียจนต้องออกโรงปกป้อง การเอาใจใส่ไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลย ในฐานะบุคคลใหม่ในชีวิตเธอและในฐานะของคนคนหนึ่งที่มองเห็นถึงปัญหาของแรงกดทับทางสังคมแล้ว


“ฉันไม่เป็นไร” เสียงกระซิบที่แผ่วเบานั่นดังขึ้นใกล้ใบหูเขา ลมหายใจซึ่งมีอุณหภูมิอบอุ่นพอควรสัมผัสกับบริเวณไหปลาร้าที่เสื้อยืดปกปิดไม่มิด— เรียกความสนใจจากดวงตาคู่สวยไปสู่ระยะห่างที่ลดลงกว่าเดิมและหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน


“ทำหน้าจริงจังเชียว” เธอเอ่ยแซว


“แหม ก็มัน...”


“โอกาสถูกลือในเรื่องที่ค่อนข้างจะจริงมันสูงพอตัวเลยนะ และฉันก็ไม่มีปัญหากับอะไรทีไม่ใช่เรื่องแต่งด้วย”


“อ้อ”


“หมดวาระนักเรียนดีเด่นแล้ว ถ้าจะกิ๊กหรือคบกับใครก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฉันนี่” เธอโคลงศีรษะ— เรือนผมที่มัดเป็นทรงหางม้าสูงสะบัดไปมาเล็กน้อยพลางเอ่ย


“อ่า— เว้นแต่ว่าอีกคนจะไม่โอเค ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงปล่อยให้คนลือๆต่อกันไปไม่ได้หรอก ยิ่งเป็นที่รู้จักเยอะก็ยิ่งแล้วใหญ่”


“ก็พอเดาได้แหละนะ”

 


___

 


          “นี่มันซีนแอบหนีจากสถานที่ชุลมุนไปด้วยกันสองคนชัดๆ”


          “แต่ที่ขอมิกซ์ออกมาก็เพราะว่าเธอเริ่มจะไม่ไหวนะ”


          “มันก็ยังเข้าข่ายอยู่... นิดนึง”


          “อืม— ก็จริง”


          “ขอบคุณที่สปอยล์กัน ไว้จะเลี้ยงน้ำอัดลมนะ”


          เขาหัวเราะ


          ช่วงเวลาของการพักผ่อนไม่ควรปล่อยให้ผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย— แน่นอนว่าการเดินออกมาที่สนามฝึกนอกสถาบันศึกษานั้นเป็นสิ่งตรงกันข้าม ต่อให้มันจะดูเป็นเช่นนั้นในสายตาของมิกซ์จาซีรีที่คล้ายกับว่าจะสบตากับเขาตอนเดินออกมาก็ตาม


          แต่ก็นะ ถือว่าเป็นการพาโทปาซมาดูสถานที่...


          “ปกติติดสินบนคนด้วยของหวานเหรอ?” แอรีสเอ่ยแซว


          “ถ้าอยากได้เป็นมื้ออาหารก็นัดมา ฉันพร้อมเลี้ยง”


          ปลายนิ้วที่สะบัดขึ้นฟ้าพลางเอ่ยประโยคอันสุดแสนจะน่าหมั่นไส้ออกมาของเจ้าหล่อนเรียกเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี— แอนเดรียเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างจะมีฐานะ ด้วยบริษัทเครื่องประดับอันดับต้นๆของเมืองและธุรกิจส่งต่ออาวุธซึ่งขึ้นตรงกับทางระบบรักษาความปลอดภัยของเมือง การที่เธอไม่มีปัญหาด้านการเงินจึงไม่ใช่เรื่องแปลก


          แต่เขาที่ทางครอบครัวมีคนรู้จักแทบทั่วทุกวงการก็คงพูดอะไรมากไม่ได้หรอก มันเป็นอิทธิพลของวงศ์ตระกูลที่เปิดหนทางสู่โอกาสใหม่ๆเช่นเดียวกัน— เป็นสิ่งสำคัญที่หากไม่มีก็คงจะทำให้เส้นทางในดินแดนที่เต็มไปด้วยสัตว์สังคมยากลำบากกว่าเดิมประมาณหนึ่ง


          “ฉันไม่ได้ต้องการอาหารฟรีสักหน่อย” แอรีสส่ายหน้าพลางเอ่ย บทสนทนาที่ยังคงดำเนินต่อไปนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าจะทวีคูณจำนวนความล้อเล่นที่แฝงอยู่ในภาษากายไปในทุกวินาที กระนั้นมันก็ยิ่งทำให้ใคร่สงสัยว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาด้วยลูกไม้ไหน


         มันผ่อนคลายดี...


          “แล้วพ่อกู้ดบอยคนนี้อยากได้อะไรกันล่ะคะ?


          “เวลาของคุณเชียล่ะมั้งครับ”


          “ขออภัยค่ะ ตอนนี้ไม่สนใจทำประกัน”


          “ปาซ—”


          ลิ้นที่ยังคงมีร่องรอยของลูกอมสีเข้มนั้นตอบสนองต่อคำกล่าวของเขา— เธอฉีกยิ้มซุกซนในขณะที่เร่งความเร็วของฝีเท้า เดินเหยาะๆผ่านก้อนหินเวทมนตร์ซึ่งล้อมรอบมุมหนึ่งของสนามฝึกเป็นจังหวะ


          “ไม่ยอมให้เล่นอยู่คนเดียวหรอกนะ” เสียงหวานกลั้วหัวเราะ


          “งั้นเหรอ?


          “อืม— แต่อย่าเพิ่งเล่นต่อ ไม่พร้อม”


         แบบนี้ก็ได้เหรอ?


          กระนั้นก็ไม่สามารถกลั้นความขบขันให้อยู่ในลำคอต่อไปได้— เขาหัวเราะ ทั้งประทับใจและประหลาดใจในความซื่อตรงทางอารมณ์ของเธอ แม้มันจะไม่มีเหตุผลใดๆให้ความเข้าใจนั้นผันแปรไปอีกอย่าง โทปาซก็ยังมีความคิดที่จะอธิบายการกระทำของตนเองอยู่เสมอ


          ซึ่งถ้าให้พูดตามตรง ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเป็นเพราะอิทธิพลของอะไรบ้าง...


          และในขณะเดียวกัน สมองก็คิดเข้าข้างตนเองไปว่าเจ้าของคำอธิบายในทุกๆการกระทำคนนั้นใส่ใจความเห็นที่เขามีต่อตัวเธอ— ระมัดระวังไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนทางการสื่อสาร และหวั่นเกรงความเป็นไปได้ที่แย่ที่สุดของสถานการณ์


          “แต่ว่านะ... เป็นลานที่ทั้งกว้างและโล่งเลยนะเนี่ย” เธอกล่าว สองขายังคงขยับวนเวียนอยู่รอบตัวเขา— ถอยหลังกลับมาในทุกครั้งคราซึ่งฝีเท้าได้เพิ่มระยะห่างระหว่างพวกเขา เช่นเดียวกับสายตาที่แม้จะสนใจอย่างอื่น ก็ไม่วายเคลื่อนมาสบกันในยามสนทนา


          สกายบลูโทปาซคู่นั้นยังคงความซุกซนไว้เล็กน้อย มันหรี่ลงในยามที่ริมฝีปากแย้มกว้าง


          “เห็นว่าจะเปลี่ยนพวกอุปกรณ์เป็นที่ทำการเวทมนตร์แทนน่ะ” เขาฉีกยิ้มเช่นเดียวกัน


          “เพราะตอนนี้แตะได้ด้วยสินะ... ประหยัดค่างบไปได้พอควรเลย”


          “อืม แถมที่ทำเลก็เหมาะสำหรับคำสาปหลายรูปแบบด้วย”


          เนื่องจากเวทมนตร์นั้นเป็นสิ่งที่ต่อให้สัมผัสก็ไม่เกิดผลอะไรเพิ่มเติมแล้ว การจะนำมันมาใช้อำนวยความสะดวกจึงไม่มีปัญหาสำหรับผู้ต้องสาป— การสาปซ้ำซ้อนมันไม่มีจริงเสียหน่อย อีกทั้งด้วยเรื่องของงบประมาณที่จำเป็นจะต้องบริหารอย่าง ก็ถือว่าช่วยเหลือเรื่องอุปกรณ์ที่อาจชำรุด เพราะพลังของพวกเขาไปได้พอสมควร


          แอรีสก้มลงมองแทบเท้าตนเอง ภายนอกซึ่งเคลือบด้วยเวทมนตร์ก้อนกรวดซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงนั้นส่องสว่าง สะท้อนแสงอาทิตย์ในยามใกล้โพล้เพล้สวยงาม ดึงดูดให้เขาทำอะไรสักอย่างกับมัน


         และเพราะแบบนั้นจึงได้ย่อลงไปหยิบมาถือไว้ในมือ


          “สุดยอดไปเลยแฮะ”


          “จาซีรีถึงได้น่านับถือไงล่ะ เขาพัฒนาที่นี่อยู่เสมอ แถมยังเข้าใจหัวอกคนโดนสาป เพราะว่าเป็นแบบเดียวกันด้วย”


          “อ่า— ฉันลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลย” เธอหัวเราะแห้ง


          นาดีรา จาซีรีเป็นผู้ต้องสาป— ไม่รู้ว่าเป็นต้นตระกูลประเภทไหน เนื่องด้วยประสบการณ์การควบคุมตนเองซึ่งเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบและข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว มันไม่สำคัญในฐานะของคนคนหนึ่งที่เข้าใจว่าบางคนอาจจะลำบากใจกับการตอบคำถามเดิมซ้ำๆอย่างเขา


          แค่รายนั้นเข้าใจคนหัวอกเดียวกันก็พอแล้ว...


         มันมีแค่ผู้ต้องสาปส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่ได้รับแรงกระทบกระเทือนหลังกลายเป็นเช่นนี้น่ะ


          เหตุผลของการถูกสาปย่อมไม่เป็นเรื่องดี ไม่ว่าจะด้วยความผิดพลาด การจงใจทำ หรือการถูกบังคับให้ทำ— การปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตไม่เหมือนกับการได้รับพลังวิเศษและกลายเป็นฮีโร่ผู้พิทักษ์ ข้อแลกเปลี่ยนซึ่งเปรียบได้ดั่งมลทินของชีวิตมันตอบสนองต่อความรู้สึกยากลำบากมากกว่าส่วนที่เป็นข้อดี


          “ก็ไม่แปลก เขาควบคุมได้ดีกว่าทุกคนที่เราเจอนี่”


          “อยู่กับมันได้อย่างเป็นธรรมชาติเลยเนอะ”


          “เดี๋ยวเราก็จะเป็นแบบนั้นในอนาคต”


          “ใช่!” หญิงสาวทำท่าปืน— ยิงกระสุนความมั่นใจนั่นไปยังมุมปาก กระตุ้นให้มันยกขึ้นด้วยแรงซึ่งไม่สามารถควบคุมได้

 


___


         

          “ก็คือพี่สาวเธอสอนวิธีต่อยแบบใช้เล็บให้?


          “อ่าฮะ”


          “น่าประทับใจแฮะ”


          “รู๊บส์ก็เป็นแบบนั้นแหละ”


          เวลาล่วงเลยมาเสียจนท้องสภาเริ่มเปลี่ยนสี— จากฟ้าใสแปรเปลี่ยนสู่เฉดของชมพูหวานซึ่งคล้ายคลึงกับในพาเลตต์สีโลโก้ชมรมการละคร ผสมผสานกับก้อนเมฆโปร่งบางที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน


          ภาพสะท้อนในมหาสมุทรคู่นั้นดูงดงามไม่น้อย มันคงเป็นอีกคราวที่เบื้องบนได้มอบความรื่นรมย์ผ่านทางธรรมชาติให้แก่เขา— จะแตกต่างจากวันทั่วไปก็ตรงที่ไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนของมันเพียงคนเดียว


          ตุบ!


          เขาเอี้ยวไปมองโทปาซที่ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนพื้นเคียงข้างกัน สองมือกับเล็บที่ยาวเกินมนุษย์มนานั้นสัมผัสกับเศษดินโดยตรง— กอบกุมมันไว้ แม้จะไม่ได้ตั้งใจ ในขณะที่อัญมณีในดวงตาคู่งามช้อนขึ้นมองในทิศทางเดียวกันกับเขา


          “ตรงนี้เห็นท้องฟ้าชัดเจนเลย” เธอเอ่ย


          “ใช่ไหมล่ะ? เป็นทำเลที่ตั้งที่ไม่ว่าอย่างไรก็เพอร์เฟกต์สุดๆ”


          “จริง” เธอกล่าวพลางยกก้อนกรวดขึ้นสูงให้แสงอาทิตย์สาดส่องโดยตรง เสียงกลั้วหัวเราะตบท้ายประโยคนั้นดังขึ้นในเวลาต่อมา


          ทุกอย่างดูคล้ายกับว่าหลุดมาจากภาพวาด— งดงามราวกับไม่ใช่ความจริงซึ่งเผชิญอยู่ ณ ปัจจุบัน ทั้งท้องฟ้าที่ถูกรังสรรค์ด้วยแปรงสีและสีน้ำของธรรมชาติ บรรยากาศร่มรื่นซึ่งปกคลุมทุกส่วนของสนามฝึก และสายน้ำที่หากดูเพียงผิวเผินก็คล้ายกับว่าเต็มไปด้วยอัญมณีเล็กอัญมณีน้อยเต็มไปหมด


          แอรีสค่อยๆดึงถุงมือข้างขวาของเขาออกมาอย่างระมัดระวัง แล้ววางมันไว้บนตัก


          อุณหภูมิเย็นเฉียบสัมผัสเข้ากับร่างกายโดยตรงเมื่อเอื้อมไปคว้าเพชรเม็ดงามที่ซุกซ่อนอยู่ในลำธาร— อำนาจเวทมนตร์กระตุ้นให้มันไหลไปคนละทิศคนละทาง เผยให้เห็นบรรดาลูกปลาที่แหวกว่ายสวนกับทิศทางของสายน้ำที่ไหลเชี่ยวขึ้นเรื่อยๆ


          “ก็ควบคุมได้นี่” โทปาซกล่าว


          “แค่ตอนที่ใจเย็นน่ะ”


          เพราะเมื่อโดนเข้ากับเกล็ดของปลาหน้าตาประหลาดตัวหนึ่ง มันก็ปะทุขึ้นฟ้าราวกับภูเขาไฟลูกเล็ก— ส่งเสียงดังลั่นเสียจนร่างกายของพวกเขาทั้งสองไม่อาจอยู่นิ่งได้ รู้ตัวอีกทีก็เผลอถอยห่างจากแหล่งน้ำไปเสียแล้ว


          “ว้าว...”


          “ปลาที่นี่เหมือนจะเป็นสายพันธุ์ต้นตระกูล— เหยื่อของฝั่งฉันมั้ง พอโดนทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกที”


          “พอมองดีๆก็สีคล้ายช็อกมินต์อยู่นะ”


          เขาหัวเราะ


          ทุกอย่างเงียบงันไปหลังจากนั้น— เป็นจังหวะของความสงบซึ่งหาได้ยากในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคำสาป ระเบิดพลัง เวทมนตร์บ้าบอนานาประเภทของสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบสนามฝึก และแอรีสก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาชอบมัน


          ในตอนแรกก็เพียงแค่ต้องการพาโทปาซมาดูลาดเลาก่อนก็เท่านั้น แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่ต่างอะไรกับการแฮงเอาท์ปกติกับเธอเลย...


         พวกเขาคงไม่ได้กลับไปที่โรงยิมแล้วล่ะ


          “แต่ถ้ารู๊บส์เจอนายก็คงจะเอ็นดูมากๆแน่ ฉันกับแอนดี้คงตกกระป๋องชัวร์” เธอแค่นหัวเราะ


          “คนอะไรทั้งหล่อ น่ารัก เฟรนลี่ อัธยาศัยดี มีความสามารถ—”


         แต่แล้วก็ชะงักงันเมื่อสิ้นเสียงของตนเองไปเสียอย่างนั้น


          ตู้ม!


          หยดน้ำที่กระเซ็นมาโดนแขนเสื้อเขาประมาณหนึ่งทำให้ผืนมหาสมุทรสั่นไหว...


แอรีสอ้ำอึ้ง ตั้งตัวไม่ทันกับการกระทำของเจ้าของพวงแก้มสีระเรื่อ— ไม่ทันจะได้เดินเข้าไปห้ามก็กลายเป็นว่าทุกอย่างหยุดชะงักได้ด้วยอำนาจของสายน้ำซึ่งผ่านการกระตุ้นให้ไหลเชี่ยวได้ไม่นานเสียอย่างนั้น ต่อให้สถานการณ์จะเหมาะแก่การเบี่ยงเบนความสนใจมากเพียงใด อะไรเช่นนี้ก็อยู่เกินความคาดหมายของเขาไปพอควร


          “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนอะ”


          “เสียที่ไหนกันเล่า” เขาส่ายหน้า— ความรู้สึกเอือมระอานั้นผสมปนเปอยู่กับความเอ็นดู กลายเป็นสสารของความรู้สึกที่ทำให้ต้องหยิบผ้าสะอาดจากในกระเป๋าเข็มขัดออกมาให้อีกฝ่ายด้วยความหวังว่ามันจะช่วยซึมซับส่วนที่เปียกปอนของเรือนผม


          “โทษทีๆ แค่อยากลองทำแบบนี้มานานแล้วน่ะ” โทปาซกลั้วหัวเราะ แต่ก็รับของในมือไปแต่โดยดี


          “เดี๋ยวเมคอัพก็เละหรอก”


          “กันน้ำ ไม่เป็นไร”


          “หืม? นี่เตรียมตัวมาก่อนแล้วอย่างนั้นเหรอครับเนี่ย?


          “เหมือนเป็นแบบนั้นใช่ไหมล่ะ?


          เสียงหยดน้ำจากปลายผมสีแสดของเธอเป็นจังหวะควบคู่ไปกับการเต้นของหัวใจซึ่งเพิ่มอัตราความเร็วมากขึ้น— ภาพของโทปาซซึ่งค่อยๆบรรจงเช็ดผมตนเองนั้นสะท้อนอยู่ในมหาสมุทร เขายื่นมือไปช่วยในบางครา ทว่าด้วยพื้นผิวของถุงมือที่ไม่เหมาะกับน้ำสักเท่าไหร่ การจะทำเช่นนั้นจึงยากไม่น้อย


          “ถอดก่อนก็ได้นะ ไหนๆฉันก็ไม่น่าจะโดนอะไรอยู่แล้ว” เธอช้อนตาขึ้นมาสบกัน และนั่นก็ทำให้แอรีสอ้ำอึง


          “แล้ว... ถ้ามัน...”


          “รีส”


          “ครับ”


          “มันไม่เป็นไร”


         อ่า...


          “แน่ใจนะ”


          เธอพยักหน้า— เป็นคำตอบซึ่งไม่ได้เสียเวลาคิดเพิ่มเติม มั่นคงตั้งแต่วินาทีแรกที่เอ่ยจนถึงปัจจุบัน ทว่าก็ไม่ได้ชโลมความประหม่าของเขาไปหมดเสียทีเดียว


          “มาๆ เดี๋ยวถือถุงมือให้”


          “ฝากด้วยนะ”


          แล้วเธอก็พยักหน้าตอบกลับเขามา


          สัมผัสที่คาดการณ์ว่าคงนุ่มลื่นไม่น้อย หากไม่ได้เปียกไปบางส่วนกระตุ้นความสงสัยในตัวแอรีส มันค่อยๆก่อตัวจากความคิดน้อยๆไปสู่ปริศนาใหญ่ซึ่งกัดกินพื้นที่ของสมองไป— สองมือยังคงพยายามเช็ดเรือนผมสีแสดของหล่อนให้แห้ง ห้วงภวังค์ก็ดำเนินต่อไปในคราวเดียวกัน


          มันคลับคล้ายกับเส้นใยสักรูปแบบหนึ่ง— มีแนวโน้มว่าต้นตระกูลเธอจะเป็นอสูรที่ได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งมาจากพรรณไม้ในแวดล้อมตนเอง ซึ่งแท้จริงแล้วก็มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้น


         แถมยังอันตรายทั้งหมดเสียด้วย...


         มุมปากของคนที่ตระหนักถึงอนาคตอันวุ่นวายของบรรดาผู้ต้องสาปนั้นกระตุกขึ้นด้วยความพึงพอใจ


          “มันเปียกเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?


          “ก็พอสมควร เธอเล่นสาดมันเข้าหน้าเต็มๆเลยนี่”


          “อ่า...”


          “...”


          “...”


         “ว่าแต่ว่า... ฉันน่ารัก?


          เสียงของสายน้ำควบคุมบรรยากาศทั้งหมดไปในเวลาเพียงครู่หนึ่ง ก่อนเสียงหวานของเธอจะเอ่ยตอบกลับมา


          “ก็เป็นพ่อกู้ดบอยเสียนี่”


          เขาหลุดหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา— ขบขันกับความกล้าของคนเก้อเขินที่บ้าดีเดือดเช่นเดียวกับคราวที่หล่อนตัดสินใจทำอะไรบุ่มบ่าม มันทิ้งร่องรอยความประทับใจไว้ ณ ตัวเขาเช่นเดียวกับหยดน้ำที่ไหลลงจากปลายผม จะแตกต่างก็เพียงแต่ในข้อเท็จจริงที่ว่าลมคงไม่ช่วยอะไรมากนัก


         ไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ แต่จะรับมันไว้ก็แล้วกัน


          “น่าจะเคยมีคนชมนายอยู่บ้างนะ— อึ๋ย!”


          “หืม?


          ตุบ!


“นี่ พวกเธอ! เขาห้ามเข้ามาตรงนี้นะ!”


จ๋อม!


ในจังหวะที่เบนสายตาจากเรือนผมหล่อนไปมองใบหน้าซึ่งอยู่เยื้องกัน บางอย่างก็สะท้อนในสายตาเขา— กระตุ้นอะดรีนาลีนซึ่งโดยปกติไม่ได้ถูกหลั่งออกมาในเวลาเช่นนี้และเกาะกุมไม่ให้มันสลายไปก่อนเวลาอันควร ราวกับว่าสัญชาตญาณบางอย่างกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้น


ตึก ตึก ตึก!


รู้ตัวอีกทีก็ตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งที่ราวกับออกมาจากภาพยนตร์สักเรื่อง— บ้าบิ่น วุ่นวาย ไร้สาระ และสนุกเป็นบ้า


“ทีนี้ก็เอาไปบอกลูกหลานได้ว่าเคยซัดน้ำเพื่อเบี่ยงความสนใจยาม แล้ววิ่งหนีในตอนที่เขาเผลอ”


“เธอนี่ตอบสนองไวชะมัดเลย”


รอยยิ้มนั่นส่งแรงกระตุ้นให้กับสองมือซึ่งประสานกัน...


“แหม— ขอบคุณ”


และจวบจนเวลาผ่านไป มันก็ไม่คิดจะผละออก


 

                   

          

 

ในตอนนี้เผยอดีตเล็กน้อยของต้าวบอร์เดอร์คอลลี่ค่ะ (เหมือนใช่มั้ยล่ะคะ? ไม่มีพันธุ์ไหนเหมาะไปกว่านี้แล้ว) ไม่ถือว่าดราม่ามาก

แต่ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ส่วนตัวเครสก็ไม่ได้คิดด้วยแหละค่ะว่ารีสแสนดีแบบร้อยเปอร์ เขาแค่เป็นสีเทาที่อยู่ในเฉดสว่างหน่อยๆ

เหมือนกับตัวละครอื่นของเครส บวกกับปัจจุบันมีเหตุผลพอสมควร แต่ว่าเรียกสนุกๆว่านังงูพิษได้ค่ะ เป็นสายเตรียมฉกคนที่เกลียด

(ซึ่งมีน้อยมาก) บาลานซ์กับปาซที่เป็นสายบ้าดีเดือดและติสต์ในหลายโอกาสได้ดีเลยล่ะค่ะ

(แต่เวลาสองคนนี้รวมทีมกันตอนโกรธคนก็คงน่ากลัวน่าดู--) เพราะฉะนั้นก็มาดูพวกเขาเติบโตไปด้วยกันนะคะ


นอกจากจะไม่เก่งเลขแล้ว รีสยังขับรถไม่แข็งด้วยค่ะ ถึงจะได้ใบขับขี่มาแบบหวุดหวิด

แต่ก็เลือกที่จะไม่ขับเพื่อความสงบสุขของโลกใบนี้5555555555 ทุกวันก็เลยรบกวนเอสธาร์ไปส่ง แต่ถ้าพี่สาวตัวดีนอนไม่พอก็จะไล่ไปหลับ

 แล้ววานให้คุณพ่อทำหน้าที่แทนชั่วคราว ในแอพ internet banking ก็ตั้งโอนค่าน้ำมันให้เค้าไปเป็นรายเดือนด้วย

(เป็นนังงูพิษผสมบอร์เดอร์คอลลี่ที่เป็นกู้ดบอยจังเลยนะคะเนี่ย) เพราะฉะนั้นเตรียมใจรอซีนลูกสาวเราขับรถไปส่งหนุ่มค่ะ

gender norm ที่ดีคือ gender norm ที่ทุกเพศไม่มีตำแหน่งหน้าที่ที่ถูกผูกติดชัดเจน

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×