ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : 07 – scrupulous.
รู้อะไรไหม? เขายังไม่หายแค้นที่นิมูเอลกลับคำพูดของตนเอง
เดิมทีแล้วก็ไม่ได้สนิทสนมกันเสียจนนัดแนะอะไรเช่นนี้หรอก—
อีกฝ่ายมักปล่อยให้การพบเจอในแต่ละครั้งคราเป็นไปตามจังหวะของโชคชะตา
อาจมีละเว้นบ้างในกรณีที่น้องสาวสุดที่รักเอ่ยปากขอให้ชวนมาที่บ้าน แต่โดยปกติเขาก็คงไม่ได้ได้เหยียบเข้าไปในเขตหวงห้ามดังกล่าวแต่อย่างใด
มันเป็นความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างมีขอบเขตของการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวต่อกันและกัน
ซึ่งก็ไม่มีใครคิดจะฝ่าฝืนป้ายที่มีคำเตือนแปะอยู่อย่างโดดเด่นนั่น...
ถือว่าดีอยู่พอควร
เป็นการเคารพซึ่งกันและกันน่ะ
จะเสียก็ตรงที่ความสนิทสนมในระดับนั้นนำมาซึ่งการกลั่นแกล้งเล็กๆน้อยๆที่พลั้งเผลอให้เกิดขึ้น—
กลวิธีการเอาคืนด้วยการใช้งานอีกฝ่ายแทนกรรมการนักเรียนก็ใช่ว่าจะคุ้มค่าเสียขนาดนั้น
มันแลดูคล้ายหน้าที่ซึ่งไม่มีนามของผู้อื่นถูกเสนอขึ้นมานอกเสียจากนิมูเอลมากกว่า
และนั่นก็ทำให้หัวคิ้วเรียวของแอรีสกระตุกในทุกครั้งคราที่นึกถึง
แต่ตอนนี้ไม่ว่าง
เพราะฉะนั้นก็ไว้เอาคืนคราวหลัง...
ใช่ว่าการโดนแกล้งจะไม่นำพาเรื่องดีมาหาเขาด้วย
“ข้อนี้เหมือนโจทย์จะผิดนะ”
เสียงหวานใกล้ตัวดึงดูดให้มุมมองของสายตาเปลี่ยนทิศ—
แอรีสเบนมันออกจากใบหน้าของคนข้างกายมายังหนังสือของตนเองอีกครั้งหนึ่ง ดึงสติสัมปชัญญะออกจากห้วงความคิดแต่โดยดี
กระนั้นก็ยังคงรอยยิ้มอยู่ที่มักจะมอบให้เธอต่อ
“งั้นเหรอ?” เขาเอ่ยพลางอ่านทวนเป็นรอบที่สอง
“อืม
เหมือนคราวนี้จะไปอัปเดตแค่ในไฟล์ PDF เฉยๆ”
“พิลึกดี”
“นั่นน่ะสิ”
โทปาซแค่นหัวเราะ
สถิติความรวดเร็วในการอธิบายของมิสเวลลิงตันที่ถูกหล่อนทำลายไปอีกครั้งหนึ่งนั้นมีรางวัลเป็นช่วงเวลาฟรีไทม์—
พวกเขามีเวลาทบทวนและสอบถามเพิ่มเติมมากกว่าปกติ ไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลานอกห้องเรียน
อีกทั้งยังถือว่าเป็นการพักสมองระหว่างคลาสแรกๆในวันจันทร์อันน่าอดสูยิ่งนี่
แคลคูลัสเป็นวิชาบังคับของหลักสูตร
และเขาที่ห่วยในการคำนวณตัวเลขยิ่งกว่าอะไรก็รู้สึกหมดหวังในทุกครั้งคราที่เห็นว่ามันจบลงก่อนที่เข็มนาฬิกาจะไปถึงจุดหมายของมัน
อย่างกับทำสปีดรันอย่างไรอย่างนั้น...
เขาถึงได้ไม่ชอบลงเรียนร่วมกับบรรดาผู้คนที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันเป็นพิเศษไง
ถ้าดร็อปได้ก็คงดร็อปไปตั้งแต่ตอนที่อยู่เกรด
10 แล้ว
“คลาสนี้ไหวไหม?” เธอช้อนตาขึ้นมองเขาพลางเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา—
คงเข้าใจถึงความยากของเนื้อหาที่เล่นเอาเด็กเกรด 12 ปวดหัวมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น
แม้ว่าระดับมันสมองและความวิริยะด้านการเรียนจะต่างกันโดยสิ้นเชิง
“คิดว่านะ บางทีถ้ากลับไปทวนก็อาจจะดีขึ้น”
“เอาจริงๆคือฉันไม่คิดว่านายจะไม่ถนัดแคล”
“ฉันมีไวบ์เด็กสายวิทย์งั้นเหรอ?”
“ไม่รู้สิ—
อาจจะดูเป็นคนที่ไม่ว่าแตะอะไรก็เก่งล่ะมั้ง”
“เธอไบแอสชัดๆเลยนี่”
เขากลั้วหัวเราะ
“นอกจากวิชาสังคมกับจิตวิทยา
ฉันก็ไม่ชอบเรียนอะไรทั้งนั้นแหละ”
“อ้อ...”
เขาไม่ใช่นักเรียนลำดับต้นๆ—
ต่อให้จะคลุกคลีกับคนในแวดวงดังกล่าว
แต่ก็ไม่ได้มีผลการเรียนหรือผลงานที่โดดเด่นเสียขนาดนั้น
เรียกได้ว่าเนื่องด้วยทักษะการกระชับความสัมพันธ์เป็นครั้งคราวกับพวกเขามากกว่าที่ทำให้ได้ใกล้ชิดกันพอควร
นอกเหนือจากนั้นก็มีระยะห่างระหว่างกันไม่น้อย
การเป็นคนเจนโลกประมาณหนึ่งส่งผลต่อแนวคิดซึ่งมักจะแตกย่อยไว้หลายทางเพื่อแก้ไขปัญหาปัญหาหนึ่ง
ทักษะส่วนใหญ่ที่ใช้ในชีวิตประจำวันมักจะข้องเกี่ยวกับกลุ่มบุคคลมากกว่าศาสตร์ศาสตร์หนึ่ง—
มันสะดวกไม่น้อย ทว่าก็เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้ไม่ชัดเจนเทียบเท่า มีช้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันกับในเรื่องวิชาการ
ไหนจะเรื่องที่พวกวิชาซึ่งบังคับใช้สูตรตามเอกสารลดทอนผลประโยชน์ของมันในชีวิตประจำวันอีก
แต่หากถามว่า ‘พอใจกับมันหรือเปล่า?’ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่แอรีสจะต้องปฏิเสธ
มุมปากยกขึ้นพลางสังเกตได้ว่าอัญมณีคู่นั้นสะท้อนเงาของมือซึ่งสวมใส่เครื่องแต่งกายป้องกันคำสาปไว้—
ชายหนุ่มเลื่อนสายตาลงมองเช่นเดียวกับเธอ เอียงคอเล็กน้อยพลางคาดเดาความคิดที่ซ่อนไว้ในแววตาดังกล่าว
เขาขยุบงกายให้เข้าหาอีกฝ่ายทีละน้อย
ปลายนิ้วที่ถูกปกคลุมนั้นสัมผัสกับเนื้อผ้าคาร์ดิแกนสีชมพูอ่อนของโทปาซ...
ก่อนมันจะยกขึ้นสูงในคราวที่อีกฝ่ายเลื่อนปลายนิ้วเข้ามาในถุงมือ
เปรี๊ยะ!
ใบหน้าเขาเห่อร้อนอย่างไม่ทันตั้งตัว
“โทปาซ!”
“อ่ะ—”
ใครสักคนในห้องเรียกชื่อเธอ— คงด้วยความตกใจในกระแสไฟฟ้าและท่าทีซึ่งชะงักไปของพวกเขาทั้งคู่
คนที่ตกใจจนทำสีหน้าไม่ถูกสะดุ้ง
หันไปกล่าวขอโทษที่รบกวนสมาธิภายในห้องเรียนโดยรวดเร็วโดยที่ยังคงจับปลายถุงมือของเขาไว้—
รอยยิ้มเหยเกที่เรียกเสียงหัวเราะได้พอสมควรนั้นบ่งบอกถึงความเป็นทางการที่ถูกละเลยไปในท้ายที่สุด
เหลือแต่เพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่เผลอสร้างปัญหาร่วมกับเขาโดยไม่รู้ตัว
โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร...
ถึงความจริงแล้วจะไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นก็เถอะ
เขาแค่เขิน— อาจน่าอาย
แต่ไม่ใช่เรื่องแย่เสียหน่อย
“โทษที...”
เธอกล่าวในยามที่หันมาสบตากันอีกครั้ง
ชายหนุ่มยิ้ม
ก่อนจะขยับปลายนิ้วอีกข้างไปแตะลงบริเวณระหว่างคิ้วของอีกฝ่าย— กระตุ้นให้ใบหน้าซุกซนนั่นย่นลงเล็กน้อยด้วยความฉงน
และสร้างความรู้สึกหวาดเสียวประหลาดๆให้ริมฝีปากเธอเบะลง
โทปาซใช้เวลาประมวลความคิดของตนเองไปครู่หนึ่ง
“...นี่เป็นบทลงโทษเหรอ?”
“อ่าฮะ”
และเขาก็คิดว่ามันน่ารักดี
___
ปัง!
“คุณดูอารมณ์เสียนะคะคุณโจนาห์”
“ผมแค่ชอบเสียงของมันน่ะ
ทำให้ตื่นดี อีกอย่างก็คือล็อกเกอร์นี่ก็ค่อนข้างฝืด ผลักเบาๆมันปิดไม่ได้หรอก”
“เป็นอย่างนั้นสินะคะ...”
ความโชคดีประการที่สองของวันคือการที่โทปาซนั้นต้องไปเตรียมตัวคลาสฝรั่งเศส—
ถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์คนนี้และเธอจะไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่เขาก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าโรวีน่า
เคนเนดี้เป็นหนึ่งในส่วนดีๆของชีวิต
เป็นอคติส่วนตัวซึ่งกอบกุมหัวใจไว้อย่างแน่นหนา
ต่อให้พยายามขูดมันออกด้วยเรี่ยวแรงมากเพียงใดก็ยังคงหลงเหลือเศษเสี้ยวของความทรงจำซึ่งไม่อาจทำเป็นไม่รับรู้ได้
เขาไม่เคยลืมสีหน้าของทากะฮิโระในวันนั้น
แอรีสสบตากับตนเองในกระจกซึ่งติดอยู่ด้านนอกประตูล็อกเกอร์—
พิจารณาสีหน้าแนบนิ่งที่อาจถูกตีความได้ว่าไม่เป็นมิตร แล้วจึงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยให้เข้ากับภาพจำตนเองในสายตาคนรอบข้าง
“อีกไม่กี่นาทีผมต้องไปเรียนนะครับ
ถ้ามิสอยากจะคุยก็กล่าวเกริ่นๆไว้ แล้วค่อยลงรายละเอียดตอนเช้าชมรมได้หรือเปล่า?” เอ่ยมันออกมาด้วยน้ำเสียงปกติพลางหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“นี่เป็นเรื่องด่วนน่ะค่ะ”
“อ้อ...
เรื่องด่วน”
“ค่ะ
ดิฉันคิดว่าเราคงต้องย้ำเตือนเรื่องขอบเขตของบทการแสดงที่ร่วมทำกันระหว่างทั้ง 3
ชมรมสักเล็กน้อย มันอดเป็นห่วงไม่ได้
หลังจากที่ได้ยินมาว่าเค้าโครงไอเดียของคุณโจนาห์จะมีส่วนข้องเกี่ยวกับชีวิตจริงน่ะค่ะ”
“ผมรู้ขอบเขตของทุกอย่างนะครับมิส
คุณก็รู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมระมัดระวังเรื่องส่วนตัวมากเพียงใด”
“ค่ะ
แต่—”
“ถ้าเป็นเรื่องโทปาซก็พูดมาครับ
ไม่ต้องอ้อมค้อม”
สายน้ำที่ไหลเชี่ยวในวินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกับมันคือตัวบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ไม่คงที่ของแอรีส
โจนาห์ได้เป็นอย่างดี— เขาใจเย็นแค่เพียงภายนอก
กักเก็บอารมณ์ด้านลบไว้เพื่อระบายมันใส่อย่างอื่นตามฉบับวิธีการจัดการอารมณ์ที่ถูกต้อง
ต่อให้ภายในรุ่มร้อนเพียงใดก็ต้องชโลมมันด้วยความเห็นในอีกมุมมอง
แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยเพียงใดก็ตาม
เคนเนดี้ชะงักงัน— หุบยิ้มลงได้อย่างง่ายดายด้วยประโยคดังกล่าวที่เขาเอ่ยมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ความอ้อมค้อมของหล่อนเปรียบเสมือนสิ่งที่กำบังตนเองจากความเป็นจริง— เป็นสิ่งที่คอยห่อหุ้มตัวตนซึ่งได้พร่ำบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอุทิศเพื่อบรรดานักเรียนอันเป็นที่รัก แม้ว่าแท้จริงแล้วจะก่อเกิดมาจากผลประโยชน์ที่ได้รับตอบแทนมา
ใช่ว่าเขาจะมีภาพลักษณ์ที่แย่ในสายตาอาจารย์คนนี้...
แค่ในมุมมองของคนที่เมินเฉยต่อนักเรียนระดับธรรมดา
เขาดูห่างไกลกับโทปาซ
และไม่ควรค่าแก่การถูกหยิบใส่กล่องของขวัญติดโบว์ใหญ่หรูหราเช่นเดียวกันก็เท่านั้น
มหาสมุทรและคลื่นลูกเล็กที่ซัดเข้าฝั่งถี่ๆของมันสร้างเสียงดังเป็นระยะ—
สงครามประสาทยังคงดำเนินต่อไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงแต่สายตาซึ่งไม่ละออกไปไหนเป็นตัวบ่งบอกถึงการที่เขาจะไม่ปล่อยให้มันสิ้นสุดลงแต่โดยดี
เคนเนดี้ยังคงอ้ำอึง
เหมือนกับทุกครั้งคราที่เธอไม่สามารถต่อปากต่อคำกับเขาได้
“มิสรู้จักผมมานานพอที่จะรู้ว่าไม่มีพฤติกรรมไหนของผมที่จะส่งผลเสียต่อโทปาซนะ...
อีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะในเชิงมิตรหรือเชิงชู้สาว เรื่องพวกนี้ก็เป็นประเด็นส่วนตัวด้วย”
ราวกับว่าเขาลืมทุกทริคที่นักบำบัดเคยแนะนำให้ทำเวลาอารมณ์ด้านลบเริ่มครอบงำเสียอย่างนั้น—
ปลายเท้าเคาะเป็นจังหวะเบาๆกับพื้น ความเร็วนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในยามที่คลื่นกระแทกจากภูเขาไฟใต้ผืนน้ำค่อยๆสะเทือนจากสีหน้าไปสู่ท่อนแขนที่ถ่ายแรงไปยังของในมือ
“ผมคิดว่าทางโรงเรียนน่าจะมีอบรมเรื่องสิทธิส่วนบุคคลอยู่นะ—”
“มิสครับ!
ผมขอปรึกษาเรื่องเอกสารพวกนี้หน่อย”
“ด— ได้ค่ะ”
แอรีสเลิกคิ้วขึ้น
เขาปรายตามองทากะฮิโระที่โผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง—
เบนสายตาตามสองร่างอาจารย์ศิษย์ซึ่งเดินผ่านตนเองไปเงียบๆ ใคร่สงสัยถึงจังหวะเวลาซึ่งประจวบเหมาะเสียยิ่งกว่าอะไร
และเมื่อจุดสนใจที่หายไปจากระยะสายตาเรียบร้อย
ภาพสะท้อนในมหาสมุทรคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนมายังมิตรเดมิเกิร์ลของตนเองที่ยืนกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์อยู่
เขาคงเห็นมาแล้วสักพัก—
อารมณ์ที่เริ่มครอบงำเมื่อครู่ส่งผลให้ทุกสิ่งรอบตัวหยุดนิ่งในหัวเขา
ไม่มีอะไรดำเนินไปพร้อมเพรียงกับบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดนั่น
และเมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้ ก็กลายเป็นว่าเขาถูกส่งมายังอีกห้วงมิติหนึ่งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปเช่นเดิม
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเบาๆในยามที่เห็นสายตาเหน็บแนมของเพื่อนร่วมชมรม
“นายต้องล้อฉันเล่นแน่”
“ช่วยไม่ได้
เขาชักจะเริ่มข้ามคอมฟอร์ทโซนฉันไปในทุกๆวัน”
“รู้ว่ายาก
แต่เรื่องนี้ไม่ได้กระทบแค่คนเดียวเหมือนคราวก่อนๆแล้วนะ”
“ก็รู้อยู่...”
นี่คงเป็นความรู้สึกของแอนโธนี่ที่เจ้าตัวเคยบอกเขาเมื่อไม่นานมานี้—
อึดอัด กระนั้นก็ต้องอดทนไว้
สองมือที่ถือกระปุกยาสำหรับคำสาปของตนเองค้างไว้นั้นเปลี่ยนท่าทีของมัน—
หนึ่งข้างกอบกุมมันแน่น
ในขณะที่อีกข้างพยายามเปิดฝาอย่างรวดเร็วด้วยจิตใจที่ตระหนักได้ว่าตนเองไม่สามารถขาดมันได้
ณ ตอนนี้
ถึงจะมีถุงมือ
แต่ก็ต้องระมัดระวังไว้ก่อน...
“เออ
ฉันเพิ่งเขาหนอนกับดักแด้ไปให้ในล็อกเกอร์มิสมา ไม่อยากจะเชื่อว่าสกิลสะเดาะกลอนยังไม่ฝืด”
“เอ—”
“เจอโทปาซด้วย
ดูเหมือนว่ารายนั้นจะไม่ค่อยสนอะไรเคนเนดี้ เห็นว่าแค่ยิ้มๆให้แล้วก็เดินไปทางอื่น”
แอรีสเงียบไปครู่หนึ่ง—
ร่างกายซึ่งดูดซึมยาได้อย่างรวดเร็วของเขากำลังทำให้สติสัมปชัญญะเลอะเลือนเล็กน้อย
และเมื่อตระหนักได้ว่าถ้อยคำเหล่านั้นหมายความเช่นใด
ก็หัวเราะออกมาทันที
“อ่ะ เบลอยาๆ”
“ขอโทษได้ไหมล่ะ?”
“ว่าแต่คาบต่อไปเรียนไร? ฉันติดอยู่กับเคมีเวทมนตร์และอยากโดดเป็นบ้า
ไม่น่าให้รูมเมทลงให้ในตอนที่ติดแข่งเลย”
“จิตวิทยา”
“งั้นขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยหนึ่งคาบถ้วน”
“ตามสบาย”
___
“ก็คือนายรู้จักเอพริล?”
“อืม
อยู่ชมรมเดียวกัน”
“โลกนี้มันกลมเป็นบ้า”
“ไม่ก็มันกลมกว่าเดิมในปีนี้”
“...หมายความแบบโดยนัยสินะ”
“อืม…
คงงั้นมั้ง” เขายิ้ม— หยอกล้อใส่เจ้าของสีหน้าที่เริ่มไม่พอใจเล็กน้อย
ก่อนจะหยิบขวดน้ำในกระเป๋าให้เธอ
หมับ!
คิ้วที่ขมวดเข้าหากันในจังหวะเดียวกับเสียงที่สัมผัสกับพลาสติกนั้นทำให้เผลอหลุดหัวเราะออกมา—
มันไม่ต่างอะไรกับพวกฉากที่ถูกจัดตามพวกภาพยนตร์ซิทคอม
เหมือนกับเหตุการณ์หนึ่งที่เธอคงจะหยิบมากล่าวถึงในบทสนทนาทั่วๆไปเกี่ยวกับความบังเอิญของชีวิต
และเพราะเป็นเช่นนั้นจึงยิ่งทำให้ดูน่าประทับใจไปอีก
หรือว่าพวกเขากำลังอยู่ในโลกของการละครกันนะ?
ชักจะสงสัยแล้วสิ...
“ก็ชงมาเองนี่”
“ก็จู่ๆมันสงสัยนี่นา
มันไม่ต่างอะไรกับพวกคำถามประมาณว่า ‘น้ำเปียกหรือเปล่า?’ เลยเสียด้วยซ้ำ”
“ไอ้คำถามนั้นยังไม่ได้คำตอบแน่ชัดอีกเหรอ?”
“ไม่อ่ะ
คงหลอกหลอนกันไปจนวันตาย” โทปาซไหวไหล่
“ฉันอยู่ทีมน้ำไม่เปียก
แต่คิดว่ามันทำให้อย่างอื่นเปียกแทน”
“แล้วถ้ามันไม่เปียก
มันจะทำให้อย่างอื่นเปียกได้ไงกัน?”
“อันนั้นต้องถามผู้กำหนดชะตา”
“โยนให้พระเจ้าเลยเหรอปาซ?”
“อุ๊บส์”
แล้วเธอก็ป้องปาก ทำตาโตประหนึ่งว่ากำลังตกใจ— แลบลิ้นน้อยๆใส่เขาในจังหวะที่ผละมือออก
ตัวเขาไม่ได้มีคำตอบในใจไว้สำหรับปริศนาซึ่งไม่อาจมีผู้ล่วงรู้คำตอบนั่นหรอก
กระนั้นการฟังเหตุผลของผู้อื่นก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่อยากจะทำ— หากคนเรามีโอกาสในการทำความเข้าใจหลักการคิดของคนรอบตัวก็ควรจะทำ
มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับความสัมพันธ์ซึ่งปรารถนาจะเพิ่มความแน่นแฟ้นให้
และในขณะเดียวกัน
ความคิดของมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่อัศจรรย์
“แล้วคลาสวันนี้เป็นไง?” แอรีสกล่าวเปลี่ยนประเด็น
“ก็ทั่วๆไป
เจอควิซนิดหน่อย แต่พอถูไถได้ คิดว่าคงอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยปกติ”
“สุดยอดไปเลยนี่”
“ไบแอสหรอก”
ถ้อยคำที่ถูกเรียงร้อยด้วยเจตนาอ้างอิงคำที่เขาเคยกล่าวนั้นกระตุ้นให้คิ้วเลิกขึ้นโดยไม่รู้ตัว—
ชายหนุ่มหลุดเสียงหายใจที่ติดขัดในระยะหนึ่งออกมา คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นการแสดงอารมณ์ขบขันเล็กน้อย
หากแต่ไม่ต้องการจะหัวเราะเสียงดังจนเป็นจุดสนใจในหมู่นักเรียนในโรงยิม
โทปาซแลดูยังคงอึดอัดกับการเป็นจุดรวมสายตาหลายคู่ที่มากกว่าจำนวนเพื่อนสนิทของเธออยู่...
“อ่า...
แต่ก็ขอบคุณนะ”
“ครับ”
และเขาจะเคารพมัน
“อีกเดี๋ยวมิกซ์จะให้วอร์มร่างกายนะ”
“อ่า...
ให้ตายเถอะ นายต้องเห็นถึงความอ่อนด้านกีฬาของฉันแน่ๆ”
“มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่า”
“ถ้าเป็นตามที่นายพูดก็ดีน่ะสิ”
ในโรงยิมที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
พวกเขาไม่ได้มีแสงสาดส่องให้ดูโดดเด่น— หากไม่สร้างสิ่งที่ทำให้สนใจก็จะกลืนไปกับพื้นหลังเสียด้วยซ้ำ
มันเป็นความสงบเสงี่ยมท่ามกลางผู้คนที่คุ้นเคยน้อยกว่าในโถงทางเดิน
และก็นับว่าเป็นเรื่องดีเพียงไม่กี่เรื่องของการมีตารางฝึกที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติเป็นรายวัน
นักเรียนผู้โดนสาปต่างก็ยึดคติ
‘ทุกคนมีเหตุผลของกันเอง’ และเหล่านักกีฬาก็ใช่ว่าจะอยากมอบเวลาส่วนตัวให้กับใครสักคนที่ไม่ได้มีอิทธิพลต่อชีวิตตนเองเสียขนาดนั้น—
นั่นเป็นสิ่งที่เขาสังเกตได้ ซึ่งโทปาซก็คล้ายกับว่าจะรับรู้ได้ในคลาสนี้
ริมฝีปากที่มักจะเอ่ยทุกถ้อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงน่าฟังกำลังเม้มเป็นเส้นตรง—
พิจารณาบรรยากาศรอบข้าง ทักษะด้านร่างกายของตนเอง
และคาดคะเนถึงผลตอบรับในอนาคตที่จะเกิดขึ้น
นาดีรา จาซีรีหาใช่อาจารย์ที่ทำอะไรโดยไม่ผ่านการไตร่ตรองถี่ถ้วน
เพราะฉะนั้นหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาคงจะไม่เป็นอะไรหรอก
แป๊ก!
เจ้าตัวก็แค่ต้องรับรู้ถึงความจริงข้อนั้น
“เอากิ๊บไหม?” เขาถาม— ปลายนิ้วที่ลูบพื้นผิวอันเรียบลื่นของเครื่องประดับในมือนั้นหยุดลงในจังหวะที่ประสานสายตากับสกายบลูโทปาซของเธอ
“อ่า— อืม ฝากด้วยนะ”
...หืม?
“เอาจริงๆคือตรงนี้ควรมีกระจกนะ
ถึงจะไม่ใช่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียทีเดียวก็เถอะ”
แอรีสพยักหน้า—
ทุกอย่างชะงักงันไปเพียงแค่เสี้ยววินาที
กระนั้นเขาก็หวังว่าเธอจะไม่สังเกตเห็นความลนลานเล็กน้อยที่สะท้อนผ่านแววตาตนเอง
มันค่อนข้างจะน่าอาย ด้วยความที่ในตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไรเช่นนี้
สัมผัสนั้นเบาหวิวเสียจนเขาชักจะประหม่ากับการลงน้ำหนักของตนเอง...
เรือนผมสีแสดของอีกฝ่ายตัดกับสีของกิ๊บที่เป็นเช่นเดียวกับของดอกไฮยาซินธ์—
มันถูกคัดเลือกให้เข้ากับโทนสีของชุดในตู้เสื้อผ้าเป็นหลัก และโดยปกติก็ไม่ได้ถูกใช้บ่อยนัก
เนื่องด้วยสรรพคุณของเจลเซ็ตผมที่มักจะทำให้ไม่มีตัวสร้างความรำคาญบนใบหน้าเขาระหว่างฝึกร่างกาย
และในกรณีนี้
โทปาซที่มีหน้าม้าแสกข้างซึ่งแทบจะปกปิดทัศนียภาพบางส่วนของเธอนั้นแลดูจะต้องการมันมากกว่าเขา
แป๊ก!
“ขอบคุณ”
“ยินดีครับ”
“อ้อ! งั้นเดี๋ยวฉันให้อะไรตอบแทนดีกว่า
วันนี้นายก็ไม่ได้เซ็ตผมมาด้วยนี่”
“หืม?”
สวบ!
“โชคดีที่ยังไม่ได้เอาออกจากกระเป๋า—
กันผมปรกหน้าได้ดีเลยล่ะ”
สองมือนั้นถูกยกขึ้นมาจัดแจงที่คาดผมสีเรียบซึ่งอีกฝ่ายที่สวมให้เมื่อครู่อีกครั้ง—
รู้สึกผิดวิสัยเล็กน้อยที่หน้าผากนั้นสัมผัสกับแสงแดดจากนอกหน้าต่างโรงยิมโดยตรง
กระนั้นมันก็ไม่ได้เป็นภาระอะไรมากมาย ออกมาสะดวกกว่าใช้กิ๊บเสียด้วยซ้ำ
“อ้อ...”
“อ่า— ไม่สิ
ฉันน่าจะถามนายก่อน”
“ไม่เป็นไรๆ” เขาโบกมือปฏิเสธ
“ขอบคุณครับ”
ปัญหามันไม่ใช่ตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย...
จะว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณก็ไม่ผิด
แอรีสรับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องมายังตนเองสักพักหนึ่งแล้ว— ภาพซึ่งสะท้อนผ่านเงาของมหาสมุทรคู่นั้นคือใบหน้าของคนข้างกายที่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
บ่งบอกถึงการที่สัญชาตญาณของสาวเจ้าเริ่มทำงานหลังจากผละความสนใจออกจากประเด็นเรื่องผม
บรรยากาศเพิ่งจะสงบไปได้ไม่นานเองแท้ๆ
“ปาซ—”
มันอดไม่ได้ที่เขาจะต้องพิจารณาดูปฏิกิริยาของโทปาซก่อนจะทำอะไร...
กรณีของเธอละเอียดอ่อนเกินกว่าจะทำตัวบุ่มบ่าม— ต่อให้เจ้าตัวจะไม่ได้เปราะบางเสียจนต้องออกโรงปกป้อง
การเอาใจใส่ไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลย ในฐานะบุคคลใหม่ในชีวิตเธอและในฐานะของคนคนหนึ่งที่มองเห็นถึงปัญหาของแรงกดทับทางสังคมแล้ว
“ฉันไม่เป็นไร”
เสียงกระซิบที่แผ่วเบานั่นดังขึ้นใกล้ใบหูเขา ลมหายใจซึ่งมีอุณหภูมิอบอุ่นพอควรสัมผัสกับบริเวณไหปลาร้าที่เสื้อยืดปกปิดไม่มิด—
เรียกความสนใจจากดวงตาคู่สวยไปสู่ระยะห่างที่ลดลงกว่าเดิมและหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“ทำหน้าจริงจังเชียว” เธอเอ่ยแซว
“แหม ก็มัน...”
“โอกาสถูกลือในเรื่องที่ค่อนข้างจะจริงมันสูงพอตัวเลยนะ
และฉันก็ไม่มีปัญหากับอะไรทีไม่ใช่เรื่องแต่งด้วย”
“อ้อ”
“หมดวาระนักเรียนดีเด่นแล้ว
ถ้าจะกิ๊กหรือคบกับใครก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฉันนี่” เธอโคลงศีรษะ— เรือนผมที่มัดเป็นทรงหางม้าสูงสะบัดไปมาเล็กน้อยพลางเอ่ย
“อ่า— เว้นแต่ว่าอีกคนจะไม่โอเค ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงปล่อยให้คนลือๆต่อกันไปไม่ได้หรอก
ยิ่งเป็นที่รู้จักเยอะก็ยิ่งแล้วใหญ่”
“ก็พอเดาได้แหละนะ”
___
“นี่มันซีนแอบหนีจากสถานที่ชุลมุนไปด้วยกันสองคนชัดๆ”
“แต่ที่ขอมิกซ์ออกมาก็เพราะว่าเธอเริ่มจะไม่ไหวนะ”
“มันก็ยังเข้าข่ายอยู่...
นิดนึง”
“อืม—
ก็จริง”
“ขอบคุณที่สปอยล์กัน
ไว้จะเลี้ยงน้ำอัดลมนะ”
เขาหัวเราะ
ช่วงเวลาของการพักผ่อนไม่ควรปล่อยให้ผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย—
แน่นอนว่าการเดินออกมาที่สนามฝึกนอกสถาบันศึกษานั้นเป็นสิ่งตรงกันข้าม ต่อให้มันจะดูเป็นเช่นนั้นในสายตาของมิกซ์จาซีรีที่คล้ายกับว่าจะสบตากับเขาตอนเดินออกมาก็ตาม
แต่ก็นะ
ถือว่าเป็นการพาโทปาซมาดูสถานที่...
“ปกติติดสินบนคนด้วยของหวานเหรอ?” แอรีสเอ่ยแซว
“ถ้าอยากได้เป็นมื้ออาหารก็นัดมา
ฉันพร้อมเลี้ยง”
ปลายนิ้วที่สะบัดขึ้นฟ้าพลางเอ่ยประโยคอันสุดแสนจะน่าหมั่นไส้ออกมาของเจ้าหล่อนเรียกเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี—
แอนเดรียเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างจะมีฐานะ
ด้วยบริษัทเครื่องประดับอันดับต้นๆของเมืองและธุรกิจส่งต่ออาวุธซึ่งขึ้นตรงกับทางระบบรักษาความปลอดภัยของเมือง
การที่เธอไม่มีปัญหาด้านการเงินจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่เขาที่ทางครอบครัวมีคนรู้จักแทบทั่วทุกวงการก็คงพูดอะไรมากไม่ได้หรอก
มันเป็นอิทธิพลของวงศ์ตระกูลที่เปิดหนทางสู่โอกาสใหม่ๆเช่นเดียวกัน— เป็นสิ่งสำคัญที่หากไม่มีก็คงจะทำให้เส้นทางในดินแดนที่เต็มไปด้วยสัตว์สังคมยากลำบากกว่าเดิมประมาณหนึ่ง
“ฉันไม่ได้ต้องการอาหารฟรีสักหน่อย”
แอรีสส่ายหน้าพลางเอ่ย
บทสนทนาที่ยังคงดำเนินต่อไปนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าจะทวีคูณจำนวนความล้อเล่นที่แฝงอยู่ในภาษากายไปในทุกวินาที
กระนั้นมันก็ยิ่งทำให้ใคร่สงสัยว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาด้วยลูกไม้ไหน
มันผ่อนคลายดี...
“แล้วพ่อกู้ดบอยคนนี้อยากได้อะไรกันล่ะคะ?”
“เวลาของคุณเชียล่ะมั้งครับ”
“ขออภัยค่ะ
ตอนนี้ไม่สนใจทำประกัน”
“ปาซ—”
ลิ้นที่ยังคงมีร่องรอยของลูกอมสีเข้มนั้นตอบสนองต่อคำกล่าวของเขา—
เธอฉีกยิ้มซุกซนในขณะที่เร่งความเร็วของฝีเท้า
เดินเหยาะๆผ่านก้อนหินเวทมนตร์ซึ่งล้อมรอบมุมหนึ่งของสนามฝึกเป็นจังหวะ
“ไม่ยอมให้เล่นอยู่คนเดียวหรอกนะ”
เสียงหวานกลั้วหัวเราะ
“งั้นเหรอ?”
“อืม— แต่อย่าเพิ่งเล่นต่อ
ไม่พร้อม”
แบบนี้ก็ได้เหรอ?
กระนั้นก็ไม่สามารถกลั้นความขบขันให้อยู่ในลำคอต่อไปได้—
เขาหัวเราะ ทั้งประทับใจและประหลาดใจในความซื่อตรงทางอารมณ์ของเธอ แม้มันจะไม่มีเหตุผลใดๆให้ความเข้าใจนั้นผันแปรไปอีกอย่าง
โทปาซก็ยังมีความคิดที่จะอธิบายการกระทำของตนเองอยู่เสมอ
ซึ่งถ้าให้พูดตามตรง
ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเป็นเพราะอิทธิพลของอะไรบ้าง...
และในขณะเดียวกัน
สมองก็คิดเข้าข้างตนเองไปว่าเจ้าของคำอธิบายในทุกๆการกระทำคนนั้นใส่ใจความเห็นที่เขามีต่อตัวเธอ—
ระมัดระวังไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อนทางการสื่อสาร และหวั่นเกรงความเป็นไปได้ที่แย่ที่สุดของสถานการณ์
“แต่ว่านะ...
เป็นลานที่ทั้งกว้างและโล่งเลยนะเนี่ย” เธอกล่าว
สองขายังคงขยับวนเวียนอยู่รอบตัวเขา—
ถอยหลังกลับมาในทุกครั้งคราซึ่งฝีเท้าได้เพิ่มระยะห่างระหว่างพวกเขา
เช่นเดียวกับสายตาที่แม้จะสนใจอย่างอื่น ก็ไม่วายเคลื่อนมาสบกันในยามสนทนา
สกายบลูโทปาซคู่นั้นยังคงความซุกซนไว้เล็กน้อย
มันหรี่ลงในยามที่ริมฝีปากแย้มกว้าง
“เห็นว่าจะเปลี่ยนพวกอุปกรณ์เป็นที่ทำการเวทมนตร์แทนน่ะ”
เขาฉีกยิ้มเช่นเดียวกัน
“เพราะตอนนี้แตะได้ด้วยสินะ...
ประหยัดค่างบไปได้พอควรเลย”
“อืม แถมที่ทำเลก็เหมาะสำหรับคำสาปหลายรูปแบบด้วย”
เนื่องจากเวทมนตร์นั้นเป็นสิ่งที่ต่อให้สัมผัสก็ไม่เกิดผลอะไรเพิ่มเติมแล้ว
การจะนำมันมาใช้อำนวยความสะดวกจึงไม่มีปัญหาสำหรับผู้ต้องสาป— การสาปซ้ำซ้อนมันไม่มีจริงเสียหน่อย
อีกทั้งด้วยเรื่องของงบประมาณที่จำเป็นจะต้องบริหารอย่าง
ก็ถือว่าช่วยเหลือเรื่องอุปกรณ์ที่อาจชำรุด เพราะพลังของพวกเขาไปได้พอสมควร
แอรีสก้มลงมองแทบเท้าตนเอง
ภายนอกซึ่งเคลือบด้วยเวทมนตร์ก้อนกรวดซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงนั้นส่องสว่าง
สะท้อนแสงอาทิตย์ในยามใกล้โพล้เพล้สวยงาม ดึงดูดให้เขาทำอะไรสักอย่างกับมัน
และเพราะแบบนั้นจึงได้ย่อลงไปหยิบมาถือไว้ในมือ
“สุดยอดไปเลยแฮะ”
“จาซีรีถึงได้น่านับถือไงล่ะ
เขาพัฒนาที่นี่อยู่เสมอ แถมยังเข้าใจหัวอกคนโดนสาป เพราะว่าเป็นแบบเดียวกันด้วย”
“อ่า— ฉันลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลย”
เธอหัวเราะแห้ง
นาดีรา จาซีรีเป็นผู้ต้องสาป—
ไม่รู้ว่าเป็นต้นตระกูลประเภทไหน
เนื่องด้วยประสบการณ์การควบคุมตนเองซึ่งเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบและข้อเท็จจริงที่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว
มันไม่สำคัญในฐานะของคนคนหนึ่งที่เข้าใจว่าบางคนอาจจะลำบากใจกับการตอบคำถามเดิมซ้ำๆอย่างเขา
แค่รายนั้นเข้าใจคนหัวอกเดียวกันก็พอแล้ว...
มันมีแค่ผู้ต้องสาปส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่ได้รับแรงกระทบกระเทือนหลังกลายเป็นเช่นนี้น่ะ
เหตุผลของการถูกสาปย่อมไม่เป็นเรื่องดี
ไม่ว่าจะด้วยความผิดพลาด การจงใจทำ หรือการถูกบังคับให้ทำ— การปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตไม่เหมือนกับการได้รับพลังวิเศษและกลายเป็นฮีโร่ผู้พิทักษ์
ข้อแลกเปลี่ยนซึ่งเปรียบได้ดั่งมลทินของชีวิตมันตอบสนองต่อความรู้สึกยากลำบากมากกว่าส่วนที่เป็นข้อดี
“ก็ไม่แปลก
เขาควบคุมได้ดีกว่าทุกคนที่เราเจอนี่”
“อยู่กับมันได้อย่างเป็นธรรมชาติเลยเนอะ”
“เดี๋ยวเราก็จะเป็นแบบนั้นในอนาคต”
“ใช่!”
หญิงสาวทำท่าปืน— ยิงกระสุนความมั่นใจนั่นไปยังมุมปาก
กระตุ้นให้มันยกขึ้นด้วยแรงซึ่งไม่สามารถควบคุมได้
___
“ก็คือพี่สาวเธอสอนวิธีต่อยแบบใช้เล็บให้?”
“อ่าฮะ”
“น่าประทับใจแฮะ”
“รู๊บส์ก็เป็นแบบนั้นแหละ”
เวลาล่วงเลยมาเสียจนท้องสภาเริ่มเปลี่ยนสี—
จากฟ้าใสแปรเปลี่ยนสู่เฉดของชมพูหวานซึ่งคล้ายคลึงกับในพาเลตต์สีโลโก้ชมรมการละคร
ผสมผสานกับก้อนเมฆโปร่งบางที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน
ภาพสะท้อนในมหาสมุทรคู่นั้นดูงดงามไม่น้อย
มันคงเป็นอีกคราวที่เบื้องบนได้มอบความรื่นรมย์ผ่านทางธรรมชาติให้แก่เขา— จะแตกต่างจากวันทั่วไปก็ตรงที่ไม่ได้รับรู้ถึงตัวตนของมันเพียงคนเดียว
ตุบ!
เขาเอี้ยวไปมองโทปาซที่ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนพื้นเคียงข้างกัน
สองมือกับเล็บที่ยาวเกินมนุษย์มนานั้นสัมผัสกับเศษดินโดยตรง— กอบกุมมันไว้
แม้จะไม่ได้ตั้งใจ ในขณะที่อัญมณีในดวงตาคู่งามช้อนขึ้นมองในทิศทางเดียวกันกับเขา
“ตรงนี้เห็นท้องฟ้าชัดเจนเลย”
เธอเอ่ย
“ใช่ไหมล่ะ? เป็นทำเลที่ตั้งที่ไม่ว่าอย่างไรก็เพอร์เฟกต์สุดๆ”
“จริง”
เธอกล่าวพลางยกก้อนกรวดขึ้นสูงให้แสงอาทิตย์สาดส่องโดยตรง เสียงกลั้วหัวเราะตบท้ายประโยคนั้นดังขึ้นในเวลาต่อมา
ทุกอย่างดูคล้ายกับว่าหลุดมาจากภาพวาด—
งดงามราวกับไม่ใช่ความจริงซึ่งเผชิญอยู่ ณ ปัจจุบัน
ทั้งท้องฟ้าที่ถูกรังสรรค์ด้วยแปรงสีและสีน้ำของธรรมชาติ
บรรยากาศร่มรื่นซึ่งปกคลุมทุกส่วนของสนามฝึก และสายน้ำที่หากดูเพียงผิวเผินก็คล้ายกับว่าเต็มไปด้วยอัญมณีเล็กอัญมณีน้อยเต็มไปหมด
แอรีสค่อยๆดึงถุงมือข้างขวาของเขาออกมาอย่างระมัดระวัง
แล้ววางมันไว้บนตัก
อุณหภูมิเย็นเฉียบสัมผัสเข้ากับร่างกายโดยตรงเมื่อเอื้อมไปคว้าเพชรเม็ดงามที่ซุกซ่อนอยู่ในลำธาร—
อำนาจเวทมนตร์กระตุ้นให้มันไหลไปคนละทิศคนละทาง
เผยให้เห็นบรรดาลูกปลาที่แหวกว่ายสวนกับทิศทางของสายน้ำที่ไหลเชี่ยวขึ้นเรื่อยๆ
“ก็ควบคุมได้นี่”
โทปาซกล่าว
“แค่ตอนที่ใจเย็นน่ะ”
เพราะเมื่อโดนเข้ากับเกล็ดของปลาหน้าตาประหลาดตัวหนึ่ง
มันก็ปะทุขึ้นฟ้าราวกับภูเขาไฟลูกเล็ก— ส่งเสียงดังลั่นเสียจนร่างกายของพวกเขาทั้งสองไม่อาจอยู่นิ่งได้
รู้ตัวอีกทีก็เผลอถอยห่างจากแหล่งน้ำไปเสียแล้ว
“ว้าว...”
“ปลาที่นี่เหมือนจะเป็นสายพันธุ์ต้นตระกูล—
เหยื่อของฝั่งฉันมั้ง พอโดนทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกที”
“พอมองดีๆก็สีคล้ายช็อกมินต์อยู่นะ”
เขาหัวเราะ
ทุกอย่างเงียบงันไปหลังจากนั้น—
เป็นจังหวะของความสงบซึ่งหาได้ยากในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคำสาป ระเบิดพลัง
เวทมนตร์บ้าบอนานาประเภทของสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบสนามฝึก
และแอรีสก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาชอบมัน
ในตอนแรกก็เพียงแค่ต้องการพาโทปาซมาดูลาดเลาก่อนก็เท่านั้น
แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่ต่างอะไรกับการแฮงเอาท์ปกติกับเธอเลย...
พวกเขาคงไม่ได้กลับไปที่โรงยิมแล้วล่ะ
“แต่ถ้ารู๊บส์เจอนายก็คงจะเอ็นดูมากๆแน่
ฉันกับแอนดี้คงตกกระป๋องชัวร์” เธอแค่นหัวเราะ
“คนอะไรทั้งหล่อ
น่ารัก เฟรนลี่ อัธยาศัยดี มีความสามารถ—”
แต่แล้วก็ชะงักงันเมื่อสิ้นเสียงของตนเองไปเสียอย่างนั้น
ตู้ม!
หยดน้ำที่กระเซ็นมาโดนแขนเสื้อเขาประมาณหนึ่งทำให้ผืนมหาสมุทรสั่นไหว...
แอรีสอ้ำอึ้ง
ตั้งตัวไม่ทันกับการกระทำของเจ้าของพวงแก้มสีระเรื่อ— ไม่ทันจะได้เดินเข้าไปห้ามก็กลายเป็นว่าทุกอย่างหยุดชะงักได้ด้วยอำนาจของสายน้ำซึ่งผ่านการกระตุ้นให้ไหลเชี่ยวได้ไม่นานเสียอย่างนั้น
ต่อให้สถานการณ์จะเหมาะแก่การเบี่ยงเบนความสนใจมากเพียงใด
อะไรเช่นนี้ก็อยู่เกินความคาดหมายของเขาไปพอควร
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนอะ”
“เสียที่ไหนกันเล่า”
เขาส่ายหน้า— ความรู้สึกเอือมระอานั้นผสมปนเปอยู่กับความเอ็นดู
กลายเป็นสสารของความรู้สึกที่ทำให้ต้องหยิบผ้าสะอาดจากในกระเป๋าเข็มขัดออกมาให้อีกฝ่ายด้วยความหวังว่ามันจะช่วยซึมซับส่วนที่เปียกปอนของเรือนผม
“โทษทีๆ
แค่อยากลองทำแบบนี้มานานแล้วน่ะ” โทปาซกลั้วหัวเราะ แต่ก็รับของในมือไปแต่โดยดี
“เดี๋ยวเมคอัพก็เละหรอก”
“กันน้ำ
ไม่เป็นไร”
“หืม? นี่เตรียมตัวมาก่อนแล้วอย่างนั้นเหรอครับเนี่ย?”
“เหมือนเป็นแบบนั้นใช่ไหมล่ะ?”
เสียงหยดน้ำจากปลายผมสีแสดของเธอเป็นจังหวะควบคู่ไปกับการเต้นของหัวใจซึ่งเพิ่มอัตราความเร็วมากขึ้น—
ภาพของโทปาซซึ่งค่อยๆบรรจงเช็ดผมตนเองนั้นสะท้อนอยู่ในมหาสมุทร
เขายื่นมือไปช่วยในบางครา ทว่าด้วยพื้นผิวของถุงมือที่ไม่เหมาะกับน้ำสักเท่าไหร่
การจะทำเช่นนั้นจึงยากไม่น้อย
“ถอดก่อนก็ได้นะ
ไหนๆฉันก็ไม่น่าจะโดนอะไรอยู่แล้ว” เธอช้อนตาขึ้นมาสบกัน
และนั่นก็ทำให้แอรีสอ้ำอึง
“แล้ว... ถ้ามัน...”
“รีส”
“ครับ”
“มันไม่เป็นไร”
อ่า...
“แน่ใจนะ”
เธอพยักหน้า—
เป็นคำตอบซึ่งไม่ได้เสียเวลาคิดเพิ่มเติม มั่นคงตั้งแต่วินาทีแรกที่เอ่ยจนถึงปัจจุบัน
ทว่าก็ไม่ได้ชโลมความประหม่าของเขาไปหมดเสียทีเดียว
“มาๆ
เดี๋ยวถือถุงมือให้”
“ฝากด้วยนะ”
แล้วเธอก็พยักหน้าตอบกลับเขามา
สัมผัสที่คาดการณ์ว่าคงนุ่มลื่นไม่น้อย
หากไม่ได้เปียกไปบางส่วนกระตุ้นความสงสัยในตัวแอรีส มันค่อยๆก่อตัวจากความคิดน้อยๆไปสู่ปริศนาใหญ่ซึ่งกัดกินพื้นที่ของสมองไป—
สองมือยังคงพยายามเช็ดเรือนผมสีแสดของหล่อนให้แห้ง
ห้วงภวังค์ก็ดำเนินต่อไปในคราวเดียวกัน
มันคลับคล้ายกับเส้นใยสักรูปแบบหนึ่ง—
มีแนวโน้มว่าต้นตระกูลเธอจะเป็นอสูรที่ได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งมาจากพรรณไม้ในแวดล้อมตนเอง
ซึ่งแท้จริงแล้วก็มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้น
แถมยังอันตรายทั้งหมดเสียด้วย...
มุมปากของคนที่ตระหนักถึงอนาคตอันวุ่นวายของบรรดาผู้ต้องสาปนั้นกระตุกขึ้นด้วยความพึงพอใจ
“มันเปียกเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ก็พอสมควร
เธอเล่นสาดมันเข้าหน้าเต็มๆเลยนี่”
“อ่า...”
“...”
“...”
“ว่าแต่ว่า...
ฉันน่ารัก?”
เสียงของสายน้ำควบคุมบรรยากาศทั้งหมดไปในเวลาเพียงครู่หนึ่ง
ก่อนเสียงหวานของเธอจะเอ่ยตอบกลับมา
“ก็เป็นพ่อกู้ดบอยเสียนี่”
เขาหลุดหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา—
ขบขันกับความกล้าของคนเก้อเขินที่บ้าดีเดือดเช่นเดียวกับคราวที่หล่อนตัดสินใจทำอะไรบุ่มบ่าม
มันทิ้งร่องรอยความประทับใจไว้ ณ ตัวเขาเช่นเดียวกับหยดน้ำที่ไหลลงจากปลายผม
จะแตกต่างก็เพียงแต่ในข้อเท็จจริงที่ว่าลมคงไม่ช่วยอะไรมากนัก
ไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่
แต่จะรับมันไว้ก็แล้วกัน
“น่าจะเคยมีคนชมนายอยู่บ้างนะ—
อึ๋ย!”
“หืม?”
ตุบ!
“นี่ พวกเธอ! เขาห้ามเข้ามาตรงนี้นะ!”
จ๋อม!
ในจังหวะที่เบนสายตาจากเรือนผมหล่อนไปมองใบหน้าซึ่งอยู่เยื้องกัน
บางอย่างก็สะท้อนในสายตาเขา— กระตุ้นอะดรีนาลีนซึ่งโดยปกติไม่ได้ถูกหลั่งออกมาในเวลาเช่นนี้และเกาะกุมไม่ให้มันสลายไปก่อนเวลาอันควร
ราวกับว่าสัญชาตญาณบางอย่างกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
ตึก ตึก ตึก!
รู้ตัวอีกทีก็ตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งที่ราวกับออกมาจากภาพยนตร์สักเรื่อง—
บ้าบิ่น วุ่นวาย ไร้สาระ และสนุกเป็นบ้า
“ทีนี้ก็เอาไปบอกลูกหลานได้ว่าเคยซัดน้ำเพื่อเบี่ยงความสนใจยาม
แล้ววิ่งหนีในตอนที่เขาเผลอ”
“เธอนี่ตอบสนองไวชะมัดเลย”
รอยยิ้มนั่นส่งแรงกระตุ้นให้กับสองมือซึ่งประสานกัน...
“แหม— ขอบคุณ”
และจวบจนเวลาผ่านไป
มันก็ไม่คิดจะผละออก
ในตอนนี้เผยอดีตเล็กน้อยของต้าวบอร์เดอร์คอลลี่ค่ะ (เหมือนใช่มั้ยล่ะคะ? ไม่มีพันธุ์ไหนเหมาะไปกว่านี้แล้ว) ไม่ถือว่าดราม่ามาก
แต่ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ส่วนตัวเครสก็ไม่ได้คิดด้วยแหละค่ะว่ารีสแสนดีแบบร้อยเปอร์ เขาแค่เป็นสีเทาที่อยู่ในเฉดสว่างหน่อยๆ
เหมือนกับตัวละครอื่นของเครส บวกกับปัจจุบันมีเหตุผลพอสมควร แต่ว่าเรียกสนุกๆว่านังงูพิษได้ค่ะ เป็นสายเตรียมฉกคนที่เกลียด
(ซึ่งมีน้อยมาก) บาลานซ์กับปาซที่เป็นสายบ้าดีเดือดและติสต์ในหลายโอกาสได้ดีเลยล่ะค่ะ
(แต่เวลาสองคนนี้รวมทีมกันตอนโกรธคนก็คงน่ากลัวน่าดู--) เพราะฉะนั้นก็มาดูพวกเขาเติบโตไปด้วยกันนะคะ
นอกจากจะไม่เก่งเลขแล้ว รีสยังขับรถไม่แข็งด้วยค่ะ ถึงจะได้ใบขับขี่มาแบบหวุดหวิด
แต่ก็เลือกที่จะไม่ขับเพื่อความสงบสุขของโลกใบนี้5555555555 ทุกวันก็เลยรบกวนเอสธาร์ไปส่ง แต่ถ้าพี่สาวตัวดีนอนไม่พอก็จะไล่ไปหลับ
แล้ววานให้คุณพ่อทำหน้าที่แทนชั่วคราว ในแอพ internet banking ก็ตั้งโอนค่าน้ำมันให้เค้าไปเป็นรายเดือนด้วย
(เป็นนังงูพิษผสมบอร์เดอร์คอลลี่ที่เป็นกู้ดบอยจังเลยนะคะเนี่ย) เพราะฉะนั้นเตรียมใจรอซีนลูกสาวเราขับรถไปส่งหนุ่มค่ะ
gender norm ที่ดีคือ gender norm ที่ทุกเพศไม่มีตำแหน่งหน้าที่ที่ถูกผูกติดชัดเจน
ความคิดเห็น