คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 - Happy Alley มีสุข 23
Chapter 1
“เอามานี่” เสียงร้องโวยวายดังขึ้นไม่ไกล เรียกให้คนที่กำลังตั้งใจอ่านงานในไอแพดเครื่องประจำเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหาต้นเสียงก่อนจะพบกับกลุ่มเด็กนักเรียนมัธยมที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ช่วงเวลาปิดเทอมเช่นนี้เด็กๆ คงนัดมาพบหน้ากัน ...หากแต่สิ่งที่สะดุดตากลับเป็นเจ้าของเสียงที่เขามองหาเมื่อครู่ เด็กผู้ชายตัวเล็กที่กำลังยิ้มร่าเริงเมื่อตนเองได้ครอบครองชิ้นเค้กที่ยื้อแย่งกับเพื่อนเมื่อครู่ แม้จะมีกันกว่า 6 คน แต่เด็กคนนั้นกลับดูโดดเด่นเหลือเกิน ทั้งใบหน้าที่ดูเด็กกว่าเพื่อนในกลุ่ม ดวงตาโตกลมแวววาวดูซุกซน รอยยิ้มที่หวานสดใสเข้ากับใบหน้าหวานละมุนที่เห็นแล้วก็เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ... กำลังเพลิดเพลินกับการแอบมองตัวเล็กโดนเพื่อนๆรุมแกล้งได้ไม่นาน หากแต่เสียงสั่นครืนของเครื่องมือสื่อสารบนโต๊ะก็เรียกให้เต๋ากลับมาอยู่กับงานตรงหน้าอีกครั้ง เต๋าหันกลับมารับโทรศัพท์สายสำคัญ
“ครับ สรุปเป็นศุกร์ที่ 23 นะครับ ได้ครับแล้วพบกัน” เครื่องมือสื่อสารกรอบสีแดงสกรีนสัญลักษณ์ฟุตบอลทีมโปรดถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนที่มือหนาจะเลื่อนแฟ้มเอกสารมาวางตรงหน้า ก้มลงจดข้อมูลบางอย่างแล้วจัดการรวบรวมข้าวของที่วางอยู่ก่อนที่ขายาวจะก้าวออกมาจากร้านกาแฟแบรนด์ดัง โดยไม่รู้ตัวว่าคนที่แอบชื่นชมอยู่เมื่อครู่กำลังมองมาทางตนเองทั้งรอยยิ้ม ....
“อ้าว เห๊ย! เวรแล้ว ลืมโทรศัพท์” ร่างสูงพึ่งนึกออกว่าลืมอุปกรณ์สื่อสารชิ้นสำคัญ รีบหันหลังกลับและวิ่งไปที่ร้านกาแฟที่พึ่งออกมาได้ไม่ถึง5นาที ประตูบานใสถูกผลักอย่างรวดเร็วก่อนที่เจ้าตัวจะรีบตรงดิ่งไปที่โต๊ะประจำแต่ลมหายใจถึงกับสะดุดเมื่อบนโต๊ะนั่นไม่ปรากฏสิ่งที่เขากำลังตามหา
“พี่ครับ หาโทรศัพท์อยู่ใช่ไหมพี่” เสียงของพนักงานประจำร้านสะกิดเรียก มือขวาที่ถือโทรศัพท์อยู่ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ ก่อนที่จะส่งมือไปรับมันมา
“ขอบคุณมากน้อง”
“ที่จริงพี่ต้องขอบคุณเด็กผู้ชายคนนั้นนะครับ เขาเก็บได้แล้วเอามาฝากไว้” ตาคมมองตามปลายนิ้วที่ชี้ออกไปทางด้านนอกตัวร้าน ร่างเล็กๆของเด็กผู้ชายภายใต้เสื้อฮู้ดสีขาวกำลังเดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนเพื่อที่จะขึ้นรถแท็กซี่ ...และนั่นดูเหมือนว่าจะไม่ทันเสียแล้วที่จะกล่าวขอบคุณ
...จะได้เจอกันอีกไหมนะ...
-------------------------------------------------------------
“ไม่มีอะไรจริงๆมึง กูแค่เห็นว่ามันสะดวกกว่าถ้ากูมาอยู่ที่นี่”
“เห้ย! มึงอย่าคิดมากสิวะ ไม่มีอะไรจริงๆ”
“แบตกูจะหมดแล้ว ไว้เดี๋ยวกูโทรหาใหม่ แล้วเจอกันมึง”
นิ้วโป้งเลื่อนไปสัมผัสหน้าจอเพื่อจะกดวางสายแต่ก็ต้องหงุดหงิดใจเมื่อระบบตัวเครื่องดับไปต่อหน้าต่อตา สมาร์ทโฟนสีดำปราศจากแบตเตอรี่ถูกส่งคืนกลับไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่งอย่างอารมณ์เสีย มือหนากระชับเป้ใบโตกลางหลัง อีกทั้งมือขวายังหอบหิ้วกระเป๋าเป้ใบใหญ่อีกใบ
สภาพอากาศปลายเดือนของเดือนที่ร้อนที่สุดในประเทศ บวกกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวเป็นทุนเดิมของเมืองหลวงประเทศไทย ทำให้เหงื่อกายไหลอาบไปทั่วแผ่นหลังหนาอีกทั้งเม็ดเหงื่อที่ผลุดประปรายตามใบหน้าคมนั่นก็มีมากขึ้น ทำให้ร่างสูงต้องใช้ฝ่ามือเช็ดเหงื่อนับครั้งไม่ถ้วน
“พี่ๆ ซอยมีสุข 23” เต๋าโบกวินมอเตอร์ไซค์ที่ขับผ่านมา กระโดดขึ้นเบาะรถอย่างชำนาญในใจก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงมอเตอร์ไซค์พาหนะคู่ใจ ที่เวลานี้คงจอดแน่นิ่งอยู่ใต้ถุนบ้านเกิดที่กาฬสินธุ์
“มาหาใครหละน้อง บ้าน พี่ก็อยู่ซอยนี้ น้องจะไปหาใครถามพี่ได้ พี่รู้จักหมด!” ชายคนขับวินมอเตอร์ไซค์ผิวสีเข้มว่าอย่างมั่นใจ ใบหน้าที่ติดจะกวนไปนิด แต่ดูเป็นมิตรอยู่ไม่น้อยในความคิดของเต๋า
“ดีเลยพี่ ผมพึ่งย้ายมาอยู่กับญาติ พี่เขาชื่อตี๋ พี่รู้จักไหม?”
“อ้าว น้องไอ้ตี๋หรอเนี่ย พี่กับไอ้ตี๋ซี้กัน นี่จะไปบ้านไอ้ตี๋ใช่ไหมเดี๋ยวพี่ไปส่งถึงหน้าบ้านเลย”
“ขอบคุณมากพี่” เต๋าเอ่ยขอบคุณ มือสองข้างกำท้ายรถยานพาหนะสองล้อแน่น ก่อนที่เครื่องยนต์จะถูกเร่งขึ้นให้เร็วกว่าเดิมเพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย
-------------------------------------------------------------
ยานพาหนะสองล้อค่อยๆลดความเร็วลง และจอดสนิทที่หน้าบ้านแฝดสีขาวสองชั้นหลังคาสีแดงสองหลังที่ตั้งอยู่ติดกัน ลักษณะภายนอกถูกถอดแบบมาจากโครงสร้างเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน
“ยินดีต้อนรับนะไอ้น้อง เราคงได้พบกันอีกนาน ไว้พี่ชวนไปกินเหล้า” วินมอเตอร์ไซค์ท่าทางเป็นมิตรบอกหลังจากที่เต๋าก้าวขาลงมาจากเบาะหลัง แล้วยื่นเงินให้เสร็จสรรพ
“ครับพี่ ขอบคุณมากนะพี่”
“เอ้อ ไม่เป็นไร แล้วเจอกันเว้ย”
ตาคมเพ่งมองที่อยู่ในกระดาษสลับกับป้ายเลขที่บ้านที่ติดอยู่รั้วทรงเตี้ย
23/2
‘หลังนี้แหละ’
ร่างสูงยกยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อในที่สุดก็มาถึงเป้าหมาย หลังจากที่ใช้เวลาร่วมสี่ชั่วโมงในการเดินทาง เดินทางอาจจะไม่เท่าไหร่แต่ดันขึ้นรถเมล์ผิดสาย แล้วแบกกระเป๋าใบใหญ่สองใบ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยควันพิษอีกทั้งอากาศก็ร้อนตับแตกนี่สิ ตอนนี้สภาพเขาคงดูไม่จืดแน่ๆ นาทีนี้ขอแค่ได้เข้าไปในตัวบ้าน กินน้ำเย็นๆสักแก้วก็ถือว่าเป็นสุขแล้ว แต่ดีใจได้ไม่นานก็เหมือนความหวังที่จะหนีอุณหภูมิแสนร้อนระอุภายนอกเข้าสู่พื้นที่ร่มเย็นของตัวบ้านก็ดับลงเมื่อเต๋ามองไปที่ประตูรั้วและเห็นว่ามันถูกคล้องด้วยแม่กุญแจขนาดใหญ่
สิ่งแรกที่คิดได้คือโทรไปหาพี่ชายเจ้าของบ้ายแต่ก็ต้องถอนหายใจออกมาเต็มแรงเมื่อตระหนักได้ว่าโทรศัพท์ของตนแบตหมดไปแล้ว ตาคมจึงเริ่มกวาดไปยังบริเวณรอบข้าง จุดแรกที่สนใจหาใช่ที่อื่นไกลบ้านใกล้เรือนเคียงนั่นเอง เต๋ามองผ่านประตูรั้วทรงเตี้ยเข้าไปในตัวบ้านที่อยู่ติดกัน บ้านเลขที่ 23/3
“ขอโทษนะครับ คือผมมาหาพี่ตี๋ ที่อยู่บ้านหลังนี้นะครับ?” เต๋าร้องถามหญิงสาวคนหนึ่งจากอีกฝั่งของประตูรั้วหน้าบ้านเลขที่23/3 เรียกให้ผู้หญิงผิวขาวรูปร่างสมส่วนที่กำลังจะเดินเข้าไปในตัวบ้านหันมามองหาทางเขา ผู้หญิงตรงหน้าจ้องมองมาที่เต๋า ก่อนที่จะเดินมายังประตูรั้ว
“น้องเต๋าใช่ไหม? มาหาตี๋กับเฟรมหละสิ ตี๋ไม่อยู่ออกไปธุระอีกสักพักคงมา ส่วนเฟรมไปมหาวิทยาลัยแต่เช้าแล้ว แต่เขาบอกพี่ไว้ว่าจะมีญาติมาหา เข้ามารอในบ้านพี่ก่อนแล้วกัน อากาศข้างนอกร้อนเดี๋ยวเหงื่ออาบตัวหมด” เต๋าพยักหน้า ก่อนหน้านั้นเขาขมวดคิ้วสงสัยไม่น้อยที่หญิงสาวตรงหน้ารู้จักชื่อของตนเอง แต่ก็เริ่มที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด พี่ตี๋กับเฟรมคงออกไปข้างนอกเลยบอกเพื่อนบ้านไว้ว่าเขาจะมา
เต๋าส่งยิ้มให้หญิงสาวเพื่อนบ้านอย่างเป็นมิตร ก่อนจะค่อยๆก้าวผ่านประตู้รั้วบ้านที่เจ้าของเดินมาเปิดให้ ตาคมทอดมองสวนหย่อมเล็กๆที่ถูกประดับประดาด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด อีกทั้งด้านข้างชิดตัวบ้านมีชุดโต๊ะม้าหินอ่อนวางอยู่ แม้สวนเล็กหน้าบ้านจะมีขนาดไม่ใหญ่โตแต่ก็ถือว่าถูกจัดสรรได้อย่างลงตัวทีเดียว และเมื่อชื่นชมความงามของสวนน้อยได้ไม่นานเต๋าก็ต้องรู้สึกประหม่าขึ้นมานิดๆ เมื่อก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน
“อ่อ พี่ชื่อมิ้นท์นะน้องเต๋า เป็นเพื่อนบ้านของตี๋กับเฟรม” หญิงสาวเพื่อนบ้านแนะนำตัวเมื่อนำทางเต๋าเข้ามาในตัวบ้าน
“เดี๋ยวน้องเต๋านั่งรอที่โซฟาก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้กิน ดูสิเหงื่อไหลใหญ่แล้ว” มิ้นท์เอ่ยแซวเต๋าก่อนที่จะเดินไปที่ครัวเล็กๆที่ติดอยู่กับห้องรับแขก มือหนาวางเป้ที่อยู่ในมือขวาลงแล้วปลดเป้ใบใหญ่ลงจากหลัง วางมันลงที่พื้นพรมข้างโซฟา ก่อนที่จะย้ายตัวเองลงนั่งโซฟาตัวยาวที่นาทีนี้เขารู้สึกว่ามันนุ่มแสนนุ่ม แผ่นหลังหนาเลื่อนจนชิดกับพนักผิงอันแสนนุ่มสบาย อีกทั้งความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ทำให้อุณหภูมิภายในตัวบ้านต่ำกว่าภายนอกอยู่มากโข เรียกให้เปลือกตาสองข้างที่เหนื่อยล้ามาหลายชั่วโมงเริ่มปิดลง
....
...
..
แต่หลับตาลงได้ไม่นานก็ต้องสัมผัสถึงบรรยากาศรอบข้างที่เปลี่ยนไป เหมือนเขากำลังถูกจ้องมองจากสายตาอะไรบางอย่าง
“เห๊ย!” เต๋าอุทานและเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาตัวยาว ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจเมื่อลืมตาขึ้นมาพบกับร่างเล็กของใครอีกคน ที่ดวงตาคู่กลมจ้องมองมาที่เขาอยู่
“น้องเต๋าเป็นอะไร คชาไปแกล้งอะไรพี่เขา” มิ้นท์ที่พึ่งเดินออกมาจากครัวส่งเสียงเอ็ดน้องชายของตน
“คชายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ก็เอาน้ำมาให้ แล้วพี่เขาตื่นมาตกกะใจคชาเองเหอะ คนอะไรตกใจง่ายชะมัด” ร่างเล็กเบ้ปากออกมาอย่างขัดใจเมื่อถูกพี่สาวกล่าวหา และอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมคนตัวสูงที่เหมือนเป็นต้นเหตุทำให้ตนเองโดนดุ
เต๋าไม่ใช่คนที่ตกใจง่ายถ้าหากสิ่งที่เขาลืมตาขึ้นมาเห็นนั้นไม่ใช่ใบหน้าของคนที่เขาแอบนึกถึงตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ใบหน้าที่แม้จะเห็นเพียงแค่ด้านข้างแต่หากยังคงชัดเจนในความทรงจำ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่จำได้เพราะยังไม่ได้กล่าวขอบคุณที่ช่วยเก็บมือถือเอาไว้ให้ หรือเพราะภาพของแก้มใสๆที่กระทบแสงแดดในวันนั้นที่ทำให้เขาไม่ลืมคนตรงหน้าถึงขนาดเก็บเอามานึกถึงในยามว่าง
“คชา...อ่อ น้องเต๋า นี่คชาน้องชายตัวแสบของพี่เอง” มิ้นท์หันไปเอ็ดน้องชายของตน ก่อนที่จะแนะนำน้องชายคนเดียวให้เต๋าได้รู้จัก เต๋าพยักหน้าเล็กน้อย ตาคมมองไปยังร่างเล็กของคชาอีกครั้ง อันที่จริงคชาก็ไม่ได้ตัวเล็กอะไรมากมาย ความสูงน่าจะเทียบเท่ามาตรฐานของเด็กผู้ชายทั่วไป แต่ด้วยรูปร่างสัดส่วนที่ดูบอบบางเกินเด็กผู้ชายที่เขาเคยพบ เอวนั่นก็ดูจะใหญ่กว่าพี่สาวของตนเองไม่มาก จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคชานั้นดูตัวเล็กกว่าเด็กอายรุ่นราวคราวเดียวกันไม่น้อย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคชา”
“อ่อ เต๋าอย่าไปถือสาอะไรน้องพี่มากนะ น้องพี่ก็แสบแบบนี้แหละ ถ้าไม่แสบก็ไม่ใช่น้องพี่ จริงไหม?” มิ้นท์เอ่ยประโยคบอกเล่า และปิดด้วยประโยคคำถามส่งสายตาดุๆไปมองน้องชายสุดที่รัก
“โหหห พี่มิ้นท์อ่ะ” ร่างสูงของเต๋ายิ้มขำให้กับท่าทีของอีกคน แก้มใสนั้นพองลมขัดใจให้พี่สาวของตนเอง แขนสองขางยกขึ้นมากอดอกอย่างขัดใจ และดูเหมือนเต๋าจะยิ้มกว้างไปจนอีกฝ่ายสังเกตได้ ใบหน้าบึ้งตึงจึงหันมามองเต๋า คนตัวเล็กกอดอก คิ้วเล็กนั่นเลิกขึ้นอย่างสงสัย
“แล้วก็ขอบใจคชามากนะสำหรับน้ำแก้วนี้” เต๋าขอบคุณร่างเล็กก่อนที่ดวงตาคมของตนจะประสานเข้าพอดีกับดวงตาคู่กลมของคชา แม้จะเป็นเวลาแค่เพียงไม่กี่วินาทีแต่ก็รู้สึกวูบวาบแปลกๆไม่น้อย จึงได้แต่เสมองไปตำแหน่งอื่นแล้วก้มลงหยิบแก้วน้ำเย็นที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กตำแหน่งหน้าโซฟา ก่อนจะยกมันขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว
“ทีนี้ก็รู้จักกันหมดแล้วนะ เห็นตี๋บอกว่าเต๋าเป็นน้อง แปลกนะหน้าไม่เหมือนกันเลย สีผิวนี่ก็ต่างแล้ว” มิ้นท์หัวเราะออกมาเล็กน้อย เมื่อนึกถึงรูปร่างของตี๋กับเต๋า นอกจากชื่อที่ขึ้นด้วย ต.เต่า เหมือนกันแล้วมิ้นท์ก็ยังไม่เห็นว่าตี๋กับเต๋าจะมีลักษณะรูปร่างภายนอกอะไรที่คล้ายคลึงกัน
“อ่อ ไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆครับ เป็นลูกพี่ลูกน้อง พี่ตี๋กับเฟรมเป็นลูกป้า แม่เต๋าเป็นน้องสาวของแม่พี่ตี๋ครับ” เต๋าอธิบายให้มิ้นท์ฟังอย่างละเอียด ตาคมอดไม่ได้ที่จะแอบมองร่างเล็กของใครอีกคนที่เดินเข้าไปในครัว ก่อนจะหันมาสนใจบทสนทนากับมิ้นท์ต่อ
“แล้วนี่เต๋าย้ายมาอยู่ถาวรเลยไหมหรือมาพักชั่วคราว”
“คงถาวรเลยครับ แต่ก่อนอยู่คอนโดกับเพื่อนแต่บริษัทย้ายที่ตั้งใหม่แล้วไกลกับที่พัก ตอนแรกก็เหมือนจะไหว แต่แค่สองเดือนเท่านั้นแหละครับแทบจะไม่มีแรงไปทำงาน พอโทรไปปรึกษาพี่ตี๋ แกเลยชวนมาอยู่ด้วยกัน”
“แบบนี้แหละชีวิตคนกรุงเทพ ยิ่งเวลาเดินทางไปทำงานน้อยเท่าไหร่ยิ่งถือว่าเป็นบุญมากเท่านั้น....งั้นแสดงว่าต่อไปข้างบ้านพี่ก็จะเป็นสามหนุ่มสามมุมแล้วสินะ นี่ถ้าไปเล่าให้ใครฟังคงจะมีแต่คนอิจฉาแน่นอน” ทั้งมิ้นท์และเต๋าหัวเราะออกมาพร้อมกัน ดูแล้วพี่มิ้นท์จะเป็นสาวอารมณ์ดีไม่น้อย ซึ่งมันทำให้ความประหม่าในตอนแรกก่อนก้าวเข้ามาในตัวบ้านของเต๋าลดลงไปมาก
ครืดดดดดดดดดดด
“เดี๋ยวพี่ขอไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะ ตามสบายนะเต๋า” มิ้นท์บอกเต๋าแล้วลุกจากโซฟาออกไปที่หลังบ้าน ทำให้เต๋าเริ่มที่จะสำรวจบ้านหลังเล็กนี้อีกครั้ง แม้ตัวบ้านจะดูไม่ใหญ่แต่ข้าวของเครื่องใช้ก็ดูจะมีพร้อมไปทุกอย่าง ห้องรับแขกที่มีโซฟาตัวยาว 1 ตัวกับโซฟาแบบที่นั่งเดี่ยวอีก 2 ตัว กินเนื้อที่ในส่วนของห้องรับแขกไปกว่าครึ่ง โทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าโซฟา ด้านข้างมีเครื่องเล่นซีดีขนาดไม่ใหญ่มากวางอยู่ ชั้นด้านล่างมีแผ่นหนังเรียงกันราวๆยี่สิบเรื่อง
ชั้นหนังสือที่ส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทตำราอาหาร และการจัดดอกไม้ รวมไปถึงงานประดิษฐ์ประดอยต่างๆจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แต่ที่เห็นจะเรียกความสนใจจากเต๋ามากสุดคงเป็นกรอบรูปขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ฝาผนังเหนือทีวี รูปครอบครัวที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน ที่ตอนนี้เต๋ารู้จักแล้วสองคนคือพี่มิ้นท์ กับคชา ส่วนอีกสองคนคงจะเป็นพ่อแม่ของสองพี่น้อง ดวงตาโตกลมสดใสเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข รอยยิ้มหวานละมุนแผ่กระจายไปทั่วทั้งรูป อดไม่ได้ที่คนมองอย่างเขาจะยิ้มตาม และก่อนที่จะเคลิบเคลิ้มกับความน่ารักสดใสของลูกชายคนสุดท้องของบ้านไปมากกว่านี้ เต๋าก็ต้องหันขวับเมื่อได้ยินเสียงสะกิดเรียกจากใครบางคน ใครบางคนที่เขาจ้องมองผ่านกรอบรูปอยู่เมื่อครู่
“เมื่อกี๊เห็นกินซะหมดแก้ว เลยเอามาให้อีก” สองแขนเล็กยื่นมือขวาและมือซ้ายมาที่ด้านหน้าเต๋า ด้านขวามีขวดน้ำเย็นจัดที่รอบข้างมีหยดน้ำเกาะ ส่วนด้านซ้ายเป็นแก้วน้ำหากแต่ไม่ได้บรรจุน้ำเย็นแต่อย่างใด มันกลับเป็นน้ำหวานสีแดงกลิ่นหอมอ่อนๆยี่ห้อคุ้นเคย...ที่คชาเข้าครัวไปก่อนหน้านี้ก็เพราะไปทำน้ำหวานแก้วนี้มาให้เขาสินะ.....เต๋ายื่นมือไปรับแก้วน้ำหวานสีแดงจากมือบาง ในขณะที่อีกฝ่ายวางขวดน้ำเย็นลงบนโต๊ะเล็ก ก่อนจะหย่อนตัวเองลงบนโซฟาเดี่ยวด้านข้าง เอื้อมมือไปหยิบรีโมทกดปุ่มเพื่อเปิดทีวี เมื่อนึกขึ้นได้ว่าจวนจะถึงเวลาของรายการโปรด
เต๋าก้มลงจิบน้ำหวานเย็นเจี๊ยบในมือ ตาแอบลักลอบมองคชาที่ยื่นขาสองข้างออกมา เคลื่อนที่เตะไปมาในอากาศ จ้องมองมันขึ้นลงสลับกันเหมือนกับว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เพลิดเพลินนักหนา ทั้งปากเล็กยังเคลื่อนขยับตามจังหวะของขาสองข้างราวกับเด็กน้อยประถมก็ไม่ปาน โดยไม่ได้สนใจหน้าจอทีวีที่ตนเองเปิดทิ้งไว้ก่อนหน้านี้เลยสักนิด
เอี๊ยดดด...
“อ้าวเห้ย! ว่าไงวะเต๋า มานานยังวะเนี่ย?” เสียงเปิดประตูไม้หน้าบ้านดังขึ้นก่อนจะแทนที่ด้วยเสียงทักทายจากพี่ชายคนสนิท ทำให้ทั้งคชาและเต๋าหันไปยังผู้มาใหม่
“สักพักแล้วพี่” เต๋าวางแก้วน้ำที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะรับแขก ขยับที่นั่งบนโซฟาเล็กน้อยและตามมาด้วยร่างของตี๋ที่นั่งลงด้านข้าง
“แล้วนี่โทรศัพท์เป็นอะไรวะ โทรไปก็ไม่ติด จะโทรบอกว่าจะออกไปข้างนอก”
“พอดีแบตหมดหนะพี่”
“เอ่อๆ ข้างนอกโคตรร้อนเลยว่ะ นี่น้ำใครกินได้ไหม?”
“เห๊ยๆพี่ไม่ได้ แก้วนี้ของผม” เต๋าโวยวายเล็กน้อย นึกสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าจะโวยวายทำไม ก็แค่น้ำหวานแก้วเดียวเอง...น้ำหวานแก้วเดียวเองที่มีใครบางคนอุตส่าห์ทำมาให้
“เห๊ยอะไรวะ กินด้วยไม่ได้ไง พี่ไม่รังเกียจแกหรอกนะ” ตี๋ว่าแล้วเลื่อนมือไปหาแก้วน้ำหวานในมือเต๋า ที่เจ้าตัวถือไว้เหมือนเด็กหวงของ
“เอ่อ เดี๋ยวคชาไปทำมาให้พี่ตี๋อีกแก้วก็ได้นะ” เป็นเสียงของคนที่นั่งฟังบทสนทนาของสองพี่น้องที่นั่งอยู่โซฟาอีกตัวเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกขึ้นก้าวไปที่ห้องครัวอีกครั้ง
“แกนี่นะ หวงอะไรหนักหนาน้ำแก้วเดียว เห็นไหมลำบากน้องคชาเลย”
“ไม่เป็นไรฮะ แต่เฮลล์บลูบอยหมดแล้ว คชาชงใส่แก้วนั้นแก้วสุดท้าย เหลือแต่ชาเย็นในตู้” เสียงใสร้องบอกออกมาจากครัวหลังเล็ก แล้วเดินไปเปิดตู้เย็น
“ไม่เป็นไร ตอนนี้อะไรก็ได้ ขอบใจมากคชา”
เต๋านิ่งเงียบไป ในใจคิดถึงคำพูดบางอย่างของคชา ที่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมา “แก้วสุดท้าย” ที่ว่าคงเป็นแก้วสุดท้ายที่อยู่ในมือเขาสินะ
-------------------------------------------------------------
มือใหญ่เลื่อนไปบิดลูกบิดประตู ก่อนจะเปิดออกให้เต๋าเข้ามาในตัวบ้าน แบบแปลนของบ้านไม่ได้มีอะไรต่างจากบ้านหลังที่อยู่ติดกัน ต่างกันที่ข้าวของเครื่องใช้ไม่ได้มีมากมายเหมือนบ้านอีกหลัง การจัดวางสิ่งของก็ดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยอะไรมากนักตามนิสัยผู้ชาย แล้วยิ่งอยู่กันสองคนแบบนี้แทบจะไม่ต้องพูดถึง
“บ้านนี้มีสามห้องนอนพอดี แกเอาไปอีกห้องนึงเลย ขึ้นบันไดไปอยู่ด้านซ้ายสุดนะ แล้วชั้นแรกนี่ก็ห้องรับแขก ห้องน้ำอยู่ตรงนั้น แล้วประตูนั่นเป็นทางออกหลังบ้าน แต่ไม่มีอะไรหรอกมันเอาไว้ซักผ้า ” ตี๋เอื้อมมือไปกอดคอน้องชาย ก่อนที่จะอธิบายแผนที่ในบ้านพอสังเขปให้เต๋าฟัง ถึงแม้จะสนิทสนมชิดเชื้อกันจริงแต่พี่ตี๋ก็พึ่งจะซื้อบ้านหลังนี้ได้ไม่นาน ทำให้เต๋ายังไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยียนอีกทั้งเต๋าเองก็ทำงานหนัก แม้จะมีนัดเจอกันบ้างประปรายแต่ทุกครั้งก็ตามร้านอาหารใจกลางเมือง
“โอเคพี่” เต๋าบอกพี่ชายคนสนิทก่อนจะแบกเป้สองใบเดินขึ้นบันไดไป ตั้งใจจะไปเก็บข้าวของและก็เปลี่ยนเสื้อยืดตัวใหม่เมื่อสัมผัสได้ถึงความชุ่มจากเหงื่อบริเวณแผ่นหลังที่ถูกระบายออกมาเพราะอุณหภูมิที่สูงของอากาศ
“พี่ตี๋ พี่เต๋ามายัง?” เสียงน้องชายสายเลือดเดียวกันร้องถามทันทีเมื่อเปิดประตูเข้ามาในตัวบ้าน
“มาแล้วๆ พึ่งเอาของขึ้นไปเก็บที่ห้องเมื่อตะกี้ แล้วทำไมปิดเทอมยังต้องไปมหาลัยอีกวะไอ้เฟรม” ตี๋ที่ง่วงอยู่กับการล้างจานที่กองพะเนินมาสามวันที่อ่างตะโกนตอบ
“โถพี่ ปิดเทอมเจอเพื่อนบ้าง พบปะบ้าง เฮฮาบ้าง ตามประสาเด็กปีสอง” เฟรมบอกตี๋ในขณะที่ตนก้มลงไปในตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำ
“เอ่อวะ แกจะขึ้นปีสองแล้วนี่หว่า ปีที่แล้วยังเห็นแกทุรนทุรายทรมานกับแคลคูลัสอยู่เลย” ตี๋ยังคงจำเหตุการณ์ที่น้องชายตัวดีครวญครางกับการสอบได้ดี แต่ก็อย่างว่าเด็กวิศวะอย่างเฟรมยังไงมันก็ต้องเรียนแคลคูลัสตลอดชีวิต ขนาดตี๋เองที่จบเศรษฐศาสตร์มาก็ผ่านช่วงเวลาอันแสดโหดร้ายกับแคลคูลัสมาไม่ต่างกัน
“ไม่ใช่แค่ปีที่แล้ว ปีนี้ก็ด้วยเถอะพี่ แคลคูลัสกับไอ้เฟรมต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”
“อ้าว เฟรม” เต๋าร้องทักน้องชายในขณะที่ตนกำลังเดินลงบันได
“เห้ย พี่เต๋า ว่าไง ไม่เจ่อะแปบเดียว หล่อขึ้นอีกแล้วนะพี่ ความหล่อไม่ต้องเยอะมากแบ่งมาทางผมบ้างก็ได้ หล่ออย่างเดียวสมัยนี้สาวไม่หลงนะพี่ ต้องคารมดีแบบผมนี่ สาวเพียบ” เฟรมทักทายพี่ชายคนสนิทตอบกลับ ยังจำได้ดีว่าตัวเองดีใจแค่ไหนตอนพี่ตี๋บอกว่าพี่เต๋าจะย้ายมาอยู่ด้วย เต๋ากับเฟรมสนิทกันตั้งแต่อยู่กาฬสินธุ์ เรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยม แม้จะห่างกันสามปีแต่ก็ตื่นไปโรงเรียนด้วยกันทุกเช้า ดีแค่ไหนที่ไม่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ถึงจะไม่ได้เรียนที่เดียวกัน หากถ้าว่างเต๋าก็จะยกหูโทรหาเฟรมชวนไปเล่นกีฬาโปรดอย่างฟุตบอลเสมอ
“เหนื่อยไหมแก พูดซะยาว” เต๋ายิ้มขำกับน้องชายต่างบิดามารดาตรงหน้า ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่ม
“โห พี่ก็คนมันคิดถึงอะ ขอพูดให้หายคิดถึงหน่อยสิ” เฟรมบอกแล้วทำหน้าทะเล้นให้พี่ชาย ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวยาวข้างเต๋า
“ไม่ได้เจอกันแค่สองเดือนเองนะเว้ย”
“เห็นไหมพี่ตั้งสองเดือนเลยนะ สองเดือนนี่ผมเปลี่ยนสาวควงได้หลายโหลเลยนะพี่”
“เอ้าคิดถึงกันเข้าไป ต่อไปมันจะเจอหน้ากันทุกวันจนเบื่อ” ก่อนที่เสียงหัวเราะของสามหนุ่มจะดังออกมาพร้อมกัน
“แล้วตอนที่แกย้ายออกมาเพื่อนแกว่าไงบ้าง” ตี๋เดินออกมาจากในครัวแล้วนั่งลงที่โซฟาอีกตัว
“มันก็ตกใจนิดหน่อยแหละพี่ มันคิดมากนึกว่าไปทำอะไรให้ผมไม่พอใจแต่คุยกันแล้ว ไม่มีอะไร”
“ก็ดีแล้ว... ว่าแต่เย็นนี้กินอะไรกันดีวะ เลี้ยงต้อนรับน้องชายสู่คฤหาสน์สามหนุ่มสามมุมสักหน่อย ”
“โหพี่ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก”
“เหย ได้ไงพี่เต๋า นี่พวกเราเป็นสามหนุ่มสามมุมสุดหล่อเลยนะ”
“ไอ้เฟรม ไอ้เว่อร์” ก่อนที่ตี๋จะเอื้อมมือไปซุกหัวน้องชายของตนเองด้วยความหมั่นไส้
“เอ้อไอ้เฟรม ฉันขอด่าแกหน่อย เมื่อวานพะโล้ที่คชาเอามาให้ทำไมแกกินเสร็จแล้วไม่เอาเข้าตู้เย็นวะ ทิ้งไว้บนโต๊ะแบบนั้นมันก็เสียดิเว้ยเห้ย นี่ถ้ามิ้นท์รู้นะด่าแกตาย”
“เห๊ยพี่ผมลืม เวรเลยอร่อยด้วย เสียจริงดิ? นี่ว่าจะกลับมากิน” เฟรมทำหน้าเศร้าเมื่อนึกถึงรสชาติของพะโล้ผีมือพี่มิ้นท์เมื่อวาน อดไม่ได้ที่จะแอบด่าความขี้ลืมของตัวเองในใจ
“พี่มิ้นท์นี่ดูท่าจะชอบทำอาหารนะ เห็นที่บ้านมีหนังสือทำอาหารเยอะแยะไปหมด”
“ใช่แล้วพี่เต๋า พี่มิ้นท์ทำอาหารอร่อยอย่างนี้...อ้าว นี่พี่เต๋ารู้จักพี่มิ้นท์แล้วหรอ?” เฟรมว่าแล้วยกนิ้วโป้งให้เมื่อคิดถึงเพื่อนบ้านแสนสวยใจดีที่ชอบเอาอาหารแสนอร่อยมาให้เสมอ
“อื้มรู้แล้ว ก็ตอนมาถึงที่บ้านไม่มีคนอยู่ พี่เขาเลยชวนไปนั่งในบ้าน”
“บ้านมิ้นท์ชอบทำอาหารกันทั้งบ้านแหละ นี่แม่เขาก็เปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่อเมริกาเลยนะ” ตี๋เริ่มเล่าเรื่องของเพื่อนบ้านคนสวยให้ฟัง
“อ่อ แสดงว่าพี่มิ้นท์ก็อยู่กับคชาสองคนหรอพี่?” เต๋าถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อคิดถึงรูปครอบครัวที่ติดอยู่ฝาผนังบ้าน
“ใช่ มิ้นท์กับคชาอยู่บ้านหลังนั้นมาหลายปีแล้วก่อนที่แม่ของมิ้นท์จะไปแต่งงานใหม่กับคนอเมริกาแล้วก็ย้ายไปอยู่ที่นั่น แต่เหมือนคชาไม่ยอมไปอยู่ด้วย เห็นมิ้นท์เล่าให้ฟังว่าถึงขั้นอดข้าวอดน้ำ มิ้นท์เลยตัดสินใจอยู่กับคชาไม่ย้ายไปเหมือนกัน พอดีตอนนั้นมิ้นท์เรียนจบก็โตพอที่จะรับผิดชอบอะไรได้ แม่เขาเลยยอมให้ลูกสองคนอยู่เมืองไทย”
“แล้วพี่มิ้นท์ทำงานอะไรหละพี่”
“มิ้นท์เป็นครูสอนโรงเรียนมัธยมส่วนน้องคชาเรียนอยู่กำลังจะขึ้นมอหก” เต๋าพยักหน้าเออออกับคำตอบ อันที่จริงเขาก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่าคชาน่าจะยังเรียนอยู่มัธยม แต่ตอนแรกนึกว่าน่าจะอยู่มอสี่ไม่ก็มอห้า แต่ก็ดีแล้วหละ ว่าแต่คชาห่างกับเขากี่ปีกันนะ 18-19-20-21-22-23 ...ห้าปีพอดีเลยนี่หว่า
“แปลกเหมือนกันนะ ปกติผู้หญิงสวยๆอยู่ใกล้ๆแบบนี้พี่ตี๋ต้องจีบ” เต๋าเริ่มเอ่ยแซวพี่ชายคนสนิท
“พูดไปไอ้เต๋า แกก็เห็น มิ้นท์น่ารักจะตาย ทั้งสวย ฉลาด เป็นแม่ศรีเรือน ตอนย้ายมาอยู่ใหม่ๆพี่ก็แอบจีบเขาอยู่แหละ แต่พอรู้จักกันมากขึ้น เขามันนางฟ้าวะ ไม่อยากเอาชีวิตที่มัวหมองไปทำร้ายเขาเลยเป็นเพื่อนกันดีกว่า”
“หรออออ หรอพี่ตี๋หรอ ไม่ใช่ว่าพี่เขามีแฟนอยู่แล้วหรอ จีบยังไงพี่มิ้นท์ก็ไม่สนใจพี่หรอก”
“เดี๋ยวเถอะไอ้เฟรม”
“พี่มิ้นท์มีแฟนแล้วหรอพี่” เต๋าถามขึ้น
“มีแล้วแต่พึ่งเลิก ตอนนี้โสด สงสัยแฟนเก่ามิ้นท์จะไปทำอะไรไม่ถูกใจคชาเข้าว่ะ”
“อ้าว ทำไมว่างั้นหละพี่”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่มิ้นท์รักคชามาก อย่างว่าก็น้องเขาทั้งคน ถ้าให้มิ้นท์เลือกยังไงมิ้นท์ก็ต้องเลือกคชา”
“น้องคชาเขาเป็นลูกคนเล็กสไตล์นะพี่เต๋า” เฟรมแทรกบทสนทนาขึ้นมา ซึ่งทำให้เต๋าอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ ก่อนจะเป็นตี๋ที่ขยายความหมายของประโยค
“คชาเป็นเด็กดี อาจจะดูเอาแต่ใจไปบ้างแต่ก็ตามประสาลูกคนเล็ก...เดี๋ยวอยู่ไปแกก็รู้ คชาน่ารักเว้ย นิสัยดี” เต๋าไม่ปฏิเสธสักนิดว่าเขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
“ใช่ อันนี้น้องเฟรมขอคอนเฟิร์ม! ว่าแต่พี่เต๋าถามเรื่องบ้านนั้นเยอะนะ แอบคิดไรกับลูกบ้านนั้นป่ะพี่?” เต๋าเบิกตาโพลงเล็กน้อย ก่อนที่จะรวบรวมสติตอบคำถามของเฟรมออกไป เมื่อคิดได้ว่าน้องมันคงจะแซวไปอย่างนั้นเอง
“เห๊ย! บ้า ไม่มี..ก็เพื่อนบ้านกัน รู้จักกันไว้ก็ดี”
“เอ้อ ไมพี่ตี๋ไม่ชวนพี่มิ้นท์ออกไปกินข้าวกับเราเย็นนี้หละ เผลอๆผมว่าไม่ต้องออกไปกิน พี่มิ้นท์ทำให้กินชัวร์” แล้วเฟรมก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ก่อนจะหันไปถามตี๋ที่กำลังให้ความสนใจกับหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขก
“เห็นมิ้นท์บอกว่าไม่ว่าง เห็นว่าญาติมาจากต่างจังหวัดเลยออกไปหาญาติ”
“โหห น้องเฟรมเสียดาย งั้นออกไปกินแถวนี้ก็แล้วกันนะพี่เต๋า มื้อนี้พี่ตี๋เลี้ยงเอง” เต๋าพยักหน้ากับคำบอกเล่าของเฟรม แต่ในใจกลับคิดถึงใบหน้าของใครอีกคนที่พึ่งเจอกันเมื่อไม่นานมานี้ ที่ยิ่งนึกถึงยิ่งอยากรู้จักมากกว่าเดิม....
-------------------------------------------------------------
อากาศที่ร้อนอบอ้าวในเดือนที่ร้อนที่สุดของประเทศกำลังเล่นงานประชากรเมืองหลวงอีกครั้ง แสงแดดที่ยังคงแผ่กระจายรังสีความร้อนอย่างต่อเนื่องแม้ตอนนี้จะเลยเวลาเที่ยงวันมาหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม ผู้ชายตัวเล็กภายใต้เสื้อฮู้ดสีขาว มือเล็กสองข้างกระชับเป้กลางหลังกำลังเดินทอดน่องเข้าสู่เส้นทางสายประจำในซอยมีสุข 23
“นั่นพี่เต๋านี่นา” คชาพูดออกมาเบาๆ เมื่อดวงตาคู่กลมมองไปเห็นเพื่อนบ้านที่พึ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ได้ไม่ถึงสองวันดีกำลังเดินเตร็ดเตร่ให้แสงแดดเผาเล่น
“พี่เต๋า!” เสียงใสตะโกนเรียกออกไปอย่างนั้น อันที่จริงตอนที่คชาตัดสินใจเรียกชื่อเต๋าออกไปตัวคชาเองก็รู้สึกว่าสติมีไม่ถึง 100% ดี ก็ทั้งเต๋ากับคชายังไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมากมาย หลังจากเมื่อวานที่เขาไปนั่งพักในบ้านของคชา ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย
เต๋าหันหลังกลับมาทางต้นเสียงใส ก่อนจะรู้สึกดีใจไม่น้อยที่เห็นร่างเล็กภายใต้เสื้อฮู๊ดสีขาวของใครอีกคนกำลังวิ่งดุ๊กๆและหยุดลงตรงหน้าเขาในที่สุด
“จะไปไหนหรอ?”
“พี่ออกมาหาอะไรกิน แต่ไปร้านไหนเขาก็บอกว่าหมดแล้ว”
“บ่ายสามกว่าแล้วนะ เวลานี้ร้านปิดหมดแล้วหละ” คชาใช้ความคิดแล้วมองไปยังใบหน้าของเต๋าที่ท่าจะเหนื่อยจากการตามล่าหาของกินไม่น้อย
“อ่อๆ แต่มีอยู่ร้านนึง ร้านนี้ไม่เคยหมดแน่” คชากอดอกก่อนจะยกยิ้มให้เต๋า
-------------------------------------------------------------
“ลุงเทพ” เสียงใสของคชาร้องเรียกพ่อค้าที่กำลังเสิร์ฟอาหารให้กับลูกค้าในร้าน ทำให้ร่างท้วมของชายผิวสีเข้มหันหน้ามาทางเขาทั้งสองคน
“อ้าวคชา ว่าไงวันนี้จะกินอะไร” ชายที่คชาเรียกว่าลุงเทพเมื่อครู่หันไปทักทายร่างเล็กก่อนจะเดินกลับไปหน้าเตา จับตะหลิวเริ่มลงมือทำเมนูที่ได้รับออร์เดอร์มา
“ไม่กิน”
“อ้าว แล้วมาทำไม”
“โหหห ถ้าไม่กินข้าวมาไม่ได้หรือไงฮะ”
“มาได้ๆ แต่ถ้าจะมาหาแพรวาหนะ ไม่อยู่นะ ออกไปส่งข้าวแต่เดี๋ยวคงมา”
“ไม่ได้มาหาแพรซักหน่อย พาคนหิวมากินข้าวต่างหาก” คชาพูดก่อนที่จะมองไปทางเต๋าที่ยืนอยู่ข้างๆ ที่เรียกให้สายตาของลุงเทพมองตามไปยังคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างลูกค้าเจ้าประจำ
“แล้วนี่ใครหละเนี่ย ไม่คุ้นหน้า ”
“พี่เต๋าน้องพี่ตี๋ พึ่งย้ายมาอยู่ใหม่”
“หวัดดีครับลุง” เต๋ายกมือไหว้ลุงเทพ ในใจขบคิดถึงสิ่งที่ใครๆมักพูดกันว่าคนกรุงเทพไม่ค่อยสนิทกัน แต่นั่นดูเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้กับชาวซอยมีสุข 23 เท่าไหร่นัก เพราะตั้งแต่ที่เขาเข้ามาอยู่ที่นี่แค่วันสองวัน ก็รู้สึกเหมือนว่าจะรู้จักคนในละแวกบ้านเดียวกันมากกว่ารู้จักคนแถวคอนโดที่เคยอาศัยมามากว่าสองปีเสียด้วยซ้ำ
“เอ่อๆ หวัดดีๆ น้องไอ้ตี๋หรอกหรอ มาๆ อยากกินอะไรสั่งมาเลย เดี๋ยวลุงเทพโชว์ฝีมือให้ รับรองติดใจไม่ไปกินร้านอื่น”
“ที่ไม่ไปกินร้านอื่นเพราะร้านอื่นปิดต่างหาก” น้ำเสียงร่าเริงตรงข้ามกับสภาพอากาศของคชาเอ่ยแซวลุงเทพอย่างไม่นึกกลัว
“เดี๋ยวเถอะคชา” อีกฝ่ายเพียงแค่พูดกลับแล้วยกไม้ตะหลิวขึ้นมาทางคชาเท่านั้น แล้วหันไปสนใจเมนูอาหารในกระทะใบใหญ่ต่อ
“เอาข้าวผัดไก่ไข่ดาวใส่กล่องที่นึงครับลุง” เต๋าสั่งอาหารกับพ่อค้า ก่อนเสียงใสจากคนข้างกายจะร้องถาม
“อ้าว..ไม่กินนี่หรอ”
“ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวพี่เอาไปกินบ้าน ไม่อยากนั่งกินคนเดียว”
“ใครบอกจะให้กินคนเดียวหละ อุตส่าห์เดินมาด้วย” เต๋าได้แต่เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัยกับประโยคของคนตรงหน้า
“กินร้านนะ เดี๋ยวนั่งเป็นเพื่อน คชายังไม่อยากเข้าบ้าน” เสียงใสนั่นถูกปรับให้แปลกหูกว่าปกติ นี่ถ้าเต๋าได้ยินไม่ผิด คชากำลังอ้อนเขาอยู่ใช่ไหม?
“โอเคๆ ลุงครับงั้นเปลี่ยนเป็นกินนี่นะ”
“รู้แล้วๆ ได้ยินแล้ว พาพี่เขาไปหาที่นั่งไปคชา”
“คชา!!!” เสียงแหลมเล็กตะโกนร้องเรียกจากข้างหลัง ทำให้คชาต้องหันหลังขวับ เด็กผู้หญิงผมยาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคชาเดินเข้ามาในร้าน ก่อนที่จะหยุดยืนอยู่ข้างเพื่อนสนิท
“โหย แพร...เรียกซะดังเลยอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง”
“อ้าวหรอ? จริงดิ ดังหรอ ไม่รู้ตัว” คชาได้แต่ส่ายหัวให้กับนิสัยประจำของเพื่อนสนิท ก่อนที่อีกฝ่ายจะสะกิดที่แขนเล็ก เมื่อสังเกตเห็นร่างสูงขาวของเต๋า
“ใครอะคชา หล่อเชียว กิ๊กใหม่หรอ ทิ้งไอ้เบนแล้วหรือไง?”
“จะบ้าหรอ นี่พี่เต๋าน้องพี่ตี๋ พี่เขาพึ่งย้ายมาอยู่ใหม่” คชาโวยวายก่อนที่มือเล็กจะยื่นออกตีเบาๆที่แขนของแพรวา
“พี่เต๋านี่แพรวานะ เป็นลูกลุงเทพเจ้าของร้าน วันหลังถ้าหิว ไม่มีอะไรกินก็มาร้านนี้ได้นะ เปิดตลอดไม่มีหยุด” เต๋าพยักหน้าส่งยิ้มให้แพรวาและแพรวาก็ส่งยิ้มตอบกลับไม่ต่างกัน ก่อนที่แพรว่าจะดึงคชาไปหลังร้าน ทิ้งเต๋าให้ยืนนิ่งคิดสงสัย ‘เบน’ บุคคลนอกที่ถูกกล่าวขึ้นในบทสนทนาโดยที่เต๋าไม่รู้ว่าคือใคร แต่นั่นก็ทำให้ตะหงิดใจอยู่ไม่น้อย
“ยืนนิ่งแบบนั้นไม่เมื่อยหรือไง นั่งลงก็ได้นะ เก้าอี้ร้านนี้นั่งฟรี” คชาที่พึ่งเดินออกมาจากหลังร้านบอกกับเต๋าที่ยังคงยื่นนิ่งอยู่ ก่อนที่ตัวเองจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้หัวโล้น ตามมาด้วยอีกคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม
“แล้วคชาไม่หิวหรอ กินอะไรมายัง?”
“กินมาแล้วเมื่อเที่ยง แต่ตอนนี้เหมือนจะหิวอีกแล้วสิ” พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงการเดินจากต้นซอยมาเกือบสุดซอยที่ผลาญเอาพลังงานอาหารเช้าและเที่ยงไปเกือบหมด
“สั่งสิ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
“จริ งหรอ? เย่! โชคดีจัง วันนี้มีคนเลี้ยงข้าวทั้งวันเลย” ดวงตาคู่กลมเบิกกว้างขึ้นทันที ก่อนจะยิ้มอย่างดีอกดีใจ
“หือ..ว่าไงนะ?”
“ก็ตอนเที่ยงเบนก็เลี้ยง ตอนเย็นพี่เต๋าก็เลี้ยงอีก ลุงเทพ..เอาเหมือนเดิมน้า” คชาบอกเต๋าแล้วหันหน้าไปสั่งเมนูอาหารกับลุงเทพ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าประโยคที่ตัวเองพูดก่อนหน้านี้สร้างคำถามให้กับเต๋าอีกแล้ว เบนคือใคร ใครคือเบน เบนนี่มันเป็นใคร?
ไม่รู้ว่าด้วยความหิวหรือรสชาติของอาหารที่ถูกปากเกินราคาคุยของลุงเทพ ที่ทำให้เต๋าลงมือจัดการกับข้าวผัดไก่ไข่ดาวจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาที ตาคมมองไปอีกคนที่นั่งตรงข้ามแล้วอมยิ้มเล็กๆเมื่อเห็นร่างเล็กของคชากำลังเอามือลูบท้องป้อยๆ เป็นสัญญาณบอกว่าเด็กน้อยคนนี่อิ่มแล้ว
“ลุงครับคิดตังค์ด้วยครับ .. เท่าไหร่ครับลุง” เต๋าถามลุงเทพแล้วล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีด แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อล้วงไปเท่าไหร่ก็ไม่พบกระเป๋าตังค์ ... รับรู้ได้ถึงสัญญาณความซวยเบื้องหน้า เขาลืมเอากระเป๋าตังค์ออกมาด้วย
“ทั้งหมดก็ร้อยนึงพอดี” ลุงเทพตะโกนกลับมาแล้วหันไปสนใจการทำอาหารต่อ
“เอ่อ...” เต๋ายังคงก้มหน้าตบกระเป๋ากางเกงต่อไป ในใจก็หวังว่าจะเจอแบงก์เหน็บไว้บ้าง แต่เหมือนว่าคนที่นั่งตรงข้ามจะรู้ทันและอ่านเขาออก
“ลุงเทพนี่ฮะ” เต๋าหันหน้าไปหาเสียงใสที่ลุกขึ้นแล้วเดินไปยื่นธนบัตรใบสีแดงให้ลุงเทพเรียบร้อย
“ไปก่อนนะลุง เดี๋ยววันหลังมาใหม่ ฝากบ๊ายบายแพรวาด้วย” ร่างเล็กของคชาเดินนำออกมาจากร้าน ตามมาด้วยร่างสูงขาวของเต๋าที่เดินตามออกมาติดๆ
-------------------------------------------------------------
“พี่เต๋าลืมเอากระเป๋าตังค์ออกมาหรอ นอกจากจะขี้ตกใจแล้วยังขี้ลืมอีกหรอ ยังไม่แก่เลยนะ?” ร่างเล็กเอ่ยแซว แล้วยิ้มล้อเลียน ให้อีกคนระหว่างทางเดินกลับบ้าน มือเล็กจับฮู้ดที่อยู่ด้านหลังคอเสื้อมาคลุมศีรษะกลม
“นิดหน่อยนะ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณเรามากนะ ไว้ถึงบ้านแล้วพี่จะเอาคืนทันที....ทั้งๆที่ตั้งใจจะเลี้ยงเราแท้ๆแต่คชาก็ต้องมาจ่ายให้ซะงั้น”
“ไม่เป็นไรฮะ ยังไงพี่เต๋าก็ต้องจ่ายคืนคชาเหมือนเดิม คชาไม่ยอมเลี้ยงพี่เต๋าหรอก” คชาหัวเราะขึ้นทำให้อีกคนหัวเราะตามอย่างห้ามไม่ได้
“แล้วนี่คชาไปไหนมา” อันที่จริงเต๋าตั้งใจจะถามคำถามนี้ตั้งแต่เจอคชาที่กลางซอยแล้ว แต่อะไรหลายๆอย่างก็ทำให้ลืมไปสะอย่างนั้น
“ไม่บอก” เต๋าหันหน้าไปมองคชาอย่างงงๆ ก่อนที่จะเห็นอีกคนหัวเราะออกมาอีกครั้ง แล้วนั่นก็ทำให้เต๋ารู้ว่า เด็กนี่มันร้ายจริงๆ รอยยิ้มยียวนกวนอารมณ์กับเสียงหัวเราะร้ายกาจนั่นทำให้คำถามเกี่ยวกับบุคคลที่สามที่วิ่งวนอยู่ในความคิดถูกลืมไปชั่วขณะ
“ฮ่าๆ...ไปติวมาฮะ” เสียงใสหัวเราะขึ้นเมื่อเห็นอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของอีกคน
“อ่า คชาจะขึ้นมอหกแล้วนี่นะ” คชาหยักหน้ารับ
“แล้วจะสอบเข้าคณะอะไร”
“ยังไม่แน่ใจเลย” อันที่จริงคชาก็พอมีคณะในฝันอยู่บ้างแหละแต่ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ คชาก้มหน้าลงเล็กน้อย มือขวายกขวดน้ำอัดลมยี่ห้อดังฉลากสีแดงที่ซื้อติดมือมาจากร้านลุงเทพ แล้วยื่นมันไปตรงหน้าของคนที่เดินข้างกันมา
“กินไหม?”
อันที่จริงเต๋าไม่ชอบดื่มน้ำอัดลมเท่าไหร่ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้มือหนาของตัวเองยื่นไปรับขวดน้ำอัดลมที่คนตัวเล็กส่งมาให้ ไม่รู้ว่าเพราะอากาศมันร้อนจนทำให้เขาหิวน้ำ หรือเพราะรอยยิ้มน่ารักของคนชวน ที่ทำให้เขาปฏิเสธไม่ลง ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรยากาศที่เกิดขึ้นรอบตัวนี้คืออะไร ความรู้สึกประหลาดที่รู้สึกมันมาจากไหน สัมผัสได้แต่ความอบอุ่นบางอย่างที่เกิดขึ้นข้างใน คล้ายกับว่ามีบางสิ่งกำลังก่อตัว
-------------------------------------------------------------
“ดึกแล้ว..พรุ่งนี้แล้วกัน เห้ย! วันนี้แหละ...เอ่อ พรุ่งนี้ดีกว่า...เห้ย วันนี้ๆ...โอ่ย...พรุ่งนี้แล้วกัน” ร่างสูงของเต๋ายื่นบ่นพึมพำกับตัวเองอยู่ข้างริมรั้วบ้าน ตาคมก้มลงมองสิ่งของในมือสลับกับประตูไม้ของบ้านอีกหลัง ลังเลใจที่จะเรียกอีกฝ่ายอยู่หลายนาทีแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะหันหลังกลับเข้าบ้าน แต่ยังไม่ได้หันหลังดี ก็มีเสียงใสคุ้นเคยเรียกเอาไว้
“อ้าว พี่เต๋า มีอะไรหรือเปล่า?” คชากำลังเดินออกมาปิดประตูรั้ว แต่พึ่งออกมาจากประตูก็เห็นเต๋ายืนอยู่ชิดริมรั้วบ้านของอีกฝ่าย
“อ่อ พี่ว่าจะเอาเงินมาคืนคชา ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะ” ธนบัตรใบสีแดงถูกยื่นข้ามรั้วให้กับคชา
“เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องขอบคุณหลายครั้งขนาดนั้นก็ได้ งั้นคชาไปปิดบ้านก่อนนะ ง่วงนอนแล้ว” ร่างเล็กบอกยกมือปิดปากแล้วหาวฟอดใหญ่ ก่อนจะเดินไปล็อคประตู้รั้ว และหมุนตัวกลับเพื่อที่จะเดินเข้าบ้าน แต่เป็นเสียงของอีกคนที่ร้องเรียกไว้
“คชา” คชาหันหลังกลับมามองร่างสูงของเต๋าที่ยังคงยืนเกาหัวอยู่ริมรั้วอีกฝั่ง
“คือมีอีกอย่างนึง.... คือพี่เห็นเรากำลังจะสอบเข้ามหาลัย พอดีพี่เก็บห้องแล้วเจอหนังสือเล่มนึง คงเป็นของเฟรม น่าจะเหมาะกับคชา มีแนะนำคณะต่างๆ มีคำแนะนำในการเลือกคณะ มีแบบทดสอบว่าเราเหมาะกับคณะไหน พี่คิดว่าเฟรมคงไม่ได้อ่านแล้วเลยเอามาให้เรา” เต๋ายื่นหนังสือปกเขียวเล่มเล็กข้ามรั้วอีกฝั่งเพื่อส่งมันให้กับคชา มือเล็กยื่นไปรับหนังสืออย่างไม่รีรอ เปิดมันดูสองสามหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองร่างสูงที่ยืนอยู่อีกฝั่งของรั้วบ้าน
“ขอบคุณมากฮะ” เอ่ยขอบคุณ พร้อมแล้วส่งรอยยิ้มประจำตัวมาให้อีกคน ใช่..มันเป็นร้อยยิ้มประจำตัวแต่ทำไมครั้งนี้เต๋ารู้สึกว่ามันน่ารักกว่าเดิม 33 เท่า คชาจะรู้ไหมว่าตอนนี้อวัยวะในอกข้างซ้ายของเขามันกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะรอยยิ้มไร้เดียงสานั่น เจอผู้หญิงสวย ผู้หญิงน่ารักมาก็ใช่ว่าจะน้อย แต่ทำไมใจมันถึงมาเต้นแรงให้กับรอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กม.ปลายแบบนี้
“พี่เต๋าเป็นอะไรหรือเปล่า” เป็นคชาที่เรียกให้เต๋าหลุดออกมาจากความคิดของตัวเอง เมื่อร่างเล็กสังเกตว่าพี่เต๋าเอาแต่จ้องหน้าตน
“เปล่าๆ ดึกแล้วคชาเข้าบ้านนอนเถอะ”
“โอเค แต่คงยังไม่นอนเลย คิดไว้ว่าจะอ่านหนังสือที่พี่เต๋าให้มาก่อน ฝันดีนะฮะ” คชาสิ่งยิ้มประจำตัวให้อีกที ก่อนที่จะหันหลังเข้าบ้านไป เต๋ามองแผ่นหลังเล็กที่เดินเข้าไปในตัวบ้าน แสงไฟที่ดับลงในบ้านเลขที่ 23/3 เป็นสัญญาณให้เขาต้องเข้าบ้านตัวเองด้วยเหมือนกัน
แม้ไฟนีออนจะถูกดับลงไปแล้วแต่แววตาที่สะท้อนความมืดออกมาจากดวงตาคมยังคงไม่ได้ปิดลง ร่างสูงขาวนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงเดี่ยว คิดทบทวนเหตุการณ์สองวันที่เขาพึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ ก่อนจะต้องยิ้มขำออกมาให้กับตัวเอง เมื่อรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างที่ก่อตัวและกำลังเปลี่ยนแปลงไป ผ้าห่มสีขาวที่ร่นอยู่เอวถูกเลื่อนขึ้นมาคลุมตัว ก่อนจะพลิกกลายหันไปอีกฝั่งของบ้านแฝดด้านข้าง คิดถึงรอยยิ้มน่ารักของใครอีกคนที่ห้องนอนอยู่ตรงข้ามกันเพียงแค่ระเบียงกั้น ก่อนจะปิดเปลือกตาและจมสู่ห้วงนิทราในที่สุด
ดวงไฟที่ดับสนิทจากบ้านแฝดสีขาวสองหลัง มีเพียงโคมไฟหน้าบ้านเท่านั้นที่ยังคงให้แสงสว่างริบหรี่ ไม่มีใครล่วงรู้ความฝันของกันและกัน ไม่มีใครรู้ได้ว่าตื่นมาพรุ่งนี้ยังจะจำฝันในคืนนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
ความฝันในยามหลับใหลเป็นเพียงแค่ทางผ่านเพื่อให้ตื่นมาพบกับความจริงในวันต่อไปเท่านั้น
-------------------------------------------------------------
ความจริงมันโหดร้าย เลยต้องสร้างคชาโหมดไร้เดียงสาขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมจิตใจ(5555) คิดถึงความมุ้งมิ้งของคชาเหลือเกิน
ฝากด้วยนะจ้ะ :) ฟิคแฝดกับ @rainbobow http://writer.dek-d.com/bozang/story/view.php?id=894250
พยายามจะให้มันเป็นซีรีย์ แต่ตอนนี้แต่งแบบไม่มีพลอทอะไร -_-"
ไม่รู้มันจะไปได้สักกี่ตอน...ขนาดแนะนำเรื่องยังไม่รู้จะเขียนอะไร เอาเป็นว่ารอดูกันต่อไป *ย่อเข่า*
____ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน นิดนึงก็ยังดี____
ความคิดเห็น