ลำดับตอนที่ #1
ตั้งค่าการอ่าน
ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Pyramus & Thisbe
Pyramus & Thisbe
พีรามุสกับธิสบี
หนึ่งในเรื่องราวของความรักอันแสนเศร้าของตำนานกรีก
ก็คงจะเป็นเรื่องราวของพีรามุส* กับธิสบี
พีรามุสกับธิสบีนั้นมีบ้านอยู่ติดกัน แม้ห่างเป็นช่วงกำแพง
กางกั้น แต่ทว่าเหมือนอยู่ไกลกันสุดฟากฟ้า เนื่องจากบิดาของทั้งสอง
ต่างเกลียดชังกันและกันมาก ประเภทที่ว่าหากพบหน้าก็เป็นอันต้องมีเรื่อง
มีราวทุกครั้ง
ความเจ็บช้ำนั้นตกมาถึงผู้เป็นลูก ซึ่งทั้งสองต่างก็แอบมีใจต่อ
กันและกันหากต้องเก็บงำความรู้สึกนั้นไว้ในใจอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ถึง
ความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามว่าคิดอย่างไรกับตน
สาวน้อยธิสบีนั้นมักจะแอบมาทอดถอนใจรำพึงรำพันความใจ
เพียงผู้เดียวข้างกำแพงหนาสูงซึ่งกั้นนางและพีรามุสออกจากกัน ซึ่งพีรามุส
ก็ได้เฝ้ามองกำแพงด้วยความถวิลหาโฉมตรูธิสบีที่อยู่อีกฟาก เทวีอะโฟรไดที
(วีนัสในภาษาโรมัน)เทวีแห่งความรักและความงามเกิดเห็นใจในความรักของทั้ง
คู่จึงบัลดาลให้กำแพงนั้นเกิดรอยแยกออกเป็นช่อง พอที่จะให้สองหนุ่มสาวได้
พูดคุยพร่ำคำรักต่อกัน
เมื่อล่วงรู้ความในใจว่าอีกฝ่ายก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับตน ความรัก
ของทั้งสองก็เบ่งบานและแน่นแฟ้นขึ้นมาก และมักหลบบิดามารดามานั่ง
คุยกันเสมอ
“พีรามุส…ท่านอยู่หรือไม่” ธิสบีกระซิบที่รอยแตกของกำแพง
“หากอยู่แล้วไซร้ จงตอบมา”
เสียงของชายผู้เป็นที่รักของเธอตอบกลับมาด้วยเสียงกระซิบ
เช่นเดียวกัน “ข้าอยู่เสมอ ยอดรักของข้า”
“พีรามุสข้าอยากพบกับท่าน ข้าฝันถึงการเดินเคียงข้างท่านและ
สนทนา มิใช่เพียงส่งเสียงเจรจาผ่านกำแพงเยี่ยงนี้” สาวน้อยธิสบีเอ่ยด้วย
ความเศร้า
พีรามุสก็มีความปรารถนาเช่นเดียวกัน เขาตรึกตรองจนถี่ถ้วนแล้ว
ตอบธิสบีไป “อย่าเศร้าไปเลยดวงใจข้า วันพรุ่งยามรุ่งอุษา ดวงใจรักเราสอง
จักสมดั่งปรารถนา ณ.ที่นิทราชั่วนิรันดร์แห่งไมนัส”
พีรามุสและธิสบีก็ได้นัดพบกันที่หลุมศพของไมนัส ซึ่งอยู่ในป่าที่
ไร้ผู้ใดสัญจรผ่าน
ยามเช้าของวันต่อมา ธิสบีนั้นตื่นแต่เช้าและแต่งกายให้สวยงามที่สุด
และหยิบผ้าคลุมศรีษะโปร่งบางแสนสวยที่เธอมักใช้เวลาออกไปข้างนอกมาคลุม
จากนั้นก็เดินไปยังที่นัดหมายด้วยใจอันร่าเริง
ปรากฏว่าเธอได้ไปถึงที่นัดก่อนพีรามุส เธอจึงเดินเล่นชมความงาม
ของธรรมชาติยามเช้ารอชายคนรัก แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหยียบใบไม้
แห้งที่พื้นหนักๆดังขึ้นเบื้องหลัง เธอคิดว่าต้องคือพีรามุสเป็นแน่ จึงยิ้มละไม
และหันมา แต่เธอก็ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ เนื่องจากเจ้าของฝีเท้านั้นไม่ใช่ชาย
รูปงามอันเป็นที่รัก หากแต่เป็นสิงห์ตัวใหญ่ท่าทางดุร้าย ที่ปากอันเต็มไปด้วยเขี้ยว
ยาวแหลมคมมีโลหิตสดๆสีแดงฉานของเหยื่อที่มันเพิ่งจัดการมาหยดย้อยเป็นทางยาว
ธิสบีกลัวยิ่งนักจึงวิ่งหนีสุดฝีเท้าโดยไม่คิดชีวิต ส่วนเจ้าสิงห์ร้าย
นั้นวิ่งตามเธอไม่ทัน จึงหันมากัดทึ้งผ้าคลุมผมที่เธอทำตกไว้แทน เมื่อหาย
แค้น(หรือเบื่อก็ไม่รู้) มันจึงผละออกไป
ฝ่ายพีระมัสก็รีบร้อนออกจากบ้าน เนื่องจากเขาสายกว่าเวลานัด
และกลัวว่าธิสบีจะคอยนาน แต่เมื่อมาถึงสถานที่นัดหมายกลับไม่พบธิสบี
ชายหนุ่มจึงเดินไปรอบๆ เผื่อว่าธิสบีมาถึงก่อนและออกไปเดินเล่นรอตน
แต่สายตาของเขากลับเหลือบไปเห็นเศษผ้าขาดวิ่น จึงเดินไปดูด้วยความสงสัย
ก็ต้องตกตะลึง เมื่อจำได้ว่าเป็นผ้าคลุมที่ธิสบีใช้ประจำ และยิ่งไปกว่านั้นยังมี
คราบเลือดสดๆติดอยู่เต็ม!!! พีรามุสคิดว่าธิสบีคงกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ร้าย
ไปเสียแล้ว ก็เสียใจจนหมดสติไป
เมื่อฟื้นขึ้นมา ชายหนุ่มหวังเป็นอย่างยิ่งว่าที่เห็นนั้นเป็นเพียงฝันร้าย
และธิสบีก็จะมายืนข้างๆ และยิ้มให้เขา แต่ทว่าก็โกหกความจริง(ที่คิดเอาเอง)ไม่ได้
ผ้าเปื้อนเลือดนั้นยังคงอยู่อยู่ในมือของตน พีรามุสเสียใจจนไม่อาจหาคำใด
มาบรรยายได้ เขาหยิบมีดสั้นซึ่งพกไว้ป้องกันตัวขึ้นมา คมมีดคมกริบสีเงิน
สะท้อนกับแสงสีทองแห่งรถม้าของเทพอพอลโลอันอยู่บนท้องฟ้าเป็นประกาย
น่าหวั่น
“ธิสบียอดรัก แม้ร่างกายเจ้าจะไม่คงอยู่แล้ว แต่ความรักที่ข้ามีต่อ
เจ้าจะอยู่ต่อไปชั่วกาลปาวสาน เจ้าจะเดินทางล่วงหน้าเดียวดายไปไม่นาน ข้าจะ
รีบตามให้ทันกาลพานพบกัน”
สิ้นคำ พีรามุสก็จบชีวิตอันสวยงามและเยาว์วัยของตนลงด้วยความ
เข้าใจผิดอย่างมหันต์
ทางด้านสาวน้อยธิสบีหลังจากหนีไปไกลและคอยอยู่พักใหญ่ ก็คิด
ว่าเจ้าสัตว์ร้ายนั่นน่าจะไปแล้ว จึงย้อนกลับมาที่นัดพบ แต่ก็พบร่างไร้วิญญาณ
ของชายผู้เป็นที่รักนอนอยู่กับพื้น ที่ปากของเขามีผ้าคลุมของเธอซึ่งเปื้อนเลือด
จากปากสิงห์แนบไว้ หยาดน้ำตาที่แก้มของชายหนุ่มก็ยังไม่ทันที่จะเหือดแห้งไป
ธิสบีสติแทบไม่สมประดี วิ่งเข้าไปกอดและร้องรียกให้พีรามุสลืมตาขึ้น
แต่ก็ไร้ผลใดๆ เธอจึงหยิบมีดสั้นซึ่งพีรามุสใช้จบชีวิตตนเองขึ้นมา “ข้าแต่ทวยเทพ
เหตุใดท่านจึงเอาชีวิตของพีรามุสไปด้วยความเข้าใจผิดแห่งตน ชีวิตของเขาควรจะ
ยืนยาวกว่านี้มากนัก”
สาวน้อยชูมีดขึ้นและกล่าวทั้งน้ำตาอาบสองแก้มเปล่งปลั่งสีกุหลาบ
“มีดเล่มนี้ควรปกป้องชีวิตนาย เหตุใดจึงกลายเป็นยมทูตแห่งผู้ถือมันด้วยเล่า….
ในเมื่อเขาจบชีวิตลงเพราะคิดว่าข้าม้วยมรณา…เขาหาได้อยากมีชีวิตต่อหากขาดข้า
ข้าเองก็ไม่ขอบากหน้ามีชีวิตต่อไปหากขาดเขา หัวใจรักแห่งเราจะมั่นคงดั่งเก่า
แม้ว่าเป็นเพียงเงาแห่งวิญญา”
ธิสบีก็จบชีวิตของเธอตามชายที่เธอรักไป ร่างไร้วิญญาณของพีรามุส
และธิสบีนอนเคียงข้างกัน และพลันที่โลหิตของทั้งสองหยดลงพื้น ก็เกิดเป็นต้น
มัลเบอร์รี่สีม่วงและต้นมัลเบอร์รี่สีขาวเกิดขึ้นมาเคียงข้างกัน
..................................................................................................
*อ่านแบบละติน ถ้าออกเสียงแบบอังกฤษจะอ่านว่า”ไพเรมัส”
พีรามุสกับธิสบี
หนึ่งในเรื่องราวของความรักอันแสนเศร้าของตำนานกรีก
ก็คงจะเป็นเรื่องราวของพีรามุส* กับธิสบี
พีรามุสกับธิสบีนั้นมีบ้านอยู่ติดกัน แม้ห่างเป็นช่วงกำแพง
กางกั้น แต่ทว่าเหมือนอยู่ไกลกันสุดฟากฟ้า เนื่องจากบิดาของทั้งสอง
ต่างเกลียดชังกันและกันมาก ประเภทที่ว่าหากพบหน้าก็เป็นอันต้องมีเรื่อง
มีราวทุกครั้ง
ความเจ็บช้ำนั้นตกมาถึงผู้เป็นลูก ซึ่งทั้งสองต่างก็แอบมีใจต่อ
กันและกันหากต้องเก็บงำความรู้สึกนั้นไว้ในใจอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ถึง
ความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามว่าคิดอย่างไรกับตน
สาวน้อยธิสบีนั้นมักจะแอบมาทอดถอนใจรำพึงรำพันความใจ
เพียงผู้เดียวข้างกำแพงหนาสูงซึ่งกั้นนางและพีรามุสออกจากกัน ซึ่งพีรามุส
ก็ได้เฝ้ามองกำแพงด้วยความถวิลหาโฉมตรูธิสบีที่อยู่อีกฟาก เทวีอะโฟรไดที
(วีนัสในภาษาโรมัน)เทวีแห่งความรักและความงามเกิดเห็นใจในความรักของทั้ง
คู่จึงบัลดาลให้กำแพงนั้นเกิดรอยแยกออกเป็นช่อง พอที่จะให้สองหนุ่มสาวได้
พูดคุยพร่ำคำรักต่อกัน
เมื่อล่วงรู้ความในใจว่าอีกฝ่ายก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับตน ความรัก
ของทั้งสองก็เบ่งบานและแน่นแฟ้นขึ้นมาก และมักหลบบิดามารดามานั่ง
คุยกันเสมอ
“พีรามุส…ท่านอยู่หรือไม่” ธิสบีกระซิบที่รอยแตกของกำแพง
“หากอยู่แล้วไซร้ จงตอบมา”
เสียงของชายผู้เป็นที่รักของเธอตอบกลับมาด้วยเสียงกระซิบ
เช่นเดียวกัน “ข้าอยู่เสมอ ยอดรักของข้า”
“พีรามุสข้าอยากพบกับท่าน ข้าฝันถึงการเดินเคียงข้างท่านและ
สนทนา มิใช่เพียงส่งเสียงเจรจาผ่านกำแพงเยี่ยงนี้” สาวน้อยธิสบีเอ่ยด้วย
ความเศร้า
พีรามุสก็มีความปรารถนาเช่นเดียวกัน เขาตรึกตรองจนถี่ถ้วนแล้ว
ตอบธิสบีไป “อย่าเศร้าไปเลยดวงใจข้า วันพรุ่งยามรุ่งอุษา ดวงใจรักเราสอง
จักสมดั่งปรารถนา ณ.ที่นิทราชั่วนิรันดร์แห่งไมนัส”
พีรามุสและธิสบีก็ได้นัดพบกันที่หลุมศพของไมนัส ซึ่งอยู่ในป่าที่
ไร้ผู้ใดสัญจรผ่าน
ยามเช้าของวันต่อมา ธิสบีนั้นตื่นแต่เช้าและแต่งกายให้สวยงามที่สุด
และหยิบผ้าคลุมศรีษะโปร่งบางแสนสวยที่เธอมักใช้เวลาออกไปข้างนอกมาคลุม
จากนั้นก็เดินไปยังที่นัดหมายด้วยใจอันร่าเริง
ปรากฏว่าเธอได้ไปถึงที่นัดก่อนพีรามุส เธอจึงเดินเล่นชมความงาม
ของธรรมชาติยามเช้ารอชายคนรัก แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหยียบใบไม้
แห้งที่พื้นหนักๆดังขึ้นเบื้องหลัง เธอคิดว่าต้องคือพีรามุสเป็นแน่ จึงยิ้มละไม
และหันมา แต่เธอก็ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ เนื่องจากเจ้าของฝีเท้านั้นไม่ใช่ชาย
รูปงามอันเป็นที่รัก หากแต่เป็นสิงห์ตัวใหญ่ท่าทางดุร้าย ที่ปากอันเต็มไปด้วยเขี้ยว
ยาวแหลมคมมีโลหิตสดๆสีแดงฉานของเหยื่อที่มันเพิ่งจัดการมาหยดย้อยเป็นทางยาว
ธิสบีกลัวยิ่งนักจึงวิ่งหนีสุดฝีเท้าโดยไม่คิดชีวิต ส่วนเจ้าสิงห์ร้าย
นั้นวิ่งตามเธอไม่ทัน จึงหันมากัดทึ้งผ้าคลุมผมที่เธอทำตกไว้แทน เมื่อหาย
แค้น(หรือเบื่อก็ไม่รู้) มันจึงผละออกไป
ฝ่ายพีระมัสก็รีบร้อนออกจากบ้าน เนื่องจากเขาสายกว่าเวลานัด
และกลัวว่าธิสบีจะคอยนาน แต่เมื่อมาถึงสถานที่นัดหมายกลับไม่พบธิสบี
ชายหนุ่มจึงเดินไปรอบๆ เผื่อว่าธิสบีมาถึงก่อนและออกไปเดินเล่นรอตน
แต่สายตาของเขากลับเหลือบไปเห็นเศษผ้าขาดวิ่น จึงเดินไปดูด้วยความสงสัย
ก็ต้องตกตะลึง เมื่อจำได้ว่าเป็นผ้าคลุมที่ธิสบีใช้ประจำ และยิ่งไปกว่านั้นยังมี
คราบเลือดสดๆติดอยู่เต็ม!!! พีรามุสคิดว่าธิสบีคงกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ร้าย
ไปเสียแล้ว ก็เสียใจจนหมดสติไป
เมื่อฟื้นขึ้นมา ชายหนุ่มหวังเป็นอย่างยิ่งว่าที่เห็นนั้นเป็นเพียงฝันร้าย
และธิสบีก็จะมายืนข้างๆ และยิ้มให้เขา แต่ทว่าก็โกหกความจริง(ที่คิดเอาเอง)ไม่ได้
ผ้าเปื้อนเลือดนั้นยังคงอยู่อยู่ในมือของตน พีรามุสเสียใจจนไม่อาจหาคำใด
มาบรรยายได้ เขาหยิบมีดสั้นซึ่งพกไว้ป้องกันตัวขึ้นมา คมมีดคมกริบสีเงิน
สะท้อนกับแสงสีทองแห่งรถม้าของเทพอพอลโลอันอยู่บนท้องฟ้าเป็นประกาย
น่าหวั่น
“ธิสบียอดรัก แม้ร่างกายเจ้าจะไม่คงอยู่แล้ว แต่ความรักที่ข้ามีต่อ
เจ้าจะอยู่ต่อไปชั่วกาลปาวสาน เจ้าจะเดินทางล่วงหน้าเดียวดายไปไม่นาน ข้าจะ
รีบตามให้ทันกาลพานพบกัน”
สิ้นคำ พีรามุสก็จบชีวิตอันสวยงามและเยาว์วัยของตนลงด้วยความ
เข้าใจผิดอย่างมหันต์
ทางด้านสาวน้อยธิสบีหลังจากหนีไปไกลและคอยอยู่พักใหญ่ ก็คิด
ว่าเจ้าสัตว์ร้ายนั่นน่าจะไปแล้ว จึงย้อนกลับมาที่นัดพบ แต่ก็พบร่างไร้วิญญาณ
ของชายผู้เป็นที่รักนอนอยู่กับพื้น ที่ปากของเขามีผ้าคลุมของเธอซึ่งเปื้อนเลือด
จากปากสิงห์แนบไว้ หยาดน้ำตาที่แก้มของชายหนุ่มก็ยังไม่ทันที่จะเหือดแห้งไป
ธิสบีสติแทบไม่สมประดี วิ่งเข้าไปกอดและร้องรียกให้พีรามุสลืมตาขึ้น
แต่ก็ไร้ผลใดๆ เธอจึงหยิบมีดสั้นซึ่งพีรามุสใช้จบชีวิตตนเองขึ้นมา “ข้าแต่ทวยเทพ
เหตุใดท่านจึงเอาชีวิตของพีรามุสไปด้วยความเข้าใจผิดแห่งตน ชีวิตของเขาควรจะ
ยืนยาวกว่านี้มากนัก”
สาวน้อยชูมีดขึ้นและกล่าวทั้งน้ำตาอาบสองแก้มเปล่งปลั่งสีกุหลาบ
“มีดเล่มนี้ควรปกป้องชีวิตนาย เหตุใดจึงกลายเป็นยมทูตแห่งผู้ถือมันด้วยเล่า….
ในเมื่อเขาจบชีวิตลงเพราะคิดว่าข้าม้วยมรณา…เขาหาได้อยากมีชีวิตต่อหากขาดข้า
ข้าเองก็ไม่ขอบากหน้ามีชีวิตต่อไปหากขาดเขา หัวใจรักแห่งเราจะมั่นคงดั่งเก่า
แม้ว่าเป็นเพียงเงาแห่งวิญญา”
ธิสบีก็จบชีวิตของเธอตามชายที่เธอรักไป ร่างไร้วิญญาณของพีรามุส
และธิสบีนอนเคียงข้างกัน และพลันที่โลหิตของทั้งสองหยดลงพื้น ก็เกิดเป็นต้น
มัลเบอร์รี่สีม่วงและต้นมัลเบอร์รี่สีขาวเกิดขึ้นมาเคียงข้างกัน
..................................................................................................
*อ่านแบบละติน ถ้าออกเสียงแบบอังกฤษจะอ่านว่า”ไพเรมัส”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
กำลังโหลด...
ความคิดเห็น