NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    • ฟอนต์ THSarabunNew
    • ฟอนต์ Sarabun
    • ฟอนต์ Mali
    • ฟอนต์ Trirong
    • ฟอนต์ Maitree
    • ฟอนต์ Taviraj
    • ฟอนต์ Kodchasan
    • ฟอนต์ ChakraPetch
[Fanfic Ratatatat74] GRANDER¡

ลำดับตอนที่ #1 : Ch.1 | Drive. |

  • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 68


คำเตือน

นิยายเรื่องนี้มีการใช้ภาษาที่รุนเเรง มีคำพูดดูถูก เเละการบรรยายเรื่องไม่เหมาะสม

 


1

"ทำไมถึงได้มาสมัครเป็นคนขับเเท็กซี่ล่ะหึ? เเถมลงเวลากะกลางคืน" เขาถามผม ผมจึงตอบ "ผมนอนไม่ค่อยหลับตอนกลางคืน" ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมคือคนที่มาสัมภาษณ์เเละทำเรื่องติดต่อในการสมัครเป็นคนขับรถเเท็กซี่ เขาสูบบุหรี่ไปพร่างพร้อมกับพลิกหน้าเอกสารอันมากมายบนโต๊ะที่วางของไม่เป็นระเบียบ เขามองหน้าผม กำลังตัดสินผมว่าสมควรรึไม่ บางทีเข้าอาจไล่ผม

"ไปดูหนังโป๊ก่อนนอนสิ" 

"ผมทำเเล้ว" ผมยิ้มเล็กน้อย เเต่เขาดูจะไม่มีอารมณ์ที่ดีนัก

"ตอนนี้ทำอะไรอยู่ล่ะ" เขาถามอีกครั้ง ผมทำได้เเค่ตอบ "นั่งรถไปเรื่อยเปื่อย รถประจำทาง รถไฟใต้ติน...บางครั้งก็เห็นคนต่อยกัน เอ้อ...ผมชอบมองพวกทิวทัศน์ตามทาง...เลยคิดว่าหาเงินไปด้วยดีกว่า" ผมเอามือกุมไปข้างหลัง ส่วนเขาก็เอาเเต่ดูกระดาษโน๊ตจนผมคิดว่าเขาน่าจะไม่สนใจคำพูดของผมจริงๆด้วยซ้ำ

"ทำงานทางตอนเหนือตอนกลางคืนได้มั้ย?" ผมเคยไปที่นั้นครั้งนึง ตอนเหนือนั้นเป็นเเหล่งรวมกิจการด้านความบันเทิง เช่นโรงหนัง พวกบาร์ขายเหล้ามีบริการโต๊ะสนุกเกอร์ให้เล่นกัน พวกนักพนักก็มีคาสิโนให้บริการลองรับการพนันทุกรูปเเบบทั้งไพ่,ลูเล็ท,สล็อต เเละของดีประจำตอนเหนือคือผับ

"ผมทำได้ทุกเวลาทุกสถานที่" ผมตอบ

"วันหยุดล่ะ" "ทุกเวลา ทุกสถานที่"

เขาได้ยินผมพูดอย่างนี้น เขาก็จดเขียนลงบนกระดาษโน๊ต

"ประวัติการขับรถเป็นยังไง" มีเเต่คำถาม

"ใสสะอาดเหมือนสติสัมปชัญญะของผม" ผมเล่นมุขตลก เเต่มันก็เป็นเพียงมุขตลกผืดๆที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากหัวเราะออกมา ผมยิ้มเล็กน้อยเเต่เขาไม่ยิ้มเเละดูไม่พอใจด้วยซ้ำ

"นายจะทำรถฉันพังไหมนี่ พวกเเบบนายชอบทำรถพังอยู่เรื่อย ถ้านายมาที่นี่เพื่อที่จะทำรถฉันพังล่ะก็ไสหัวออกไปเลยซ่ะ ก่อนที่ฉันได้ฆ่านายก่อนที่นายจะได้ขับรถฉันเสียอีก" เขาดูโมโหอย่างมาก เขาคงผ่านเรื่องเเบบนี้มาบ่อยจนหงุดหงิด

"ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ" รอยยิ้มผมหายไปในทันที 

"สุขภาพล่ะ?" "ไม่มีปัญหา"

"อายุ?" "26 ปี"

"การศึกษา?" "เอ้อ..."

ผมเจอคำถามนี้ก็นิ่งเงียบไปสักพัก

"เคยเข้าเรียน เเละก็ออก...เข้านู่นเเละออกนี่ นั้นเเหละครับ" ผมเรียนหนังสือไม่จบ

"งั้นหรอ...ฉันเข้าใจได้ ฉันเองก็เรียนไม่จบ" เขาตอบผม เเต่ครั้งนี้มันดูเหมือนว่าเข้าจะไม่ได้เย็นชาเหมือนกับบทสนทนาที่เขาพูดผ่านมา เขาคิดว่าผมคงเหมือนกับเขาที่อยู่ในเมืองนี้เเละเรียนไม่จบ อาจจะเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นไม่จบด้วยซ้ำ

ซึ่งความจริงเเล้ว นอกจากคนใหญ่คนโต ผู้มีอำนาจทางการเงินเท่านั้นเเหละที่มีสิทธิ์เรียนจนจบปริญญา ผมคิดว่าทุกคนในเมืองนี้ที่เป็นพวกคนล่างๆธรรมดาที่เดินอยู่บนตามทางเท้าที่เห็นได้ทั่วไป คงไม่มีโอกาสได้เรียนด้วยซ้ำ เเค่อ่านออกเขียนได้คงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานเเล้วล่ะ

"เอาหละ นายต้องการงานพิเศษหรือเป็นพวกค้างคาวใช่ไหม?" เขาถามผมอีกครั้ง สีหน้าท่าทางเขาดูไม่เย็นชาเท่าครั้งที่เเล้ว เขามองหน้าผมเหมือนกับว่าเขาอยากได้รับคำตอบที่เขาคาดหวัง 

"ผมเพียงอยากทำงานให้ดึกๆหน่อย พวกค้างคาว...ใช่ ประมาณพวกค้างคาว" ผมตอบ

ผมหวังว่าคำตอบของผมนั้นคือสิ่งเขาคาดหวัง เเละเป็นคำตอบกับคำถามสุดท้ายที่เขาจะได้ถามผม ผมหวังอย่างนั้น

เขานิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนหยิบกระดาษเเผ่นบางๆหนึ่งเเผ่นยื่นมาที่ผม ด้วยจิตสำนึกและปัญญาของผม ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าเขานั้นต้องการให้ผมทำอะไร

"กรอกใบสมัครพวกนี้ เเล้วพรุ่งนี้เเวะมาถามเเล้วกัน" ผมได้งาน อาจจะไม่ใช่วันนี้เเต่พรุ่งนี้ผมได้งานขับรถเเท็กซี่ ที่เหลือคือสวดภาวนาขอให้ผมอยู่รอดจนถึงวันพรุ่งนี้

ผมรับใบสมัครที่เขายื่นให้ผม เเละเดินไปจากโต๊ะทำงานของเขาอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เขาวุ่นอยู่กับเอกสารงานของเขา ส่วนผมนั้นก็ไปหาที่เงียบๆเพื่อที่จะได้กรอกข้อมูลใบสมัคร ผมเขียนด้วยปากกาสีน้ำเงินที่เป็นรูปแบบมาตรฐาน ขูดเขียนลงบนกระดาษเป็นเสียงดังเบาๆ ผมได้ยินเสียงที่ลูกเหล็กขีดเขียนเเละเสียงลมหายใจของตัวเอง

เเต่เสียงรอบนอกที่อยู่รอบตัวของผมนั้นผมกลับไม่ได้ยิน หรือบางทีผมอาจจะเมินเฉย ผมเห็นรถเเท็กซี่หลายคันจอดสนิทเรียงกันเป็นเเถวในโรงเก็บรถ ส่วนมากคงเป็นรถที่เช่ามาขับเเละมาจอดส่งคืนเจ้าของหรือไม่ก็เตรียมรถให้กะรอบต่อไป 

ผมเขียนใบสมัครเสร็จ วางมันไว้ที่ตะเเกรงเอกสาร ผมหมดธุระกับที่นี่เเล้ว มือผมซุกไว้ที่กระเป๋าเสื้อเเจ็คเก็ตสีเขียวมะกอกทั้งสองข้าง เป็นตัวโปรดของผมเลยล่ะ ผมมองไปรอบๆ รู้สึกได้ที่นี่มันดูมีชีวิตมากกว่าข้างนอกเสียอีก ยังไงดีล่ะ คือพวกเขาดูกระฉับกระเฉงกับสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ พวกเขามีงาน มีหน้าที่ มีสิ่งต้องทำ ไม่เหมือนกับคนข้างนอก

ผมเดินออกไปสู่ภายนอก รับเเสงอุ่นๆตอนเจ็ดโมงเช้าของวัน

ผมจะบรรยายให้ฟังว่าทำไมผมถึงคิดว่าข้างในโรงเก็บรถนั้นมันถึงดูมีชีวิตมากกว่าข้างนอกเสียอีก เเค่เดินมาไม่กี่ก้าวก็จะได้เห็นพวกขี้เมานอนเรียงรายอยู่บนข้างถนน นอนในตรอกมืดๆที่คนเขาไม่ค่อยเดินผ่านกันเพราะพวกเขารู้ว่าคนที่เดินผ่านก็มีเเค่พวกขี้เมาหรือไม่ก็พวกคนไร้บ้านที่ไม่มีปัญญาจะหาเงินใช้ด้วยซ้ำ 

ถัดไปก็จะเห็นพวกผู้หญิงที่เเต่งตัววาบหวิว โชว์เนื้อหนังผิวกายของพวกหล่อนไปบางส่วน เเค่ดูจากการเเต่งตัวผมก็รู้ได้เลยว่า พวกหล่อนนั้นเป็นโสเภณีหรือให้หยาบๆก็พวกกระหรี่ที่ทำงานใช้ร่างกายเพื่อเเลกเงิน โดยมีพวกเเมงดาเป็นนายหน้าของพวกหล่อน นี่เป็นเวลาช่วงเช้าเเค่ผมเดินผมก็เห็นพวกหล่อนมาก็สิบกว่าคนเเบบไม่ซ้ำหน้าเเล้วถ้าเป็นตอนกลาวคืนคงมากว่านี้สักสามเท่า วิธีการทำงานของโสเภนีเเบบทั่วๆไป คือให้เงินเเละหลังจากนั้นสิบห้านาทีจะทำอะไรก็ได้ยกเว้นการทำร้ายร่างกาย คงเพราะพวกยารักษานั้นมันเเพงมากเลยล่ะสำหรับการรักษาบาดเเผลทางร่างกาย

เเต่เคยได้ยินน่ะว่าถ้ามีคนจ่ายเงินมากพอก็สามารถทำอะไรก็ได้กับพวกหล่อนเเบบจริงๆ เเบบว่าเข้าขั้นเรียกได้ว่าทารุณกรรมเลยล่ะ ตอนเเรกที่ได้ยินเรื่องเเบบนี้ผมเคยคิดน่ะ ว่าคนเรานั้นจะโหดร้ายได้ขนาดนั้นเลยงั้นหรอ เเต่พอมาคิดทบทวนในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงน่ะ คนเรามันโหดร้ายอยู่เเล้วนิ เพียงเเค่คนที่มีอำนาจกว่าเท่านั้นที่สามารถเเสดงมันออกมาได้ก็เท่านั้น

เเก็งนักเลงเดินวอนไปทั่ว มีทั้งอเมริกันสไตล์ เม็คซิโกจอมบ้าเถื่อนหัวรุนเเรง ไอ้พวกดำที่จิตใจมันก็เหมือนดำพอกับสีผิวของพวกมัน จีนไอ้บ้าเงินเเละวงค์ตระกูล ไอ้พวกนี้มันเดินเฉิดฉายได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวตำรวจหรือกฎหมาย เดี๋ยวสิ ผมพูดตำรวจใช่มั้ย โทษทีผมลืมไปว่าเมืองนี้มันไม่มีตำรวจเเล้วล่ะ ถึงเมืองนี้มันมีตำรวจเเต่หน้าที่มันไม่ได้เอาไว้จับผู้ร้ายหรอก พวกมันมีไว้เพื่อสอดส่องชีวิตความเป็นอยู่เเละส่งข้อมูลไปยังคนที่จ่ายเงินสินบนให้พวกมันหนักที่สุด ส่วนกฏหมายใครมีเงินมากกว่าก็รอดพ้น ต่อให้พวกมันฆ่าคนไปสิบมันก็ไม่เคยรับโทษหรือติดคุกหรอก 

พวกมันยังคงเดินเตร่ไปตามทางเท้าเสื่อมโทรมของเมือง มีคดีอาชญากรรมเกิดขึ้นทุกวัน ทั้งฆาตกรรม ปล้นจี้ร้านค้าเเละคนเดินถนน วิ่งราว ทำลายทรัพย์สิน ขนาดฆ่าข่มขืนยังเคยออกข่าวหน้าหนังสือพิมพ์มาเเล้ว ผมคิดว่ามันยังมีเยอะกว่าที่ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ด้วยซ้ำ ผมคิดอย่างนั้น เชื่ออย่างนั้น เเต่ก็ทำได้เเค่อยู่เฉยๆ ทำตัวว่าพวกมันเป็นเรื่องปกติทำทีว่าทั้งหมดคือสิ่งธรรมดาที่พบได้ทั่วไปเเละที่ตลกก็คือ มันก็กลายเป็นจริงอย่างนั้นไปเสียเเล้ว

"เฮ้ย! เดินดูทางบ้างสิว่ะ" ชายคนนึงตะโกนใส่ผม เขาคิดว่าผมนั้นไม่เดินดูทางเเละคิดเรื่อยเปื่อยจนไปชนเขา เเต่คิดว่าไม่น่ะ เขานั้นเเหละน่าจะมาชนผมมากกว่า คงรู้สึกหัวเสียล่ะมั้งที่ไม่พบกระเป๋าตังค์ให้ขโมย 

"โทษที" ผมกล่าวตอบ ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความผิดของผม เเต่ถ้าผมตอบอย่างอื่นประมาณว่า แกก็หัดดูทางบ้างสิไอ้กร๊วก ผมคงอาจโดนเขาต่อยหน้า ทำร้ายร่างกายผม หรือที่เลวร้ายผมคงไม่มีชีวิตจนถึงวันพรุ่งนี้ คำตอบสุดท้ายของผมคือได้พูดเเต่คำว่า ขอโทษ

เขานิ่งเงียบมองหน้าผม สีหน้าเขาโกรธเหมือนกับว่าผมเคยไปอึ๊บเมียเขาหรือไม่ก็ไปทำอะไรให้โกรธมาจากชาติเเล้ว ผมมองหน้าเขากลับ โชคดีที่เขาคลายความโกรธลงระดับนึงเเละเดินจากไปโดยไม่มีเรื่องทะเลาะอะไรต่อ ผมดีใจน่ะที่มันจบลงเเบบนี้ เเต่สิ่งที่ผมไม่ชอบใจเลยคือทำไมผมต้องมาหยุดอยู่ตรงจุดที่เห็นโลโก้บ้านี้เด่นที่ชัดเหลือเกิน

"บริษัทเฟิร์ส" ไอ้เวรตัวใหญ่เป๋งของเมือง

ไอ้ดำนี้โคตรไอ้ดำที่ชั่วช้าที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จักมา เจ้าพ่อผู้ที่ครอบครองเมืองไปเเล้วกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนเหลือก็ปล่อยให้พวกปลาตัวเล็กเอาไปกินกัน อิทธิพลส่วนใหญ่ก็มาจากฝีมือไอ้ชั่วนั้นเเหละ ของราคาขึ้นทุกๆปีก็คงเพราะไอ้หมอนั่นปั่นราคาสิ่งของเครื่องใช้ อาหารการกิน ยารักษา ค่าน้ำมัน ผมคิดว่าสิ่งเดียวที่ราคามันไม่เเพงขึ้นคือพวกอาวุธปืนกับยาเสพติด

ผมเห็นเเทบทุกคนพกติดตัวไว้ตลอด มีซ่อนเก็บไว้บ้าง ใต้เสื้อเเจ๊คเเก็ต กระเป๋ากางเกง หรือไม่ก็ขากางเกง คงมีเพียงเเค่ผมเท่านั้นเเหละที่ยังไม่คิดซื้อปืนมาติดตัว ส่วนยาเสพติดนั้นเนื่องจากผลิตได้ทุกวีวันเเถมไม่มีตำรวจหรือฮีโร่มาคอยไล่จับพวกผลิต ผมคิดว่าราคาของมันคงน่าจะพอๆกับอาหารมื้อนึงเเล้วล่ะ

"เฮ้อ..." 

ข้างนอกบัดซบ เมืองบัดซบ

 


2

กริ๊ก... กริ๊ก... กริ๊ก...

ผมไขประตูห้องของผม ใช้กุญแจเหล็กไขลูกบิดประตูที่ล็อคอย่างสนิทไปสามครั้ง มันก็เก่าเเล้วล่ะทำให้การไขที่ล็อคมันติดขัดไปเสียหน่อย เเต่สุดท้ายมันก็เปิด ประตูร้องเสียงดัง เอี๊ยด ในขณะทีผมใช้มือซ้ายพลัดกประตูไปข้างหน้าเบาๆ

ขอต้อนรับสู่บ้านของผม ผมเรียกอย่างนั้นน่ะ ถึงเเม่ว่าในห้องนี้มันอาจจะไม่ได้หรูหราอลังการ ผนังห้องมีสีที่ลอกออกมาบ้างจนเห็นก้อนอิฐที่เรียงเป็นชั้นๆเป็นจุดบนห้อง มีห้องน้ำ อ่างล้างหน้า ฝักบัวใช้อาบน้ำ มีราวตากผ้าในบ้าน เตาไฟเเบบใช้เเก๊ส ตู้เย็นเล็กๆเอาไว้เก็บอาหาร เตียงนอนสีน้ำตาลเล็กๆเอาไว้ใช้ซุกหัวนอนกับนั่งเล่น เเละก็ทีวีเก่าๆเพื่อเอาไว้ดูข่าวสารหรือไม่ก็หนังเก่าๆยามว่าง ผมเดินเข้ามาในบ้าน ปิดประตูที่อยู่ด้านหลังของผมให้สนิท ถอดเสื้อเเจ็ตเก็ตสีเขียวมะกอกตัวโปรดเอาไปเเขวนที่ราวเสื้อ เหลือไว้เเต่เสื้อกล้ามสีขาวเเละกางเกงยีนขายาวสีน้ำเงินเข้ม ผมตรงปรี่ไปที่ตู้เย็น หยิบของบ้างอย่างออกมา

เครื่องดื่มเย็นๆ เบียร์เย็นฉ่ำในมือของผม เปิดฝากระป๋องขึ้น เสียง ฟู่ ของฟองเบียร์เเตกเป็นหย่อมๆ ไอเย็นที่อยู่บนผิวนอกกระป๋องเบียร์สัมผัสอากาศจนเกิดเป็นไอน้ำเกาะติดข้างๆ ทำมือผมเปียกเล็กน้อย ผมยกกระดกขึ้นดื่มไปหนึ่งอึกใหญ่พร้อมนั่งลงบนเตียง ขว้ารีโมทเปิดโทรทัศน์ดูว่าวันนี้มีข่าวเช้าอะไรมั้ย 

"สวัสดีค่ะชาวเมืองทุกท่าน ขอต้อนรับสู่ข่าวเช้าประจำวันที่ 10 พฤษภาคม เริ่มจากข่าวเเรกน่ะคะ ทางตำรวจรายงานว่าปีนี้เหตุอาชญากรรมนั้นลดลงจากปีที่เเล้วเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณ..." ผมรีบเปลี่ยนช่องทีวีในทันที เปลี่ยนเป็นช่องเพลงเก่าเปิดให้ฟังทั้งวัน ผมไม่อยากฟังประโยคต่อไปที่สาวผมเงินจะพูดต่อไปให้คนที่ดูทีวีนับล้านชีวิตจะได้ยิน เชื่อผมเลยประโยคต่อไปที่ผมจะพูดคือสิ่งเดียวที่หล่อนจะพูด เฟิร์ส คุณเฟิร์สดีอย่างนี้ คุณเฟิร์สช่วยให้เมืองเจริญขึ้น ผมเชื่อเลยว่าไอ้ดำนั้นมันไม่เคยเเตะพื้นถนนจริงๆของสมัยนี้เลยด้วยซ้ำ มันคงยืนมองพวกชาวเมืองที่เขาควบคุมอยู่ด้านล่างจากห้องพักใหญ่ๆของเขา เรียบหรู มีทุกอย่าง พร้อมกับจิบไวท์เเดงชั้นเลิศเเละมีสาวๆมาบริการไม่ขาดสาย

ชาวเมืองมันจะเป็นยังไงเขาก็ไม่สนหรอก เขาสนมันเพียงเเค่ว่า ชาวเมืองที่อยู่ใต้อาณัติเขาจะทำเงินหรืออำนาจให้เขาเท่าไหร่เพียงเเค่นั้นเเหละ ไม่งั้นคนนอนข้างถนนมันคงมีน้อยกว่านี้ถ้า ไอ้เฟิร์สมันสนใจเมืองจริงล่ะนะ

"เฮ้อ..." ผมถอนหายใจออกสั้นๆ โชคดีที่ผมเป็นคนเก็บอารมณ์ได้ดีบวกกับเครื่องดื่มเย็นๆกระป๋องนี้ ความโกรธของผมเลยไม่ได้ปะทุออกมา ไม่งั้นผมอาจพลั้งมือทำร้ายข้าวของทิ้งไปอย่างสิ้นเปลือง ผมวางเบียร์ลงไว้ข้างใต้เตียงพร้อมกับที่ผมนอนลง ปล่อยให้ร่างกายได้ผ่อนคลายกับชีวิตเมืองอันบัดซบ "ทำไมไม่มีฮีโร่มากำราบพวกชั่วนี้สักที" ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ผมจำได้ว่าเมืองนี้เมื่อสิงห้าปีก่อนนั้นยังเคยมีฮีโร่อยู่คอยปกป้องเมืองไปพร้อมกับตำรวจดีๆ ถึงเเม้ว่าในตอนนั้นจะมีฮีโร่ที่ออกปฎิบัติหน้าที่เเค่คนเดียวก็เถอะ เป็นฮีโร่ใช้น้ำเเข็งปราบปรามพวกชั่ว ถ้าจำไม่ผิดชื่อเกี่ยวกับโกสต์ๆนี้เเหละ 

"โกสต์... โกสต์...อะไรว่ะ" ผมคิดชื่อฮีโร่คนนั้นไม่ออก ความทรงจำมันลืมเลือนไปเเล้วเหมือนกับทุกคนที่ลืมความทรงจำวัยเด็กไปทีล่ะน้อย ผมเองก็เป็นเหมือนกันนั้นเเหละ สิ่งที่ผมจำได้ตอนเด็กๆเเบบชัดเจน ก็เป็นในช่วงที่เมืองถูกยึดโดยเหล่าวายร้ายติดปืนชั้นล่าง เป็นเเค่ลูกน้องของตัวร้ายที่ใหญ่กว่า มีอำนาจกว่า พวกมันต้อนบังคับให้ชาวเมืองออกมาจากด้านนอกร่วมตัวกัน ทำกับพวกเราเป็นชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเหมือนตอนที่เยอรมันบุกยึดโปเเลนด์ในปี 1939 เเต่เพียงครั้งนี้เราไม่ใช่ชาวยิว เราเป็นประชาชนที่อยู่อาศัยในเมืองนี้อย่างสุจริตชน ถูกต้อนให้ออกมาเพื่อให้รู้ว่าเราอยู่ใต้อาณัติใคร หรือง่ายๆคือใครเป็นเจ้าเมืองปกครองคนใหม่

"พวกฮีโร่จะมาช่วยพวกเรามั้ยฮ่ะ?" "เเน่นอนจ๊ะ..." ผมถามกับเเม่ตัวเองในขณะที่กำมือของผมเเละเเม่กับพ่อไว้เเน่นสนิท ด้วยความกลัวเเละความเป็นเด็ก ผมได้ได้เเค่สั่นไหวเเละภาวนาหวังไว้ว่าให้เรื่องเลวร้ายเเบบนี้มันจบลง เเบบว่าพวกผู้ร้ายถูกฮีโร่หาญกล้าบินเข้ามาใช้กำลังเเก้ปัญหา ต่อยพวกเขาให้สลบเเละจับยัดเข้าคุกตาราง ผมหวังไว้อย่างนั้น ผมภาวนาเลยล่ะ

"โธ่เว้ย...พวกฮีโร่หายไปไหนกันน่ะ!" ผมได้ยินชายคนนึงตะโกนดังๆในกลุ่ม ผมคิดว่าในตอนนั้นเขาเเค่อาจจะตื่นตระหนกไปหน่อย พวกฮีโร่อาจมาช้านิดหน่อยเเต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็มาอยู่ดี

"หยุดพอเเค่นั้นเเหละ!" "!!" เสียงที่หาญกล้าดังขึ้น มันเป็นเสียงของผู้หญิง "เสียงนั้น...! โกสต์กับเเกรนเดอร์! ในที่สุดเหล่าฮีโร่ก็กลับมาเเล้ว!" เสียงผู้คนร้องตะโกนดีใจ ผมเองก็คิดเช่นนั้นเเต่ไม่นาน มันก็เงียบลงอย่างทันท่วงที พวกเราหวังว่ามันคือฮีโร่ที่มาช่วยพวกจากกลุ่มตัวร้าย ปลดเอกพวกเราให้เป็นอิสระชน เเต่ว่ามันไม่ใช่เลย ไม่ไกลเคียงเลยด้วยซ้ำ

"การต่อต้านที่ไร้ความหมาย ความหวังที่เเสนไร้ค่า สิ่งเหล่านั้นล้วนไร้ประโยชน์ ในโลกใหม่เเห่งนี้! เมืองนี้เป็นของท่านเฟิร์สเเละเพื่อท่านเฟิร์สเท่านั้น ทั้งจากนี้เเละตลอดไป" นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดหวังไว้เลยสักนิด ฮีโร่...อยู่ฝ่ายตัวร้ายเนี่ยน่ะ มันคือเรื่องตลกอะไรกัน มันมีด้วยหรอที่อยู่ๆวันนึงฮีโร่หายไปกันหมดเเล้วพอกลับมาอีกที่พวกเขาการเป็นตัวร้าย พวกเขาคงถูกสะกดจิตให้รับใช้ตัวร้ายอย่างไม่เต็มใจ เเต่พอมาลองคิดดูอีกที...ทำไมเทคโนโลยีเเบบนั้นต้องอยู่ในมือคนร้ายด้วย ถ้ามีเทคโนโลยีนั้นจริงทำไมไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนเมืองหรือเปลี่ยนแปลงตัวร้ายให้เป็นคนดี 

สายตาสีฟ้าสว่างของพวกนางทั้งสองมองพวกเราไม่ต่างจากเครื่องมือเเล้วล่ะ ความคิดที่พวกเราเป็นประชาชนที่สมควรได้รับการปกป้องก็เเปรเปลี่ยนว่าพวกเราไม่ใช่ประชาชนของพวกเขา พวกเราในสายตาคงเป็นเพียงเเค่สัตว์ที่เชื่อฟังเเละตอบรับความต้องการของผู้มีอำนาจสูงสุดเพียงเเค่นั้น

"พระเจ้าโปรดช่วยพวกเราเเละเมืองพวกเราด้วย" ผมได้ยินพ่อสวดภาวนาเบาๆ เเต่มันก็ไร้ประโยชน์ "ความหวัง ความยุติธรรม เเละสัญลักษณ์เเห่งเเสงสว่าง ได้กลายมาเป็นทาสเเละ****ส่วนตัวของฉันเเล้ว" เฟิร์สบอกพวกเราขณะที่มันกำลังลวนลามเเกรนเดอร์เเละโกสตรา ทั้งสองตอบรับอย่างโดยดีทำตามที่ไอ้หมอนั้นพูด สั่งการ หรือสนองตัณหาของตัวเองโดยไม่ปริปากขัดขืน "ตอนนี้หวังว่าพวกคุณจะเชื้อฟังนายท่านจองพวกเราเเต่โดยดีได้เเล้วน่ะ"

ผมรู้เเล้ว อายุของผมคือสิบเอ็ดปี รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณที่มันกำลังตัดสินสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า มันกำลังประมวลเป็นความคิด ความรู้สึกเเละคำพูด ผมอยากตะโกนไปดังสุดเสียงเเต่ก็คงทำไม่ได้ เพราะถ้าทำผมอาจจะตายไปพร้อมกับพ่อเเละเเม่ของผม ผมเลยเก็บไปพูดไว้ในใจ ผมจะพูดคำพูดเดียวที่มันสามารถบ่งบอกเเละตัดสินฮีโร่หญิงทั้งสองที่กำลังบริการเจ้านายของหล่อนหยั่งกะโสเภณี! ไอ้พวกชั่วที่ถือปืนปิดรอบประชาชนที่พร้อมจะลั่นไกได้ทุกเมื่อ! เเละไอ้ดำที่อยู่จุดสูงสุดของความชั่วร้ายที่ถือกำเนิดมา! เเค่คำเดียว ใช่ เเค่คำเดียว! ผมบอกได้เลยว่าไอ้พวกนี้เเม่ง...

"เหี้ย!!"

ผมตื่นขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก เมื่อกี้ผมกำลังนอนหลับฝันอยู่ใช่มั้ย? มันอาจจะไม่ใช่ฝันที่ดีมากนักเเต่มันก็ทำให้ผมนอนหลับลงได้ สิ่งที่ผมเห็นในฝันนั้นมันเสมือนจริงเเต่ก็รับรู้ได้ว่ามันมีบางส่วนที่ถูกเติมเเต่งไปกับการเวลาที่ผ่านไป มันเกินจริง เเต่ก็ต้องยอมรับว่าฝันนั้นมีส่วนของความจริงเเม้ว่าจะถูกเติมเเต่งจินตนาการเข้าไป "ฝันห่วยเเตก" ผมคิดเช่นนั้น เเต่จะว่าไป "พอมาลองนึกดู... ผู้ประกาศข่าวสาวผมสีเงินในโทรทัศน์ช่วงเช้านั้น หน้าตาเหมือนผู้หญิงฮีโร่ในความฝัน... เรื่องบังเอิญมันน่ากลัวจริง" ผมก็กล่าวกับตัวเองพร้อมกับหยิบเครื่องดื่มขึ้นมาดื่ม

"เอื้อก!" รสชาติไม่ได้เรื่อง ผมเกือบบวนคายมันทิ้งออกจากปากให้มันไปเลอะที่ผ้าปูเตียงที่นอน เบียร์มันเสียรสชาติความอร่อยของตัวมันไปเสียเเล้ว นี่ผมหลับไปนานขนาดจนเบียร์ที่เย็นฉ่ำในตอนนี้เป็นน้ำเปล่ารสชาติห่วยๆ กระเดือกดื่มไม่ลงหรอกของเเบบนี้มันต้องทิ้ง ผมเทมันทิ้งลงใส่อ่างล้างหน้า เทมันหมดทุกหยด ผมเสียดายก็จริงเเต่จะยอมให้ฝืนกระเดือกมันลงก็ช่างใจร้ายกับตัวเองไปเสีย

"เที่ยงวัน นอนหลับไปเเค่สามชั่วโมงงั้นหรอเนี่ย" ผมหันไปมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะข้างๆหัวเตียงนอนเเละหนังสือการ์ตูนคอมมิคเก่าๆ มันบอกเวลาผมว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงสามสิบเจ็ดนาที ตอนนี้ผมเข้าใจเเล้วว่าผมกลับมาที่ห้องทำไม ผมกลับมาเอากระเป๋าตังที่ลืมไว้ที่บ้านเมื่อเช้าไปซื้ออาหารเช้ากิน เเต่ดูเหมือนตอนนี้ผมต้องกินอาหารเที่ยงควบไปเป็นอาหารเช้าด้วย ผมสาบานต่อพระเจ้าว่านอกจากผมจะนอนไม่ค่อยหลับจะไม่เป็นคนที่ลืมทานอาหารไม่ตรงต่อเวลา

ผมปิดโทรทัศน์ด้วยรีโมท ไปหยิบกระเป๋าตังค์ที่วางไว้บนโต๊ะที่ติดกับหน้าต่าง เดินไปสวมใส่เเจ็กเก็ตสีมะกอกตัวโปรด หันหลังกลับดูว่าผมไม่ลืมอะไรอีกเเล้วไว้ด้านหลัง เมื่อเเน่ใจก็เดินออกไป ผมมีเเผนว่าจะไม่กลับมาห้องเร็วๆนี้ ผมคิดว่า...ผมจะเดินไปเรื่อยบนทางเท้าหรือไม่ก็ขึ้นรถโดยสาร เดินทางไปเรื่อยจนกว่าจะค่ำหรือไม่ก็จนกว่าตนเองจะพอใจ

 


3

"เอานี้กุญแจรถของฉัน เเละกฎสำคัญเลย" เขามองหน้าผมเเละชี้ไปที่ผม "อย่าทำรถฉันพัง ขอล่ะ! อย่าทำรถฉันพัง" ใบหน้าของเขาจริงจังมาก จริงจังสุดๆเลย

"ผมไม่ทำรถคุณพังหรอก คุณสเตดเเมน... ผมไม่เอารถคุณไปขายต่อด้วยซ้ำ" คนที่ผมคุยด้วยคือคุณ สเตดเเมน เขาคือคนที่สัมภาษณ์เเละเป็นคนทำเรื่องติดต่อในการสมัครให้ผมเป็นคนขับรถเเท็กซี่ เขาเป็นหนุ่มใหญ่ ส่วมใส่เเเว่นตาดำ ดูเก๋เเละเข้ากับเขาดี ผมพยายามเล่มมุขตลกเเล้วน่ะ เเต่ผมกับมุขตลกมันไม่เคยเข้ากันเลยสักนิด เขาไม่หัวเราะไม่พอ เขายังหน้านิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก

"เอ้อ..."

บันทึกประจำวันที่ 15 เดือนสิงหาคม เป็นเวลาสามเดือนเเล้วที่ผมทำงานเป็นคนขับรถเเท็กซี่กะกลางคืน ผมเข้างานตอนหกโมงเย็นหรือไม่บางวันก็ห้าโมงเย็น เป็นเวลาหกหรือเจ็ดวันต่อสัปดาห์ ทำเงินได้ครั้งละสามร้อยเหรียญ(ดอลลาร์)ถึงสามร้อยห้าสิบเหรียญ(ดอลลาร์)ต่อสัปดาห์ เเละมากกว่านั้นอีกถ้าผมปัดมิตเตอร์ขึ้นหรือเขียนราคาเองเลย 

เปิดเพลงเเจ๊สเเละวิทยุฟังไปพร้อมขับรถเเท็กซี่ ตระเวนไปทั่วเมือง ผมคุ้นชินกับบรรยากาศการขับรถยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยเเสงไฟรถยนต์ที่ส่องมาจากตัวรถหรือไม่ก็สะท้อนกระทบจากเเอ่งน้ำบนถนน พวกป้ายนีออนส่องเเสงสีของร้านค้าร้านอาหารที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง เเละพวกเเสงไฟจราจร เห็นพวกผู้คนพลุกพล่านไปทั่วทางเดินเท้ายามค่ำคืนเรียกใช้บริการเเท็กซี่อย่างไม่ขาดสาย ผมปรับตัวการทำงานได้ดีเลยล่ะ คงเพราะผมเดินไปทั่วทางเดินเท้าที่ผมคิดว่าเดินไปได้ตลอดชั่วเวลาที่ผ่านมา ทางตอนเหนือนั้นคือเเหล่งหาเงินชั้นเยี่ยมเลยล่ะ มีลูกค้ามาใช้บริการมากมายเเถมจ่ายราคางามเสียซ่ะด้วย ก็น่ะ...ตอนเหนือเป็นเป็นเเหล่งบันเทิงชั้นเยี่ยมของเมือง ทำให้พวกมีเงินเเละอันจะกินไปคลุกเคล้ากันสถานบันเทิงกันเยอะ ถ้าว่ามันหาเงินดีขนาดไหนล่ะก็ เเถวรถเเท็กซี่ต่อยาวเลยล่ะ 

อ๋อ... เมื่อช่วงบ่ายของวันฝนตกลงมาเเบบไม่มีพยากรณ์ล่วงหน้า มันเป็นเรื่องดีน่ะ ที่ในที่สุดพวกถนนกับทางเดินข้างถนนก็ถูกชำระล้าง เก็บกวาดพวกขยะให้ไหลลงท่อระบาย ให้ทางเดินมันจะได้สะอาดเสียที ถ้าจะรอให้คนมาทำความสะอาดขยะพวกนี้คงได้รอจนเเก่เฒ่าไปถึงชาติหน้าเลย 

"เธอมีอายชาโดว์ มาสคารา เอ้อ...ลิปสติก เเละก็รูท" "ไม่ใช่รูท เขาเรียกว่าบลัชออน" 

"ไอ้ที่เขามีเเปลงปัดมาให้น่ะ?" "เอ่อใช่ เขาเรียกมันว่าบลัชออน!"

ผมเดินเข้ามาในร้านขายอาหารกลางคืน เดินเข้าไปผลักประตูผมก็ได้ยินเสียงพวกเขาที่พูดกันอย่างสนุกสนานตั้งเเต่ที่ได้เหยียบเข้ามาในร้าน เเลกเปลี่ยนกันไปมา พวกเขาเป็นรุ่นพี่ขับรถเเท็กซี่ มีประสบการณ์การขับรถเเละประสบการณ์ชีวิตพอๆกัน คนที่ถามเรื่องบลัชออนนั้นเป็นเขาชื่อว่า เอ็ดดี้ เขาเป็นคนที่อายุเยอะเเล้ว จุดเด่นของเขาคือประสบการณ์การขับรถ เห็นเขาบอกว่าทำงานขับรถเเท็กซี่กะกลางคืนมาสิบเจ็ดปีเเล้ว สิ่งที่โดดเด่นของเอ็ดดี้อีกอย่างคือ เขาเป็นคนหัวโล้นเหลือผมที่บริเวณรอบข้างๆ

ส่วนคนที่ตอบคำถามของเอ็ดดี้ให้ถูกต้องนั้น เขามีชื่อว่า มาร์ตี้ ใส่เสื้อลายสก๊อต ถึงอายุนั้นน่าจะพอๆกับเอ็ดดี้ก็ตามเเต่สิ่งที่เขาเเตกต่างเลยก็คือ เขาไม่หัวล้าน

"กาเเฟดำถ้วยนึง" ผมสั่งกาเเฟดำเเละไปนั่งร่วมกับพวกเขา นั่งฟังเรื่องราวที่เขาได้เจอในการทำงานขับรถเเท็กซี่

"เอ่อเเล้วรู้มั้ยตอนที่ฉันอยู่ไปเเถวกลางสะพานทอมเบอร์โร ลูกค้าผู้หญิงคนนี้งามจริงน่ะ เธอ...เธอเปลี่ยนถุงเท้าด้วย" เอ็ดดี้ผู้มีประสบการณ์เริ่มเล่าเรื่องน่าตื่นเต้นของเขา ผมเองก็รู้สึกสนใจเรื่องที่เขาเจอน่ะ "จริงง่ะ?!" มาร์ตี้ถามด้วยความสงสัย

"ใช่" เอ็ดดี้ตอบ

"เเล้วนายทำไง?"

"ฉัน...ฉันก็ หยุดรถน่ะสิ! เเละกระโดดไปเบาะหลังทันที เเล้วก็ขว้าถุงเท้าขึ้นมาถามว่า เธอรู้มั้ยว่านี้มันคืออะไร เธอก็ตอบว่า ความรักไง ฉันก็เลยลุยซ่ะเลย" เอ็ดดี้เล่าเรื่องราวด้วยความตื่นเต้น

"ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ!"

"เเล้วเธอก็สนุกด้วย ชมใหญ่ว่ามีความสุขที่สุดในชีวิตเลยน่ะ เเละเธอก็ให้ทิปตั้งสองร้อยเหรียญ(ดอลลาร์)"

"ขนาดนั้นเชียว?" มาร์ตี้ดูตะลึงเล็กน้อย

สองร้อยเหรียญ(ดอลลาร์) มันคือทิปที่มากพอกับการทำงานเกือบทั้งสัปดาห์ของผมเลยล่ะ มากสุดของผมก็เเค่ร้อยเหรียญเอง "เเล้วก็เบอร์โทรศัพท์ของหล่อน" ดูเหมือนว่าเรื่องราวสุดตื่นเต้นของเอ็ดดี้จะจบลงเเล้ว ผมจิบกาแฟดำไปหนึ่งอึก ก่อนที่พวกเขาจะหันมาสนใจผม

"ไงโรเบิร์ต" เอ็ดดี้เป็นคนเริ่มทักทายผมก่อนเป็นคนเเรกเลย "รู้จักคนขายยาชาเรย์ทีมั้ย?" ดูเหมือนเขาจะเเค่เเนะนำคนรู้จักของเอ็ดดี้ให้ผมรู้เฉยๆ ชาเรย์ทีนั้นเป็นคนผิวดำที่เรียกได้ว่าเป็นคนผิวดำดีๆที่ผมได้รู้จักมาเลยล่ะ ในตอนเเรกเขาอาจดูเคร่งครึมจดโน้ตทุกครั้งที่ผมได้เจอเขา น่าเสียดายที่อาชีพเขานั้นเป็นคนขายยา เเต่สังคมเมืองบัดซบเเบบนี้ เพื่อมีเงินใช้เขาต้องเลือกเส้นทางนี้เเละผมเชื่อว่าหลายคงเลือกเส้นทางนี้ เหมือนกับมาร์ตี้ที่รับยาจากชาเรย์ทีมาขายต่ออีกทอดนึง

"นายไปทั่วเมืองเเล้วสิ" มาร์ตี้เขาถามผมด้วยความเป็นมิตร ผมเลยตอบกลับเขาด้วยความเป็นมิตรเช่นกัน "ใช่ ผมไปทั่วเมืองมาเเล้ว" เเต่เขาก็ถามผมอีก "นายมีเรื่องเล่าอะไรตอนที่ขับรถส่งลูกค้าบ้างมั้ย" ผมนิ่งเงียบไปสักพัก คิดอยู่ว่าจะเอาเรื่องอะไรมาเล่าดี จะเล่าเรื่องระบายอารมณ์ หรือเอาเน้นเป็นเรื่องเล่าตลก หรือเรื่องน่าตื่นเต้นเเบบเอ็ดดี้ที่พึงเล่าไปเมื้อกี้ดี สุดท้ายผมเลือกที่จะเล่าการได้ทิปหนึ่งร้อยเหรียญ(ดอลลาร์)ให้ฟัง

"ตอนที่ผมรับลูกค้าผู้โดยสารทั้งสองที่ตอนเหนือของเมือง เป็นผู้โดยสารผู้ชายใส่สูทผูกไทอย่างดิบดี ส่วนผู้หญิงก็...ผมยาวสีดำม่วงสลวยดูดีเหมือนจะเป็นผู้หญิงบริการของเขา ตอนเเรกก็...ขับรถไปได้ด้วยดี สักพักนึง ผู้หญิงดันร้องลั่นรถเลย"

"โอ้เกิดอะไรขึ้น" เอ็ดดี้เริ่มสนใจ

"พวกเขามีเซ็กซ์บนเบาะหลังกันตลอดเส้นทางเลยให้ตายสิ เป็นผมได้ฟังหนังสดไปตลอดทางการขับรถเลย ผู้หญิงก็เอาเเต่ร้องเสียว ส่วนผู้โดยสารชายก็กระทุ้งไม่หยุด ทำเอาซ่ะเเทบไม่มีสมาธิการขับรถ ดีน่ะที่พวกเขาจ่ายทิปให้หนึ่งร้อย เหรียญ(ดอลลาร์)เเละไม่ต้องทอนเงิน เเละไอ้ทิปนั้นก็ต้องเอาไปใช้ล้างเบาะรถ"

"ทำไมนายไม่จอดรถเเละเข้าร่วมเบาะหลังด้วยเลยล่ะ" เอ็ดดี้เป็นคนเป็นเปิดมุขตลกให้มาร์ตี้หัวเราะ "ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่!" ส่วนผมก็หัวเราะเล็กน้อยไม่ได้เเสดงสีหน้ามาก "นั้นสิน่ะทำไมผมคิดไม่ได้กัน" ผมตอบก่อนที่จะดื่มกาเเฟดำอีกครั้งนึง เเต่ต่อมาผมก็คิดได้ว่า ควรเล่าอีกเรื่องนึง

"ตอนที่ขับรถหาลูกค้าอยู่ ผมก็ได้ยินข่าวจากวิทยุมันเป็นข่าวไม่ดี... ไม่ดีเลยล่ะ คนขับเเท็กซี่ถูกฆาตกรรม" จากนั้นพวกเขาก็เริ่มทำสีหน้าจริงจัง "ปล้นงั้นหรอ?" มาร์ตี้ถามผม "เปล่า เป็นพวกโรคจิตคนนึงน่ะ ที่ถนนสายหนึ่งสองสอง(122)" ผมกล่าวอีกครั้งนึง เเละเอ็ดดี้ผู้มีประสบการณ์ก็พูดต่อ "เขตพวกคนเมา พวกเมาขี้เรื้อน" จากนั้นมาร์ตี้ก็ถามผมต่อ "ถ้านายเจอพวกลูกค้าโฉดๆ นายจะรับมือไงว่ะ?" ผมตอบไปว่า "อ๋อ รับมือได้สิ" เเต่เขาก็ถามผมอีก "นายมีปืนหรอ?" ผมก็ตอบไปว่า "ไม่"

เอ็ดดี้เเละมาร์ตี้เงียบไปสักพัก เเละต่อมามาร์ตี้เป็นคนเริ่มพูดต่อ "นายต้องการปืนสักกระบอกมั้ยพวก?" เขาถามผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผมตอบว่า "ไม่" เช่นเคย "เพื่อน มีสักกระบอกมันก็ไม่เสียหายอะไรน่ะ" เอ็ดดี้พูดเสริม เขาคงน่าจะรู้ดีว่าเมืองนี้มันป่าเถื่อนขนาดไหน เขาเองคงน่าจะพกปืนสักกระยอกติดตัวไว้เเต่ผมไม่รู้ว่าเขาเก็บซ่อนไว้ตรงไหน "ถ้าหากนายต้องการ ฉันรู้จักคนๆนึง ราคาของก็ไม่เเพงน่ะ" มาร์ตี้เสนอตัวเป็นตัวกลางการขาย ผมไม่ได้สนใจมากหรอก "ผมเป็นพวกรักสงบ ผมคงไม่น่าได้ใช้หรอก" 

"ฉันเองก็ไม่เคยใช้ของฉันเลย เเต่มีไว้ก็ดี เอาขู่น่ะ" มาร์ตี้กล่าว "ฉันเห็นด้วยกับมาร์ตี้น่ะ การซื้อปืนติดตัวสักกระบอกมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เสียหายอะไร อีกอย่างสังคมเเบบนี้ ดีไม่ดี พรุ่งนี้ใครสักคนนึงที่นั่งอยู่ในนี้อาจเป็นศพในคืนถัดไป" ผมนิ่งเงียบไปสักพักนึง เเละคิด "ผมจะเอาเก็บไปคิดดู"

"เอาหละ...ฉันว่าฉันจะไปดูรถก่อน" มาร์ตี้ลุกออกจากที่นั่ง ออกไปจากร้านขายอาหารกลางคืน เขาคงออกไปทำงานเเล้วล่ะ ทำงานขับเเท็กซี่เเละก็ทำงานส่งยาด้วยไปในตัว ในตอนเเรกเขาจะชวนผมเอาของเขาไปขายเเละเเบ่งเงินกันครึ่ง เเต่ก็ปฏิเสธไป เเละดูเหมือนชาเรย์ทีจะพูดขึ้นบ้างเเล้ว

"มีใครให้ฉันยืมเงินยี่สิบเหรียญ(ดอลลาร์)ได้บ้างมั้ย?"

บันทึกที่ 16 เดือนสิงหาคม ผมลองกลับไปคิดทบทวนสิ่งที่เอ็ดดี้กับมาร์ตี้พูดเมื่อคืน ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมก็ไม่ได้เจอพวกลูกค้าโฉดที่คิดจะจ้องทำร้ายคนขับเเท็กซี่อย่างผม ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องซื้อปืนสักกระบอกเอาไว้ติดตัว เเค่เจรจากันดีๆหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกนักเลงอยู่ข้างถนนผมก็คิดว่าผมก็ปลอดภัยดี เเต่ว่า...พอลองมองด้านนอกจากกระจกรถเเล้ว ก็เห็นเเต่ความเสื่อมโทรม มันอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าสังคมเมืองบัดซบเเบบนี้เนี่ยน่ะที่ผมไม่ต้องใช้ปืนจริงๆ? ผมอาจเป็นพวกขี้ป๊อดที่กล้าจะจับปืนมาใช้ ผมหวังเสมอว่าจะมีฮีโร่คนนึงมาเปลี่ยนแปลงให้เมืองดีมันดีขึ้น หรือไม่ก็เหมือนกับเมื่อวานที่ตอนฝนตก 

วันนี้ก็เป็นเหมือนกับวันปกติ พวกขี้เมา ขี้ยา เเมงดา โสเภณี นักเลงข้างถนน เเละพวกโรคจิตวิตถาร เดินว่อนไปตามทางเท้าของเมืองสกปรก ถ้าผมมองผ่านๆ ผมเเทบเเยกไม่ออกเลยระหว่างขยะที่อยู่ริมทางกับพวกเขา ในสายตาผมพวกเขาก็ไม่ต่างจากสิ่งๆนั้นจริงๆนั้นเเหละ เป็นตัวตนที่มีเพื่อทำให้เรื่องมันสกปรกไปก็เท่านั้น เเละบังเอิญว่ามันไม่มีใครมานั่งเก็บขยะพวกนี้ทิ้ง มันเลยพอกพูนจนเต็มเมืองไปหมดเเถบเเยกคนดีๆไม่ได้เลย ผมเลยคิดว่ามันควรมีฝนตกมาอีกรอบมาเก็บกวาดพวกนี้ทิ้งลงคลองหรือไม่ก็ท่อน้ำเสีย ผมคิดอย่างนั้นน่ะ เเต่สุดท้ายผมก็...ไม่ได้ทำอะไรอยู่ดี

"หยุดไม่ต้องขยับ นั้นเเหละ อย่าเเตะกับมิเตอร์สิ! ผมบอกว่าอย่าไง" ผมดันรับลูกค้าเเปลกคนนึง ในตอนเเรกผมก็คิดว่าเขาเเต่งตัวดูดีใส่สูทสีดำ คิดจะเอาเงินจากชายคนนี้ให้เยอะหน่อยเเบบว่าขึ้นราคามิเตอร์นิดหน่อย เเต่ก็รู้ทันตั้งเเต่ที่นั่งเข้ามาในเบาะหลังรถ "นายคิดว่าเมืองนี้มันเป็นยังไง?" เขาถามผม "ผมว่า...มันก็อยู่ได้" เขานิ่งเงียบ

"เเค่อยู่ได้งั้นหรอ?" เขาถามอีกเเล้ว จะให้ผมตอบยังไงล่ะ? ตอบตามความคิดของผมงั้นหรอ เมืองบัดซบจริงไปนั้นเเหละ ไม่ที่ไหนบนโลกบัดซบที่มีไอ้มืดเฟิร์สปกครองอยู่เเล้วล่ะ "ผมขอเปลี่ยนคำตอบได้มั้ย?" เขาดูสนใจน่ะ ผมมองเขาจากกระจกรถ "ลองตอบมาสิ" ผมเลยตอบเข้าไปสั้นๆ "บัดซบ" นั้นเเหละคือคำตอบที่เเท้จริงสำหรับเมืองนี้ 

"นายคิดไม่ต่างจากฉันเลยน่ะ คุณคนขับรถเเท็กซี่" เขาพูดชมผม "ใครก็รู้ว่าเมืองนี้มันบัดซบเเค่ไหน มีพวกนักเลงเดินว่อนไปทั่ว ไหนจะพวกผิดกฎที่ไม่ถูกจับอีก เมืองนี้มันเเย่เกินเยียวยาเเล้วล่ะ" ผมพูด เเละเขาก็พยักหน้าตอบ "เพราะเเบบนี้มันต้องมีคนทำอะไรสักอย่าง" เขาพูดเเละก็พูดอีก "ตอนเเรกก็เหมือนกับคุณนั้นเเหละที่มองข้ามปัญหาเเละใช้ชีวิตต่อไป เเต่เผอิญว่าผมดันมีเงินเเละงานเลยอยู่สูงกว่าคนอื่น เเต่รู้อะไรมั้ย? ยิ่งอยู่สูงเราก็ยิ่งตกลงมาเจ็บเท่านั้น ฉันที่เคยมีทุกอย่างก็หายวับไปกับตาเพียงเพราะไอ้ผู้หญิงเวรสองตัวนั้นมันถล่มสำนักงานฉันจนไม่เหลือซากเเละพวกมันก็อ้างสิทธิว่าพวกมันเป็นเจ้าของที่ดิน เฉกหัวฉันออกจากที่ดินเเละบ้านของฉัน" 

"ว่าเเต่... คุณจะไปไหนครับคุณลูกค้า"

"ทางตอนเหนือ" ผมคงไม่รู้สึกเเปลกใจเเล้วล่ะที่เขายังถังเเตกอยู่ 

ผมขับรถไปทางเหนือ ขับไปอย่างเงียบๆ ลูกค้าคนนี้ไม่พูดคุยอะไรเลยตลอดเส้นทางจนมาถึงทางตอนเหนือ ผมจอดอยู่หน้าทางเข้าร้านคาสิโน ผมยิ่งไม่เเปลกใจมากกว่าเดิมอีกถ้าเขายังถังเเตก "ค่ารถเท่าไหร่?" เขาถามผม "ห้าสิบเหรียญ(ดอลลาร์)" เเต่กลับยืนถุงสีน้ำตาลมาให้ เงินปลอมงั้นหรอ? "คุณลูกค้า ผมไม่รับเงินปลอมน่ะ" เเต่เขาก็ตอบมาทันควันเลยล่ะ "มันไม่ใช่เงินปลอม ลองเอาไปส่องไฟดูหรือไม่ก็เอาตรวจกับเครื่องนับเงินที่ธนาคารดูล่ะกัน ในถุงนั้นมีอยู่หมื่นเหรียญ(ดอลลาร์)ได้มั้ง ไม่รู้สิ ฉันจับเงินยัดใส่ถุงไม่ได้นับด้วยซ้ำ เเต่เชื่อฉันเถอะเก็บเงินนั้นเเละไม่ต้องเอาไปให้ธนาคารเห็น เดียวนายได้ถูกยึดเงินหมดพอดี" เห็นด้วยกับเขาน่ะ

"ก็จริง" ผมลองตรวจสอบเงินในถุงสีน้ำตาลนั้น มันเป็นเงินปึกเลยล่ะ เเต่สัมผัสผิวของธนบัตรเงินดูเเล้วมันก็เป็นของจริง เเจ็คพ็อตเเตกจริงๆสิน่ะ เเต่ว่าก่อนที่จะลุกออจากรถไป เขาก็ถามคำถามผมอีกเเล้ว "ถามจริงเถอะ นายไม่สนใจสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆใช่มั้ย เเบบว่าถ้านายเห็นคนถูกทำร้ายโดยพวกนักเลงข้างถนน นายจะไม่เข้าไปช่วยจริงๆ?" ผมจึงตอบเขาไปว่า "ใช่" ถ้าคนนั้นมันไม่ใช่เพื่อน คนรู้จักหรือเพื่อนร่วมงาน ผมก็ไม่คิดเข้าไปช่วยหรอก ก็น่ะ การทำตัวเป็นฮีโร่ก็เหมือนทำตัวคนกล้าหาญในเรื่องโง่ เเละอีกอย่างผมก็เห็นเรื่องเเบบนี้ชินชาเเล้วล่ะ

"ก่ะไว้เเล้วเมืองมันเกินเยียวยาจริงๆนั้นเเหละ" ผมเห็นด้วย "ใช่... เเละหวังว่าครั้งนี้คุณจะเล่นเป็นครั้งสุดท้ายเเบบว่า...ชนะพนันเเละไม่เหยียบที่นี่อีกเลย" เขาหัวเราะเบาๆพร้อมกับหยิบกระเป๋าสีดำออกมาจากรถ ถือมันไว้อย่างมั่นคง "ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้เป็นการเล่นการพนันครั้งสุดท้ายในชีวิตของฉันเเล้วล่ะ" ผมได้ยินผู้โดยสารพูดเเบบนี้ก็ค่อยโลงใจหน่อย "ขอให้โชคดีล่ะกัน" ผมอวยพรเขาเนื่องจากเขาให้ทิปเยอะ เเต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเเละเดินเข้าไปในคาสิโน

หลังจากผมที่ผมจบจากผู้โดยสารคนเมื่อกี้ ผมก็รับผู้โดยสารคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าคืนเป็นคืนที่โชคดีที่สุดในชีวิตของผมเเล้ว เพราะมีไอ้บ้าที่มันคิดจะจ่ายเป็นเงินก้อนโต ผมคิดว่าเงินก้อนนี้ทำให้ผมนอนยาวได้หลายวันเลยล่ะ เเต่ก็น่ะ ถ้าให้ผมหยุดไปล่ะก็ ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรดี ได้เเต่นั่งขับรถเเท็กซี่ไปเรื่อย ขับส่งลูกค้าไปเรื่อย ทำงานสิบสี่ชั่วโมงถึงสิบห้าชั่วโมงต่อวัน เเก้ความเบื่อหน่ายในชีวิตประจำของผม ผมอาจคิดว่าเอาเงินนี้ไปเลี้ยงเอ็ดดี้ มาร์ตี้ หรือไม่ก็เก็บไว้เฉยๆไม่รู้จะเอาไปซื้ออะไรให้ตัวเอง

"ช่วยด้วย!" อะไรว่ะน่ะ

ผมขับรถผ่านย่านชุมชนหนึ่งของเมือง มันก็ไม่ใช่ยานที่น่าอยู่อาศัยหรือน่าขับมากนัก เเต่ดันขับผ่านมาถึงที่นี่ ผมขับไปทั่วเมืองแล้ว เเละย่านก็เป็นยานที่ไม่น่าขับผ่านมาที่สุด เป็นหนึ่งในยานที่เอ็ดดี้บอกผมไปว่าถ้าเป็นไปได้ก็ขับเลี่ยงย่านชุมชนนี้ซ่ะ เพราะไอ้พวกนี้เป็นพวกผู้อยู่อาศัยที่ชีวิตต่ำมากๆ มีอาชญากรรมมากกว่าที่อื่นอีกเเถมพวกเเม่งก็ไม่ค่อยต้อนรับเเท็กซี่อย่างเราอีก ไม่ต้องถามหาเรืองการศึกษาเลย ผมคิดว่ายานนี้คงสอนเด็กให้จับอาวุธปืนก่อนที่จะพูดภาษาได้ด้วยซ้ำ ผมจะขับผ่านมันไปเร็วๆ ใช่เเค่ไม่ต้องสนใจ ผมก็ออกจากยานนี้ได้อย่างปลอดภัย เเต่สิ่งที่ไม่ขาดคิดก็คือ 

"นั้น....นั้นเด็กผู้หญิง?" ผมเห็นรูปร่างผู้หญิงคนนั้นก็มองได้ออกได้เลย เธอยังเด็กเกินไปดูเเล้วยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยด้วยซ้ำ เเต่ไอ้พวกนักเลงชั้นต่ำมันบังคับงั้นหรอ? คนนึงมันจับข้อมือนางพิกไปที่กำเเพง พวกมันทำในตรอกมืดๆที่ไม่ค่อยมีคนสังเกตเห็น ผมขับผ่านมาในจังหวะพอดี ผมเลยเห็นพวกมันเเต่พวกมันไม่เห็นผม ผมต้องเเค่ต่องไม่สนใจ ใช่เเล้ว เเค่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป 

ผมเหยียบคันเร่งรถเเท็กซี่ ทำเป็นไม่สนใจเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา เเต่ครั้งที่ผ่านมามันไม่เคยเกิดเหตุกับเด็กเลยน่ะเว้ย ผมควร...

"ปล่อยเด็กคนนั้นซ่ะ!" 

ผมไม่รู้ผมคิดบ้าอะไรอยู่ ผมเอาถุงน้ำตาลนั้นเจาะรูบริเวณดวงตาเป็นรูให้ผมมองเห็น เเละเอาไปครอบหัวปิดหน้าตาตัวเองใช่ ทำตัวเป็นฮีโร่ ผมต่อยหมัดตรงไปที่ไอ้เวรใคร่เด็กที่มันจับข้อเด็กผู้หญิง มันปล่อยเด็กออกในทันที่ เพราะเเรงหมัดของผมละมั้ง ส่วนเด็กผู้หญิงคนนั้นก็หนีอย่างว่องไว เเป๊บเดียวก็หายไปเเล้ว ผมรู้เเล้วว่าตัวผมนั้นกำลังทำในสิ่งที่ผิดพลาด

พวกนักเลงมันจองผมด้วยความโกรธเเค้น "แกทำให้เหยื่อหลุดมือ" ผมก็ตอบ "นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรว่ะ" เเต่พอผมถามเสร็จ หมัดตรงจากนักเลงคนนึงก็เข้ากระเเทกท้องผมทันที ผมล้มลง เเละพวกมันก็ไม่ปล่อยให้ผมจบเเค่นี้ มันยังใช้เท้าของพวกมัน กระทืบร่างกายผม เตะผม ทำร้ายร่างกายผมอย่างโหดร้าย เตะหลายครั้ง กระทืบหลายครั้งจนพวกเขาพอใจ ทิ้งผมนอนเจ็บในตรอกมืดๆ ต้องใช้เวลาสักพักที่ร่างกายผมจะยอมลุกขึ้น 

“เจ็บชิบหายเลย…” ผมคลายเหมือนหมา ค่อยๆเลื่อนตัวเองไปที่รถของตัวเอง 

ในสุดผมก็มาถึงที่รถเเท็กซี่ของผม เปิดประตู ขับรถออกไปเเม้ว่าจะยังคงรู้สึกบาดเจ็บไปทั่วร่างก็ตาม พร้อมกับทบทวนสิ่งที่ทำลงไป ผมมันบ้าไปเเล้วงั้นหรือที่ไปยุ่งเรื่องกับนักเลง โชคดีจริงที่มันไม่ได้มีมีดพกหรือปืนสักกระบอกติดตัวกัน ไม่งั้นผมคงนอนตายในตรอกนั้นเเล้ว ผมคิดเห็นผลว่าทำไม่ผมถึงทำเเบบนี้ เเต่อย่างน้อยไอ้เด็กนั้นก็รอด รอดสักไปอีกหนึ่งวัน มันคงพอคุ้มค่าสำหรับการเจ็บตัวของผม ไม่รู้สิ ผมคิดว่า...มัน

“มันก็ไม่ได้เเย่น่ะ”

 

Ch.1 | Drive |


 

 

สวัสดีดีผู้อ่านทุกท่าน ไรท์เอง เเละไรท์คิดว่าข้อมูลที่ใช้ในเรื่องมันมีอาจมีความไม่ถูกต้อง หากนักอ่านคิดว่าตรงไหนผิดพลาดสามารถพิมพ์บอกข้อมูลได้เลย ผมจะนำไปใช้เเก้ไข ขอบคุณครับ...

ติดตามเรื่องนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน

ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

loading
กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...

ความคิดเห็น

กำลังโหลด...
×
แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
L o a d i n g . . .
x
เรียงตาม:
ใหม่ล่าสุด
ใหม่ล่าสุด
เก่าที่สุด
ที่กำหนดไว้
*การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

< Back
แทรกรูปโดย URL
กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
http:// หรือ https://
กำลังโหลด...
ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
*เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
< Back
สร้างโฟลเดอร์ใหม่
< Back
ครอปรูปภาพ
Picture
px
px
ครอปรูปภาพ
Picture