ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักได้ไหมพ่อคนไฮโซ?

    ลำดับตอนที่ #1 : หลงทาง

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 67


     

    “นี่เราก็เดินมานานแล้วนะ ทำไมยังออกไปจากไร่นี่ไม่ได้สักที? หรือว่าเรากำลังหลงทาง?”

    คนพูดเป็นหญิงสาวร่างผอมเพรียว ออกจะสูง ผิวขาว ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเรียวรีเล็ก ปากนิดจมูกหน่อย บ่งบอกว่ามีเชื้อสายจีนอยู่ในสายเลือด เครื่องหน้าของหล่อนรวมกันแล้วดูดีราวกับตุ๊กตาจีนปั้น คนพูดเหมือนไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คนฟังกลับรู้สึกใจเสีย เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา เพราะนี่ก็บ่ายมากแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะมืด ถ้ายังหาทางออกจากที่นี่ไม่ได้ ต้องแย่แน่ๆ

    “ยังไงเราก็ต้องหาทางออกไปให้ได้ เอางี้ เราลองเดินไปทางนั้นดู เผื่อบางทีอาจเจอถนน” ‘เวธิกา’ ชี้ไปยังอีกทางที่ยังไม่ได้เดินไป หล่อนเป็นสาวไทยเชื้อสายจีนเช่นกันรูปร่างสูงเท่ากันกับเพื่อนรัก ‘ศิรดา’ แต่ทรวดทรงองค์เอวดูอวบอิ่มมีทุกอย่างที่ผู้หญิงควรจะมี แถมบางอย่างยังออกจะมีมากเกินไปด้วยซ้ำ จนเจ้าตัวเองก็รู้สึกไม่ชอบ อึดอัดและพยายามใช้เสื้อผ้าตัวหลวมเพื่อสวมพรางตัวเองอยู่ตลอด ควงตากลมโตดูมุ่งมั่นและมีความหวังแต่ในแววตาคู่นั้นกลับแฝงไปด้วยความวิตกกังวลอย่างไม่อาจปกปิด

    “โอ้ย!!…ฉันไม่ไหวแล้วนะแก ขาสองข้างแทบจะหมดแรงแล้ว ถ้าขืนให้เดินอีก ขาทั้งสองข้างคงต้องพิการแน่” อีกฝ่ายโอดครวญ แต่ถึงแม้หล่อนจะทำท่าเหมือนไม่อยากเดินต่อ แต่ก็ขัดกับสายตากึ่งขอร้องกึ่งบังคับของเพื่อนรักไม่ได้ เมื่อได้ถ่วงเวลาได้นั่งพักขาชั่วครู่ก็ยอมลุกขึ้นตามแรงฉุดดึงของอีกฝ่าย และกอดคอกันเดินไปต่อ

    สองสาวเดินกันไปอีกพักใหญ่ท้องฟ้าเริ่มมืด มองเห็นอะไรได้เพียงรางๆ เวธิกาดึงไฟฉายกระบอกเล็กออกมาจากกระเป๋าสะพายด้านหน้าส่องทางเดินที่มีหญ้าขึ้นสูงระดับหน้าแข้ง ถึงแม้มันจะดูไม่รกมากแต่หล่อนก็จินตนาการไปไกล ภาวนาอย่าให้มีสิ่งที่น่ากลัวปรากฎขึ้น หล่อนกลัวสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงูมากที่สุด ก็ใครบ้างจะไม่กลัวล่ะ? แค่คิดก็รู้สึกขนลุกแล้ว แทบไม่อยากจะเหยียบย่างลงไปบนผืนหญ้าตรงหน้าเลย

    “ดูนั่น! มีบ้านคน!” ศิรดาส่งเสียงร้องขึ้นอย่างยินดี เมื่อมองเห็นแสงไฟดวงเล็กที่เห็นมาแต่ไกล คาดว่ามันคงเป็นบ้านคนแน่ๆ สองสาวไม่รอช้ารีบก้าวเร็วๆจนเหมือนเกือบจะวิ่งไปตามเส้นทางข้างหน้าด้วยประกายแววตาที่มีความหวังเต็มเปี่ยม

    อาจเป็นชาวบ้านแถวนี้เริ่มจุดไฟส่องสว่าง เพราะบรรยากาศเริ่มมืดแล้ว เมื่อเดินมาใกล้ก็เจอกับบ้านไม้หลังใหญ่ที่ถูกสร้างไว้กลางต้นไม้ใหญ่รอบด้าน ด้านหน้ามีดอกไม้ในกระถางใหญ่ถูกปลูกไว้ ออกดอกสีขาวบานสะพรั่ง หล่อนเดินมาใกล้ยังได้กลิ่นหอมตลบอบอวลของมัน แต่ไม่รู้จักหรอกว่ามันคือดอกอะไร รู้แต่ว่าเจ้าต้นดอกไม้นี่ต้องผ่านการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของเป็นอย่างดี หล่อนสังเกตุเห็นน้ำที่เกาะอยู่ทั่วกิ่งใบและลำต้น เจ้าของคงเพิ่งให้น้ำมันไม่นานมานี้เอง

    “มีใครอยู่บ้างคะ? ช่วยด้วยค่ะ! พวกเราหลงทาง มีใครอยู่ข้างในมั้ยคะ?” ศิรดาร้องตะโกนถาม ร้องตะโกนกันอยู่พักใหญ่ถึงจะมีเสียงเคลื่อนไหวเหมือนกำลังเปิดประตูอยู่ด้านใน ตามมาด้วยร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนที่กำลังเพ่งตามองมาที่ผู้มาเยือนยามวิกาลทั้งสอง เหมือนหญิงสูงวัยกำลังชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนจะร้องตะโกนตอบกลับมา

    “แม่หนูสองคน กำลังหลงทางสินะ? เข้ามาก่อน เข้ามาก่อน” หล่อนเชื้อเชิญอย่างใจดี สองสาวไม่ปฎิเสธรีบเดินขึ้นบันไดที่มีอยู่ราวสามสี่ขั้นไปอย่างรวดเร็วราวกับกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ อย่างน้อยก็ขอพักค้างคืนที่นี่ก่อน มืดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยหาทางกลับโรงแรมที่พัก

    ภายในบ้านหลังใหญ่ถูกตกแต่งไว้ด้วยเครื่องเรือนที่ทำด้วยไม้ ดูเข้ากันกับตัวบ้าน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน ภายในถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบง่ายและลงตัว เวธิกา เผลอมองรอบด้านอย่างลืมตัว ไม่รู้เลยว่าถูกพามาหยุดอยู่ตรงชุดรับแขกมุมหนึ่งของบ้าน

    “นั่งก่อนๆ เดี๋ยวป้าจะไปเอาน้ำมาให้ เดินกันมาคงเหนื่อยกันมากสินะ?”

    “คุณป้าคะ..คือ..ให้หนูช่วยค่ะ” เวธิการีบเสนอตัวช่วยด้วยความเกรงใจ มารบกวนเจ้าของบ้านแล้ว ยังจะให้ยกน้ำมาต้อนรับอีก รู้สึกเกรงใจจริงๆ ส่วน ศิรดาหล่อนก็ไม่ทันคิดถึงข้อนี้ ได้แต่รู้สึกขอบคุณความมีน้ำใจของเจ้าของบ้านอยู่ในใจ และหล่อนก็รู้สึกเหนื่อยเกินไปที่จะลุกไปไหนได้อีก มาเจอโซฟานุ่มๆ แทบไม่อยากลุกไปไหนอีกเลย เฮ้อ!สวรรค์!

    เจ้าของบ้าน เชื้อเชิญให้สองสาวพักค้างแรมก่อนพรุ่งนี้ค่อยหาทางช่วยเหลือส่งพวกหล่อนกลับออกไป ซึ่งก็เข้าทางของพวกหล่อนถึงคุณป้าจะไม่เอ่ยปาก พวกหล่อนเองก็จะขอพักอาศัยค้างสักหนึ่งคืนอยู่แล้ว

    เวธิกาและศิรดา พูดคุยเล่าเรื่องการเดินทางของพวกหล่อนให้หญิงสูงวัยฟัง อีกฝ่ายชวนคุยเป็นระยะทั้งสามรู้สึกถูกใจอัธยาศรัยของกันและกัน แค่เพียงเวลาไม่นานก็รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก มีเสียงหัวเราะดังมาเป็นระยะ เพราะการเล่าเรื่องตลกๆของสองเพื่อนรัก ทำให้เจ้าของบ้านหัวเราะชอบใจ บรรยากาศเงียบเหงาภายในบ้านดูคึกครื้นขึ้นจากปกติมาก

    “ที่นี่ ไม่มีเสียงหัวเราะแบบนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่..” เหมือนหญิงสูงวัยอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดคำพูดไว้เท่านั้น

    “ช่างเถอะ ป้าดีใจที่พวกหนูสองคนมาพักค้างคืนที่นี่ ถ้าไม่รังเกียจก็อยากให้อยู่คุยเป็นเพื่อนคนแก่สักหลายๆวันหน่อย”

    “ไม่รังเกียจเลยค่ะ ต้องขอบคุณ คุณป้าด้วยซ้ำ พวกหนูโชคดีที่ได้เจอกับคุณป้าไม่งั้นยังไม่รู้เลยว่าคืนนี้จะต้องนอนที่ไหน คุณป้ามีพระคุณมาก ถ้าพวกเราไม่มีธุระที่อื่นต่อก็คงต้องรบกวนคุณป้าอีกหลายวันแน่ แต่นี่เราต้องกลับไป สะสางงานที่ยังคั่งค้างอยู่” ศิรดาพูดจบก็มองไปยังเพื่อนรัก สองสาวสบตากันอย่างไม่ตั้งใจ เป็นเวธิกาที่หลุบสายตาลงต่ำซ่อนแววตาสลดไว้อย่างมิดชิด แต่เพื่อนรักที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กอย่างศิรดาก็ดูออก หล่อนส่งสายตาเข้าใจและเห็นใจมาให้

    “ไม่เป็นไรๆ ถ้างั้นก็พักผ่อนกันให้สบายนะ ป้าไม่รบกวนหนูทั้งสองแล้ว คืนนี้หลับให้สบาย พรุ่งนี้เช้ายังต้องเดินทางอีก” ป้าจันทร์พาหญิงสาวทั้งสองมายังห้องๆหนึ่ง ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเตียงนอนขนาดกว้างที่สองสาวนอนกันได้อย่างไม่อึดอัด ทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างสะอาดสะอ้านดูดี ดูท่าทางป้าจันทร์จะมีฐานะค่อนข้างดี บ้านหลังนี้ใหญ่โตกว้างขวางดูยังไงก็ไม่เหมาะกับการอยู่คนเดียว แต่ป้าจันทร์ก็ไม่ได้เล่าเรื่องถึงสมาชิกในบ้านคนอื่นเลย สองสาวก็ไม่อยากเสียมารยาทถาม ยังไงพวกหล่อนก็เป็นแค่คนจร ที่แค่ผ่านมา พรุ่งนี้ก็จะจากไปแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสได้เจอคนดีๆมีน้ำใจอย่างป้าจันทร์อีกเมื่อไหร่ ถึงรู้เรื่องคนอื่นเยอะไปมันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร

    หลังอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ที่เจ้าของบ้านใจดีนำมาให้เปลี่ยนแล้ว สองสาวก็มาล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้าง ด้วยความกระปรี้กระเปร่า ศิรดากลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนุ่มอย่างรู้สึกผ่อนคลาย ก่อนจะหันมามองเพื่อนรักที่ตอนนี้ได้แต่นอนนิ่งๆ มองเพดานด้วยสายตาว่างเปล่า แถมถอนหายใจออกมาให้ได้ยินโดยไม่รู้ตัว

    หญิงสาวร่างบอบบางพลิกตัวตะแคงมองเพื่อน ก่อนเอานิ้วมือบีบจมูกอีกฝ่ายแรงๆ จนอีกคนเผลอร้องออกมาเสียงดัง

    “โอ้ย! ลูกศร แกจะบ้ารึไง! มาบีบจมูกฉันทำไม? เจ็บนะ!” คนถูกด่าหัวเราะเบาๆ มองเพื่อนที่เอามือกุมจมูกตัวเองที่มันเริ่มมีสีแดงขึ้นมาหน่อยๆแล้ว

    “ก็แก เอาแต่เหม่อ บนหลังคานั่นมีอะไร? แกจะมองให้สไปเดอร์แมนโผล่ออกมารึไง?” เวธิกาได้สติ หล่อนคงหลุดไปในโลกส่วนตัวจนเพื่อนจับได้อีกแล้ว

    “ยัยเวย์ แกเป็นคนชวนฉันมาทริปผจญภัยครั้งนี้เองนะ แกก็ทำตัวให้มันสนุกหน่อยสิ ปัญหาอะไรก็ทิ้งมันไปก่อน เก็บมาคิดแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา?”

    “ก็จริงของแก ถึงฉันจะเอาแต่คิดมันก็หาทางออกไม่เจอ ถึงจะพยายามหนี ก็ไม่พ้นอยู่ดี เพราะมันเป็นชะตากรรม ฉันคงต้องยอมรับมัน” ศิรดาเอามือโอบกอดคอเพื่อน เอาหัวตัวเองชนกับหัวอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะพูดปลอบใจ

    “อย่าคิดอย่างนั้น ที่พูด ไม่ได้ให้แกยอมรับชะตากรรม แต่ปัญหาทุกอย่างมันจะแก้ได้ก็ต่อเมื่อแกมีสติเท่านั้น ความวิตกกังวล มันมีแต่ทำให้จิตใจเราย่ำแย่ เราลองมองข้ามปัญหาไปก่อน ไม่แน่พอแกไม่หมกมุ่นกับมัน เดี๋ยวสมองอันน้อยนิดนี่ของแกก็จะคิดออก ว่าควรทำยังไง?”

    “สมองอันน้อยนิด? นี่แกว่าฉันโง่รึไงยัยศร?”

    “เปล่านะ! ก็แค่พูดให้ฟัง มันเป็นคำเปรียบเทียบน่ะ เข้าใจมั้ย?” ศิรดารีบแก้ตัว

    “ทำไมฉันรู้สึกเหมือนแกหลอกด่าฉัน?” สองสาวมองตากันอยู่ครู่หนึ่ง แววตาหลุกหลิกของศิรดามีหรือที่เวธิกาจะอ่านไม่ออก ก็หล่อนโดนเพื่อนหลอกด่าจริงๆ แล้วทั้งสองก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปมาบนเตียงกว้าง ก่อนจะหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข

    เสียงนกร้องได้ยินไปทั่วบริเวณ เพราะบ้านหลังนี้อยู่ท่ามกลางไม้ใหญ่ที่ถูกปลูกไว้เพื่อให้ความร่มรื่นโดยรอบ จึงมีนกป่าและสัตว์ป่าหลายชนิดที่วนเวียนมาใกล้ เวธิกาถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงเจ้านกน้อยที่บินวนเวียนส่งเสียงดังแสบแก้วหูอยู่ด้านนอก หล่อนเอื้อมมือไปแง้มหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อย มีลมยามเช้าพัดผ่านมาปะทะใบหน้าเนียน จนรู้สึกเย็นเยียบแต่สดชื่น หล่อนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

    เช้าแล้ว! มองออกไปข้างนอก เห็นสวนดอกไม้ที่ปลูกไว้ไกลออกไป สีเขียวขจีของต้นไม้รายรอบ แค่มองช่างสดชื่นดีจริงๆ

    “ศร! ตื่นได้แล้ว เช้าแล้ว” หล่อนเอื้อมมือไปปลุกคนข้างๆ ที่ยังงัวเงียไม่ยอมตื่น แถมยังเอาหมอนทับศรีษะตัวเองไว้อีก เมื่อเขย่าอยู่เท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตื่นสักที หล่อนจึงปล่อยให้เพื่อนนอนต่ออีกสักพัก เพราะตอนนี้ก็ยังเช้าอยู่มาก เวธิกาเปิดประตูออกจากห้องมา คิดจะออกไปเดินเล่นรอบๆดูสักหน่อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×