ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้าไม่ใช่แบบที่เจ้าคิด (มี E-Book แล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #1 : เกือบไปแล้ว

    • อัปเดตล่าสุด 26 ต.ค. 65


    บทที่ 1

    เกือบไปแล้ว

     

    หมู่บ้านหยางเซินเป็นหมู่บ้านแถบแนวชายแดนแคว้นตง ซึ่งอยู่ติดกับแนวชายแดนแคว้นฉิน จึงทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มักจะได้รับผลกระทบจากการทำศึกสงครามอยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากการทำศึกระหว่างสองแคว้นครั้งล่าสุด ที่ได้แผนล่อข้าศึกให้จนมุมของคุณชายรองจิน ทำให้แคว้นฉิน...ที่พ่ายแพ้จากการทำศึกสงครามในครั้งนั้น ได้รับผลกระทบมากกว่าในทุกครั้งที่ผ่านมา จึงส่งผลให้แคว้นฉินยังไม่กล้ากลับเข้ามารุกรานแคว้นตง มาจนถึงทุกวันนี้...

     

    จินเฟยหลงแม่ทัพใหญ่แคว้นตงหรือคุณชายรองจิน ด้วยความพยายามและความสามารถที่เขามี จึงทำให้เขาได้รับสืบทอดตำแหน่งนี้มาจากผู้เป็นบิดาด้วยวัยเพียงแค่สิบแปดหนาว และก็เพราะการขึ้นรับตำแหน่งด้วยวัยเพียงเท่านี้ จึงทำให้เขาต้องคอยแบกรับทั้งแรงกดดัน และความคาดหวังจากผู้คนรอบข้าง ซึ่งตอนนี้ก็ได้ผ่านล่วงเลยมาแล้วถึงสองปี

    และในยามนี้บิดาของเขาก็ยังต้องการให้เขาขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจินต่อจากอีกฝ่ายแล้วด้วย และก็ด้วยเพราะคำว่า ‘ผู้นำตระกูลในภายภาคหน้า’ ของผู้เป็นบิดาที่เคยบอกกับจินเฟยหลงไว้ตั้งแต่ในวัยเยาว์ มันได้ทำให้เขาต้องคอยยึดถือและต้องคอยปฏิบัติตัวตาม ‘หน้าที่’ ให้สมกับสิ่งที่ทุกคนคาดหวังในตัวเขาเรื่อยมา

     

     

    จวนแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวงตอนนี้ มีเพียงครอบครัวสายหลักของตระกูลจิน นั่นก็คือครอบครัวของจินเฟยหลงอาศัยอยู่ในจวนเพียงเท่านั้น และส่วนใหญ่ทุกคนในครอบครัวก็มักจะพากันเดินทางไปพักอยู่ที่เรือนพักรับรอง ในค่ายทหารแถบแนวชายแดนซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านหยางเซิน เหตุด้วยเพราะคุณชายใหญ่จินเฟยเทียนหลังจากเข้าพิธีมงคลสมรส เจ้าตัวได้มาสร้างโรงหมออยู่กับคนรักในหมู่บ้านแห่งนี้ จึงทำให้ทั้งผู้เป็นบิดา น้องสาวของเขาหรือแม้แต่ตัวจินเฟยหลงเอง หากมีเวลาว่างก็มักจะพาตนเองมาอยู่ใกล้กับผู้เป็นพี่ชายที่นี่

     

     

     

    จินเฟยหลงที่ได้เดินทางเข้ามาตรวจงานในค่ายทหารแถวหมู่บ้านหยางเซิน หลังจากที่ตัวเขาจัดการงานในค่ายเสร็จแล้ว วันนี้เขาจึงตั้งใจจะเข้าไปหาผู้เป็นพี่ชาย แต่เมื่อเขาเดินทางมาถึงหน้าโรงหมอ เขาก็เจอกับเจียงเสียนเดินออกมาจากที่นั่นด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะผิดหวัง

    “ท่านแม่ทัพมาหาคุณชายใหญ่จินกับอาหยางหรือขอรับ?” เจียนเสียนเอ่ยทักจินเฟยหลง

    “ใช่ขอรับ ท่านลุงเจียงเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?” จินเฟยหลงเอ่ยถามเพราะเขาสงสัยในท่าทางแปลก ๆ ของอีกฝ่าย

    “เอ่อ...พอดีข้าน้อยตั้งใจเข้ามารับยากับอาหยางน่ะขอรับ แต่อาเล่อบอกว่าวันนี้โรงหมอปิดแล้ว และตอนนี้อาหยางก็ได้พาคุณชายใหญ่จินกลับไปพักที่เรือนแล้วขอรับ” เจียนเสียนพูดจบก็เห็นอีกฝ่ายยังคงมองมาที่เขาอยู่ ก็คงจะด้วยเพราะความที่เรือนของเขาอยู่ติดกับเรือนของหยางหมิงเซียน ดังนั้นการที่เขาเดินทางเข้ามารับยาถึงที่นี่จึงทำให้อีกฝ่ายสงสัยในการกระทำของเขาเป็นแน่

    “คือข้าน้อยแอบให้อาหยางช่วยปรุงยาเพิ่มความกำหนัดให้น่ะขอรับ แต่ข้าน้อยไม่ได้คิดจะเอาไปทำเรื่องไม่ดีนะขอรับ พอดีข้าน้อยกับฮูหยินอยากจะมีบุตรเพิ่มกันอีกสักคนสองคน แต่เพราะข้าน้อยอายุมากแล้ว มันก็เลย...เออ... เดี๋ยวพรุ่งนี้ช่วงเช้าข้าน้อยค่อยแวะเข้ามาหาอาหยางใหม่อีกครั้งน่าจะดีกว่าขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวเลยนะขอรับ” เจียนเสียนรู้สึกว่ายิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกกระดากอาย เขาจึงรีบเอ่ยลาคนตรงหน้าทันที 

     

    จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับคำของอีกฝ่าย ก่อนจะเดินแยกกลับไปยังเรือนพักของตนเองในค่ายทหาร

     

     

    แล้วเมื่อจินเฟยหลงเข้ามาในห้องพัก เขาก็เดินตรงไปยังเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอน จากนั้นเขาก็หลับตาของตนเองลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับคิดไปถึงชื่อยาที่ได้ยินมาจากเจียนเสียนเมื่อครู่

    ‘ยากำหนัดอย่างนั้นหรือ...หึ!’

     

     

     

    ย้อนกลับไปในช่วงหลังจากจบศึกครั้งล่าสุดระหว่างแคว้นตงกับแคว้นฉิน...

     

    ยามนั้นจินเฟยหลงอยู่ในวัยสิบห้าย่างสิบหกหนาว แต่ด้วยฝีมือการสู้รบที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นบิดา จึงทำให้เขาจะได้รับพระราชทานแต่งตั้งขึ้นเป็นรองแม่ทัพฝ่ายยุทธการทันที เมื่อเขาเดินทางกลับเข้าไปถึงเมืองหลวง

    ซึ่งขบวนทัพของท่านแม่ทัพใหญ่จินเฟยหมิง ได้เดินทางกลับมาถึงเร็วกว่ากำหนดที่เจ้าตัวได้แจ้งไว้กับผู้คนในเมืองหลวง จินเฟยหมิงจึงต้องจัดหาที่พักนอกเมือง เพื่อที่จะได้เคลื่อนขบวนทัพได้ตามกำหนดเดิม แล้วเมื่อจินเฟยหลงได้รับรู้ถึงการตัดสินใจของผู้เป็นบิดา เขาจึงขอแยกตัวออกมาจากขบวน เพื่อกลับเข้าไปนอนพักที่สำนักศึกษาหลวงทันที เพราะเขาไม่อยากอยู่ร่วมกับผู้เป็นบิดาเพิ่มอีกหนึ่งวัน

     

     

     

    “เฟยหลงเจ้ากลับมาแล้วหรือ?” เหรินเหยียนชิงเดินออกมาจากห้องพักก็เจอเข้ากับสหายร่วมเรือนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบครึ่งปี กำลังเดินกลับเข้ามายังเรือนพักของพวกเขา

    “อืม” จินเฟยหลงตอบกลับคนตรงหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องพักของตนเอง 

     

    สำนักศึกษาหลวงแห่งนี้มีเรือนพักภายในให้สำหรับผู้เข้าศึกษา ที่มีจวนหรือมีเรือนอยู่ไกลจากสำนักศึกษาสามารถทำเรื่องขอเข้าพักได้ แต่ด้วยเพราะจำนวนเรือนที่มีไม่มากนัก หนึ่งเรือนพักจึงจะต้องมีผู้พักอาศัยอยู่ร่วมกันเรือนละสองถึงสี่คน และเรือนที่จินเฟยหลงได้เข้าพักอาศัยอยู่นั้นเป็นเรือนที่มีขนาดเล็ก จึงทำให้เขามีผู้ร่วมอาศัยอยู่เพียงแค่หนึ่งคน และคนผู้นั้นก็ยังเป็นสหายสนิทเพียงหนึ่งเดียวของเขาด้วย

     

     

    “ข้าก็นึกว่าหลังจากจบศึก เจ้าจะกลับไปอยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่สักพักเสียอีก แล้วนี่...” เหรินเหยียนชิงพูดพร้อมกับเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสหายของเขาปกติก็ไม่ค่อยจะกลับจวนอยู่แล้ว เขาจึงรีบเงียบปากของตนเองลง

     

    จินเฟยหลงที่กำลังก้มลงไปเก็บสัมภาระของตนเอง จึงทำเพียงแค่รับฟังสิ่งที่สหายพูดแบบผ่าน ๆ เท่านั้น เพราะตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทาง และก็ด้วยเพราะยามที่เขาเข้ามาพักอยู่ในสำนักศึกษาหลวง เขาไม่ได้ให้บ่าวคนสนิทตามเข้ามาคอยดูแลเขาที่นี่ ดังนั้นเรื่องทุกอย่างเขาจะต้องเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง

    แล้วหลังจากที่เขาจัดเก็บสัมภาระเสร็จ เขาก็เริ่มจัดเตรียมของที่จะใช้สำหรับการไปอาบน้ำต่อ...

     

    “อย่างนั้นข้าไม่กวนเจ้าล่ะดีกว่า เจ้าจะได้รีบไปจัดการดูแลตัวเองแล้วกลับมาพักผ่อน แต่เย็นนี้เจ้าจะไปรับสำรับกับพวกข้าหรือไม่? พอดีข้ามีนัดกับอาเจี้ยนและอาจางไว้ว่าจะไปรับสำรับด้วยกันที่โรงเตี๊ยม”

    “อืม” 

    “ได้ เช่นนั้นเดี๋ยวข้า...เฮ้อ! เฟยหลงเจ้าก็เป็นแบบนี้ทุกที ข้ายังพูดไม่ทันจบเลยนะ”

     

    จินเฟยหลงเมื่อจัดเตรียมของเสร็จเขาก็เดินออกจากห้องพักทันที โดยไม่รอให้สหายร่วมเรือนพูดจบ ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยินที่อีกฝ่ายบ่นตามหลัง แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเดินกลับไปต่อว่าหรือโต้ตอบ เพราะเดี๋ยวคนพูดมากก็คงจะหยุดพูดไปเอง

     

     

     

    “เฟยหลงเจ้ากลับมาแล้วหรือ...ไม่ใช่ขบวนแม่ทัพใหญ่จะกลับเข้าเมืองหลวงในพรุ่งนี้หรอกหรือ?” จิงเสี่ยวเจี้ยนเอ่ยถามจินเฟยหลง หลังจากที่เขาเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมพร้อมกับเหรินเหยียนชิง

    “อืม เพิ่งมาถึงวันนี้ปลายยามเว่ยน่ะ (ยามเว่ย เวลา 13.00 – 14.59 น.)”

     

    จินเฟยหลงมองเหรินเหยียนชิงที่ตอบคำถามแทนเขา อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นพวกถนัดลงมือทำมากกว่าที่จะพูด คนตรงหน้าจึงมักจะคอยเป็นคนตอบคำถามของผู้อื่นให้กับเขา แล้วก็อาจจะด้วยเพราะเขากับเหรินเหยียนชิงรู้จักกันมานาน เพราะพวกเขาสองคนเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงพร้อมกัน แล้วไหนจะเรื่องเรือนพักที่พวกเขาได้พักอยู่เรือนเดียวกันอีก จึงทำให้เหรินเหยียนชิงกลายเป็นคนที่เขาให้ความสนิทสนมมากที่สุด

     

    “ข้าว่า...การที่เจ้าหนีออกมาจากขบวนทัพแล้วกลับเข้ามาก่อนแบบนี้ เจ้าคงไม่อยากไปหลบถุงหอมกับผ้าเช็ดหน้าของพวกคุณหนูและพวกแม่นางน้อย ๆ ในวันพรุ่งนี้เสียมากกว่าล่ะมั้ง เฟยหลง” จิงเสี่ยวจางเอ่ยขึ้น

    “ข้าก็ว่าอย่างนั้น เป็นข้าไม่ได้...ข้าจะรีบอ้าแขนรับให้ครบหมดทุกอันเลยเชียว” จิงเสี่ยวเจี้ยนกล่าวรับคำพูดแฝดผู้น้องของเขา

     

    จินเฟยหลงเมื่อได้ฟังที่คู่แฝดพูดก็รู้สึกชอบใจ เพราะตัวเขาก็คิดแบบนั้นเช่นกัน ของพวกนั้นมักจะมีกลิ่นหอมฉุนชวนให้เขารู้สึกเวียนหัว และด้วยความที่เขาไม่คิดที่จะรับไมตรีจากพวกนาง เขาจึงไม่เคยรับของพวกนั้นจากผู้ใดมาก่อน แต่เมื่อเขาจะต้องร่วมขบวนทัพเพื่อเข้าประตูเมืองหลวงพร้อมกับผู้เป็นบิดา แม่นางพวกนั้นก็มักจะชอบโยนถุงหอมกับผ้าเช็ดหน้ามาโดนตัวเขา และกลิ่นจากของพวกนั้นก็มักจะติดมากับชุดที่เขาสวมใส่อยู่ไปด้วย

     

    “พวกเจ้านี่...ก็เฟยหลงไม่ได้เป็นแบบพวกเจ้า”

    “เหยียนชิง เจ้าก็เข้าข้างเจ้านี่ได้ตลอด” จิงเสี่ยวจางบ่นสหายตัวเล็กตรงหน้า

     

    “แล้วตกลงพรุ่งนี้ เจ้าจะต้องไปเข้าร่วมกับขบวนด้วยหรือไม่?” เหรินเหยียนชิงขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับจิงเสี่ยวจาง เขาจึงหันกลับมาถามจินเฟยหลง

    “ครั้งนี้ต้องไป” 

    “แล้วเจ้าจะกลับมาทันรับสำรับเย็นกับข้าหรือไม่?” 

    “พรุ่งนี้มีกินเลี้ยงที่จวน แต่ข้าจะกลับมาพักที่สำนักศึกษา”

    “อืม...เช่นนั้นข้าจะได้ไม่ต้องเตรียมสำรับเย็นไว้เผื่อเจ้า” เหรินเหยียนชิงเอ่ยถามเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดยาวของสำนักศึกษาหลวง คนส่วนใหญ่ที่มีจวนหรือเรือนที่อยู่ไม่ไกลจากสำนักศึกษามากนัก ก็จะพากันเดินทางกลับไปพักที่จวนหรือเรือนของตัวเอง จะมีเพียงไม่กี่คนที่ยังคงพักอยู่ที่นี่ เช่น คนที่มีเรือนอยู่ไกลมากอย่างเขา หรือคนที่มีเรือนอยู่ใกล้อย่างจินเฟยหลงแต่ก็ยังคงเลือกที่จะกลับมาพักอยู่ที่นี่ และในวันหยุดยาวเช่นนี้สำนักศึกษาจะไม่มีแม่ครัวที่จะคอยจัดเตรียมสำรับไว้ให้กับพวกเขา ดังนั้นพวกที่ยังพักอยู่ที่นี่จึงต้องจัดหาสำรับไว้กินเอง

     

    “เฟยหลงเมื่อไหร่เจ้าจะเลิกประหยัดคำพูดสักที หากไม่ใช่เหยียนชิงผู้ใดจะไปเข้าใจเจ้า ขนาดพวกข้าในบางครั้งก็ยังไม่เข้าใจเจ้าเลย” จิงเสี่ยวจางหันไปพูดกับจินเฟยหลง แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดที่จะตอบอะไรเขากลับมา เขาจึงเลือกหันไปพูดคุยกับสหายคนอื่นแทนการรอคำตอบจากสหายผู้ประหยัดวาจา 

     

     

     

    เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยหลงก็กลับออกไปหาผู้เป็นบิดาเพื่อเข้าร่วมขบวนทัพที่กำลังจะเคลื่อนตัวเข้าประตูเมืองหลวง...

     

    “เฟยหลง เจ้าจะกลับจวนพร้อมกับพ่อเลยหรือไม่?” จินเฟยหมิงเอ่ยถามบุตรชายหลังจากที่พวกเขาเคลื่อนขบวนทัพเข้าเมืองหลวง และเข้าไปรายงานตัวกับฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว 

    “ไม่ขอรับ”

    “แต่อย่างไรคืนนี้เจ้าก็ต้องมาร่วมงานเลี้ยงที่จวนนะ เพราะแม่รองของเจ้าได้จัดเตรียมงานนี้ไว้เพื่อต้อนรับการกลับมาของพ่อกับเจ้า”

    “ได้ขอรับ” จินเฟยหลงตอบรับคำของผู้เป็นบิดา ก่อนจะเดินแยกออกไปหาผู้ใต้บังคับบัญชากึ่งบ่าวคนสนิทของเขา 

     

    “คุณชายรองขอรับ บ่าวเอาสัมภาระส่วนที่เหลือไปไว้ที่เรือนพักในสำนักศึกษาให้คุณชายแล้วนะขอรับ” หยงหมินบอกผู้เป็นนาย ก่อนที่จะเอ่ยถามอีกฝ่ายต่อ...

    “แล้วคุณชายรองจะไปร่วมงานเลี้ยงเลยหรือจะกลับไปเปลี่ยนชุดที่สำนักศึกษาก่อนขอรับ”

    “เปลี่ยนแค่เสื้อคลุมก็พอ” พูดจบ จินเฟยหลงก็ยื่นมือไปรับเสื้อคลุมที่เขาสั่งให้หยงหมินเตรียมแยกไว้ให้เขามาเปลี่ยน ก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายออกไปควบม้า เพื่อเดินทางไปยังจวนแม่ทัพใหญ่ที่ตัวเขาไม่ได้กลับไปที่นั่นมาเกือบปี

     

     

    แล้วเมื่อจินเฟยหลงเดินทางมาถึงจวนแม่ทัพ เขาก็ตรงไปยังเรือนใหญ่บริเวณที่จัดงานเลี้ยงทันที จากนั้นเขาก็เห็นคนในกรมทหารมาถึงกันเกือบครบแล้ว และเขาก็ยังได้เห็นครอบครัวของเสนากลาโหมที่เป็นคนนอก... แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาในงานเลี้ยงนี้ได้อย่างไร ดูท่าฮูหยินรองของบิดาคงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยเป็นแน่

     

    จินเฟยหลงเดินตรงเข้าไปหาผู้เป็นบิดาที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับรองแม่ทัพหนิงหานเฟิงซึ่งเป็นรองแม่ทัพฝ่ายอำนวยการ แล้วเมื่อเขาเดินเข้าไปถึงเขาจึงก้มลงคำนับให้กับคนทั้งสอง

    “มาแล้วหรือพ่อหลานชาย เฟยหลงนี่คือบุตรสาวคนรองของอา...หนิงฮุ่ยหลิง” 

     

    จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้าตอบรับการคำนับของสตรีตรงหน้าเท่านั้น จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้านข้างของผู้เป็นบิดา เพื่อรอรับการเข้ามาทักทายจากผู้คนที่รู้จักพวกเขาพอเป็นพิธี ก่อนที่เขาจะถอยออกมาจากงานเพื่อไปนั่งที่ศาลาด้านนอก โดยมีหยงหมินเดินตามเขาออกไปด้วย

     

     

     

    “คุณชายรองจิน เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่เจ้าคะ ข้าคิดว่าคุณชายจะอยู่ชมการแสดงด้านในเสียอีก” หนิงฮุ่ยหลิงเดินเข้าไปทักจินเฟยหลงในศาลา เพราะนางกำลังเบื่อการแสดงและความวุ่นวายของสตรีที่เสนากลาโหมจัดมาให้กับบุรุษภายในงานเลี้ยง นางจึงออกมาเดินดูสวนด้านนอกกับบ่าวคนสนิทของนาง 

    หนิงฮุ่ยหลิงที่เห็นอีกฝ่ายทำเพียงหันมามองนางแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา ดูท่าอีกฝ่ายคงจะเป็นคนพูดน้อยเหมือนที่บิดากับพี่ชายของนางเคยเล่าให้นางฟัง

     

    “คุณชายรองจินคงไม่ชอบความวุ่นวาย...เหมือนข้าเลยเจ้าค่ะ ยามที่ต้องอยู่ในงานเลี้ยงแบบนี้ข้าจะรู้สึกอึดอัดอย่างไรก็ไม่รู้ เช่นนั้นข้าขอนั่งที่นี่ด้วยนะเจ้าคะ...ขอบคุณเจ้าค่ะ” พูดจบ หนิงฮุ่ยหลิงก็เดินเข้าไปนั่งในศาลาโดยนางได้นั่งเว้นระยะห่างจากอีกฝ่าย หลังจากที่นางเห็นว่าบุรุษตรงหน้าไม่ได้เอ่ยปฏิเสธหรือพูดอะไรตอบนางกลับมา

     

    “เห็นพี่ใหญ่บอกว่าการศึกครั้งที่ผ่านมา หนักหนาเอาการเลยใช่ไหมเจ้าคะ?”

    “ใช่”

    “พี่ใหญ่แอบชมคุณชายรองจินให้ข้าฟังตลอดเลยเจ้าค่ะ พี่ใหญ่บอกว่าเพราะได้การวางแผนล่อข้าศึกให้จนมุมของคุณชายจึงทำให้การศึกครั้งนี้จบได้เร็วขึ้นเจ้าค่ะ”

     

    จินเฟยหลงหันไปมองสตรีที่เริ่มเอ่ยปากชวนเขาคุย แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดคุยอะไรกันต่อ ก็มีสตรีอีกนางหนึ่งเดินเข้ามาในศาลาพร้อมกับบ่าวสาวของนาง โดยสตรีนางนี้เลือกที่จะเดินเข้ามายืนด้านข้างเขา จนเขาต้องขยับตัวถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างจากนาง

     

    “คุณชายรองจินเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ ข้าเดินตามหาท่านเสียทั่วงาน” เยว่ซือซือเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อนางเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างจินเฟยหลงได้แล้ว พร้อมกับมองไปยังหนิงฮุ่ยหลิงด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เพราะสตรีนางนี้ได้แอบมาพูดคุยกับบุรุษที่นางกำลังหมายปอง 

    “เห็นท่านพ่อบอกว่ากลับมาคราวนี้ฮ่องเต้จะ...” เยว่ซือซือหันกลับไปพูดกับจินเฟยหลงและคิดจะลงไปนั่งข้างอีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวจนจบประโยค บุรุษด้านข้างก็เอ่ยขัดคำพูดของนางขึ้นมาเสียก่อน

     

    “ข้าขอตัว” จินเฟยหลงหันไปกล่าวกับหนิงฮุ่ยหลิง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในเรือนใหญ่โดยมีหยงหมินเดินตามผู้เป็นนายกลับไปด้วย เพราะเขาไม่ชอบเยว่ซือซือพอ ๆ กับที่เขาไม่ชอบบิดาของนาง

     

    จินเฟยหลงเมื่อเดินเข้ามาในงานเลี้ยง เขาก็กลับลงนั่งที่เดิมก่อนจะยกจอกสุราที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาดื่ม แล้วพอผ่านไปได้สักพักร่างกายของเขาก็เกิดความรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาแปลก ๆ และในระหว่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเสนากลาโหมที่คอยมองมาทางเขา

    “ท่านพ่อข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ” จินเฟยหลงหันไปกล่าวลาบิดา โดยไม่คิดจะรอฟังคำตอบ จากนั้นเขาก็รีบออกจากงานเลี้ยงทันที

     

    “คุณชายรองขอรับ” หยงหมินเอ่ยเรียกผู้เป็นนายเมื่อพวกเขาเดินออกมาถึงด้านหน้าจวน เพราะยามนี้เขาสังเกตเห็นท่าทางที่เริ่มแปลกไปของอีกฝ่าย

    “ไม่ต้องตามข้ามา ข้าจะกลับสำนักศึกษา และเจ้าก็คอยกัน...อย่าให้ผู้ใดตามข้ามาได้” จินเฟยหลงหันไปสั่งบ่าวคนสนิท ก่อนจะรีบกระโดดขึ้นควบม้าแล้วพาตัวเองออกมาจากที่นั่นให้เร็วที่สุด

     

    ตอนนี้จินเฟยหลงนึกได้แค่สถานที่เดียวเท่านั้น ที่จะทำให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้ และในยามนี้จินเฟยหลงก็นึกถึงใบหน้าของใครบางคนขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน เขาจึงรีบพาตัวเองไปหาคนผู้นั้นทันที

     

     

     

    “เฟยหลง! เหตุใดเจ้าถึงได้กลับมาเร็วนัก? ไม่ใช่ว่าวันนี้เจ้าต้องไป...เฮ้ย!” เหรินเหยียนชิงที่ตกใจเกือบจะตกเก้าอี้ เพราะอยู่ ๆ จินเฟยหลงก็พุ่งตัวเข้ามาในห้องพักของเขาจากทางหน้าต่าง แล้วพอเขาเอ่ยทัก...เขาก็ถูกอีกฝ่ายพุ่งเข้ามากอด จากนั้นเจ้าตัวก็ลากเขาเดินไปที่เตียงแล้วผลักให้เขาลงไปนอน ก่อนที่อีกฝ่ายจะขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัวเขา

     

    “ข้า...” จินเฟยหลงตอนนี้คุมสติของตัวเองแทบไม่อยู่แล้ว และเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะร้องขึ้นมา เขาจึงรีบปิดปากของคนตรงหน้าด้วยริมฝีปากของเขาทันที แต่ก็ด้วยเพราะยามนี้เขาไม่รู้ว่า...เขาควรจะต้องทำอย่างไรต่อ เขาจึงทำได้เพียงแนบริมฝีปากของตนเองเข้าไปบดเบียดกับริมฝีปากของคนตรงหน้า และเขาก็พยายามกอดเหรินเหยียนชิงเอาไว้ให้แน่นที่สุด...เท่าที่จะแน่นได้เท่านั้น 

    “อือ...เฟยหลงปล่อยข้า เฟยหลง...” เหรินเหยียนชิงดิ้นจนริมฝีปากของเขาเป็นอิสระจากอีกฝ่ายได้ จากนั้นเขาจึงพยายามผลักและเรียกชื่อคนตรงหน้า เพื่อดึงสติของเจ้าตัว 

     

    “เหยียนชิง ข้า...” จินเฟยหลงที่พยายามรวบรวมสติของตนเองอยู่ แต่เมื่อเห็นริมฝีปากบางของคนตรงหน้ากำลังขยับและเปล่งเสียงเรียกชื่อเขา...สติที่เขารวบรวมกลับมาได้ก็หลุดลอยหายไปอีกครั้งทันที

    จากนั้นจินเฟยหลงจึงก้มลงไปกดริมฝีปากของเขาให้แนบชิดกับริมฝีปากของคนตรงหน้าอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาได้ลองขบเม้มริมฝีปากของอีกฝ่าย และมือของเขาก็ได้เริ่มขยับลูบไล้ไปตามร่างกายของเหรินเหยียนชิง

                

    เหรินเหยียนชิงรีบรวบรวมสติและรวมรวมกำลังของตนเอง ก่อนจะซัดฝ่ามือเข้าไปที่ท้ายทอยของจินเฟยหลง

     

    “อ่ะ!”

     

    “เฮ้อ...เกือบไปแล้ว” เหรินเหยียนชิงรีบดันคนที่นอนสลบอยู่บนตัวเขาออก แล้วพาตัวเองลุกออกมาจากเตียง จากนั้นเขาก็ยืนมองจินเฟยหลงต่ออีกสักพัก ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมาจับที่ริมฝีปากของตนเอง

     

    “เจ้าไปโดนยาอะไรมาเนี้ย เฟยหลง! แล้วเหตุใดเมื่อครู่...” ‘ถ้าหากเมื่อครู่มันเรียกว่าการจุมพิต อย่างนั้น...ข้าก็เสียจุมพิตแรกให้กับสหายหาใช่สตรีในภายภาคหน้าของข้าน่ะสิ!’ เหรินเหยียนชิงรีบสลัดความคิดของตนเองทิ้ง แล้วเอื้อมมือไปจัดท่านอนให้กับคนที่ยังไม่ได้สติ ก่อนที่เขาจะพาตัวเองไปนั่งหลับที่โต๊ะเขียนหนังสือ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×