ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : FIRST PAGE : THE TALE OF LOVE IN LIFE (55%)
Love=labile เพราะ รัก=ความเปลี่ยนแปลง
ชีวิตที่ผ่านมา 16 ปี ของฉันนั้นยังสั้นแต่ก็ได้พบเจอกับเรื่องมากมายที่ไม่อาจจดลงบนหน้ากระดาษได้หมด ทั้งความดีใจที่สุขล้น โอกาสเพียงชั่วครู่ ความตื้นตันในเสี้ยววิ หรือจะเป็นความเหงาที่เดี่ยวดายหรือความเกรี้ยวโกรธที่ไร้หนทาง และความทุกข์เศร้าที่ทำได้เพียงนั่งกอดตัวเองภายในห้องแล้วหลั่งน้ำตาออกมา หรือกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง.....
16 ปีที่แสนสั้น แต่ก็ยาวนานผ่านเรื่องราวมากมายเกินกว่าจะจดจำไว้ บางอย่างนั้นหลุดลอยเหลือเพียงความประทับใจที่ยังค้างคาใต้จิตสำนึก เพราะอย่างนั้นจึงตัดสินใจที่จะบันทึกลงไป ความทรงจำที่ยังคงอยู่ในตอนนี้ ลงบนหน้ากระดาษที่มีสิทธ์หายสาบสูญได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามที่ตัวของฉันเองกำลังคำนึงถึงในตอนนี้
แล้วก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า เริ่มจากสิ่งที่แปรปรวนและไม่แน่นอนอย่างความรัก
ความรักมีคำเรียกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นภาษามือหรือภาษากาย แต่ทุกสิ่งนั้นสื่อความหมายถึงสิ่งนามธรรมที่เกิดขึ้นมาโดยไม่มีใครทราบหรืออาจเพียงไม่ทันได้รู้ตัวก็เป็นได้.... สำหรับฉันเองแล้วความรักนั้นช่างน่าลิ้มลอง
อ่อนหวาน ขมปร่า แสบจนร่ำไห้หรืองุนงงจนสับสน ตัวฉันเองก็ได้มีประสบการณ์ที่แสนสุขกับความรักเช่นกัน
มันเป็นภาพความทรงจำที่เลอะเลือน เรื่องราวในวัยประถม ตอนที่ยังเป็นเด็กหญิงที่แก่นแก้ว แสบซ่าไม่แพ้เด็กผู้ชาย ตอนนั้นเองที่ตัวฉันก็ได้รับความรักครั้งแรก...จากเด็กชายผู้หนึ่ง
จำชื่อไม่ได้เสียแล้วช่างน่าเสียดาย หากยังระลึกได้ถึงเค้าโครงรูปร่างที่เตะตาและการกระทำที่แปลกใหม่ในสายตา เด็กชายเป็นเด็กร่างท้วมออกอ้วนลงพุงเสียด้วยซ้ำ จำนิสัยไม่ได้แน่ชัดเพราะไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นนั้น แต่ดูแล้วน่าจะกล้าพอตัว
สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือจดหมายเศษกระดาษยอดฮิต... จดหมายรักที่ได้รับภายในคาบเรียน นึกแล้วก็เสียดายที่ไม่สามารถจดจำเอาไว้ เพราะนึกอยากรู้ว่าตัวเองในวัยกระเตาะนั้นได้ทำอะไรไว้กันแน่น้า คงจะเป็นอะไรที่น่าสนุกน่าดูชม ต่อมาคือเรื่องราวในวันคริสต์มาส เขานั้นได้มอบของขวัญให้ซึ่งก็คือสบู่รูปถุงเท้า....มานึกย้อนไปเหตุอันใดกันแน่ที่เด็กคนนั้นนึกพิเรน เอาสบู่รูปถุงเท้าคริสต์มาสกลิ่นฉุนนั้นให้ และอีกอันคือซานต้าแก่คุณครูและห้อง ซึ่งปัจจุบันเจ้าสบู่นั้นได้ถูกส่งต่อไปหลายทอดอย่างน่าขบขัน จากเด็กชายสู่เด็กหญิง จากเด็กหญิงสู่คุณแม่ จากคุณแม่สู่คุณยายและมันก็ถูกเก็บลงกล่องโดยที่ยังไม่ยอมหมดก้อน ณ ดินแดนตอนเหนือ ใต้ตู้เสื้อเก่าเท่าที่ฉันจำได้
และที่จำได้ในสมัยนั้นอีกอย่างคือมีเด็กหญิงเพื่อนฉันนั้นถูกตามจีบเช่นเดียวกัน
เรื่องครั้งที่สองที่อยากจะเขียนถึงเด็กหนุ่มที่คนนี้ฉันสามารถจำชื่อเขาได้แม่นยำนัก แม้จะเป็นแค่ชื่อเล่นที่โหลเหลือเกินแต่เขาก็ได้ก่อ วีรกรรมอัน(ไม่)น่าจดจำให้ฉันจำมันได้ฝังแน่นเชียวละ
ชื่อของเขาคือ “ปาล์ม” เป็นช่วงที่ฉันอายุได้ 12 ปีกระมัง แต่คงเป็นราวๆป.6-ม.1
เราได้เจอกันในวันสงกรานต์ เล่นด้วยกันโดยไม่รู้จักชื่อ คุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนรู้ใจ ที่สำคัญเขาเอาน้ำแข็งละลายน้ำมาราดฉันจนเกือบไข้ขึ้น แต่ตอนเด็กนั้นอึดมากพอเลยหายไวเหมือนไม่เคยเป็น
ฉันได้เจอเขาอีกครั้งพร้อมกับรู้ชื่อ และพบว่าเขาเป็นเพื่อนชายของเพื่อนชายคนสนิทฉัน(คนนี้เองก็เป็นหนึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องกันกับความรักของฉันเช่นกันแต่ขอยกยอดไว้ทีหลัง) ฉันได้คุยกับเขาบางครั้ง เขามีความคิดที่สนุกและคล้ายคลึงฉันบางส่วน...
ฉันไม่เคยคิดว่าเรื่องมันจะออกมาอีกรูปแบบ
ฉันคิดแค่เขาเป็นเพื่อนของพาร์ทเนอร์ต่างเพศของฉันเท่านั้น
มันเป็นช่วงเย็นในวันที่น่าจะเป็นวันพิเศษ ห้องเรียนยามนั้นร้างผู้คน ตัวฉันเองยังนั่งวาดรูปอย่างสนุกสนาน โลดแล่นไปในจินตนาการ และเขาก็โผล่มา ชวนคุยเล็กน้อยแล้วเริ่มถกเถียงกันเรื่องการวาดรูปในรูปแบบที่ฉันโปรดปราน และมันก็เริ่มต้นขึ้น....
“เราชอบเธอนะ มาเป็นแฟนกันได้ไหม” น่าจะเป็นคำบอกเล่ากึ่งคำถามที่พูดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ตัวฉันตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพราะเนื่องด้วยไม่ได้ใส่ใจเรื่องรักๆใคร่อยู่แล้ว จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน แล้วตัวฉันตอบไปว่าอย่างไงนะ
คำสนทนาที่ฉันตอบกึ่งตกลงกึ่งปฏิเสธ คงทำให้เขานึกคึกเริ่มลุกขึ้นโอบกอดพลางหว่านล้อมอะไรสักอย่าง
น่าเสียดายวันนั้นฉันมีเพียงภาพพร่ามัว เพราะการคิดมากไปจนปฏิเสธที่จะรับฟังก็เป็นได้ มือที่โอบกอดเริ่มลวนลาม เขาพยายามจะเลิกเสื้อฉันขึ้น หรีอบีบหน้าอกด้วยซ้ำไป บางที่ตอนนั้นคงเป็นเวลาที่เกือบจะเสียตัวหรือเปล่านะ
แต่ด้วยความสัตย์จริงฉันชอบการที่มีคนสัมผัสแต่นั้นยกเว้นกรณีนี้ที่ฉันยังงุนงงเกินกว่าจะคิดทัน และมันก็สายไปเมื่อฉันโดนจูบ !
มันไม่ใช่ความรู้สึกอ่อนหวานเหมือนในนิยายหวานแหวว ไม่ได้เกิดอาการเคลิ้มอย่างใด แต่เป็นความขยะแขยงสุดจะทน ภายในปากมีลิ้นของอีกฝ่ายชอนไชเข้ามาอย่างรุกล้ำโดยที่ไม่ได้เอ่ยขอ หรือถามฉันซักคำ
หลังจากนั้นเขาก็พึมพำเรื่องที่ผู้หญิงจะว่าง่ายหรือไม่มีการสงวนตัว นั้นทำให้ฉันฉุนแต่ตอนนั้นโลกเหมือนหยุดชะงักก่อนจะเดินไปอย่างฝืดเคือง เรื่องดำเนินต่อไปโดยทีฉันเริ่มปฏิเสธการกระทำลามปามของเขา
หลังจากนั้นฉันสามารถแยกออกจากมันมาได้เพราะการที่มีน.ร.ชายคนหนึ่งเขามาเห็นตอนที่ฉันโดนอุ้มตัวลอยหมุนควงไปมาตอนจบ
ที่ทำต่อจากนั้นคือการล้างปากครั้งยิ่งใหญ่ บ้วนน้ำ แปรงฟันจนเลือดซึม เพื่อลบความรู้สึกที่ยังติดอยู่ในปาก ซึ่งมันขยะแขยงเกินทน
สิ่งที่ทำต่อมาคือการอยากเดินไปตบหน้าผู้ชายไร้มารยาท ด่าทอให้หายจากความโกรธไร้ที่มา
แต่คงเพราะไม่กล้าพอสิ่งทำออกมาคือการพร่ำเขียนจดหมายสั้นๆที่เต็มไปด้วยคำประชดประชันและด่าทอกึ่งเหยียดหยาม และการปฏิเสธเขาออกจากชีวิตโดยสิ้นเชิง ซึ่งมันได้ถูกส่งต่อให้เพื่อนของเขาไปสู่เขา ซึ่งไม่รู้ว่าเรื่องราวต่อจากนั้นเป็นยังไง แต่ที่แน่นอนก็คือ...เขาหายไปจากชีวิตฉันโดยสิ้นเชิง แม้จะมีเหตุให้กลับมาประสบพบกันอีกครั้งในตอนหนึ่งแต่แน่ละ เมินทิ้งไปเสีย !!!
เอาละวกกลับมาก่อนเรื่องทุกอย่างที่เขียนนี้ไม่ใช่สิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้น ชีวิตในความรักของฉันหลงทางมากมาย เคยแอบหลงคิดเพ้อไปซักอาทิตย์ด้วยซ้ำว่าบางทีถ้าลองไปชิดคนนี้ บอกรักคนนู่นจะทำให้ชีวิตหวานเลี่ยนดั่งนิยายนั้นจะเกิดขึ้นกับฉันรึเปล่า แต่เมื่อทำแค่คิด ทุกสิ่งจึงไม่เกิด......
มาถึงเคสที่ 3 รายนี้เรื่องนั้นยาวยอดใช้ได้ถ้าถามว่ายาวขนาดไหน ก็ตั้งแต่ ป.1จนถึงปัจจุบันชีวิตของฉันก็ยังหนีเขาไม่พ้น....
เขาคือเด็กหนุ่มร่างสูงผอม หน้าดีดูได้ไม่ได้หล่อจนเป็นดาราหรือทุเรศ แต่มีความพิเศษบางอย่างที่จะทำให้จดจำเขาไว้ได้ และนิสัยที่คลึงคล้ายกับฉันเองหลายส่วนหรืออาจเป็นเกือบทั้งหมด เป็นชายที่ฉันจดจำชื่อนามสกุล ชื่อเล่นได้แม่นยำ สมกับเวลานับ10ปีทีอยู่ด้วยกัน มันเหมือนมีพรหมลิขิต อย่างไงนะเหรอ
1. เราอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่ ป.1-ม.1(เพราะช่วงม.2ฉันดันทำบางอย่างผิดพลาด)
2. เขากับฉันเราเป็นเพื่อนร่วมรถตู้โรงเรียนที่จะพากลับบ้านมาตลอดหลายปี
3. เราใช้เวลาเดินตัวติดกัน สนิทกันยิ่งกว่าเพื่อนเพศเดียวกันเสียอีก
4. เราถูกเลือกให้นั่งข้างกันตลอด 7 ปีการศึกษา
5. ความรักในการวาดรูปและเรื่องราวที่คุยกันได้รู้เรื่องราวกับล่วงรู้ใจ
เดินข้างกัน นั่งติดกัน คุยด้วยกัน กลับด้วยกัน จากสายตาคนนอกแล้วคงมองเราเป็นแฟนหนุ่มสาวที่ช่างรักและเหมาะสมกันเหลือเกิน มิตรภาพที่นานวันยิ่งลึกซึ้งเลยคำว่าเพื่อนแต่กระนั้น...ก็ไม่ใช่คู่รัก
ความคิดเห็น