ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดขุนศึกสะท้านปฐพี 2

    ลำดับตอนที่ #1 : ความลับถูกเปิดเผย

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 60


       

     
         
     
         
                สายลับโจรเป่ยฮั่นสองนาย ถูกจับมัดมือไขว้หลัง คุกเข่าอยู่ในห้องที่ค่าย หยางซื่อหลางนั่งอยู่บนโต๊ะ มีทหารเอกยืนอยู่ข้างๆ เขามองโจรทั้งสอบที่ลอบเข้าป่าไผ่ และถูกจับตัวมาอย่างเยือกเย็น

         โจรทั้งสองถูกยัดของอุดปากไว้ด้วย ทำให้ไม่สามารถกัดลิ้นฆ่าตัวตายได้

         "ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นโจรกู้ชาติ เป็นสายสืบที่ถูกส่งมา เพื่อสอดแนมข้าโดยเฉพาะ หัวหน้าของพวกเจ้าหัวไวไม่น้อย ข้าสู้กับนางสองเที่ยว นางจำข้าได้อย่างแม่นยำ และเดาได้ถูกว่า ข้าลอบช่วยเหลือแม่ทัพหยางกับกองทหารที่สาม จึงคิดกำจัดข้าเสีย แต่ข้าก็ไม่ได้โง่ ที่จะเดาเรื่องนี้ไม่ออก"

         นายน้อยสี่ลุกขึ้นยืน เดินเอามือไพล่หลัง มาหาพวกเขาทั้งสองใกล้ๆ

         "ข้ารู้ว่าตอนนี้พวกเจ้าคงอยากตาย กฏของการทำงานพลาด ถูกศัตรูจับได้ คงมีแต่ต้องฆ่าตัวตายสถานเดียว เป่ยฮั่นอบรมลูกน้องได้เยี่ยมมาก ทำให้คนยอมทุ่มเทกายใจ จงรักภักดีถึงขั้นพลีชีพได้ขนาดนี้ แปลว่าหัวหน้าของพวกเจ้าไม่ธรรมดา ต่อให้ข้าใช้วิธีทรมานยังไง พวกเจ้าก็คงไม่ยอมปริปาก แพร่งพรายความลับของพวกพ้อง ข้าไม่มีทางได้ข้อมูลของกองโจรจากพวกเจ้าแน่ๆ อย่างนั้นใช่ไหม"

         โจรทั้งสองนิ่งเงียบ เพราะพูดไม่ได้ แต่แววตาแข็งกร้าว เย็นชา แสดงถึงการยอมรับ หยางซื่อหลางยิ้ม กอดอกยืนพิงขอบโต๊ะ

         "ข้าก็ไม่มีปัญญาทำให้พวกเจ้าปริปากหรอก และข้าก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งข้อมูลจากพวกเจ้าด้วย เพราะข้าน่ะ รู้มากกว่าที่พวกเจ้ารู้ซะอีก แต่หัวหน้าของเจ้านี่สิ กลับไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับข้าเลย งั้นเอาอย่างนี้ละกัน ข้าจะให้ข้อมูลของข้าแก่พวกเจ้า นำกลับไปมอบแก่หัวหน้า ถือว่าเป็นจดหมายทำความรู้จัก และขอให้ประกาศต่อหัวหน้าพวกเจ้าด้วยว่า ศัตรูของพวกเขาไม่ใช่กองทหารที่สามของวังหลวง แต่เป็นข้า...หยางเอี๋ยนหลาง นายน้อยสี่ที่อ่อนหัดที่สุดของตระกูลหยางต่างหาก เล่นงานค่ายที่สามได้ แต่ปราบข้าไม่ได้ แผนกู้ชาติก็ไม่มีทางสำเร็จหรอก ทางที่ดี คิดหาวิธีรับมือกับข้าดีกว่า เสียเวลาทำเรื่องไร้สาระ น่ากลัวเจ้าจะบอกไม่หมด หรือไม่กล้าพูด ข้าก็เลยเขียนจดหมายถึงเขาแล้ว ไหว้วานพวกเจ้าส่งให้ถึงมือละกัน จิ้งจง..."

         "ครับ คุณชาย"

         "ส่งพวกเขาออกจากป่า แล้วค่อยมอบจดหมาย"

         "ทราบแล้วครับ"

         ทหารเอกสั่งทหารนำตัวโจรทั้งสองออกไปก่อน ตัวเขาอยู่ฟังคำกำชับของนายน้อย ก่อนจะรีบไปทำตาม หยางซื่อหลางยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
     


     
         สายลับทั้งสอง นำจดหมายมามอบแด่หวังหงเยี่ย นางเปิดออกแล้วอ่านอย่างละเอียด

         ...การกอบกู้ชาติ เป็นอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ หากเจ้าคิดผิด ที่ลงมือยามนี้ เป่ยฮั่นเสื่อมโทรม ถึงได้สูญสลาย ต้าซ่งสืบแทน มั่นคงยิ่งใหญ่ ประชากรผาสุข อยู่อย่างร่มเย็น ฮ่องเต้ทรงธรรม ปกครองด้วยชอบ ทุกหย่อมหญ้าต่างสงบ เจ้ากลับก่อกองไฟ สร้างความทุกข์ร้อน เสียหายแก่ราษฏร เพียงเพื่อล้างแค้น ต้องเดือดร้อนทุกหัวระแหง จึงอยากขอเตือน ทำการยามนี้ ไร้หนทางสำเร็จ สุดท้ายจะถูกปราบสิ้น จงหยวนเพียบพร้อมด้วยคนเก่ง มิได้มีเพียงหยางเยี่ย แม่ทัพใหญ่ และกองทหารที่สามไม่ ตัวข้า...คือผู้ที่เจ้าควรสนใจอย่างยิ่ง แผนกู้ชาติของเจ้า ล้มเหลวเพราะข้าหลายครั้ง ดังนั้นคงไม่ต้องบอก ว่าข้ารู้จักเจ้าดีเพียงใด และอ่านแผนของเจ้าออกเพียงใด หากสำนึก จงรีบกลับใจ หาไม่แล้ว...จุดหมายของพวกเจ้า มีสถานเดียว คือ ตาย"
     
    ลงชื่อ หยางเอี๋ยนหลาง
     
         หวังหงเยี่ย ปิดจดหมายอย่างใจเย็น แววตากร้าวแกร่งเป็นประกายโชติช่วง

         "หยางเอี๋ยนหลาง คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เราพบคู่ต่อสู้ที่ตึงมือแล้ว"

         สุ่ยหลง ขุนพลเอกคู่กาย ที่ยืนอ่านอยู่ด้วย กลับยิ้มเย้ยหยัน

         "หงเยี่ย ข้าว่าเจ้าชมเกินไป แค่จดหมายนี้ ข้าว่า มันก็จะเอาตัวไม่รอดแล้ว เจ้าลองคิดดูนะ หยางเอี๋ยนหลางแอบซ่องสุมผู้คน ทำการโดยพละการ หยางเยี่ยเป็นคนเข้มงวดวินัยทหาร หากรู้ว่า บุตรชายก่อการอุกอาจ ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่งในกองทัพ จะต้องจับตัวไปลงโทษแน่ เราแค่ส่งจดหมายนี้ไปให้หยางเยี่ย ให้มันกัดกันเอง เราก็ไม่ต้องเหนื่อยแรงเลย"

         นางโจรสาวหาได้มีสีหน้าระรื่นดีใจอย่างเขาไม่ กลับเอ่ยเรียบๆ

         "ข้อนี้เจ้าคิดได้ แล้วเขาจะคิดไม่ออกหรือ"

         "เจ้าหมายความว่า..."

         "หยางเอี๋ยนหลางทำเกินหน้าที่ แปลว่าเขาเตรียมพร้อมรับมืออยู่แล้ว ถึงเขาจะฉลาด แต่หยางเยี่ยก็ไม่ได้โง่ คงต้องสงสัยบ้าง แต่ถ้าจับไม่ได้คาหนังคาเขา หยางเยี่ยจะทำอะไรได้ เจ้าลองคิดดูสิ แค่ค่ายกลในป่าไผ่ ก็แสดงถึงความยอดเยี่ยมทั้งในเชิงวิชา และยุทธศาสตร์แล้ว หยางเยี่ยหากหลงเข้าไปในนั้น สภาพก็คงมิได้แตกต่างไปจากพวกนั้นเท่าไรหรอก เขาถือดี แต่ว่าก็มีดีจริงๆ หยางเยี่ยตามไม่ทันลูกตัวเอง ข้าว่าใช้แผนกัดกันเองตอนนี้ ยังไม่ได้ผล"

         "แต่จดหมายนี่ก็เป็นหลักฐานว่าหยางซื่อหลางสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องการทหารจริงๆ ถ้าหยางเยี่ยเห็นเข้า ต้องไม่อยู่เฉยแน่ แม้จะไม่เอาผิดถึงตายก็เถอะ เราควรจะลองดูนะ"

         สุ่ยหลงคะยั้นคะยอให้ทำตามแผนของเขา หวังหงเยี่ยนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้า

         "ก็ได้ ข้าก็อยากรู้ว่า เขาจะเอาตัวรอดยังไง หาคน...ส่งจดหมายไป!"
     

     
         หยางเยี่ยเดินตรวจค่ายหทารอยู่กับหยางอู่หลาง ทหารคนหนึ่งก็นำจดหมายเข้ามา

         "เรียนท่านแม่ทัพ มีชาวบ้านคนหนึ่ง นำสาสน์มามอบให้ครับ แต่เขาไม่ระบุว่าใครส่งมา"

         แม่ทัพใหญ่รับมาอย่างฉงน ก่อนนำไปเปิดอ่านในกระโจม และเมื่อได้อ่านจบ ทั้งถ้อยคำสำนวนความ ทั้งลายมือ และชื่อที่ลงท้าย เขาถึงกับเงยหน้าอย่างตกตะลึง
     

     
         หยางซื่อหลางวิ่งมาที่ลำธาร พบจุนย่งฉีกำลังนั่งกินขนมอยู่อย่างเอร็ดอร่อย

         "นึกแล้ว ว่าเจ้าต้องอยู่ที่นี่"

         นางเงยหน้ามอง แล้วรีบกลืนก้อนขนมที่อัดลงไปในปากอย่างหิวจัด  

         "อ๋อ ท่านทำธุระเสร็จแล้วเหรอ"

         เขามองเศษขนมที่เลอะขอบปากนางอย่างขำๆ ยืนกอดอกพิงต้นไม้

         "ทำไม หิวจนตาลาย หรือว่า เหนื่อยจนหมดแรง"

         "เปล่าสักหน่อย ข้าไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น"

         "แต่ท่าทางเจ้ามันบอกว่า เพลียมาก ซ้อมเพลงทวนหนักไปสำหรับเจ้าใช่ไหม"

         นางชะงัก มองฝ่ามือที่เป็นรอยแดงเถือก แล้วตอบอุบอิบ

         "ข้าเคยแต่ถือกระบี่ มาถือทวน ก็เลยไม่ค่อยชินเท่าไหร่"

         เขาเผลอถอนใจอย่างสงสาร

         "ถ้าเจ้าจะเป็นทหารก็ต้องฝึกเพลงทวนเป็น"

         "รู้แล้วล่ะน่า ไม่ได้บอกว่าจะไม่ฝึกสักหน่อย"

         เขานิ่งไปครู่ ก่อนจะนั่งลงบนโขดหิน บอกกับนางด้วยเสียงอ่อนโยน

         "นี่ จุนย่งฉี ถึงเจ้าจะทำได้ดีแทบทุกเรื่อง แต่ข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อนนะ ขอพูดตามตรง ข้าไม่บีบบังคับเจ้า ถ้าเจ้าทนไม่ไหวจริงๆ จะออกเมื่อไหร่ก็ได้ ข้าจะไม่ว่า และไม่ลงโทษเจ้าเลย"

         นางชะงัก เผลอเชิดปากพูดงอนๆ

         "ทำไมถึงชอบดูถูกข้าเรื่อยเลยนะ"

         "ข้าไม่ได้ดูถูก แค่พูดเผื่อไว้ เจ้าจะได้ไม่ต้องคิดมาก ถ้าวันไหนอยากจะไป"

         "ก็ได้ ข้าจะแสดงให้เจ้าดูว่าข้าไม่ได้เหนื่อย คอยดูนะ"

         นางหยิบไม้ไผ่อันยาวขึ้นมา แล้วร่ายรำเพลงทวนเหรินฉีให้เขาดู หยางซื่อหลางยืนขึ้น กอดอก มองยิ้มๆ ล้อมาว่า

         "มีแต่กระบวนท่า ไม่เห็นมีพลังเลย"

         นางฉุนกึก จึงจู่โจมใส่เขา แทงใส่ตัวเป็นพัลวัน เขาหลีกหลบได้หมด นางสะดุดก้อนหินล้มลง เขารับร่างนางไว้ จึงล้มลงไปกองกับพื้นด้วยกัน นางทาบทับบนร่างของเขา สองสายตาประสาน แล้วต่างจ้องตะลึง

         "เจ้างามจริงๆ!"

         จู่ๆ เขาก็เปรยขึ้นมาคล้ายละเมอ นางลุกพรวด ถึงกับสะอึก ใบหน้าร้อนวาบ

         "ท่าน...ท่านพูดอะไรน่ะ"

         เขาเห็นอาการประหม่าขัดเขินของนางแล้วยิ้มน้อยๆ

         "หึ ข้าบอกว่า หน้าเจ้าสวยและหวานมาก หากเจ้าเป็นหญิง ข้าว่าคงเป็นหญิงงามในแผ่นดิน"

         นางมิเพียงเขิน ยังหน้าแดงแล้ว

         "ข้า...ข้าจะเป็นผู้หญิงได้ยังไงล่ะ พูดเหลวไหล ข้าไปดีกว่า"

         ผานจื่อเอียนรีบจากลา เพราะขืนอยู่นานกว่านี้ ตัวนางเองคงมิอาจทนกับสายตาอ่อนหวานคู่นั้นไหว หยางซื่อหลางมองนางแล้วยิ้มส่ายหน้าขันๆ ก่อนจะชะงัก เมื่อนึกถึงอีกคนขึ้นมา

         "ยั่วหลาน...ถ้าเป็นตอนนี้ เจ้าก็คงจะเติบโตเป็นหญิงงามเช่นกัน หวังว่าเจ้าคงสบายดี มีชีวิตที่มีความสุข เจ้าลืมข้าไม่เป็นไรหรอก ขอให้เจ้าปลอดภัย และมีชีวิตที่ดีก็พอแล้ว"
     

     
         หยางซื่อหลางนั่งอยู่บนหลังม้า ทอดสายตามองไปยังหุบเขาเบื้องล่างด้วยสายตาครุ่นคิด เขามายังที่แห่งนี้หลายครั้งแล้ว ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง จิ้งจงควบม้าเร็วเข้ามาถึง

         "คุณชาย...เรียนคุณชาย ท่านแม่ทัพหยางมาที่ค่ายครับ!"

         ทหารเอกรายงานเสียงกระหืบกระหอบอย่างร้อนใจ นายน้อยสี่ถอนสายตากลับมา นิ่งไปอึดใจ ก่อนบอกน้ำเสียงปกติ

         "เจ้าไปนำทางท่านพ่อเข้ามา ส่วนข้าจะไปรอที่ค่าย"

         "แล้ว...เรื่องค่ายกล..."

         "ไม่ต้องพูดอะไร แต่ถ้าท่านรู้ ก็ไม่เป็นไร"

         ทหารเอกรับคำ แล้วควบม้าเร็วจากไป นายน้อยสี่มีใบหน้าเรียบเฉย ยังนั่งนิ่งอย่างใจเย็น
     

     
         หยางเยี่ย ในชุดแม่ทัพองอาจ ยืนมือไพล่หลังอยู่หลังโต๊ะทำงาน หันหลังให้กับจิ้งจงที่ยืนสงบสำรวมอยู่ ขณะที่บุตรชายคนที่สี่เดินเข้ามาช้าๆ แล้วยกมือคำนับ กล่าวเสียงกังวาน

         "คารวะ ท่านแม่ทัพ"

         "อืม...เจ้าไปไหนมา"

         ถามเรียบๆ โดยไม่หันกลับมา หยางซื่อหลางก็ตอบน้ำเสียงธรรมดา

         "ข้าน้อยขึ้นเขา ไปสำรวจชัยภูมิรอบๆ ค่ายครับ"

         "...สำรวจชัยภูมิ...นี่มันหน้าที่อะไร"

         น้ำเสียงบิดาเริ่มห้าว แต่ก็ยังไม่หันมา

         "ไม่ใช่หน้าที่ของข้าน้อยหรอก เพียงแค่เป็นงานอดิเรกยามว่างของข้าน้อยเท่านั้นเอง"

         เขายังตอบเสียงเรียบ บิดาหันกลับมาช้าๆ จ้องลูกเขม็ง

         "อ๋อ พนักงานเอกสารอย่างเจ้า ก็สนใจเรื่องชัยภูมิ พื้นที่กับเขาด้วยหรือ"

         "ถึงข้าน้อยจะเป็นแค่เจ้าหน้าที่บัญชี ตำแหน่งเล็กที่สุดในค่ายทหาร แต่อย่างไรก็มีศักดิ์เป็นทหาร ดั่งคำเขาว่า เมื่ออยู่ในกองทัพ ไม่ว่ายศสูงต่ำ เล็กใหญ่ปานใด ก็ควรจะต้องรู้หลักพื้นฐานการศึก ชัยภูมิพื้นที่ และพิชัยยุทธิ์เอาไว้บ้าง เพราะต่อให้เป็นทหารเลว ถ้าไม่รู้อะไรเลย ดีแต่คอยฟังคำสั่ง ก็อาจจะทำให้งานใหญ่เสียหาย หรือล่าช้าโดยไม่จำเป็นได้"

         เขาตอบอย่างห้าวหาญ เชิดหน้าอย่างทระนง หยางเยี่ยทำเสียงคำรามในลำคอ

         "ดี นอกจากจะเก่งงานเอกสารแล้ว ความรู้และปัญญาของนายน้อยสี่ตระกูลหยางนี้ ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน นอกจากที่เจ้าบอกกับข้าเมื่อครู่แล้ว ยังมีอย่างอื่นที่ทำให้ข้าทึ่งได้อีกไหม"

         "ข้าน้อยเป็นแค่หนอนหนังสือ เก่งแต่ในตำรา คงไม่มีเรื่องอะไรทำให้ท่านแม่ทัพทึ่งได้"

         เขาตอบหน้าตาเฉย บิดาเบิกตาลุกวาว ล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากเสื้อเกราะ

         "เฮอะ แต่สิ่งนี้ มันทำให้ข้าทึ่งได้ จิ้งจง เอาให้เขาดู!"

         ทหารเอกเห็นหน้าจดหมายถึงกับสะอึก ใจหายวาบ รับมาอย่างหน้าเสีย ก่อนส่งให้นายน้อยสี่อย่างหวาดเสียว หยางซื่อหลางกลับรับไปเปิดอ่านด้วยใบหน้านิ่งเฉย สงบจนเขาแปลกใจ

         "ว่าไง พอคุ้นๆ ไหม ว่ามันเป็นของใคร"

         หยางเยี่ยตวาดถามอย่างหมั่นไส้ เมื่อเห็นท่าทางเยือกเย็นของเขา นายน้อยสี่ปิดจดหมาย ถือไว้ในมือ ตอบอย่างองอาจว่า

         "เรียนท่านแม่ทัพ จดหมายนี้ เป็นของข้าน้อยเอง!"

         จิ้งจงสะดุ้ง บิดาเบิกตาอย่างคาดไม่ถึง ร้องลั่น

         "นี่เจ้า! กล้ายอมรับซึ่งๆ หน้า อย่างนี้เลยหรือ"

         "ก็ในเมื่อมันเป็นของข้าน้อย ข้าน้อยก็กล้ารับ ไม่เห็นต้องกลัวอะไร"

         เขากลับตอบด้วยท่าทีปกติมาก นิ่งเสียจนหยางเยี่ยยังมึน ต้องเอามือตบโต๊ะดังปัง!

         "หยางเอี๋ยนหลาง เจ้าทำอะไรอยู่ รู้ตัวรึเปล่า"

         "เรียนถามท่านแม่ทัพ ข้าน้อยทำอะไรเหรอ"

         "เจ้า! กล้ายอมรับว่าจดหมายนี้เป็นของเจ้า ยังจะตีหน้าซื่อถามข้าว่าทำอะไรลงไปงั้นหรือ"

         "ก็ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ข้าน้อยได้ทำอะไรให้ท่านแม่ทัพไม่พอใจรึไง"

         หยางเยี่ยไม่รู้จริงๆ ว่าบุตรชายจอมดื้อรั้น และเจ้าเล่ห์คนนี้ จะมาไม้ไหนกันแน่ นั่งลงบนโต๊ะทำงานของเขา แล้วตะคอกถาม

         "ซื่อหลาง เจ้าเข้ามายุ่งกับการรบระหว่างข้ากับกองโจรเป่ยฮั่นใช่ไหม"

         ไม่มีความตื่นเต้นตกใจบนใบหน้านั้น เขากลับตอบอย่างเรียบๆ ง่ายๆ

         "ใช่ แล้วก็ ไม่ใช่!"

         "นี่เจ้า! จดหมายท้ารบโจรเป่ยฮั่น เจ้าเป็นคนเขียน เนื้อหาของมันประกาศท้าทายอย่างยโสโอ้อวด ข้ามหน้าข้ามตาข้า และกองทหารที่สาม ราวกับดูถูกว่าไม่มีปัญญารับมือได้ ให้พวกเขาหันมามองคู่ปรับคนใหม่ ที่เคยทำลายแผนกู้ชาติมาแล้วหลายครั้ง และคนๆ นั้นก็คือ เจ้าเอง"

         มุมปากของบุตรชาย เหมือนจะมีรอยยิ้มหยันเล็กน้อย

         "ตกลงที่ท่านแม่ทัพโกรธ คือ เนื้อหาในจดหมายนี้ พูดข่มท่านแม่ทัพกับกองทหารที่สาม หรือว่า เพราะแผนของข้า ที่ทำลายพวกโจรกู้ชาติหลายครั้งกันแน่"

         "หยางเอี๋ยนหลาง!"

         บิดาโมโหจนลุกพรวดขึ้นยืน ตะคอกเรียกชื่อหน้าแดงก่ำ จิ้งจงรีบยกมือคำนับ หน้าซีดเผือด

         "ท่านแม่ทัพอย่าเพิ่งโกรธ โปรดฟังคุณชายอธิบายก่อน"

         "เจ้าเป็นใครกันแน่!"

         หยางเยี่ยตวาดอย่างฉุนขาดสุดๆ หยางซื่อหลางหันมาจ้องตาบิดา น้ำเสียงเริ่มแข็งกร้าว

         "ท่านแม่ทัพถามได้ดี ข้าหยางเอี๋ยนหลางเป็นตัวอะไร ในสายตาของท่าน คงต้องขอให้ท่านชี้แนะข้าด้วยตัวเองกระมัง"

         "เจ้ากล้าแข็งข้อกับพ่อเหรอ"

         บิดาเดินเข้ามา ชี้หน้าบุตรชายอย่างโมโหสุดๆ เขากลับเชิดหน้าเมินไปอีกทาง

         "ในค่ายทหารไม่มีคำว่า พ่อลูก ท่านแม่ทัพโปรดระวังคำพูดด้วย!"

         "นี่เจ้า!"

         หยางเยี่ยสุดจะทน ยกมือขึ้นจะตบ จิ้งจงร้อง แต่หยางซื่อหลางค่อยๆ หันมา มองพ่อด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ เสียใจ และน้อยใจ มันผสมกันอยู่นั้น จนเขามิอาจหักใจฟาดมือลงไป ได้แต่ถือค้างอยู่ บุตรชายเจ้าปัญหาพูดเสียงกร้าว แต่สั่นเล็กน้อย

         "ถ้าท่านไม่ฟังคำอธิบาย อ่านจดหมายแล้วก็อยากจะทุบ จะตีข้า โดยไม่ถามเหตุผล ข้าก็จะไม่ปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว เชิญท่านลงมือได้ตามสบายเถอะ"

         "ซื่อหลาง..."

         บิดาลดมือลง พยายามระงับโทสะอย่างเต็มที่

         "หนึ่งปีมานี้ พ่อไม่อยู่กับเจ้า นึกไม่ถึงเลย ว่าพอกลับมาแล้ว พ่อจะไม่รู้จักเจ้าเลยสักนิดเดียว เราเหมือนคนแปลกหน้าระหว่างกันเข้าไปทุกที โจรเป่ยฮั่นส่งจดหมายนี้มา ลงชื่อว่าหยางซื่อหลาง ลูกคนนี้เป็นใคร แค่เจ้าหน้าที่เอกสาร ที่วันๆ ขลุกอยู่แต่ตำรา แต่จดหมายนี้เป็นสาสน์ท้ารบ ที่เขียนออกมาประดุจเขาเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกร ข้าไม่อยากจะเชื่อ แต่เจ้าก็สารภาพออกมาเองว่าเป็นของเจ้า แล้วเจ้าจะให้พ่อ...มองเจ้าเป็นคนยังไง"

         หยางซื่อหลางพยายามกล้ำกลืนความรู้สึก และอารมณ์ให้กลับสู่ปกติ

         "ท่านแม่ทัพ จดหมายนี้เป็นของข้า ข้าน้อยเขียนขึ้นจริงๆ แต่ข้ายังบอกไม่หมด เนื้อหาในจดหมายนั้น ไม่ได้มาจากข้า แต่เป็นคนอื่นต่างหาก"

         "อะไรนะ เป็นใคร"

         "แม่ทัพสามแห่งชายแดน หยางเอี๋ยนเจา!!"

         หยางเยี่ยตะลึงไปวูบหนึ่ง ก่อนร้องลั่น

         "ซันหลางหรือ เจ้าโกหก ลูกสามอยู่ชายแดน จะมาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ยังไง"

         "ข้าน้อยขออนุญาติอธิบาย ไม่ทราบท่านแม่ทัพจะฟังไหม"

         เขาถามเสียงเรียบ บิดาอึ้งไปครู่ ก่อนพยักหน้า

         "พูดมา"

         "แม่ทัพสาม ตัวอยู่ชายแดน แต่ใจนึกเป็นห่วงเมืองหลวงเสมอมา คอยส่งจดหมายมาไถ่ถามฟังข่าวจากข้าน้อยอยู่เสมอๆ ข้าน้อยเป็นคนช่างสังเกต และชอบสืบค้น จึงได้ข้อมูลมากมาย ส่งกลับไปให้ รวมถึงเรื่องการกู้ชาติของพวกโจรเป่ยฮั่นด้วย แม่ทัพสามรู้เรื่องเข้า จึงทั้งร้อนใจและเป็นห่วง เขียนมาแลกเปลี่ยนความเห็น และไต่ถามความคืบหน้าการศึกอยู่เรื่อยๆ จนวันที่แม่ทัพสามรู้ว่าพวกโจรบุกค่ายทหารที่สาม เขากังวลมาก จึงสั่งให้ข้าน้อยทำจดหมายท้ารบ มีสองจุดประสงค์ด้วยกัน หนึ่งคือ เบี่ยงเบนความสนใจให้พวกเขาพะว้าพะวัง ห่วงหน้าพะวงหลัง จนไม่อาจทุ่มเทพลังขับเคี่ยวกับกองทหารที่สามได้ทั้งหมด สองคือ เป็นสาสน์เตือนว่า ศัตรูของพวกเขา ยังมีอีกคน นั่นก็คือ แม่ทัพสาม นั่นเอง"

         หยางซื่อหลางกล่าวอย่างฉาดฉาน ทหารเอกเริ่มหัวหมุนอย่างงุนงง บิดากลับตวาดลั่น

         "เหลวไหล ซันหลางประจำอยู่ชายแดน จะมาเปิดศึกท้ารบกับพวกโจรได้ยังไง"

         "ท่านแม่ทัพยังไม่ทราบว่า แม่ทัพสามจะกลับจากชายแดน มาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ในอีกห้าวันข้างหน้า"

         เขาบอกเสียงเรียบอย่างจริงจัง แต่บิดายังไม่เชื่อ

         "ซื่อหลาง เจ้าอย่ามดเท็จนะ"

         "นี่เป็นจดหมายของแม่ทัพสาม ท่านแม่ทัพก็อ่านเอาเองเถอะ"

         เขาหยิบจดหมายที่สอดอยู่ในตำราบนโต๊ะมาส่งให้บิดา บิดารับไปอ่านจบแล้ว ถึงกับมึน

         "หมายความว่า...ทั้งหมดนี้ เป็นแผนของซันหลาง แต่ให้เจ้าไปทำหรือ"

         "แม่ทัพสามฉลาดเยือกเย็น ความกล้าหาญ และความเก่งกาจของเขา ท่านน่าจะทราบดี"

         บิดาหรี่ตาคิด สอบถามมาอีกว่า

         "แล้วแผนการทำร้ายโจรเป่ยฮั่นทั้งสองครั้งล่ะ"

         "ก็เป็นการจัดการของแม่ทัพสามทั้งหมด"

         "ไม่ถูก ถึงจะสั่งแผนได้ แต่คนล่ะจะสั่งยังไง เขาจะไปเอาทหารมาจากไหน มาจัดการพวกเปิ่ยฮั่น" 

         แม่ทัพใหญ่ยังคงจับผิดไม่หยุด หยางซื่อหลางถอนใจ เหมือนเหนื่อยที่จะตอบ

         "ท่านแม่ทัพ ทหารค่ายพายัพของแม่ทัพสามส่วนหนึ่ง เดินทางมาถึงนี่หลายวันแล้วครับ"

         "ว่าไงนะ เจ้าโกหก พวกเขามาแล้วต้องไปรายงานตัวกับข้า"

         "แม่ทัพสามต้องการช่วยท่านแบบลับๆ ไม่ต้องการเปิดเผยตัว จึงสั่งทหารทุกนายยังไม่ต้องไปรายงานตัว ให้รอจนแม่ทัพสามเดินทางมาถึง จึงค่อยบอกด้วยตัวเอง"

         "..."

         หยางเยี่ยเดินคิดไปอย่างสับสน เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็นึกไม่ออกว่ามันผิดตรงไหน หยางซื่อหลางสังเกตพ่อกำลังใช้ความคิดหนักหน่วง จึงรีบเอ่ยดักขึ้นก่อน

         "ข้าน้อยทำตามคำสั่งแม่ทัพสามทุกอย่าง ถ้าท่านไม่เชื่อ รอเขากลับมา ค่อยถามก็ได้"

         "จิ้งจง เป็นความจริงรึเปล่า"

         แม่ทัพใหญ่หันมาถามลูกน้องคนสนิทของบุตรชาย ซึ่งยืนมึนงงอยู่

         "เอ่อ..."

         "เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดระหว่างข้าน้อย กับแม่ทัพสาม แม้แต่จิ้งจงก็ไม่ทราบหรอกครับ"

         เขารีบตัดปัญหา

         "ฮึ่ม!"

         หยางเยี่ยคำรามในลำคอ อย่างหงุดหงิดใจ ที่เอาผิดกับบุตรชายจอมพิรุธไม่ได้

         "ได้ เรื่องนี้ข้าไม่ว่า แล้วเรื่องที่เจ้า...วางค่ายกลในป่าไผ่ล่ะ มีเจตนาอะไร ถึงต้องทำอย่างนั้น"

         คลี่คลายปัญหาใหญ่นี้ลงได้ หยางซื่อหลางถึงกับลอบถอนใจโล่งอก เรื่องอื่นก็ไม่เกินปัญญาของเขาแล้ว

         "เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยเป็นศิษย์มีครู ครูของข้าน้อย คือนักพรตหยูเฉิน ท่านสอนวิชาและค่ายกลให้กับข้า ข้าเห็นว่าชัยภูมิในป่าไผ่ดีมาก จึงอยากลองวิชาดู อีกทั้ง เมื่อหลายวันก่อน มีพวกโจร กับพวกพเนจร เข้ามาป้วนเปี้ยน ซ่องสุม ชุมนุม ทำเสียงอึกทึกวุ่นวาย ข้าต้องการความสงบ และอยากรักษาธรรมชาติของป่าไผ่เอาไว้ให้สวยงาม ไม่ให้ถูกรุกราน เลยตัดสินใจตั้งค่าย เพื่อไม่ให้คนภายนอกได้ล่วงล้ำเข้ามา"

         "เรื่องนี้เป็นความจริงครับ ท่านแม่ทัพ"

         จิ้งจงรีบรับรอง เพราะหากเงียบเกินไป เกรงจะถูกสงสัย

         หยางเยี่ยรีดเค้นเอาความจริงไม่ได้ แถมยังถูกตอกกลับมาหลายกระทง ได้แต่ยืนหงุดหงิดอยู่ ตวาดอย่างหมั่นไส้

         "ดี เจ้าอธิบายได้เยี่ยมมาก หลุดพ้นมลทินทุกประการ หาข้อพิรุธไม่เจอ แต่ว่า...หยางซื่อหลาง ถึงเจ้าจะพูดเก่งสักเพียงไหน สมองไวปราดเปรื่องสักเพียงใด ก็อย่านึกว่า จะตบตาผู้ให้กำเนิดอย่างข้าได้นะ เจ้าหลอกข้าไม่ได้ตลอดไปหรอก"

         "ถ้าท่านแม่ทัพจับผิดข้าน้อยได้ และจะลงโทษ ข้าน้อยก็ไม่ขออุทรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น"

         "ดี ถึงตอนนั้น อย่ามาโอดครวญให้ข้าสงสารละกัน"

         แม่ทัพใหญ่สะบัดหน้าเดินออกไป ทหารเอกรีบเดินตามไปส่ง ส่วนหยางซื่อหลางหลับตาลง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทิ้งกายนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง
     

     
         สักพัก ทหารเอกก็กลับเข้ามา เห็นนายน้อยกำลังนั่งหลับตาอยู่

         "คุณชาย เรื่องนี้เหนือความคาดหมายจริงๆ นึกไม่ถึงว่า พวกโจรจะเจ้าเล่ห์อย่างนี้ นำจดหมายของคุณชาย ไปให้แม่ทัพหยาง หวังจะยืมมือท่านแม่ทัพมาจัดการท่านแทน"

         นายน้อยสี่ถอนใจยาว ลืมตาขึ้นมา

         "ไม่หรอก ข้าต้องการให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว!"

         "หา ตกลงมันยังไงกันแน่ครับ"

         จิ้งจงเริ่มงง

         "ไม่มีอะไรมาก หลักสำคัญก็คือ ข้าต้องการผู้ช่วยที่แข็งแกร่งและไว้ใจได้ มาอยู่ข้างกายข้าเท่านั้นเอง พอจับโจรสองคนนั้นได้ ข้าก็คิดแผนนี้ออก ข้ารู้ว่าเอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย นอกจากจะเสี่ยงต่อการถูกท่านพ่อจับได้ ยังทำให้พี่สามต้องมาเดือดร้อน มาแก้ตัวแทนข้าด้วย"

         เขาพูดด้วยสีหน้าเสียใจ ที่ต้องทำอะไรอย่างนี้

         "คุณชายสามร่วมมือกับคุณชายหรือครับ แปลว่าจดหมายนี้..."

         "พี่สามยอมทำตามแผนของข้า ตบตาท่านพ่อ ข้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง พี่สามก็ยอมช่วยเหลือโดยไม่เกี่ยงงอนเลย แถมพร้อมจะรับผิดแทนข้าอีกต่างหาก"

         "คุณชายสามน้ำใจประเสิรฐยิ่งนัก แปลว่าท่านจะกลับมา ร่วมสู้ศึกเป่ยฮั่นกับคุณชาย..."

         "ข้าคนเดียวอยู่ในสถานะแบบนี้ ทำอะไรยากลำบากจริงๆ ถ้ามีพี่สามมาร่วมด้วย ข้าถึงจะเคลื่อนไหวได้คล่องหน่อย ข้าบีบพี่สาม ให้ต้องมาเดือดร้อนแท้ๆ"

         เขายังอดตำหนิตัวเองไม่ได้ ทหารเอกยิ้มปลอบโยน

         "ท่านทำเพื่อประเทศชาติ คุณชายสามต้องไม่ตำหนิครับ แถมจะดีใจด้วยซ้ำ ที่ได้สู้รบเคียงข้างท่าน"
     

     
         ในห้องทรงอักษร ผานเหรินเปียนเข้าเฝ้าฮ่องเต้โดยลำพัง ด้วยเจตนาที่ชั่วร้ายอีกครั้ง

         "ฝ่าบาท หม่อมฉันว่าเรื่องนี้ไม่ระวังไม่ได้นะพะย่ะค่ะ"

         "อืม ท่านเสนาลองพูดให้ละเอียดอีกทีซิ"

         ฮ่องเต้เปิดโอกาส เสนามือขวาจึงใส่ใคร้อย่างเต็มที่

         "ฝ่าบาท แม่ทัพหยางนั้นหนีจากราชวงศ์ฮั่นมาเข้ากับราชวงศ์ซ่ง ทั้งที่ตัวเขาก็เป็นถึงแม่ทัพคนสำคัญ แน่นอนว่าการที่ยุคฮั่นเสื่อม คนเก่งหานายใหม่เป็นเรื่องปกติ แต่ระดับอย่างแม่ทัพหยาง ถือว่าหาได้ยากจริงๆ"

         "หยางเยี่ยเห็นแสงสว่างว่าเสด็จพ่อของข้ามีบุญญาธิการ มาเข้าร่วมด้วยมันแปลกตรงไหน"

         "ฝ่าบาท เรื่องนี้จะมองว่านกน้อยเลือกไม้ดีทำรังก็ได้ เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้ต่างออกไปแล้ว ราชวงศ์เป่ยฮั่นไม่ได้สูญสลายอย่างสิ้นเชิง กลับก่อเกิดขึ้นใหม่ และดูท่าจะวางรากฐานมานานพอสมควรแล้ว เมื่อหลายวันก่อน หม่อมฉันได้ข่าว พวกโจรบุกมาก่อกวนค่ายทหารที่สาม แต่หยางเยี่ยก็จัดการไม่ได้ จับตัวไม่ได้แม้แต่คนเดียว ดูๆ แล้วมันน่าสงสัยนะพ่ะย่ะค่ะ"

         "ตอนนั้นเขาถูกข้าเรียกพบ เข้าวังมาไม่ได้อยู่ค่าย จับพวกมันไม่ได้ก็ไม่แปลก"

         ฮ่องเต้ยังคงไม่สงสัยอะไร แต่เสนาผานก็ยังยุแหย่ต่อไปอีก

         "ฝ่าบาท เขาว่าข้าเก่านายใหม่ เหมือนเป็นดาบสองคม ถ้าหยางเยี่ยเลือกราชวงศ์ซ่งแล้ว ควรแสดงผลงานจัดการโจรเป่ยฮั่นโดยเร็ว แต่นี่หม่อมฉันทราบข่าวมาอีกว่า แม่ทัพหยางไม่คิดแผนจัดการพวกโจร วันๆ กลับยุ่งแต่ค่ายทหาร เสริมนั่นแต่งนี่ ทำอะไรไร้สาระไปวันๆ หม่อมฉันช่วยเป็นหูเป็นตาแทนฝ่าบาท ก็เลยสงสัย เกรงว่าแม่ทัพหยางอาจจะลืมคำสั่งของฝ่าบาทเสียแล้ว"

         "หือ มีเรื่องแบบนี้เหรอ ข้าคงต้องไต่ถามเขาดูหน่อยแล้ว เสนาผาน ขอบใจเจ้ามากนะ ถ้าไม่ได้เจ้า ข้าคงไม่รู้เรื่องราวในแง่ลึก จำไว้ว่า ข้าวางใจในตัวเจ้ามาก ฉะนั้นมีปัญหาอะไร ให้รีบรายงาน อย่าได้ปิดบัง"

         "พะย่ะค่ะ หม่อมฉันขอถวายความจงรักภักดีอย่างสุดชีวิต"

         ผานเหรินเปียนลอบยิ้มกระหยิ่ม เมื่อการยุแหย่ของเขาประสบผลสำเร็จด้วยดี
     

     
         หยางเยี่ยจึงถูกนำตัวเข้าเฝ้าในวันต่อมา ในห้องทรงอักษร ที่มีแต่ฮ่องเต้ และเสนาคู่ใจ

         "ทูลฝ่าบาท ที่หม่อมฉันล่าช้า เพราะโจรกู้ชาติดำเนินการใต้ดิน พวกเขาใช้ยุทธวิธีแบบกองโจร ไม่เคลื่อนไหวเผชิญหน้า จึงยากจะกำจัดกวาดล้างให้หมดได้โดยเร็ว"

         แม่ทัพหยางพยายามอธิบาย แต่ฮ่องเต้ยังจ้องด้วยสีหน้าคลางแคลง

         "เหอะ ข้าว่าแม่ทัพหยางอาจจะใจอ่อนกับพวกสหายเก่าๆ ซะมากกว่าละมัง"

         "เสนาผาน ท่านพูดอย่างนี้ เท่ากับใส่ร้ายข้า"

         "ไม่ต้องเถียงกัน โจรกู้ชาติเป็นภัยต่อชาติ และเมืองหลวง ถ้าพวกมันจับประชาชนมาข่มขู่ข้า ข้าจะตกอยู่ในสถานะลำบาก ไม่ว่ายังไง ก็ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด อย่าให้เป็นเสี้ยนหนาม"

         "พะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะเดินหน้าอย่างเต็มที่"

         "บอกว่าเดินหน้า แต่ช่วงนี้ไม่เห็นท่านจะทำอะไร เอาแต่ซ่อมแซม ปรับปรุงค่ายอยู่นั่น ท่านทำไปทำไมกัน เรื่องไร้สาระอย่างนี้"

         ฮ่องเต้ตรัสอย่างไม่พอพระทัย

         "ทูลฝ่าบาท ค่ายทหารที่สามเป็นกองกำลงรักษาวังหลวง จึงต้องแข็งแกร่ง แตกพ่ายไม่ได้ หม่อมฉันเห็นจุดอ่อนของค่าย จึงต้องปรับปรุง นี่เรียกว่า ป้องกันไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ"

         "เอาล่ะ จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ อย่าลืมว่า เจ้ามีกำหนดเวลาแค่สามเดือนเท่านั้น"

         "พะย่ะค่ะ หม่อมฉันรับบัญชา"

         ฮ่องเต้กลับเข้าไปในห้องชั้นใน แม่ทัพหยางกับเสนาผานเลยหันมาจ้องตากันอย่างดุเดือด
     

     
         ที่จวนเทียนปอ หยางเยี่ยนำความกลับมาเล่าให้ฮูหยินฟัง นางพลอยหงุดหงิดไปด้วย

     

     
         "ผานเหรินเปียน เจ้าเฒ่าชั่ว คิดจะเอาเรื่องที่เราเป็นข้าเก่าเป่ยฮั่น มายุแยงฮ่องเต้ให้หวาดระแวง ช่างเจ้าเล่ห์ร้ายกาจจริงๆ"

         "อืม ข้าก็รู้ว่า เมื่อข้ารับผิดชอบศึกครั้งนี้ ก็ย่อมหนีปัญหานี้ไม่พ้นแน่ เพียงแต่ ยังไม่ทันลงมือ มันก็เล่นซะก่อนแล้ว"

         สามีนั่งจิบน้ำชาอย่างไม่ร้อนใจนัก ภรรยาบอกเสียงเฉียบขาดอย่างทระนง

         "อย่างนั้นท่านยิ่งต้องจัดการโจรเป่ยฮั่นให้เร็วที่สุด เพื่อยุติคำครหา"

         "แต่โจรใต้ดินไม่ใช่จัดการได้ง่ายๆ เราต้องรู้แหล่งกบดานของพวกมัน เข้าโจมตีรังในคราวเดียว จับโจรต้องจับหัวหน้า กวาดล้างรากฐานทั้งหมด ถึงจะเรียกว่าปราบราบคาบ"

         หยางฮูหยินนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้ามั่นใจ

         "ซันหลางจะกลับมาแล้ว ข้าว่าพวกท่านร่วมมือกัน ต้องจัดการได้แน่"

         "อืม ข้าก็หวังอย่างนั้น"
     

     
         ผานเจิ้งพาพรรคพวกลูกสมุนมาดักรอหวานใจที่หน้าจวนเทียนปอ หมิงจูหิ้วตะกร้าเดินออกมาจะไปจ่ายตลาดตามปกติ เขาก็เข้ามาดักหน้าทันที ยิ้มแฉ่ง

         "หมิงจู..."

         "อ้าว คุณชายผาน"

         นางชักเคยชินกับการตามตื๊อของเจ้าเกเร เลยไม่แปลกใจอีกแล้ว

         "ในที่สุดเจ้าก็ออกมา ข้ารอเจ้าอยู่ตั้งนานแน่ะ"

         "มารอข้าทำไมคะ"

         "อ้าว เจ้าจำไม่ได้เหรอ เจ้าบอกว่าจะไปเที่ยวกับข้าไง ตอนที่ข้าซื้อปิ่นให้เจ้าน่ะ วันนี้ข้าก็เลยจะมารับเจ้าไปเที่ยว"

         สาวใช้ทำหน้านึกขึ้นได้

         "อ๋อ จริงสิ แต่วันนี้ข้าต้องไปซื้อของให้ฮูหยินด้วย เกรงว่า..."

         "ไม่เป็นไร ข้าไปเป็นเพื่อน ซื้อเสร็จแล้วค่อยไปเที่ยวก็ได้"

         หมิงจูไม่รู้สึกรำคาญ หากคิดในใจว่า "วันนี้มีเรื่องให้เล่นสนุกอีกแล้ว" ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ

         "ตกลงค่ะ"

         นายน้อยเจ็ดเดินผ่านประตูหน้าบ้านเห็นแวบๆ เลยออกมาดู มองทั้งสองเดินคุยกระหนุงกระหนิงไปด้วยกัน

         "นั่นผานเจิ้งนี่ หมิงจูออกไปกับมันอีกแล้ว ดีล่ะ ตามไปดูดีกว่า"

         เขาสะกดรอยตามทั้งสองไป แบบอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

     
    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×