คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : [OneShot] Love Me Love My Dog
[OneShot] Love Me Love My Dog
สุนัขพันธุ์สปิตท์ค่ะ พระเอก(?)ของเรื่องนี้ 555
##########
อินทนิล ไม่แน่ใจว่าตนเองมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
เบื้องหน้าเด็กหนุ่มคือประตูไม้เรียบง่ายที่แกะลายช่องสี่เหลี่ยมให้ไม่ดูโล่งเกินไปนัก มีป้ายรูปโถ้ส้วมที่มีคนตัวกลมๆนั่งอยู่บนนั้นเพื่อบ่งบอกหน้าที่การใช้งานของห้องนี้ และตอนนี้เขาก็ต้องการที่จะใช้งานมันมากๆ ถ้าไม่ติดที่สิ่งมีชีวิตขนฟูสี่ขาที่ยืนแยกเขี้ยวขู่ไม่ยอมให้เขาเข้าใช้ห้องน้ำอยู่ในตอนนี้แล้วละก็ป่านนี้เขาคงได้ปลดทุกข์ไปนานแล้ว
เจ้าสี่ขาที่ยืนแยกเขี้ยวอยู่ตรงหน้าเขา เห็นทีแรกก็ว่าน่ารักดีอยู่หรอก หูตั้งแหลมเหมือนหูจิ้งจอก ขนฟูๆขาวๆดูนุ่มนิ่มน่ากอด เมื่อรวมเข้ากับดวงตากลมโตดำเข้มเหมือนตาตุ๊กตา ทำให้เจ้าสุขันพันธุ์สปิตท์ที่สูงแค่เข่าดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาคนส่วนใหญ่ซะเหลือเกิน
แต่ไม่รู้ว่าเขาเผลอไปเหยีบหางมันเข้าตอนไหน เจ้าตัวขาวตัวนี้ถึงได้อาฆาตเขานัก เล่นด้วยก็ไม่ยอมเล่น เอาแต่เห่าเอาแต่ขู่ท่าเดียว
ทั้งที่เจ้าของออกจะ ‘น่ารัก’ และนิสัยดีขนาดนั้นแท้ๆ
ทำไมหมามันถึงไม่เหมือนเจ้าของเลยฟะ!
“อิน” ยังไม่ทันไรคนที่เขาเพิ่งจะนึกถึงไปในใจก็มาปรากฏตัวเข้าพอดี เจ้าของเสียงหวานมาหยุดอยู่ข้างหลังเขาพลางเอ่ยถาม “มายืนทำไมตรงนี้ ไหนว่าอยากเข้าห้องน้ำไง”
ดรุณี หรือที่เพื่อนๆมักเรียกว่าณี ยืนเอียงคอมองเขาอย่างสงสัย เด็กสาวมีผมสีดำขลับยาวเพียงบ่าซึ่งตัดกันอย่างชัดเจนกับผิวขาวอมชมพูของเจ้าตัว ตากลมโตใสที่ฉายแววร่าเริงอยู่เป็นนิจบัดนี้ถูกแทนที่แววของความสงสัยที่เห็นเขามายืนบื้ออยู่หน้าห้องน้ำโดยไม่ยอมเข้าไปทั้งที่ก่อนหน้าบ่นว่าปวดมาก
“ก็....” แต่พอหันกลับมาอีกทีเจ้าสี่ขาเจ้าปัญหาก็หายไปเสียแล้ว “เฮ้ย!” หายไปอย่างรวดเร็วและถูกจังหวะ ให้เขาได้หน้าแตกต่อหน้าสาวน้อยที่เขาแอบชอบ หรืออีกนัยน์หนึ่งก็คือเจ้าของของเจ้าสปิตท์นิสัยไม่ดีตัวเมื่อครู่
หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาไปชอบเจ้าของของมันนี่แหละ เจ้าหมาบ้าตัวนั้นเลยไม่ชอบเขา!!!
##########
ย้อนไปสองชั่วโมงก่อนหน้านี้
มันเป็นช่วงสายของวันเสาร์ ตอนที่กลุ่มเพื่อนๆรวมตัวกันที่บ้านของดรุณีเพื่อทำรายงาน เนื่องจากเด็กสาวมีบ้านใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับคนอื่นๆในกลุ่ม แถมยังอยู่ใกล้ตัวเมืองทำให้เดินทางได้สะดวก ทุกครั้งที่มีงานหรือต้องติวหนังสือพวกเขาจึงเลือกมาบ้านของดรุณีเสมอ โดยไม่ลืมที่จะซื้อของกินและขนมขบเขี้ยวมาเซ่นไหว้สาวน้อยเจ้าของบ้านผู้กินจุอย่างเหลือเชื่อไปด้วยทุกครั้ง
ซึ่งอินทนิลผู้แอบชอบอีกฝ่ายมาตั้งแต่สมัยม.ต้นที่ยังอยู่คนละห้องกัน รู้สึกเหมือนได้ล่องลอยอยู่ในความฝันก็ไม่ปานที่ได้มาเหยียบบ้านของอีกฝ่าย เขานึกภาพตนเองเป็นแฟนหนุ่มผู้หอบหิ้วขนมมาฝากเด็กสาวสาวก่อนที่จะพากันไปติวหนังสือที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้สองต่อสอง แสงแดดอ่อนๆที่เจือมากับกลิ่นหอมกรุ่นของดอกไม้ที่เพิ่งผลิดอก ช่างชวนให้หัวใจล่องลอยยิ่งนัก
ใครว่ามีแต่สาวๆที่มโนเป็น หนุ่มน้อยที่อยู่ในห้วงรักนี่แหละที่มโนชนะเลิศ อินทนิลขอยืนยัน
ซึ่งเพื่อนในกลุ่มอันประกอบไปด้วย สาวแท้หนึ่ง(ยังไม่รวมดรุณี) สาวเทียมหนึ่งและชายแท้อีกหนึ่ง ต่างรู้ดีถึงความในใจของอินทนิลจึงปล่อยให้เด็กหนุ่มรับภาระหน้าที่แบกของกินเพื่อที่จะได้มอบมันให้กับเจ้าของบ้านเองกันมือ
วันนี้ก็ควรจะเป็นแค่วันธรรมดาอีกวันหนึ่งที่กลุ่มของเขามาทำรายงานด้วยกัน แต่ทว่าทันทีที่ลงจากรถแท็กซี่แล้วมาหยุดยืนหน้าบ้านหลังใหญ่ของดรุณี
“โฮ่งๆๆๆๆ”
พวกเขาก็ต้องพบเข้ากับสิ่งมีชีวิตสีขาวขนฟูที่ส่งเสียงต้อนรับล่วงหน้าเจ้าแทนของบ้านตัวจริงที่กำลังเปิดประตูตามมาติดๆ
“ว๊ายยยยย น่าร้ากกกกก”
สาวๆในกลุ่มทั้งแท้และเทียมส่งเสียงวี๊ดว๊ายออกมาทันทีเมื่อเห็นหน้าตาของเจ้าสี่ขาอย่างชัดๆ
“เหมือนตุ๊กตาเลย” สุทัศน์ หนุ่มใจสาวผู้มีชื่อมาดแมนไม่สมหน้าตาหวานหยดและรูปร่างเพรียวบางเพราะเจ้าตัวบำรุงดูแลมาอย่างดีตั้งแต่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มเอ่ยอย่างถูกใจในความน่ารักของสุนัขตัวนั้น ซึ่งดูเหมือนจะรู้ว่าถูกชมอยู่มันจึงกระดิกหางไปมาอย่างอารมณ์ดี
ดรุณีไขล็อครั้วให้พร้อมเปิดประตูเชื้อเชิญให้ทุกคนเข้ามาโดยยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเจ้า‘มัฟฟิน’ นิสัยดีและไม่กัดใคร ดูเหมือนพ่อแม่ของเด็กสาวจะไม่อยู่อีกแล้วตัวบ้านถึงได้ถูกล็อคไว้แน่นหนาขนาดนี้
“ณีเพิ่งซื้อมาหรอ” แก้วกัลยาถามอย่างตั้งข้อสังเกตเพราะครั้งล่าสุดที่มาบ้านหลังนี้เธอแน่ใจว่าไม่เห็นสัตว์เลี้ยงแม้ซักตัว เด็กสาวผมสีน้ำตาลยาวถึงกลางหลังส่งแฟ้มงานในมือไปให้ชานนท์แฟนหนุ่มผู้เงียบขรึมและพูดน้อยถือแทนแล้วย่อตัวลงไปเกาหูให้เจ้ามัฟฟิน มันหลับตาพริ้มยอมให้เล่นด้วยแต่โดยดี
“ของญาติน่ะ สุนัขที่บ้านเขาออกลูกมาเยอะเกินเลี้ยงไม่ไหวเลยยกให้มาตัวหนึ่ง” ดรุณีตอบแล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน เห็นว่าเจ้าของไปแล้วเจ้ามัฟฟินเลยรีบเดินตามไปอย่างเร็ว มันเดินคลอเคลียอยู่ข้างเรียวขาของดรุณีอย่างคุ้นเคยทำเอาอินทนิลรู้สึกหมั่นไส้เจ้าขนฟูสีขาวจั๊วะขึ้นมาอย่างตะหงิดๆ
“พันธุ์แท้ซะด้วย ทำไมญาติแกไม่ขายอ่ะพันธุ์นี้ได้ราคาดีจะตาย” สุทัศน์จีบปากจีบคอถามเสียงแหลมเพราะที่บ้านเปิดคลินิกสัตวแพทย์ทำให้เขาพอจะมีความรู้เรื่องหมาๆแมวๆค่อนข้างเยอะ
“ก็ขายแหละ แต่ดูเหมือนเจ้านี่จะ ง่า...ไงดีละ” เจ้าของผู้ใจดีก้มมองสัตว์เลี้ยงซึ่งตกเป็นหัวข้อสนทนาพยายามคิดคำที่เหมาะสมและฟังดูโหดร้ายให้น้อยที่สุด
ทว่าอินทนิลกลับโพลงออกมาเสียก่อน
“ไม่มีใครเอา”
ดรุณีฟาดเพี้ยะเข้าให้ที่ต้นแขนของคนตัวสูงซึ่งเป็นรองกัปตันทีมบาสเก็ตบอลประจำโรงเรียน
“โอ๊ย! เจ็บนะณี” เขาแสร้งโอดครวญยกมือขึ้นลูบต้นแขนราวกับเจ็บเสียเต็มประดาทั้งที่คนตีก็ตัวเล็กนิดเดียวและสูงเพียงไหล่คนถูกตีเท่านั้น ท่าทีเสแสร้งของอินทนิลทำให้เพื่อนๆลงความเห็นกันเงียบๆภายในใจว่ามันช่างกะล่อนจนน่ายันโครมแถมให้อีกซักที
“อินใจร้ายพูดแบบนั้นได้ไง”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยมันฟังไม่รู้เรื่องหรอก” เด็กหนุ่มย้อนแย้งแต่ดูเหมือนเจ้าสปิตท์จะไม่เห็นด้วย มันเลยยอมทรยศคำยืนยันของเจ้าของคนสวยที่ว่าไม่กัดใครโดยการงับเข้าให้ที่น่องของอิทนิลอย่างเต็มเขี้ยว
“อ๊ากกกกก”
“เฮ้ย!!!!” เพื่อนๆประสานเสียงกันร้องลั่นพร้อมๆกับโอดโอยของจริงจากปากเด็กหนุ่ม
อินทนิลวิ่งไปหลบหลังดรุณีทันที เกาะไหล่เล็กบางไว้อย่างถือแล้วโอกาสแล้วชี้หน้าเจ้าขนฟูอย่างเอาเรื่อง
“ไหนว่าไม่กัดไง!!!!”
ดีนะที่วันนี้เขาใส่กางเกงยีนส์ขายาวมาเลยดูเหมือนว่าจะงับไม่เข้า แต่จากอาการแสบๆคันๆที่น่องในขณะนี้ท่าทางอย่างน้อยเขี้ยวของมัฟฟินคงถากผิวเนื้อเขาเป็นรอยไปแล้วแน่ๆ
“แต่ฉันว่าสมควรโดน” สุทัศน์เปิดประโยคโจมตีเป็นคนแรก
“แกปากเสียก่อนเองนะอิน” ตามมาด้วยแก้วกัลยา และชานนท์ที่พยักหน้าเห็นด้วยเงียบๆ
“นี่พวกแกเข้าข้างหมามากกว่าฉันหรอวะ!!!”
“ใช่/ใช่/ใช่” ทั้งสามประสานเสียง ไม่เหลือที่พึงอีกแล้วอินทนิลจึงหันไปอ้อนดรุณี
“ฉันแค่พูดความจริงเฉยๆเองนะ”
“แต่อินใจร้ายอ่ะ ถึงเป็นหมาเขาก็มีความรู้สึกนะ” สาวน้อยอ่อนไหวผู้ใจดีเป็นที่หนึ่งตัดพ้อกลับมาทำเอาอินทนิลถึงกับไปต่อไม่ถูก จากเดิมตั้งใจว่าจะอ้อนเยอะๆแล้วบังคับให้ดรุณีไปทำแผลให้เขาแบบสองต่อสองคงเป็นอันต้องยกเลิก เพราะนอกจากเจ้าของจะไม่ใจอ่อนแล้ว เจ้าสัตว์เลี้ยงยังขู่ฟ่อตั้งท่าจะงับเขาได้ทุกเมื่อที่เผลออีกต่างหาก
“อีกอย่างมัฟฟินไม่ได้ถูกทิ้งซักหน่อย ก็แค่ตัวเล็กกว่าพี่น้องเฉยๆเอง”
ดรุณีตอบอ้อมแอ้มเป็นการปิดประเด็นในครั้งนี้ก่อนจะแกะมือเด็กหนุ่มออกจากไหล่แล้วเดินนำไปเปิดประตูห้องนั่งเล่นของบ้าน สถานที่ประจำที่ถูกใช้สุ่มหัวทำงาน
เพราะลูกสุนัขตัวเล็กมีแนวโน้มว่าจะเสียชีวิตหลังคลอดได้ง่ายแถมตอนเกิดดูเหมือนเจ้าตัวเล็กตัวนี้จะป่วยหนักซะด้วย เพราะคิดว่าคงไม่รอดแน่ๆลุงของดรุณีเลยไม่ยอมขายมันให้ใครแถมยังขุดหลุมศพเตรียมไว้ให้แล้วอีกต่างหาก พอมัฟฟินรอดมาได้แบบงงๆมันเลยกลายเป็นลูกสุนัขหลงฝูงที่ไม่มีใครซื้อ และดรุณีเลยได้มันมาเลี้ยงแบบงงๆเช่นกัน
สมาชิกในกลุ่มเริ่มนั่งลงจับจ้องพื้นที่ สุทัศน์ซึ่งมีที่ประจำคือเก้าอี้นวมตัวโตสีแดงเลือดนกรีบควักแม็คบุ๊คสีชมพูสดของตนขึ้นมาวางบนตักพร้อมส่งไอโฟนไปให้แก้วกัลยาที่เหมือนจะรู้หน้าที่ดีอยู่แล้วว่าเพื่อนใจสาวคนนี้บ้าโซเชียลขนาดไหน เสียงแชะดังขึ้นรัวๆทั้งที่แก้วกัลยาแตะปลายนิ้วไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
หนุ่มหน้าหวานนั่งไขว้ห้างอย่างมีจริตจก้านแล้วจิกตามองกล้อง บางทีก็ก้มมองแม็คบุ๊คบนตักเหมือนกำลังทำงานอยู่ บางครั้งก็ทำเหม่อไม่มองกล้อง สิ้นเสียงแชะเจ้าตัวก็ถอนหายใจ มาดนางพญาที่เก๊กไว้หายสิ้น
“โอยเมื่อยหน้า ขอบใจนะยะ” เจ้าตัวบ่นงึมงำพลางพูดขอบคุณเมื่อรับกล้องคืนมา นิ้วเรียวยาวจนสาวๆนึกอายสไลด์ดูรูปอย่างเร็วๆ มีเสียงวิจารณ์ลอยมาเบาๆเช่นว่า ว๊ายรูปนี้ขาใหญ่ รูปนี้จิกไปเดี๋ยวผู้ชายกลัว มาเป็นระยะๆ ดูจากท่าทางแล้วคงอีกนานกว่าสุทัศน์จะเลือกรูปอัพลงเฟสบุ๊คได้ ทำให้คงอีกนานเช่นกันกว่างานส่วนของเจ้าตัวจะเสร็จสิ้น
แก้วกัลยาเดินไปนั่งลงบนพื้นข้างๆชานนท์แล้วเริ่มหยิบเอกสารและหนังสือเรียนขึ้นมาวางรอบๆ ชานนท์เป็นพวกโลวเทคที่แม้จะมีสมาร์โพนแต่ก็ไม่ได้ใช้งานอะไรมากไปกว่าโทรเข้าโทรออกแม้แต่น้อย ดังนั้นเวลาหาข้อมูลทำรายงานเจ้าฮิปสเตอร์ผสมอินดี้คนนี้ก็เลยใช้วิธียืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่านมากกว่าที่จะค้นกูเกิ้ลแล้วก็อปวางอย่างที่ใครเขาทำกัน
ไม่รู้แก้วกัลยาเห็นดีอะไรในตัวเจ้าเพื่อนกลัวดอกพิกุลร่วงคนนี้ของเขานัก นิสัยก็แปลก ทำหวานก็ไม่เป็น มองยังไงก็ไม่ใช่แฟนที่ดีแม้แต่น้อย
‘นนท์เขาก็น่ารักในแบบของเขาแหละ’ ดูเหมือนแก้วกัลยาจะเคยพูดไว้เช่นนั้นยามเมื่อเขาถามว่าชอบชานนท์ที่ตรงไหน
หมั่นไส้โว้ยยยยย ทำไมวันนี้มีแต่คนทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้กันทั้งนั้น ดูๆ ไอ้ชานนท์ยังแอบยกมือลูบหัวยัยแก้วอีก โอ้ยยยยย อิจฉา...อิจฉาเข้าใจมั้ย
และดูเหมือนจะอ่านท่าทีของอินทนิลออก สุทัศน์จึงเหลือบตาขึ้นมาจากไอโฟนในมือแล้วแขวะด้วยเสียงที่ไม่เบาเท่าไหร่นัก
“โสดแล้วพาล”
เด็กหนุ่มได้แต่ถลึงตามองเพื่อนใจสาว ดีนะที่ดรุณีผู้นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวข้างๆเขาเพิ่งจะใส่หูฟังเสียบฟังเพลงกับโน๊ตบุ๊คสีเงินบนตักเลยไม่ได้ยินคำพูดของสุทัศน์
ดรุณีเป็นคนร่าเริง เขาชอบเธอที่ตรงนั้น เขาชอบที่รอยยิ้ม ชอบเสียงหัวเราะ ชอบตอนที่เธอทำหน้างอ ชอบตอนเธอขมวดคิ้ว ชอบๆๆๆ สรุปคือเขาชอบไปหมดนั้นแหละ แถมยังชอบมากจนพาลให้ปอดแหกจนเกือบจะฉีกทุกครั้งที่คิดจะสารภาพความในใจออกไป เขาแค่ยังไม่พร้อมจะบอกเธอ ยังไม่กล้าสารภาพออกไปเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดไม่เหมือนกัน
ถ้าต้องเสียเธอไปเขายอมเป็นไอ้ปอดแหกที่ได้แต่ทำกะล่อนใส่เธอไปวันๆจะดีกว่า
อินทนิลคิดแบบนั้นแหละจึงได้เก็บทุกอย่างไว้กับตัวให้เพื่อนๆทุกคนที่รู้เรื่องด่าเล่นทุกครั้งที่มีโอกาส
เด็กหนุ่มวางถุงที่บรรจุสารพัดขนมไว้ยังโต๊ะกาแฟตัวเตี้ยๆเบื้องหน้าแล้วยกขาขึ้นมาถลกกางเกงดู มันเป็นรอยถลอกจริงๆซะด้วย เห็นดังนั้นเขาจึงสะกิดร่างบางที่นั่งข้างๆกันพลางส่งสาตาออดอ้อนเหมือนจะบอกว่า (สุนัข)เธอทำ(ร้าย)ฉันแล้ว ช่วยรับผิดชอบหน่อยสิ
ดรุณีจึงจำใจถอดหูฟัง
“รอแปปนะ”
แล้วเดินตรงไปยังทิศที่ตั้งของครัวเพื่อเอาชุดทำแผลมาให้
คล้อยหลังเด็กสาวจากไปไม่นานที่นั่งข้างๆเขาก็มีอีกคน...ไม่สิ...อีกตัวมาแทนที่
“กรรรรร”
และส่งเสียงขู่มาให้อย่างไม่เป็นมิตรอีกต่างหาก อินทนิลหยิบหมองอิงมาใช้ต่างโล่
“ชิ้วๆ” เขาส่งเสียงไล่อย่างไร้ประโยชน์เมื่อเจ้าตุ๊กตาเดินได้เห่ากลับมาและยังคงคำรามต่อไม่เลิก “ใครก็ได้มาเอามันไปทีเด่ะ”
สุทัศน์กรอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย “มานี่มาลูกมัฟฟิน อย่าไปยุ่งกะคนปอดแหกปากเสียเลย มามะ”
เจ้าหมาบ้านี่คงเกลียดเขาจริงๆ มันถึงได้กระดิกหางแล้ววิ่งตื้อไปหาหนุ่มหน้าหวานได้รวดเร็วขนาดนั้น สุทัศน์เกาคางเกาหูให้อย่างเอาใจ อินทนิลแปะปากสวนกลับไปอย่างไม่รีรอ
“แกว่าใครปอดแหกห๊ะอิตุ๊ดไม่มีใครเอา”
“ว๊ายยยย หยาบคาย ฉันไม่เอาเขาเองต่างหากละยะ เหมือนที่ยัยณีไม่เอาแกนั่นแหละ”
ถ้าคำพูดเปลี่ยนเป็นลูกศรได้ป่านนี้มันคงทิ่มเขาจนพรุนไปแล้ว
“ไม่จริงเฟ้ย ณีเขา....”
ยังไม่ทันจะเถียง คนปากไวกว่าก็แย้งขึ้นมาซะก่อน “ณีไม่รู้แม้แต่น้อยว่าแกคิดยังไงกับเขาเพราะแกเอาแต่ปอดแหก ตาขาว หางจุกตรู้ดอยู่ในกะลาโทรมๆไม่ยอมบอกเขาไปว่า เธอๆฉันแอบชอบเธอมาตั้งแต่ม.สองแล้วนะแต่ก็ได้แค่นั่งเพ้อเจ้อไปวันๆเพราะกลัวเธอจะคิดไม่เหมือนกัน โหยยยยย น้ำเน่าอ่ะ แกว่างั้นมั้ยแก้ว”
แต่คนตอบกลับเป็นเจ้ามัฟฟินที่เห่าโฮ่งๆอย่างเห็นด้วยซะอย่างนั้น
เออ รุมกันเข้าไป
“แต่เราว่าที่บอสพูดมาก็ถูกนะ” แก้วกัลยาเปรยขึ้นมา ใช้เวลาแวบหนึ่งกว่าอินทนิลจะนึกออกมาว่าบอสคือชื่อเล่นของสุทัศน์ เพราะเขากับเพื่อนๆเอาแต่เรียกมันว่าอิตุ๊ดไม่ก็คนสวยกันอย่างชินปากจนเกือบลืมไปแล้วว่ามันมีชื่อเล่นอยู่ “แกน่าจะบอกณีไปได้แล้วนะอิน”
“ฉันยังไม่พร้อมนี่หว่า” เด็กหนุ่มเอนตัวพยายามฝั่งตัวลงไปกับเบาะโซฟาเพื่อหลีกเลี่ยงหัวข้อสนทนานี่
“แกก็ไม่พร้อมตลอดนั่นแหละยะ” สุทัศน์จีบปากด่า จังหวะเดียวกันนั้นเองที่มัฟฟินวิ่งออกไปจากห้องนั่งเล่น “ระวังเถอะนะไอ้เปรมห้องห้าก็เคยมาพูดๆอยู่เหมือนกันว่ายัยณีน่ารัก ไอ้พลาสเตอร์ห้องหนึ่งก็ด้วย แกจะอดแดรกก็งานนี้แหละไอ้อินถ้ายังมัวยึกๆยักๆเป็นกิ้งกือเหนียมอายอยู่แบบนี้”
“แล้วจะให้ทำไงกันวะ” เด็กหนุ่มโอดครวญแล้วลุกพรวดขึ้นอย่างกะทันหันพร้อมโวยวายเสียงดัง “จะให้เดินเข้าไปแล้วพูดว่า เฮ้ ณีขอคุยด้วยหน่อยสิฉันมีอะไรจะบอก...”
“บอกเรื่องอะไรหรอ” ยังไม่ทันขาดคำเจ้าของหัวข้อสนทนาก็ปรากฏตัวขึ้นมาด้านหลังเขาจริงๆ อินทนิลสะดุ้งโหย่งอย่างมีพิรุจ เพื่อนๆทุกคนส่งสายตามากดดันเพื่อบอกว่านี่แหละโอกาสดีสุดๆแล้ว ยืดอกเป็นลูกผู้ชายแล้วบอกออกไปได้แล้วไอ้อิน
“ฉัน...ฉัน...”
แต่ความรักทำให้อกสามศอกหดเหลือสามนิ้วได้อย่างง่าย เพราะแค่สบตากลมโตของดรุณีลมปราณแห่งความกล้าหาญที่เพื่อนๆรวมใจกันส่งมาให้ก็แตกกระสานซ่านเซนไปทุกทิศทาง ถ้านี่เป็นหนังจีนอินทนิลคงกำลังกระอักเลือดตายอย่างน่าสมเพชอยู่แน่ๆ
“ฉันหาข้อมูลส่วนของณีให้แล้วนะ!! นี่ไงๆ!!” เด็กหนุ่มพูดเสียงดังแล้วคว้าโน๊ตบุ๊คของคนตัวเล็กขึ้นมากดยิกๆ เพิ่งหาไอ้ข้อมูลที่ว่า ณ เดี๋ยวนั่นนี่แหละ เขาหัวเราะแห้งๆยามเมื่อเพื่อนๆพร้อมใจกันตบฝ่ามือเข้ากับหน้าผากอย่างหน่ายใจ แม้กระทั่งชานน์ที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมามากมายนักยังมีท่าทีผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
อินทนิลตัดสินใจเดี๋ยวนั่นว่าเผ่นไปตั้งหลักก่อนจะเป็นการดีกว่า
“ขอไปห้องน้ำแปปนะ”
“ไม่ทำแผลก่อนหรอ” ดรุณีรั้งไว้พลางยกกล่องพยาบาลขึ้นมาในระดับอก สร้างความเสียดายอย่างเหลือล้นให้แก่เด็กหนุ่ม ทว่าไม่อาจทนสู้สายตาทิ่มแทงจากเพื่อนๆได้อีกแล้วเขาเลยตอบไปอย่างน่าอายว่า
“ข้าศึกมาประชิดแล้ว”
แล้วก็รีบเผ่นออกมาเลย
##########
“เฮ้อ”
หลังจากนั้นก็ต้องมาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะเอาศีรษะกระแทกผนังสีครีมของบ้านสาวน้อยที่เขาแอบชอบโดยหวังว่าไอ้หัวทึบๆของเขาจะคิดได้ซักทีว่าการเอาแต่บ่ายเบี่ยงเช่นนี้มันไม่เกิดประโยชน์อะไร
อินทนิลตบหน้าตัวเองแรงๆอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเอาคำยุของเพื่อนมาเป็นพลัง เขาสมควรก้าวข้ามเฟรนโซนไปอยู่แฟนโซนได้แล้ว
“เอาเว้ย บอกก็บอกวะ”
แต่ไหนๆก็เดินมาถึงนี่แล้วไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่า
อินทนิล(และเพื่อนๆ)มาบ้านหลังนี้บ่อยมา เขาจึงรู้จักทุกห้องทุกมุมจนเรียกว่าเป็นเจ้าของบ้านอีกคนหนึ่งก็ว่าได้ ความคิดนั่นทำเอาหนุ่มน้อยเขินไม่หยอกเมื่อสมมติไปว่าตนเองอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกับดรุณี
โหยยย หยั่งกะสามีภรรยากันเลย
เขาคิดอย่างอารมณ์ดี แต่อารมณ์เหล่านั้นเป็นอันต้องสะดุดเมื่อ
“กรรรรรร โฮ่งๆๆ”
เจ้ามัฟฟินขว้างทางอยู่หน้าห้องน้ำที่เขาต้องการจะเข้า ทั้งยังเห่าเสียงแหลมบาดหูมาให้อีกหลายๆที
“หลีกไปนะเฟ้ย”
เขาปัดมือไล่ แต่มันไม่ยอมไป เจ้าสุนัขขนฟูหย่อนก้นลงนั่งอย่างปักหลักแล้วทำท่าเชอะใส่อย่างน่าหมั่นไส้เป็นที่สุดเมื่อเขาทำเสียงจิ๊ๆในลำคอเพื่อล่อให้มันออกไปพ้นทาง
ทั้งที่เจ้าของออกจะ ‘น่ารัก’ และนิสัยดีขนาดนั้นแท้ๆ
ทำไมหมามันถึงไม่เหมือนเจ้าของเลยฟะ!
“อิน” ยังไม่ทันไรคนที่เขาเพิ่งจะนึกถึงไปในใจก็มาปรากฏตัวเข้าพอดี เจ้าของเสียงหวานมาหยุดอยู่ข้างหลังเขาพลางเอ่ยถาม “มายืนทำไมตรงนี้ ไหนว่าอยากเข้าห้องน้ำไง”
“ก็....” แต่พอหันกลับมาอีกทีเจ้าสี่ขาเจ้าปัญหาก็หายไปเสียแล้ว “เฮ้ย!” หายไปอย่างรวดเร็วและถูกจังหวะ ให้เขาได้หน้าแตกต่อหน้าสาวน้อยที่เขาแอบชอบ หรืออีกนัยน์หนึ่งก็คือเจ้าของของเจ้าสปิตท์นิสัยไม่ดีตัวเมื่อครู่
“หรือว่าเข้าเสร็จแล้ว” ดรุณีเอียงคอถาม เขาเลยเออออสมอ้างไปตามนั่นทันที “งั้นมาทำแผลเลยมั้ย” เธอถามต่อพร้อมดึงแขนเสื้อให้เขานั่งลงที่เก้าอี้แถวๆนั่นอย่างกึ่งๆบังคับ ทว่าอินทนิลเต็มใจอย่างยิ่งที่จะโดนบังคับ เด็กหนุ่มหน้าบานเป็นกระด้งไปแล้วตอนที่ถกขากางเกงขึ้นมาถึงหัวเข่าให้อย่างว่าง่าย
ดรุณีแต้มเบตาดีนลงไปบนรอยถลอกเป็นทางยาวนั้น ดูเหมือนจะมีเลือดออกซิบๆด้วย
“ขอโทษนะ” เด็กสาวเอ่ยอย่างรู้สึกผิดในฐานะเจ้าของ “ปกติมันนิสัยดีไม่เคยกัดใครเลยแท้ๆ”
ถ้าเป็นปกติ อินทนิลผู้แสนกะล่อนคงไม่รอช้าใส่ไฟตามไปเต็มทันทีเพื่อที่จะได้อ้อนดรุณีได้เยอะๆ แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วเขาก็ทำไม่ลง จึงแต่พูดออกไปว่า
“สงสัยมันคงอิจฉาในความหล่อของฉันจนหมั่นเขี้ยวทนไม่ไหว” เขาแสร้งทำเป็นเสยผมและเก๊กเสียงหล่อเต็มที่ หวังให้ดรุณียิ้มได้ แต่ดูเหมือนจะออกมาตรงกันข้าม
“เราว่าถ้าเพราะแบบนั้นนนท์น่าโดนกัดมากกว่าอีก”
น้องนางไม่ขำ แถมยังซ้ำเติมเข้ามาอีกต่างหาก
“ฉันหน้าตาดีกว่าไอ้ชานมเย็นนั่นเห็นๆ” อินทนิลโอดครวญแล้วเรียกชื่อเพื่อนรักด้วยฉายาที่ใช้มาตั้งแต่ตอนม.ต้น เด็กหนุ่มปฏิเสธการแปะแผลเพราะเห็นว่าแค่เลือดซิบๆแถมยังหยุดไหลแล้วอีกต่างหากก่อนดึงขากางเกงลงตามเดิม
“หรออออ” ดรุณีลากเสียงอย่างยียวนก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำเอาอินทนิลถึงกับใจเต้นแรงอย่างตั้งตัวไม่ทัน แต่พอได้สติเขาก็สวนกลับไปทันควันอย่างไม่ทิ้งลายความกะล่อนและลื่นเป็นปลาไหล
“จะ..จริงสิ ฉันสูงกว่าด้วยนะ เล่นกีฬาก็เก่งกว่า เป็นสุภาพบุรุษกว่าด้วย มองยังไงดีกว่าไอ้นนท์เห็นๆ”
ไม่รู้ทำไมช่วงหลังๆมันกลายเป็นการบรรยายสรรพคุณตัวเองไปซะได้ แต่อินทนิลก็คิดว่ายังดีกว่าเอาแต่ใบ้กินเป็นไอ้บื้อให้ดรุณีเห็นก็แล้วกัน ทว่าดูเหมือนเด็กสาวจะตีความประโยคดังกล่าวไปคนละทิศคนละทางอย่างสิ้นเชิง
“อินชอบแก้วหรอ”
“เฮ้ย!!” คงไม่เว่อร์เกินไปนักถ้าจะบอกว่าเขาเกือบตกเก้าอี้เพราะประโยคดังกล่าว
“ก็อินพูดเหมือนกำลังแข่งกับนนท์เรื่องความรักอยู่เลย ประมาณว่า เฮ้มาคบกันฉันดีกว่านะ อะไรเงี้ย”
“จะบ้าหรอ! คนที่ฉันชอบน่ะ....”
ชื่อของเด็กสาวติดค้างอยู่ที่ริมฝีปาก อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นมันก็จะกลายเป็นการสารภาพรักแบบที่ทั้งเขาและเพื่อนๆหวังไว้มาตั้งนานแล้วถ้าไม่ใช่เพราะว่า
แง่ม!!
ดูเอาเถอะ ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าเจอมารผจญ ไอ้หมาเวรนี่มาขัดจังหวะเขาได้อย่างเข้าด้ายเข้าเข็มสุดๆเหมือนมันเกิดมาเพื่อขัดขวางความสุขของเขาโดยเฉพาะ แถมยังขัดขวางด้วยการงับเข้าให้ที่น่องอีกข้างของเขาอีกต่างหาก เหมือนครั้งที่แล้ว มันเป็นเพียงความรู้สึกแสบๆคันเหมือนถากไปเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็มากพอให้อินทนิลร้อง
“ว๊ากกกกกก” อย่างน่าสมเพช แล้วโดดดึ้งอ้อมไปหลบหลังดรุณีอีกครั้ง
เจ้ามัฟฟินกระดิกหางก่อนจะโดดขึ้นมานั่งบนตักดรุณีอย่างอ้อร้อไม่ได้มีท่าทีสำนึกแม้แต่น้อยแม้ว่าจะงับเขาไปแล้วถึงสองครั้งก็ตาม เด็กสาวเอ็ดเจ้าขนฟูว่าหมาแย่นิสัยไม่ดีแต่ดูเหมือนมันจะไม่ใส่ใจเท่าไหร่ทั้งยังคงกระดิกหางต่อไปเหมือนฟังไม่ออกซะอย่างนั้น แต่อินทนิลแน่ใจว่ามันฟังออก เพียงแต่มารยาสารไถแสร้งไม่เข้าใจก็เท่านั้น
“ฉันไปทำอะไรให้แกตอนไหนฟะถึงได้เกลียดขี้หน้ากันได้ขนาดนี้” เขาโพล่ศีรษะออกมาจากแผ่นหลังเล็กแล้วโวยวายก่อนจะหดหัวกลับเข้าไปใหม่
ดรุณีมองตาเจ้าสปิตท์ที่นั่งอยู่บนตักครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจลูบหัวมัน
“งั้นหรอ” เธอพูดเบาๆอย่างไม่เจาะว่าถึงใคร “คงเพราะมันกลัวอินแย่งเราไปละมั้งเลยทำแบบนั้น”
“ห๊ะ?” เด็กหนุ่มผู้เอาแต่จ้องหน้าเจ้าขนฟูอย่างอาฆาตเลยไม่ทันได้ฟัง
ดรุณีถอนหายใจก่อนจะเอ่ยอีกครั้งแบบขยายความมากกว่าเดิม
“ก็อินชอบเราไม่ใช่หรอ มันคงดูออกแหละเลยกลัวอินจะแย่งเราไปก็เลยทำตัวแย่ๆใส่ ใช่มะ?” เด็กสาวถาม และได้รับคำตอบมาเป็นเสียงเห่าปนขู่ที่ส่งมาให้อินทนิล ทว่าเด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าตนจะหูอื้อตาลายขึ้นมาอย่างกะทันหันจนได้แต่นิ่งเงียบไป
ดรุณีใจคอไม่ดีที่เห็นเช่นนั้นจึงถามเสียงสั่น “ระ...หรือว่าเราเข้าใจผิดเรื่องที่อินชอบเรา”
“ไม่ใช่นะ!!!” อินทนิลเสียงดังจนเกือบเป็นตะโกน พอเห็นสีหน้าตกใจบนใบหน้าอีกฝ่ายเขาก็ลดความดังลงในประโยคต่อมา “ณีเข้าใจถูกแล้ว ไอ้หมาบ้านี่ก็เข้าใจถูกเหมือนกัน” เด็กหนุ่มตอบอ้อมแอ้มด้วยใบหน้าแดงแปร๊ด ดูเอาเถอะบทจะสารภาพได้ก็ช่างง่ายดายเสียเลหือเกิน “ฉันชอบณีนะ ชอบมาตั้งนานแล้วด้วย”
“ดีใจจัง นึกว่าเราคิดไปเองคนเดียวซะแล้ว”
ดรุณียิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาเขาตาพร่ามัวไปได้อย่างง่ายดายจนพาลให้นึกว่าตนเองอาจหูฟาดตามไปด้วย
“เอ๋?”
“เราเองก็ชอบอินเหมือนกันไง” เด็กสาวย้ำความนัยของประโยคก่อนหน้าให้แล้วยืดตัวขึ้นมาแตะริมฝีปากเข้ากับข้างแก้มของเด็กหนุ่ม เธอหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีส่วนเขานิ่งค้างเป็นไอ้ไก่อ่อนที่วิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไปแล้วเพียงแค่เพราะถูกหอมแก้มเท่านั้น ไม่ได้ละต้องรีบแก้สถานการณ์ ต้องพูดอะไรที่ดูดี...อะไรก็ได้ที่ดูดี
“หะ ห้ามโกหกนะ”
พลาดอย่างแรง แค่ประโยคแรกก็สื่อถึงความบื้อของเขาซะแล้ว
“จะโกหกทำไมละ” แค่ดรุณีกลับมองว่ามันช่างน่าเอ็นดูเธอจึงหัวเราะออกมาอีกครั้ง อินทนิลพยายามแก้ตัวใหม่
“งะ งั้นเป็นแฟนกันนะ”
ดีขึ้นมานิดหนึ่งแม้จะเสียงสั่นไปหน่อยก็ตาม
“อือ!”
สั้นๆง่ายๆจากดรุณีพาให้หัวใจของเด็กหนุ่มลิงโลดจนเกือบหลั่งน้ำตา อินทนิลถึงลืมตัวตั้งใจจะโผเข้ากอดอีกฝ่ายให้สมความรู้สึกอัดอั้นหลายปีที่ได้แต่แอบชอบและเพ้อเจ้อไปเองฝ่ายเดียว ทว่าดูเหมือนเขาจะลืมไปว่ามารผจญยังนั่งอยู่แถวๆนั้น
“กรรรรร”
อินทนิลเลยถูกองครักษ์ขนฟูกระโดดถีบหน้ากลับมาอย่างจังเพื่อให้สมกับความรู้สึกอันมากมายที่มีให้ดรุณี
เขาโดนกัดสองครั้งแถมโดนเหยียบหน้าโดยสุนัขที่หน้าตาประหนึ่งตุ๊กตาใส่ถ่าน แต่การได้ผู้หญิงที่แอบชอบมาตลอดหลายปีมาเป็นแฟนก็นับว่าคุ้มอยู่นะ แม้หลังจากนี้การมาบ้านดรุณีคงกลายเป็นเรื่องยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อดูจากความหวงเจ้านายของมัฟฟิน
แต่จะให้ทำไงได้ละในเมื่อหลงรักเจ้าของไปซะขนาดนี้แล้วคงมีแต่ต้องทำใจรักหมาไปด้วยเท่านั้นแหละ
“โฮ่ง!”
ถึงแม้นิสัยจริงๆจะไม่น่ารักเหมือนหน้าตาก็ตามทีเถอะ
End.
##########
Talk : เรื่องนี้ใช้เวลาแต่งนานมากกกกกกกกกก ตั้งสามสี่เดือนแหน่ะ เราแต่งได้นิดๆหน่อยๆแล้วก็หยุดค่ะ ใช้มันเพื่อคั่นอารมณ์ตอนแต่งมังกรไม่ออก (วันช็อตเมียน้อย มาหาเมื่อเมียหลวงไม่ได้ดั่งใจ 555) หวังว่าคงชอบนะคะ แรงบันดาลใจมากจากการที่บ้านเราเองก็เลี้ยงสปิตท์ค่ะ ไม่ฉลาดเท่านี้หรอกแถมยังไม่มีหนุ่มหล่อมาให้มันมางับเล่นด้วย ฮรืออออ แต่ที่แน่ๆมารยาสารไถกับความขี้อ้อนเนี่ยไม่มีใครเกินเลยค่ะ
ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ : )
ความคิดเห็น