ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ คลังเก็บความเพ้อเจ้อ ]

    ลำดับตอนที่ #16 : The Dragon’s Blood : 2 : The Sin Carrier

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 624
      10
      17 พ.ย. 58


    The Dragon’s Blood : 2 : The Sin Carrier



     




    ###########

     

     

    'ปีเตอร์ อลัน ล็อคฮาร์ท' ...เกลียดการเป็นพ่อมด...แม้จะเกิดมาในฐานะผู้ใช้มนตราที่ทรงพลังที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัยแต่เขาก็ไม่ได้ภูมิใจกับมันเลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะเขาเป็นคนขี้เกียจที่มีความปรารถนาสูงสุดคือการได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข การปล่อยให้เวลารินไหลไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลต่อสิ่งใด นั้นแหละคือทั้งหมดที่เขาต้องการ

     

     

    ทว่าสายเลือดผู้ใช้มนตราในตัวไม่อนุญาตให้เขาได้ทำเช่นนั้น ต้องฝึกฝน ต้องควบคุม ต้องถูกเคี่ยวกรำ พลังในตัวของเขามากมายและน่าเสียดายเกินกว่าจะถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ถูกเจียระไนได้ บิดามักย้ำเตือนไว้เช่นนั้นอยู่เสมอ

     

     

    แต่เหตุผลเหนืออื่นใดที่ทำให้เขาเกลียดการเป็นพ่อมดนั่นก็เพราะสายเลือดของเขามันต้องสาป

     

     

    ให้ถูกต้องกว่านั้น...คือสายเลือดของเขาต้องแบกรับตราบาปแห่งการสาปแช่ง

     

     

    และในฐานะบุตรชายคนหัวปีเขาคือคนที่ต้องแบกรับบาปนั้นสืบมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความทุกข์ทรมานอันเป็นผลตามมาจากการที่ปู่ของเขาสาปแช่งเผ่าพันธุ์ไลแคนเมื่อกว่าพันปีก่อน

     

     

    ทุกๆ จันทร์เต็มดวงยามเมื่อเหล่าหมาป่ากลับคืนสู่ร่างที่แท้จริง

     

     

    ปีเตอร์ก็จะกลายเป็นมังกรเช่นกัน...

     

     



    ###########

     




    ตูม!!!!

     

     

    ร่างของบัลธาซาร์ลอยข้ามห้องเข้ามาปะทะกำแพงอิฐทันทีเมื่อถูกหางยาวๆ ของมังกรสีทองขนาดมหึมาฟาดเข้าใส่ ปีกแบบพังพืดถึงสองคู่ถูกมัดพันไว้ด้วยโซ่สีดำด้านจำนวนมากที่ตอกยึดตรึงไว้กับพื้นและผนังแต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจลดทอนความดุร้ายของร่างสีทองได้แม้แต่น้อย เปลวเพลิงสีน้ำเงินเช่นเดียวกับสีของดวงตาถูกพ่นออกมาจากปากอันใหญ่โต มุ่งหวังให้อีกฝ่ายกลายเป็นเถ้าถ่าน

     

     

    วิลเลี่ยมกระโดดเข้ามาใช้ร่างกายรับเปลวเพลิงทั้งหมดไว้เองเพื่อปกป้องบัลธาซาร์ ท่านประธานแห่งล็อคฮาร์ทเอนเตอร์ไพรซ์ใช้จังหวะนั้นหยัดตัวขึ้นมาจากกำแพงอิฐก่อนจะตวัดมือขวาบังคับให้เสาดินพุ่งขึ้นมากระแทกใบหน้าของมังกรสีทอง

     

     

    เปลวเพลิงสีน้ำเงินหยุดลง มังกรซวนเซ บัลธาซาร์ขยับมือซ้ายพร้อมขยับปากร่ายมนต์อย่างรวดเร็ว ฉับพลันเหล่าโซ่สีดำก็เคลื่อนไหวมารัดพันมังกรแน่นกว่าเดิมทั้งยังรวบมัดปากไว้เพื่อไม่ให้ปล่อยเพลิงกาฬออกมาด้วย

     

     

    "วิลเลี่ยม!!" บัลธาซาร์ร้องเรียกบอดี้การ์ดหนุ่มแล้ววิ่งเข้ามาดูอาการ

     

     

    "ผมไม่เป็นไรครับ"

     

     

    มันคือข้อเท็จจริงไม่ใช่เพียงคำพูดเพื่อปลอบใจเพราะนอกจากเสื้อผ้าที่ขาดไหม้และไอควันที่กรุ่นลอยขึ้นมาแล้ว ร่างกายของวิลเลี่ยมไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย ผิวหนังไม่หลอมละลาย กระดูกไม่กลายเป็นเถ้าถ่าน

     

     

    "พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้ว" บัลธาซาร์ว่าพลางแหงนมองด้านบนของโดมกระจกใส อาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้กว้างใหญ่และคงทนมากพอที่จะให้มังกรอยู่อาศัยได้ทว่าต่อให้เป็นวัสดุที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่อาจทานทนความบ้าคลั่งของราชันย์แห่งสัตว์ร้ายได้อยู่ดี

     

     

    ความมืดของท้องฟ้าเริ่มถูกเจือจางแล้วหากแต่ความดุร้ายของมังกรนั้นตรงข้าม เพราะยิ่งใกล้หมดเวลามากเท่าไหร่สัตว์ร้ายก็ยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น ดวงตาสีน้ำเงินจ้องสบดวงตาสีน้ำเงินอีกคู่ที่มีม่านตาเป็นเส้นขีด ปากใหญ่โตอ้ากว้างทั้งสะบัดศีรษะไปมา เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อโซ่ทุกเส้นใกล้จะหลุดแยกออกจากกันเต็มที

     

     

    "ยังได้อีกซักครั้งมั้ย" บัลธาซาร์ปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามกรอบหน้าออกไปขณะหันมาถามบอดี้การ์ดหนุ่ม

     

     

    "น่าจะยังไหวครับ แต่หลังจากนี้คงต้องขอส่งใบลาพักร้อนซักสามวัน"

     

     

    "ให้อาทิตย์หนึ่งเลยแล้วกัน"

     

     

    "ฮะๆ แบบนี้ไหวแน่ครับ" วิลเลี่ยมหัวเราะรวนแม้ว่าสีหน้าจะสื่อออกมาตรงกันข้ามก็ตาม ชายหนุ่มยืดตัวเต็มความสูงพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตวัดแขนไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือที่ประกบเข้าหากันก่อให้เกิดเสียงปรบมืออันกึกก้อง

     

     

    แล้วอยู่ๆ ก็ปรากฏไฟดวงน้อยขึ้นที่ปลายนิ้วของวิลเลี่ยม มันไหม้ลามไล่ไปตามเส้นเลือดของบอดี้การ์ดหนุ่ม สูงขึ้นไปยังหัวไหล่และมุ่งตรงเข้าหาหัวใจ หลังจากนั้นร่างกายก็ยืดขยายจนมีความสูงเกือบสามเมตรโดยท่อนบนที่ล่ำสันและใหญ่โตกว่าท่อนล่างทำให้แผ่นหลังงองุ้มจนต้องโน้มตัวมาด้านหน้า ผิวหนังถูกย้อมอาบเป็นสีเทาดำเหมือนสีของเถ้าถ่านก่อนจะปริแยกออกจากกันเผยให้เห็นลาวาร้อนระอุที่ไหล่เวียนอยู่ข้างใต้แทนที่เลือดเนื้อ เขายาวโง้งเหมือนเขาแพะงอกมาจากกลางหน้าผาก นัยน์ตาสีแดงสดเหมือนทับทิมขยายตัวออกไปจนกลืนกินส่วนที่เป็นตาขาวทั้งหมด

     

     

    ...อิคฟรีด...อสูรแห่งเปลวเพลิง นั่นคือสิ่งที่วิลเลี่ยมเป็น อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งในขณะที่อีกครึ่งคือเลือดของมนุษย์ เพราะเช่นนี้ผิวนอกของเขาจึงเป็นแค่เถ้าถ่านอันร้อนระอุ ไม่ได้ลุกติดไฟดังเช่นที่อิคฟรีดตนอื่นๆ เป็นกัน ผลที่ตามมาคือพละกำลังและความทนทานที่ด้อยกว่า ทั้งยังไม่อาจสร้างเปลวไฟที่ร้อนแรงพอที่จะต่อกรกับอสูรแห่งเปลวเพลิงตนอื่นได้เลย

     

     

    ทว่าข้อด้อยนี้กลับเป็นความได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่ครอบครองไฟกาฬอย่างมังกร...เพราะเขาสามารถดูดกลืนไฟของอีกฝ่ายมาเพิ่มพลังให้กับตนเองได้

     

     

    บัลธาซาร์วิ่งอ้อมไปด้านหลังในขณะที่วิลเลี่ยมตะโกนคำรามเพื่อเรียกความสนใจจากมังกรสีทอง ซึ่งก็ได้ผล ร่างใหญ่โตหันมาทางบอดี้การ์ดหนุ่มอย่างมุ่งร้าย ปากใหญ่โตพยายามอ้าออก โซ่เหล็กที่มัดปากไว้ปริแยกจากกันก่อนจะพังทลายลงมาในที่สุดเช่นเดียวกับโซ่เส้นอื่นๆ ที่ร่วงตามลงมาติดๆ ปีกสีทองทั้งสองคู่ขยับกระพือไปมาราวกับกำลังไล่ความเมื่อยขบจากการถูกพันธนาการไว้มาตลอดคืน เปลวอัคคีลามเลียออกมาจากคมเขี้ยวและพุ่งเข้าหาวิลเลี่ยมอีกครั้ง

     

     

    ลูกครึ่งอิคฟรีดอ้าแขนรับเพลิงโลกันต์นั้นอย่างจงใจ มันถูกดูดกลืนหายเข้าไปใต้ผิวหนังสีเทาหนาเหมือนชั้นหินของเขา ลาวาที่เลื่อนไหลอยู่ใต้ผิวหนังหมุนวนเร็วขึ้นและเริ่มเปล่งแสงสีส้มแดงจางๆ ดวงตาสีแดงก่ำมองผ่านไปอีกฟากของลานกว้างที่ๆ เจ้านายของเขากำลังลากอักขระวงเวทย์อันใหม่อยู่บนพื้น

     

     

    ดูท่าแล้วการตั้งรับเพียงอย่างเดียวคงไม่พอถ่วงเวลาให้บัลธาซาร์ได้แน่ๆ...ลูกครึ่งอิคฟรีดคำนวนสถานการณ์อย่างรวดเร็วก่อนจะตัดใจว่าถึงเวลาโต้กลับแล้ว

     

     

    เพราะฉะนั้นในอีกอึดใจถัดมาเมื่อมังกรหยุดพ่นไฟ

     

     

    ตึง!!!!

     

     

    วิลเลี่ยมก็ทุบกำปั้นลงกับพื้นทันที!!

     

     

    แผ่นศิลาขนาดใหญ่ที่ถูกใช้ปูพื้นปริแยกออกจากกันโดยมีลาวาร้อนระอุพุ่งตามขึ้นมา เส้นแตกร้าวอันใหญ่โตมุ่งตรงเข้ามามังกรแห่งคำสาปอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนพื้นที่โดยรอบให้กลายเป็นบ่อลาวาภายในพริบตา น้ำหนักอันมหาศาลทำให้ร่างของมังกรสีทองทรุดจมลงไป เสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดแผดลั่น จริงอยู่ที่ลาวาของลูกครึ่งสัตว์ร้ายอย่างวิลเลี่ยมคงไม่อาจทำอันตรายราชันย์อย่างมังกรได้ แต่ก็น่าจะถ่วงเวลาได้มากพอสำหรับเวทย์ของบัลธาซาร์....

     

     

    ตูม!!!

     

     

    ตามมุมต่างๆ ที่ถูกเขียนไว้ด้วยอักขระแห่งมนตราเปล่งแสงเรืองรองก่อนจะระเบิดออกเป็นโซ่ตรวนนับร้อยเส้นพุ่งเข้ามามัดยึดมังกรทองเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง ทว่าคราวนี้แทนที่จะพันธนาการไว้เฉยๆ โซ่เหล่านั้นกลับกดดึงให้ร่างใหญ่โตจมลงในบ่อลาวาอย่างรวดเร็ว มังกรพยายามดิ้นรน ปีกทั้งสองคู่กวาดวาดไปมาในอากาศ บัลธาซาร์ขยับมือและเพ่งสมาธิ ควบคุมโซ่ส่วนหนึ่งให้มามัดปีกไว้

     

     

    และเมื่อมังกรแห่งคำสาปจมหายลงไปทั้งตัว...

     

     

    “วิลเลี่ยม!!!” บัลธาซาร์ร้องตะโกน แม้ไม่ต้องเอ่ยคำสั่งใดบอดี้การ์ดหนุ่มก็รู้หน้าที่ของตนเป็นอย่างดี ลูกครึ่งอิคฟรีดดึงกำปั้นออกจากพื้น ลาวาทั้งหลายเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหินแข็ง...กลายเป็นคุกขังมังกรผู้บ้าคลั่งที่แน่นหนามากยิ่งกว่าเดิม

     

     

    วิลเลี่ยมทรุดล้มลงกับพื้นแล้วกลับคืนร่างเป็นมนุษย์อย่างรวดเร็ว ร่างกายของชายหนุ่มเป็นสีแดงจัดคล้ายถูกลวก เหงื่อมากมายพุดพรายขึ้นตามร่าง เสียงหอบหายใจของความเหนื่อยอ่อนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดวงตาสีทับทิมเหลือบมองผู้เป็นนายที่มีสภาพอ่อนล้าไม่ต่างกันซึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้

     

     

    บัลธาซาร์นั่งลงบนก้อนหินซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนักพลางใช้หลังมือปาดเช็คเหงื่อที่ไหลลงมาถึงปลายคาง ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมองด้านบนที่ท้องฟ้าใกล้จะสว่างเต็มที่แล้ว อีกแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น...พันธนาการระดับนี้น่าจะทนไหว พ่อมดแห่งคำพยากรณ์คิดกับตนเองในใจ

     

     

     “พูดตรงๆนะครับ นายน้อยชักจะแข็งเกร่งเกินไปแล้ว” คนที่นอนแผ่อยู่บนพื้นเปรยขึ้นมา “ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อีกซักสองสามเดือนผมคงไม่มีประโยชน์กับบอสแล้วแน่ๆ”

     

     

    “ไว้ถึงตอนนั้นค่อยหาทางกันอีกที” บัลธาซาร์ตอบไปอย่างส่งๆเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไรออก

     

     

    “บอสน่าจะรับข้อเสนอของ เจ้าหมอนั่น’ นะครับ ถ้านายน้อยควบคุมตนเองได้อะไรๆ จะได้ง่ายขึ้นกว่านี้”

     

     

    “ให้หมาป่ามาฝึกมังกรเนี่ยนะ...” ท้ายประโยคตามมาด้วยเสียงเหอะอย่างดูแคลนและถือเป็นการปฏิเสธไปในตัว

     

     

    “แต่เราเองก็มาถึงขีดจำกัดกันแล้วนะครับ” วิลเลี่ยมให้เหตุผล พยายามเลือกคำที่ตรงประเด็นและน่าจะทำให้ผู้เป็นนายอารมณ์เสียน้อยที่สุด “เมื่อก่อนแค่โซ่ไม่กี่เส้นก็เอาอยู่ แต่คืนนี้ผมต้องแปลงร่างไปตั้งสามครั้งแถมบอสก็ใช้เวทย์ไปจนเกือบหมดเลยด้วยว่าจะเอาชนะมาได้....”

     

     

    แถมยังเป็นชัยชนะแบบหืดขึ้นคอสุดๆ อีกต่างหาก

     

     

    “และคำว่าเมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้มันก็ห่างกันแค่ปีเดียวเองนะครับ”

     

     

    “เลิกพูดได้แล้ววิลเลี่ยม...”

     

     

    “ผมแค่เสนอเฉยๆ”

     

     

     

     

    บัลธาซาร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สีหน้าและท่าทางบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการจะฟังอะไรอีกทั้งนั้น วิลเลี่ยมที่รู้ดีจึงปิดปากฉับแล้วนอนพักเอาแรงต่อไปเงียบๆ บัลธาซาร์เดินห่างออกมาตั้งใจจะไปตรวจทานความแข็งแรงของคุกลาวาอีกรอบ ทว่าตอนนั้นเองที่ดวงตาสีน้ำเงินสังเกตเห็นร่างเล็กจ้อยเดินเตาะแตะผ่านเข้ามาจากช่องว่างของกำแพงที่เพิ่งพังทลายลงมา

     

     

    เด็กชายวัยสามขวบผู้มีเส้นผมสีดำสนิทหันมองไปรอบด้านอย่างหวาดๆ มือขวาหอบหิ้วผ้าห่มผืนน้อยติดตัวมาด้วยในขณะที่ดูดนิ้วหัวแม่มือซ้ายของตนไปด้วยอยู่เพื่อบรรเทาความกังวล

     

     

    “เจมี่!!” เสียงของบัลธาซาร์ที่ตะโกนเรียกอย่างตกอกตกใจทำให้เด็กชายหันดวงตากลมโตสีน้ำเงินซีดจางจนเกือบเป็นสีฟ้ามามองได้ไม่ยาก ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปหา ตั้งใจจะรวบลูกชายคนเล็กมาอุ้มเพื่อพาออกไปจากกรงขังมังกร ทว่าเด็กชายตัวน้อยกลับถอยหนี ดวงตากลมโตเปลี่ยนไปก้มมองพื้นไม่ยอมสบตากับผู้เป็นพ่อ ที่จริงแล้วเจมี่แทบไม่สบตาหรือยอมให้ใครแตะตัวเลยด้วยซ้ำถ้าไม่ใช่แพทริเซีย

     

     

    บัลธาซาร์จึงจำใจเปลี่ยนไปนั่งยองๆ ลงตรงหน้าเด็กชายวัยสามขวบแทน

     

     

    “มาทำอะไรที่นี่กันแล้วพริมละ...”

     

     

    “ไปแล้ว...” เด็กชายกล่าวห้วนสั้นแล้วกลับไปดูดนิ้วมือต่อ คนนอกมาฟังคงไม่อาจตีความได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทว่าบัลธาซาร์ที่ต้องพบเจอเหตุการณ์ทำนองนี้อยู่บ่อยๆ กลับเข้าใจได้ทันที พริมโรสวัยเก้าขวบผู้ยังไม่อาจควบคุมพลังของตนเองได้ ได้ย้อนกลับยังอดีตกาลอีกแล้ว ทิ้งให้เจมี่น้อยซึ่งยังหวาดกลัวการอยู่คนเดียวเดินออกจากห้องนอนจนมาไกลถึง กรง’ แห่งนี้

     

     

    ปกติแล้วในคืนจันทร์เต็มดวงมักเป็นหน้าที่แพทริเซียที่ดูแลลูกชายคนเล็กในขณะที่เขาคอยรับมือลูกชายคนโต ทว่างานนิทรรศการสมบัติแห่งยุคกลางที่จัดขึ้นที่สมิธโซเนี่ยนเป็นงานใหญ่ที่หญิงสาวและศาสตราจารย์บราวน์ไม่อาจปฏิเสธได้ หน้าที่ดูแลเจมี่ในค่ำคืนนี้จึงตกเป็นของพริมโรสแทน

     

     

    บัลธาซาร์ลอบถอนหายใจขณะเอื้อมมือไปจับชายผ้าห่มของเจมี่ไว้ เด็กชายจึงก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิดแต่ก็ยังไม่ยอมให้ผู้เป็นพ่อแตะตัวอยู่อีก ดวงตาสีน้ำเงินคมดุเหลือบมองเบื้องบนที่ความมืดเริ่มเจือจางไปมาก เขาคำนวณกับตนเองในใจว่าป่านนี้ลูกชายคนโตคงสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว

     

     

    “มาเถอะเจมี่ พ่อจะพาเจ้ากลับไปนอนต่อ”

     

     

    “นอนๆ...” เด็กชายงึมงำแล้วทำท่าจะดูดนิ้วโป้งอีกรอบ

     

     

    ทว่าในค่ำคืนนี้ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนซักอย่าง....

     

     

    ตูม!!!!!

     

     

    คุกลาวาระเบิดออกพร้อมการปรากฏกายของมังกรสีทอง เสียงคำรามเปล่งสะท้อนไปมาในบรรยากาศของช่วงเวลาสุดท้ายก่อนพระจันทร์จะลาลับ ช่วงเวลาที่มังกรแห่งตราบาปจะดุร้ายมากที่สุด ดวงตาสีน้ำเงินที่มีม่านตาเป็นเส้นขีดหันมองมายังพ่อมดแห่งคำพยากรณ์อย่างมุ่งร้าย ปากใหญ่โต้อ้ากว้าง เปลวเพลิงสีเดียวกับดวงตาอัดแน่นรวมตัวกันอยู่ภายในนั้น

     

     

    วิลเลี่ยมร้องตะโกน แต่ไม่อาจลุกยืนไหวอีกแล้ว บัลธาซาร์ที่หมดพลังเวทย์แล้วเช่นกันหันแผ่นหลังเข้าหาราชันย์แห่งสัตว์ร้ายขณะรวบลูกชายคนเล็กเข้ามาแนบอกตามสัญชาติญาณแห่งการปกป้องโดยไม่สนใจต่ออาการดิ้นรนและขัดขืนของร่างเล็ก เป็นจังหวะเดียวกับที่ไฟกาฬถูกปลดปล่อยออกมา

     

     

    ตูม!!!!!

     

     

    เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้องขึ้นอีกครั้งเมื่อไฟมังกรปะทะเข้ากับม่านพลังบางใสที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้น ปกป้องบัลธาซาร์และเจมี่น้อยจากความตายได้ทันอย่างฉิวเฉียด ความสงสัยแล่นวูบขึ้นมาในใจทันทีที่ได้เห็นเนื่องจากนี้ไม่ใช่พลังของเขา

     

     

    คำถามได้รับคำตอบภายในพริบตาถัดมา เมื่อร่างบางที่ดูเกือบๆ จะคุ้นตาแต่ไม่คุ้นเคยได้ก้าวเข้ามาในครรลองสายตา ฝ่าเท้าเปลือยเปล่า ผมสีทองยาวและดวงตาสีน้ำเงิน ใบหน้างดงามที่ดูคล้ายคู่ชีวิตของเขาจนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นคนๆ เดียวกัน

     

     

    “พ่อไม่เป็นอะไรนะคะ ขอโทษด้วยที่ตัวหนูตอนเก้าขวบทิ้งเจมี่ไว้แบบนั้น หนูพยายามจะกลับมาแก้ไขแล้วแต่ดูเหมือนจะกะเวลาพลาดไปหน่อย” หญิงสาวเอ่ยก่อนจะขยับมือวูบอีกครั้งโดยไม่แม้แต่จะหันมอง

     

     

    เธอใช้เวทย์ ย้อนเวลา’ ให้โซ่สีดำทั้งหลายที่เคยแตกสลายไปกลับมารวมกันใหม่และพันธนาการมังกรไว้อีกครั้ง บัลธาซาร์แทบจะอ้าปากค้างให้กับความทรงพลังของมนตราที่สัมผัสได้ ดวงตาสีน้ำเงินเพิจารณามองร่างบางให้เต็มตาอีกครั้งเพราะไม่บ่อยนักที่เขาจะพบกับลูกสาวซึ่งมาจากอนาคตที่ห่างไกลออกไปขนาดนี้

     

     

    ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยถามอะไรเพิ่มเจมี่ก็ดิ้นขลุกขลักจนหลุดออกจากแขนของบัลธาร์ได้ในที่สุด เด็กชายวิ่งไปหลบหลังพริมโรส มือน้อยกอดผ้าห่มแนบอกแล้วก้มมองพื้น ทว่าอีกมือหนึ่งกลับยึดชายกระโปรงของแม่มดนัดท่องเวลาไว้แน่นราวกับหาที่พึ่งพิง

     

     

    ดูเหมือนเจมี่จะเข้าใจไปแล้วว่าพริมโรสจากอนาคตคือแพทริเซีย เพราะโดยปกติแล้วไม่มีทางเลยที่เด็กชายจะยอมเข้าใกล้ใครอื่นได้ขนาดนี้

     

     

    “นอนๆ....” เจมี่กล่าวคล้ายจะบอกให้พริมโรสพาเข้านอนให้หน่อย ทว่าตอนนั้นเองที่เสียงครืดคราดดังขึ้น สายตาทุกคู่หันมองและพบว่าร่างมหึมาสีทองกำลังโผล่พรวดขึ้นมาจากคุกลาวา

     

     

    มังกรแห่งตราบาปคำรามลั่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นแสงจันทร์...

     

     

    เจมี่แบะปากเตรียมจะร้องไห้ด้วยความกลัว พริมโรสกอดร่างเล็กแน่น ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลแล้วก้าวถอยห่างออกไปเล็กน้อยเพื่อลดความกลัวของเด็กชายในขณะที่บัลธาซาร์ทำตรงกันข้าม อดีตมังกรต้องสาปสาวเท้าเข้าไปใกล้ร่างของราชันย์แห่งสัตว์ร้ายที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง เกล็ดสีทองคำเริ่มหลุดลอกและสลายไปก่อนจะทันได้กระทบพื้น เขาที่เรียงรายหดสั้น ร่างกายมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ปีกแบบพังพืดทั้งสองคู่พลุบหายเข้าไปในแผ่นหลัง

     

     

    และทันทีที่พระจันทร์เต็มดวงอำลาผืนฟ้า ร่างของมังกรก็กลายกลับคืนเป็นเด็กชายวัยเก้าขวบคนหนึ่ง...

     

     

    พริมโรสบังคับให้โซ่ค่อยๆ คลายตัวออกช้าๆ เพื่อส่งร่างของพี่ชายฝาแฝดให้ตกลงสู่อ้อมแขนของผู้เป็นบิดาที่รอรับอยู่แล้ว

     

     

    ดวงตาสีน้ำเงินเจิดจ้าของเด็กชายลืมขึ้นอย่างแช้มช้า และทันทีที่สามารถเปล่งเสียงได้...

     

     

    “บอกทีว่าครั้งนี้ผมไม่ได้ทำร้ายใคร” ปีเตอร์มักจะถามเช่นนี้เสมอ ด้วยน้ำเสียงอันเศร้าหม่องและแววตาอันขมขื่น เด็กชายผู้แบกรับขอแลกเปลี่ยนของการสาปแช่งเผ่าพันธุ์ไลแคนไม่เคยสงสัยต่างไปจากนี้แม้แต่น้อย ไม่สนใจว่าตนเองจะบาดเจ็บหรือไม่ ขอแค่เปลวไฟเหล่านั้นยังไม่ได้ทำอันตรายใคก็เพียงพอแล้ว

     

     

    บัลธาซาร์ใคร่ครวญในสิ่งที่เห็นและข้อเท็จจริงที่วิลเลี่ยมเพิ่งพูดไป

     

     

    ปีเตอร์แข็งแกร่งขึ้นเร็วมาก...มากเกินไปจนเขาไม่สามารถรับมือได้ และถ้าในวันนี้พริมโรสจากอนาคตไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น เขาก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจมี่ การจินตนาการถึงภาพอันเลวร้ายเหล่านั้นทำให้เขานึกกลัว แต่ที่กลัวยิ่งกว่าคือการนึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าปีเตอร์ได้รู้ว่าเผลอทำร้ายน้องชายไป ถ้าเป็นเช่นนั้นลูกชายของเขาคงได้พร่ำโทษตนเองไปทั้งชีวิตที่เหลือเป็นแน่ และเขาก็เช่นกัน...คงไม่อาจให้อภัยตนเองที่ปล่อยให้ทิฐิอันมากล้นมาบดบังทางเลือกที่มีในการควบคุมสัตว์ร้ายภายในสายเลือด

     

     

     “ตั้งแต่พรุ่งนี้เจ้าจะได้รับการฝึกเพื่อควบคุมสัญชาตญาณ” บัลธาซาร์ตัดสินใจในชั่วพริบตานั้น เขาปล่อยปีเตอร์ลงยืนกับพื้นทว่ายังคงวางมือไว้บนไหล่ของเด็กชาย ร่างสูงย่อตัวลงมาคุกเข่าเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน

     

     

    “พ่อจะสอนผมหรอครับ” ลูกชายถามทว่าคนเป็นพ่อกลับส่ายหน้า เพราะกว่าบัลธาซาร์จะควบคุมสัญชาตญาณในตัวได้ก็กินเวลาไปหลายร้อยปีเหลือเกินและปีเตอร์ไม่มีเวลามากขนาดนั้น โลกใบนี้กว้างใหญ่และลูกชายของเขายังเยาว์วัยยิ่งนัก มีหลายสิ่งให้ต้องเผชิญและหลายอย่างให้ออกไปค้นหา เขาไม่ต้องการเก็บปีเตอร์ไว้ในกรงทองดังเช่นที่เขาเคยถูกกักขังไว้ในปราสาทร้าง

     

     

    เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด...

     

     

    “เจ้าจะต้องไปเรียนกับเหล่าไลแคน”

     

     


    ###########



     

    โดด?

     

     

    ข้อความในมือถือที่ถูกส่งมาช่างห้วนสั้นจนเกือบไม่อาจตีความได้ แต่เนื่องจากรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเพิ่งทำอะไรลงไป ปีเตอร์ อลัน ล็อคฮาร์ทในวัยสิบเจ็ดปีจึงพิมพ์ตอบกลับไปว่า

     

     

    เออ

     

     

    สั้นไม่แพ้กันและติดจะเป็นการยั่วโทสะอย่างจงใจด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงยีนส์ทว่าไม่ถึงหนึ่งนาทีต่อมา ดีแลน เรมิงตัน ก็ส่งข้อความกลับมาให้ใหม่

     

     

    เขาเอานายตายแน่’ และครั้งนี้มันมาเป็นคำขู่

     

     

    เขาจะทำอะไรฉันได้ ฟ้องพ่อ?’ ความเร็วในการพิมพ์ตกลงไปเล็กน้อยเพราะต้องหยิบหนังสือพีชคณิตออกมาจากล็อคเกอร์แต่ความกวนโมโหไม่ได้น้อยตามลงไปด้วยเลย เด็กหนุ่มเอื้อมมือซ้ายออกไปพยายามปิดล็อคเกอร์ในขณะที่มือขวากดปุ่มส่งข้อความ

     

     

    ทว่าประตูตู้กลับถูกปิดดังปังโดยมือของใครอีกคนแทน ซึ่งคนๆ นั้นก็ได้บ่นออกมาว่า...

     

     

    “อย่าอวดเก่งน่าพีท นายลืมแล้วรึไงว่าวันนี้จันทร์เต็มดวง”

     

     

    ดีแลน เรมิงตัน เป็นทั้งว่าที่ผู้นำเหล่าไลแคนคนต่อไปและยังเป็นเพื่อนสนิทของปีเตอร์อีกด้วย สายเลือดของสัตว์ร้ายทำให้เด็กหนุ่มผมสีเทามีส่วนสูงที่มากกว่าปีเตอร์นิดหน่อยและมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันค่อนข้างเยอะ ดวงตาสีใบไม้หม่นที่หางตาเฉียงขึ้นทำให้ภาพลักษณ์ดูเป็นเจ้าเล่ห์อย่างช่วยไม่ได้ทั้งที่นิสัยจริงๆ ของเจ้าตัวออกจะทื่อมะลื่อและซื่อตรงเกินไปด้วยซ้ำ

     

     

    “ฉันไม่ได้ลืม” ปีเตอร์สวนทันควัน “นายน่ะแหละที่ลืมถึงได้มาโรงเรียนแบบนี้”

     

     

    “อย่าเหมารวมกะนายดิ ระดับนี้แล้วต่อให้เอาแร่เงินมาแทงก็ยังสบาย”

     

     

    ดีแลนเป็นอัจฉริยะซึ่งมีพรสวรรค์ในการควบคุมตนเองเป็นเลิศ จันทร์เต็มดวงไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายสูญเสีญตัวตนให้สัญชาตญาณดังเช่นที่เขาหรือไลแคนตัวอื่นๆ เป็นแม้แต่น้อย แต่ถึงแม้มันจะเป็นความจริงก็ไม่ได้หมายความว่าปีเตอร์จะไม่หมั้นไส้ท่าทางขี้โอ่ของเพื่อนสนิทตั้งแต่เก้าขวบคนนี้อยู่ดี

     

     

    “นายมาโรงเรียนทำไมกันดี มาทำให้ฉันเบื่อตายรึไง” ดวงตาสีน้ำเงินยังคงจับจ้องอยู่แต่หน้าจอโทรศัพท์ขณะเบี่ยงตัวหลบเหล่านักเรียนไฮสคูลที่กำลังเดินกันควักไขว้เพื่อมุ่งเข้าห้องเรียน

     

     

    “ฉันมาตามนายกลับบ้านต่างหาก” เสียงของดีแลนเรียกความสนใจของปีเตอร์จากการพิมพ์ข้อความในมือถือได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น “ เขา’ ให้ฉันมาตามนายกลับบ้าน ขอร้องละพีท ถ้าฉันกลับไปคนเดียวเขาฆ่าฉันอีกคนแน่”

     

     

    ไม่เหมือนบรรพบุรุษที่สามารถควบคุมและกลายร่างได้อย่างอิสระตามใจนึก ไลแคนรุ่นใหม่ๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่กับวิถีแบบมนุษย์เป็นหลักมีแนวโน้มจะไม่คุ้นชินต่อร่างหมาป่าจนทำให้เสียการควบคุมได้ง่ายๆ ยิ่งเป็นคืนจันทร์เต็มดวงที่ถูกคำสาปบังคับให้กลายร่างยิ่งถูกกลืนกินโดยความเป็นสัตว์ร้ายจนอาละวาดคลุ้มคลั่งได้ง่ายยิ่งขึ้น

     

     

    เพราะฉะนั้นทันทีที่เริ่มรู้ความ ไลแคนทุกตัวจะต้องเข้ารับการฝึกฝนกับ ท่านผู้นั้น’ เพื่อเรียนรู้วิธีกักเก็บเขี้ยวเล็บของสัตว์ร้ายไว้ภายใน

     

     

    ทว่า...ถึงจะเรียนไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เสียทีเดียว เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ในคืนจันทร์เต็มดวงเช่นนี้เหล่าไลแคนจึงนิยมขังตนเองไว้ภายในบ้านมากกว่าจะออกมาเพ่นพ่าน

     

     

    ปกติแล้วปีเตอร์ก็จะทำเช่นนั้นน่ะแหละ ขังตัวเองอยู่ภายใต้กรงใหญ่โตที่ผู้เป็นบิดาสร้างไว้ให้ แต่ว่าเขาเบื่อเต็มทนแล้วกับการต้องรัดพันตนเองด้วยโซ่นับร้อยๆ เส้นแล้วนั่งจ้องมองท้องฟ้าเพื่อภาวนาขอดวงตะวัน เพราะฉะนั้นในค่ำคืนนี้....

     

     

    "ฉันจะไม่กลับไปโดนล่ามโซ่เด็ดขาด ฉันควบคุมมันได้"

     

     

    "ได้กะผีสิพีท!!" ดีแลนเสียงดัง แต่ก็ยังไม่อาจสู้ความจอแจรอบด้านได้จึงไม่มีใครสนใจพวกเขาเท่าไหร่นัก "ครั้งที่แล้วนายทำพ่อฉันซี่โครงหักสองซี่แล้วก็เกือบเผาแมคโดนัลจนวอด ดีแค่ไหนแล้วที่พ่อนายรวยพอจะปิดปากพนักงานและซื้อรูปมาจากนักข่าวได้ และถ้าฉันจำไม่ผิดซึ่งฉันไม่เคยจำอะไรผิด ก่อนจะหนีไปนายพูดว่า ฉัน-ควบ-คุม-มัน-ได้!!"

     

     

    "นั่นมันสามปีมาแล้ว" ปีเตอร์นิ่วหน้า ไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่นักว่าความเบื่อหน่ายเคยทำให้เขาหนีจากกรงขังจนเกิดเรื่องมาแล้ว แต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกด็ดขาดเขามั่นใจ เขาโตขึ้นแล้ว รู้มากขึ้น สงบนิ่งมากขึ้น ควบคุมได้...มากขึ้น

     

     

    ดีแลนลากแขนเพื่อนสนิทให้ออกมาพ้นโถงทางเดินหลัก เส้นทางที่มุ่งตรงสู่โรงยิมค่อนข้างร้างผู้คนจึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะพูดคุยกันในเรื่องที่ไม่สามารถให้คนทั่วไปได้ยินได้

     

     

    "นายไม่เหมือนฉันโอเคมั้ยเพื่อน หมาป่าถูกกระตุ้นด้วยแรงขับของความดิบเถื่อนและกลิ่นคาวเลือด มันคุมได้ถ้านายใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมนุษย์และอยู่ให้ห่างการต่อสู้ แต่นายเป็นมังกร นาย...."

     

     

    "ฉันถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกโดยเฉพาะความโกรธ คิดว่าฉันจำไม่ได้รึไงในเมื่อทั้งพ่อนายแล้วก็ 'เขาเอาแต่ย้ำมาตั้งแต่ฉันเก้าขวบ"

     

     

    "แล้วทำไมมันถึงไม่เข้าไปในกะโหลกหนาๆ ของนายเลยห๊ะ!!?"

     

     

    คาวเลือดจางลงได้ ความรุนแรงก็หยุดยั้งได้ แต่ไม่ใช่กับอารมณ์หรือความรู้สึก มันเป็นพื้นฐานที่แสดงออกถึงการมีชีวิต ทำได้อย่างมากก็แค่แสร้งทำเหมือนไม่มีตัวตน ไม่ได้รัก ไม่ได้แค้น ไม่ได้เศร้า ไม่ได้กราดเกรี้ยว ทั้งต่อตนเองผู้คนหรือแม้แต่โชคชะตา

     

     

    ปีเตอร์เองก็เป็นแบบนั้น กักเก็บและสลายอารมณ์ทั้งหลายทั้งมวลออกไปเพื่อกันตัวเองออกจากเรื่องราวที่อาจจะทำให้เขารู้สึกรู้สา ล่ามขังสัตว์ร้ายไว้เพียงภายในจิตใจและพยายามฝืนใช้ชีวิตให้เหมือนว่าเขาเป็นคนปกติทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่ และไม่มีวันได้เป็น

     

     

    "เพราะว่าวันนี้ฉันมีเดท" เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ พิมพ์มือถือยิกๆ แล้วกดส่งข้อความออกไปอีกครั้ง ร่างสูงโปร่งเดินกลับไปยังทางเดินหลักทันทีโดยไม่นำพาต่ออาการอ้าปากค้างของว่าที่ผู้นำไลแคนคนต่อไป

     

     

    "อะไรนะ!!" ดีแลนวิ่งตามมากอดคอปีเตอร์ไว้ "ใครเรเชลลอรี่เกรซ?"

     

     

    คนผมเทาถามรัวเร็ว ไม่เข้าใจว่าสาวๆ เห็นอะไรดีในตัวเจ้าเพื่อนผมทองคนนี้นักหนาถึงได้ขยันแวะเวียนมาโปรยเสน่ห์ให้ไม่ขาดสาย เพราะรวยหรอ? ดีแลนว่าตระกูลเรมิงตันของเขาร่ำรวยกว่าด้วยซ้ำ เพราะหน้าตา? ก็อาจมีส่วน ปีเตอร์หน้าตาดีจริง ดีแลนไม่คิดโต้แย้ง แต่ในโรงเรียนอันแสนกว้างใหญ่แห่งนี้มีคนหน้าตาดีกว่าเจ้าเพื่อนหน้าตายคนนี้เยอะแยะไป

     

     

    ดีแลนถามตัวเองมาโดยตลอดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้มังกรแห่งตราบาปดูน่าหลงใหลในสายตาของสาวๆ ชาวมนุษย์นัก และเขาเพิ่งได้คำตอบเมื่อไม่นานมานี้นี่เองว่าคือบรรยากาศ กลิ่นอายลึกลับและท่าทีถือตัวอันนิ่งเรียบที่ชักชวนให้เข้ามาลองค้นหา

     

     

    ปีเตอร์ไม่เคยขาดแคลนสาวๆ ดีแลนรู้ดีและก็รู้ด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเพื่อนหัวทองกับสาวๆ เหล่านั้นฉาบฉวยมากแค่ไหน สามเดท...ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ปีเตอร์จะเดทกับพวกเธอแค่สามครั้งเท่านั้นก่อนจะจบทุกอย่างลงอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าถ้าถล้ำลึกไปมากกว่านั้นพวกเธออาจบังเอิญล่วงถึงรู้ตราบาปในสายเลือด ทุกคนผ่านเข้ามาและผ่านเลยไปอย่างง่ายดายโดยคำติดปากของเจ้ามังกรบ้าคือ

     

     

    ก็แค่รู้สึกว่ายังไม่ใช่

     

     

    ดีแลนค่อนแคะอยู่บ่อยๆ ว่าปีเตอร์ใช้ผู้หญิงสิ้นเปลืองยิ่งกว่าเจมส์บอนด์เสียอีก เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากยามเมื่อมังกรหนุ่มเอ่ยออกมาว่า...

     

     

    “นายไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อหรอก รู้แค่ว่านี่จะเป็นเดทที่สี่ระหว่างฉันกับเธอคนนั้นก็พอ”

     

     

    “เฮ้ยถามจริง?”

     

     

    ดีแลนอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นว่าใครกันที่สามารถทำให้มังกรแห่งตราบาปยอมแหกกฏเดทสามครั้งได้ เขาหลงประเด็นไปครู่ใหญ่เลยแหละกว่าจะตระหนักได้อีกครั้งว่าตนมาโรงเรียนทำไม

     

     

    “แบบนี้นายยิ่งต้องกลับบ้านเลยเพื่อน สมมติเดทนี้มันไม่ได้ดั่งใจหรือเกิดห่วยแตกเกินรับได้ขึ้นมานายไม่ข่วนเธอจนขาดเป็นสองท่อนเรอะ แล้วก็...แล้ว...”

     

     

    “เธอไม่เหมือนคนอื่นดีแลน” ปีเตอร์แย้งเพื่อนสนิทขึ้นมากลางประโยค “และฉันจะไม่มีวันทำร้ายเธอ”

     

     

    “น้ำเน่าวะ” ดีแลนเบ้หน้า “แล้วอะไรทำให้นายคิดว่านายสามารถทำตัวเป็นโรมิโอในคืนจันทร์เต็มดวงแบบนี้ได้กัน”

     

     

    “คงเป็นฉันเองแหละ...”

     

     

    ทว่าคนตอบไม่ใช่ปีเตอร์ แต่กลับเป็นเด็กสาวซึ่งมีผมสีทองคำสว่างและดวงตาสีน้ำเงินเจิดจ้า ร่างเล็กก้าวเข้ามาแทรกกลางและควงแขนเด็กหนุ่มคนละข้างอย่างสนิมสนม ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มบางเบาแทนคำทักทายตามมารยาทแต่กลับทำให้หัวใจของหมาป่าหนุ่มเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง

     

     

    “พะ...พริมโรส...” ดีแลนเอ่ยเรียกชื่อเด็กสาวผู้มีทั้งใบหน้าและบรรยากาศอันลึกลับเหมือนพี่ชายฝาแฝดอย่างตะกุกตะกัก “สะ...สบายดีใช่มั้ย ดะ...เดินทางเป็นไงบ้าง”

     

     

    ปีเตอร์กรอกตาอย่างระอาที่เห็นว่าที่ผู้นำไลแคนแสดงท่าทางไร้มาดเช่นนั้นออกไป เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเพื่อนสนิทแอบชอบน้องสาวฝาแฝดของเขามาตั้งแต่สิบขวบแล้วทว่าไม่เคยคิดห้ามหรือกีดกันอย่างที่พี่ชายทั่วไปมักเป็นกันแม้แต่น้อย จะไปหวงก้างให้เหนื่อยทำไมเล่า เพราะแค่การพูดกุกกักและท่าทางบื้อๆ ที่เป็นอยู่นี้ ดีแลนก็แทบขุดหลุมฝั่งตัวเองได้ลึกถึงแกนโลกแล้วด้วยซ้ำ

     

     

    อีกอย่าง...ต่อให้เป็นถึงทายาทของบริษัทเรมิงตันหรือว่าที่ผู้นำเผ่าพันธุ์คนต่อไป ดีแลนก็ยังธรรมดาเกินไปสำหรับพริมโรสอยู่นี้ ฝาแฝดของเขาคือเด็กที่ถูกเลือกจากโชคชะตา ปีเตอร์แน่ใจว่ามีบางอย่างที่ทั้งแสนสาหัสและแสนพิเศษยิ่งกว่าทุกสิ่งเป็นอยู่นี้รอคอยพริมโรสอยู่เบื้องหน้าแน่ๆ

     

     

    “ฉันสบายดีจ้ะ” เด็กสาวตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มหวาน ทำเอาคนมองคิดเข้าข้างตัวเองไปได้เป็นตุเป็นตะ

     

     

    ปีเตอร์กรอกตาอีกครั้ง เขาไม่จำเป็นต้องทำตัวหวงก้างก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่อยากทำเสียหน่อย เด็กหนุ่มจึงเอื้อมมือไปดึงแก้มนิ่มๆ ทั้งสองข้างของน้องสาวเพื่อเบนบทสนทนาให้มุ่งกลับมาทางตน

     

     

    “ยัยขี้โกง” เขาต่อว่าพลางเหลือบลงไปมองเท้าคู่เล็กซึ่งเปลือยเปล่า มันเป็นทริกเล็กๆ น้อยๆ ที่ปีเตอร์เรียนรู้มาตลอดสิบเจ็ดปี นั้นคือทุกครั้งที่ต้องเดินทางข้ามเวลาพริมโรสจะถอดรองเท้าออกเสมอ “บอกมานะว่าเธออายุเท่าไหร่”

     

     

    “เอ๊บอะ(เจ็บนะ)” เด็กสาวบ่นแต่ทำไม่เป็นผล คู่แฝดยิ่งยืดแก้มให้ย้วยเข้าไปอีก

     

     

    “เธอทำข้อสอบฟิสิกส์มาแล้วใช่มั้ยพริม ฉันจะฟ้องแม่ว่าเธอสอบตกแล้วย้อนเวลามาทำข้อสอบใหม่”

     

     

    “อ่าอ่ะ(อย่านะ) ฮืออออ”

     

     

    “พอแล้วน่าพีทเดี๋ยวแก้มพริมก็ช้ำหมดหรอก” ดีแลนพยายามเข้ามาห้ามด้วยความหวังดีและเพื่อทำคะแนน

     

     

    ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นเองปีเตอร์ก็ได้ละมือข้างหนึ่งจากแก้มของพริมโรส มังกรแห่งตราบาปเหยียดแขนออกจนสุดพุ่งฝ่ามือมาจ่อกระชิดห่างจากลูกตาของว่าที่ผู้นำไลแคนไม่เพียงไม่กี่เซน แม่มดนักท่องกาลก็เหยียดแขนออกมาในลักษณะเดียวกัน คู่แฝดหยันยิ้มบางเบาออกมา ฝ่ามือของทั้งคู่เปล่งแสงจางๆ ฉับพลันเหล่านักเรียนรอบด้านก็ดูจะเคลื่อนไหวช้าลงอย่างน่าประหลาดจนกลายเป็นหยุดนิ่งไปในที่สุด

     

     

    ดีแลนพยายามขยับตัวแต่ไม่อาจทำได้ คำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลก็คือเขาโดนเวทย์ของคู่แฝดเล่นงานเข้าให้แล้ว

     

     

    “หยุดนะพีทนายทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!!

     

     

    “พี่ไม่ได้ทำหรอก นี่เป็นเวทย์ของฉันเอง” พริมโรสแก้ตัวแทน หมาป่าหนุ่มเหลือบมองแล้วเห็นว่าปลายนิ้วเรียวอีกข้างกำลังขยับไหวราวกับกำลังกดคีย์เปียโน หลังจากนั้นภาพโถงทางเดินที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนก็ถูกแทนที่ด้วยภาพของตู้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด “ขอโทษนะดีแลนไว้ฉันจะชดเชยให้ทีหลัง แต่คืนนี้พี่จะอยู่ใน กรง’ ไม่ได้”

     

     

    นั้นเป็นประโยคสุดท้ายที่ดีแลนได้ยินก่อนทุกอย่างจะดับมืดลง

     

     



    ###########

     

     

     

    “ขอบใจที่ช่วย” ปีเตอร์กล่าวเรียบๆ ขณะกระชับกระเป๋าเป้ที่ไหล่ซ้าย “ฉันควรจะกังวลมั้ยที่เธออยากให้ฉันไปเดทขนาดนี้”

     

     

    “ไม่รู้สิ” พริมโรสยักไหล่ ฝ่าเท้าที่ยังคงเปลือยเปล่าเดินเคียงมากับเขาตามโถงทางเดิน สองคู่แฝดล็อคฮาร์ทเป็นสิ่งที่เรียกความสนใจของผู้คนได้ดีในระดับหนึ่งเลยทีเดียวทั้งจากหน้าตาที่ดึงดูดและจากบรรยากาศที่แปลกแยก มันเป็นความขัดแย้งที่ชวนให้ก้าวเข้ามาใกล้แต่กลับไม่อาจชิดเชื้อได้ เพราะฉะนั้นนอกจากดีแลนที่รู้ความลับของพวกเขาเป็นอย่างดีแล้ว  เพื่อนจำนวนมากที่สองแฝดมี จึงเป็นเพื่อนแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น

     

     

    “ฉันแค่อยากให้พี่มีความสุข”

     

     

    “ฉันรู้” มือหนาวางลงบนกลุ่มผมสีทองสว่างแล้วจับโยกไปมาเบาๆ อย่างหยอกล้อและเพื่อแทนคำขอบคุณอีกครั้ง “เธอว่า ร็อคแซนด์ จะใช่คนๆ นั้นมั้ย คนที่เหมือนกับแม่...”

     

     

    ปีเตอร์อิจฉาพ่อมาโดยตลอด พ่อที่โชคดีมากพอที่ได้เจอแม่ ได้รักและถูกรักในแบบที่ใครหลายคนได้แต่เฝ้าฝัน ทั้งที่อยู่ในรูปลักษณ์ของสัตว์ร้ายและถูกสาปแช่งแต่ถึงกระนั้นแม่ของพวกเขาก็ยังมอบหัวใจให้จนทำให้คำสาปสลายลงได้ พ่อเป็นคนที่โชคดีมากๆ ปีเตอร์คิดเช่นนั้นทุกครั้งที่ได้เห็นพ่อกับแม่อยู่ด้วยพลางเฝ้าสงสัยว่าเขาเองก็จะโชคดีได้แบบนั้นหรือไม่

     

     

    เด็กหนุ่มปรารถนาที่จะเป็นเพียงคนธรรมดามาโดยตลอด เด็กวัยเขาควรจะกังวลอย่างมากก็แค่เรื่องเกรดที่ตกลงเพราะเอาแต่เที่ยวเล่น การถูกแกล้งที่โรงเรียนไม่ก็เรื่องมีแฟน ไม่ใช่ต้องมานั่งสงสัยและหวาดกลัวว่าในคืนที่จันทร์สาดแสงเช่นนี้เขาจะทำร้ายคนไปกี่คน

     

     

    เขาแค่อยากมีใครซักคนมาเคียงข้าง ใครซักคนที่จะไม่กรีดร้องใส่หรือเบือนหน้าหนียามเมื่อเขาเปิดเผยตราบาปที่ต้องแบกรับอยู่ให้ได้เห็น ใครซักคนที่รักและยอมรับในทุกอย่างที่เขาเป็นเหมือนเช่นที่แม่ของเขารักและยอมรับในตัวพ่อ

     

     

    “นั้นคือชื่อคู่เดทพี่หรอ” เสียงของพริมโรสฉุดปีเตอร์ขึ้นมาจากภวังค์ เด็กสาวเดาะลิ้นแล้วทวนชื่อที่เพิ่งได้ยินอีกครั้ง “ร็อคแซนด์...ฟังดูเท่ดีจัง”

     

     

    “นี่เธอช่วยโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันไปเดทกับคนชื่ออะไรเนี่ยนะ” เขาโคลงศีรษะน้องสาวฝาแฝดอีกครั้ง แต่คราวนี้ด้วยความหมั่นเขี้ยวปนหงุดหงิด

     

     

    “โชคชะตาไม่ต้องการชื่อหรอกปีเตอร์ อลัน ล็อคฮาร์ท”

     

     

    การถูกเรียกด้วยชื่อเต็มทำให้มังกรต้องสาปชะงักนิ่ง หลังจากนั้นคนที่เกิดช้ากว่าเพียงหกนาทีก็ก้าวถอยหนีไปจากมือผู้เป็นพี่ อีกครั้งที่ผู้คนรอบข้างเคลื่อนไหวช้าลงก่อนจะกลายเป็นหยุดนิ่ง วงเวทย์ปรากฏขึ้นบนพื้นใต้ฝ่าเท้าเปลือยเปล่า ดวงตาสีน้ำเงินกลมโตเงยขึ้นสบดวงตาสีเดียวกันที่ยาวเรียวกว่าและกำลังฉายแววเครียดขึ้ง

     

     

    “โชคชะตาต้องการแค่ฟันเฟืองเพื่อให้มันหมุนวนต่อไปได้ และเราทุกคนคือหนึ่งในชิ้นส่วนเหล่านั้น”

     

     

    “รู้มั้ย...เธอไม่ควรฝืนทำอะไรที่ไม่อยากทำนะพริมโรส แอนน์ ล็อคฮาร์ท” ปีเตอร์เรียกคู่แฝดด้วยชื่อเต็มๆ กลับไปเช่นกัน พวกเขาทำแบบนี้ต่อกันเสมอยามที่ต้องเอื้อนเอ่ยบางสิ่งที่สำคัญเกินกว่าจะเป็นแค่คำพูด

     

     

    “ฉันไม่มีทางเลือก”

     

     

    “ซักวันฉันจะทำลายมันซะ” ปีเตอร์กำลังให้สัญญา เขากล่าวอย่างหนักแน่นและรวดเร็วขณะร่างกายของน้องสาวฝาแฝดเริ่มที่จะถูกกลืนหายไปในห้วงกาลเวลาเพื่อรับบัญชาและทำหน้าที่ในการถักทอผืนพรมแห่งเรื่องราวอีกครั้ง

     

     

    “ไอ้โชคชะตาบ้าๆ ที่ทำให้เธอทำหน้าแบบนั้นน่ะ ฉันจะขยี้มันให้ได้”

     

     

    สิ่งนี้เป็นอย่างเดียวที่ทำให้ปีเตอร์ทำใจยอมรับอสูรร้ายภายในตนเองได้ ความคิดที่ว่าซักวันหนึ่งเขาจะแข็งแกร่งมากพอที่จะช่วยคู่แฝดของเขาออกจากพันธะหน้าที่ที่ไม่ต้องการจะทำ พริมโรสที่ได้ฟังประโยคดังกล่าวผลิรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกเศร้าหมองและรื่นเริงอย่างยากจะเข้ากันไปให้คู่แฝดก่อนจะหายตัวไปท่ามกลางทัศนียภาพที่หยุดนิ่ง



     


    ###########

     




    ดีแลนตื่นขึ้นมาได้เพราะลุงภารโรงมาสะกิดปลุก เขาถูกถามว่าแอบมาสูบกัญชาแล้วเมาหลับไปรึไง มันเป็นความเข้าใจที่ผิดความจริงไปไกลโขทว่าเขาไม่มีกะใจโต้แย้งอะไรทั้งนั้น หมาป่าหนุ่มวิ่งรี่ออกไปยังโถงทางเดินตั้งใจจะไปตามหาเจ้าเพื่อนหัวทองที่ร่ายเวทย์นิทราใส่เขาเพื่อตบกะบาลมันซักทีสองทีก่อนค่อยลากกลับไปขังกรงอย่างที่ควรจะเป็น

     

     

    ทว่าทั้งโรงเรียนกลับว่างเปล่า เขาหันมองนาฬิกาและพบว่านี่มันหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว โรงเรียนเลิกไปนานแล้วและปีเตอร์ก็คงไปเดทแล้วเช่นนี้

     

     

    “หนีไปจนได้!! บ้าเอ๊ย!!” ดีแลนโวยวายแล้วทึ้งผมตัวเอง ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มที่จะมืดครึ้มแล้วเพราะไร้สิ้นแสงตะวันและอีกไม่ช้าดวงจันทราก็คงขึ้นมาทำหน้าที่ เขาไม่อยากจะนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคู่เดทคนนั้นถ้าเกิดมังกรต้องสาปเกิดคุมตัวเองไม่ได้ขึ้นมา เขารู้ดีว่าปีเตอร์อยากเป็นเหมือนคนปกติ การพยายามทำตัวเลียนแบบคนปกติเป็นเรื่องที่เข้าใจได้แต่อภัยให้ไม่ได้เป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้

     

     

    ในสมองของว่าที่ผู้นำไลแคนพยายามคิดหาทางตามเจ้าเพื่อนตัวดีกลับมาให้ได้ ทว่าตอนนั้นที่ก้นของเขาถูกยันโครมด้วยเท้าใหญ่โตภายใต้บูทหนังขัดมัน

     

     

    ดีแลนสบถ หันขวับไปด้านหลังตั้งใจจะส่งนิ้วกลางไปให้คนที่ถีบเขาแต่ก็ต้องชะงักนิ่ง ท่าทางเดือดดาลเตรียมอาละวาดกลายเป็นการนั่งหูลู่หางตกร้องขอความเมตตาอยู่บนพื้นไปในบัดดลเมื่อได้เห็นหน้าคนที่ทำร้ายเขาเต็มสองตา

     

     

    “อะ..อาจารย์” ดีแลนปากคอสั่นระริกขณะมองร่างสูงใหญ่ที่สวมแจ็คเก็ตหนังและคาบซิการ์ม้วนโตไว้ในปาก ควันสีขาวเทาที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบตัวยิ่งทำให้ร่างนั้นดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่าจนทำให้การพูดของหมาป่าหนุ่มติดขัดยิ่งกว่าเดิม “มะ...มาได้ไงกันครับ”

     

     

    แม้จะได้รับการสั่งสอนจากอีกฝ่ายมามาทั้งชีวิต แต่ดีแลนก็ยังไม่สามารถทำให้ใจให้คุ้นชินกับสายตาเหี้ยมเกรียมของผู้ที่ถูกเรียกว่าอาจารย์ได้แม้แต่น้อย ว่าที่ผู้นำไลแคนยิ่งรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังหดเล็กกลายเป็นเพียงลูกหมาที่ไร้พลังยิ่งกว่าเดิมยามเมื่อร่างใหญ่โตพ่นควันซิการ์ออกมาแล้วถามว่า

     

     

    “ไอ้หนูมังกร...มันอยู่ที่ไหน”

     



    ###########



     

    ร็อคแซนด์ ฮันส์แมน เป็นเด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นเพียงคางโดยปลายผมถูกดัดให้เป็นลอนอ่อนๆ เพื่อให้ดูอ่อนหวาน ด้วยส่วนสูงที่ค่อนข้างมากและรูปร่างแข็งแรงแบบนักกีฬา ร็อคแซนด์จึงค่อนข้างคิดมากอยู่เสมอว่าตนเองดูไม่น่าทนุถนอมแบบที่เด็กสาวๆ ทั่วไปควรจะเป็น

     

     

    ทว่าปีเตอร์ชอบกลับร็อคแซนด์ตรงจุดนั้น เขาชอบที่เธอสูงมากพอจะทำให้ก้มลงไปหอมแก้มได้โดยไม่ลำบาก เขาชอบดวงตาสีช็อคโกแลตที่มองทุกอย่างอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะกลายมาเป็นการยิ้มให้เมื่อหันมาเจอเขา เขาชอบท่าทางเปิดเผยและคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเธอ

     

     

    ปีเตอร์ชอบร็อคแซนด์มาก และแต่ละเดทที่ผ่านไปความชอบเหล่านั้นก็ยิ่งงอกเงยมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขาถึงกับยินดีแหกกฏสามเดทของตนเองให้มันกลายเป็นเดทที่สี่ในคืนจันทร์เต็มดวงเช่นนี้

     

     

    “...ดูวันนี้นายไม่ค่อยพูดเลยนะ” ร็อคแซนด์ถามพลางช้อนตาขึ้นมอง แม้จะเป็นคนตัวสูงแต่เด็กสาวก็ยังเตี้ยกว่าเขาถึงหนึ่งฝ่ามืออยู่ดี

     

     

    “คงเป็นเพราะฉันแย่งเธอพูดไม่ทันละมั้ง” ปีเตอร์ว่าก่อนจะพาดแขนของตนลงบนไหล่บางแล้วดึงเด็กสาวเข้ามาใกล้

     

     

    “ฉันแค่แสดงความคิดเห็นเฉยๆ” เด็กสาวหมายถึงหนังแอ็คชั่นแฟนตาซีที่พวกเขาเพิ่งไปดูกันมาเมื่อครู่ โดยส่วนตัวแล้วปีเตอร์ค่อนข้างพอใจกับมันในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ภาพสวย  ดาราดัง แต่เนื้อหาออกจะเดาง่ายไปหน่อย ซึ่งร็อคแซนด์ไม่พอใจกับจุดนั้นเต็มๆ และนั่นทำให้ตั้งแต่ออกจากโรงหนังมาเด็กสาวก็ยังคงพูดแบบเดิมไม่หยุด

     

     

    “คิดดูสิ...เขาเป็นปีศาจส่วนเธอเป็นนักไล่ผี สองเผ่าสู้กันแทบเป็นแทบตายมาตั้งสองพันปีเกลียดขี้หน้ากันจะตาย แต่แค่เจอกันกลางสนามรบสองนาทีก็ดันตกหลุมรักกันแล้ว มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย” ร็อคแซนด์วิจารณ์อย่างตรงไหนตรงมา

     

     

    ปีเตอร์หัวเราะก่อนจะพูดสิ่งที่คิดออกไปบ้าง “เขาหล่อ เธอสวย และมันเป็นหนัง ถ้าเธออยากได้อะไรที่มันเรียลๆ คราวหน้าเราคงต้องไปดูหนังประเภทที่ทำมาเพื่อล่าออสการ์แล้วแหละ”

     

     

    “แบบนั้นก็มีฉันนั่งดูอยู่คนเดียวสิ”

     

     

    เพราะปีเตอร์คงหลับตั้งแต่สิบนาทีแรกแน่ๆ

     

     

    เด็กหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง รู้สึกอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เห็นใบหน้าเง้างอนของเด็กสาว ปีเตอร์กำลังมีความสุขเป็นอย่างมาก...มากจนถึงขนาดที่ว่าแม้กำลังเดินตัดผ่านสวนสาธารณะท่ามกลางแสงจันทร์เต็มดวงเขาก็ยังไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย

     

     

    เขายังเป็นมนุษย์อยู่ สัตว์ร้ายยังคงหลับใหลอยู่ภายในสายเลือด เขาควบคุมมันได้แม้จะต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษและรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่บ้างก็ตามที แต่นั้นแหละที่ปีเตอร์ต้องการยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น การได้เป็นเพียงแค่คนธรรมดาไม่ใช่พ่อมดผู้แบกรับตราบาปซึ่งต้องกลายเป็นมังกรทุก...

     

     

    “จันทร์เต็มดวง”

     

     

    อยู่ๆ ร็อคแซนด์ก็กล่าวขึ้น ต่อประโยคในใจปีเตอร์ได้พอดีอย่างน่าประหลาด เด็กสาวหยุดเท้าลง ช้อนตาขึ้นมองเขาอีกครั้งด้วยแววพราวระยับปนซุกซน เด็กหนุ่มหันมาเผชิญหน้าด้วยแววตาสงสัย

     

     

    “ว่ากันว่าคนเราชอบทำอะไรแปลกๆ ในวันที่จันทร์เต็มดวง”

     

     

    มือเรียวดึงเสื้อเขาเบาๆ แต่ปีเตอร์กลับรู้สึกเหมือนมีแรงมหาศาลฉุดให้เขาก้าวเข้าไปใกล้กว่าที่ควรมากมายนัก หรือบางทีอาจเป็นตัวเขาเองที่ถูกดึงดูดจากดวงตากลมโตสีช็อคโกแลตคู่นั้นก็เป็นได้

     

     

    “เธอพูดเหมือนอยากชวนฉันทำอะไร แปลกๆ’ ที่ว่า ....” มุมปากกดลึกเป็นรอยยิ้มในตอนท้ายประโยค แขนของเขายังคงพาดคล้องอยู่บนไหล่บางจึงทำให้สามารถดึงอีกฝ่ายจนเข้ามาชิดได้อย่างง่ายดาย

     

     

    “แล้วอยากมั้ยละ”

     

     

    น้ำเสียงที่ก่ำกึ่งระหว่างคำท้าทายกับการเชิญชวนเรียกให้เด็กหนุ่มโน้มใบหน้าลงไป ปีเตอร์สบตากับคนในอ้อมกอดอยู่ชั่วอึดใจราวกับกำลังถามความยินยอม

     

     

    และคำตอบมาในรูปของการกระทำ

     

     

    ร็อคแซนด์ยืดตัวขึ้นส่งผลให้ริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกัน ปีเตอร์ประคองใบหน้าของเด็กสาวไว้ขณะเริ่มต้นจูบตอบกลับไปอย่างล้ำลึก ชั่วขณะหนึ่งเด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงสัตว์ร้ายภายในตัว ส่งเสียงขู่คำรามแผ่วจางออกมาเป็นสัญญาณบ่งบอกการกลายร่าง

     

     

    ความโกรธกระตุ้นปีศาจได้มากที่สุดก็จริง แต่อารมณ์ที่ท่วมท้นก็ส่งผลได้ไม่ต่างกัน หัวใจของเขาเต้นแรงเกินไป ร็อคแซนด์กำลังทำให้เขาเสียการควบคุม บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาชอบเธอมากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เคยเดทด้วย เพราะว่าเด็กสาวเป็นคนเดียวที่ทำให้เขาไขว้เขวได้ เป็นคนเดียวที่ทำให้กลับมามีความรู้สึกรู้สาอีกครั้ง

     

     

    ปีเตอร์กดจูบหนักๆ ไปอีกครั้งก่อนจำใจผละออกมา

     

     

    “แค่จูบกันกลางแสงจันทร์นี่มันไม่น่าจะเรียกว่าแปลกได้หรอกนะ”

     

     

    เด็กหนุ่มเย้าแหย่ เบนบทสนทนาออกไปจากความสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงขืนตัวออกห่างภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ หลังมือของเขามีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้นมาแล้ว เขาซ่อนมันด้วยการใช้มือข้างนั้นเอื้อมไปโอบเอวบางไว้

     

     

    “ก็จริง....”

     

     

    ร็อคแซนด์ยิ้มออกมาอีกครั้ง ช่างน่าแปลกที่ประกายภายในดวงตาสีช็อคโกแลตไม่ได้ดูซุกซนอีกต่อไปแล้ว มันดูมาดหมายจนเกือบจะคล้ายเป็นการเย้ยหยัน  สัตว์ร้ายภายในตัวส่งเสียงคำรามให้กับรอยยิ้มนั้น ร้องเตือนดังลั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ประโยคอันน่าตกใจเปล่งผ่านออกมาจากริมฝีปากอิ่ม

     

     

     

     

     

     

     

    “งั้นเอาเป็นถูกฆ่ากลางแสงจันทร์เป็นไง”

     

     

     

     

     

    “?!!!

     

     

    ฉึก!

     

     

    ความเจ็บระเบิดออกมา กลิ่นคาวเลือดโชยตามมาติดๆ ปีเตอร์ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยซักนิดตอนที่ร็อคแซนด์แทงมีดสั้นใส่สีข้างขวาของเขา เขามองเธออย่างงงงัน รู้สึกราวกับว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องจริง แต่ความเจ็บปวดที่พุ่งพรวดขึ้นมาอีกครั้งยามเมื่อร็อคแซนด์ถอนมีดออกไปตอกย้ำให้เขาจำใจยอมรับสถานการณ์อย่างไม่มีทางเลือก

     

     

    เด็กสาวหยิบมีดอีกเล่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตวัดปาดหมายเล็งลำคอของเขา ปีเตอร์ผลักร่างบางออกห่างแล้วกระโดดถอยหลังไปไกลหลายเมตรเพื่อตั้งหลัก มือซ้ายเอื้อมมากุมบาดแผลไว้แล้วกดห้ามเลือด

     

     

    “ร็อคแซนด์....” เด็กหนุ่มครางเรียกชื่ออีกฝ่าย เขากำลังสับสน นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกัน

     

     

    “สรุปว่านายเป็นสัตว์ร้ายจริงๆ ด้วยสินะ” เด็กสาวกล่าว ดวงตาสีช็อคโกแลตแข็งกร้าวจนเกือบดูคล้ายความชิงชังแตกต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง

     

     

    ตอนนั้นเองที่ปีเตอร์สังเกตเห็นว่าขาของเขาตั้งแต่หัวเข่าลงไปปกคลุมด้วยเกล็ดสีทองไปแล้ว ดวงตาสีน้ำเงินของเขาก็เริ่มจะกลายเป็นตามังกรแล้วเช่นกันเพราะตอนนี้เขาสามารถมอบฝ่าความมืดรอบด้านได้อย่างชัดเจน

     

     

    ร็อคแซนด์ยืนห่างออกไปเกือบสิบเมตร ในมือทั้งสองข้างถือมีดที่ยาวประมาณฝ่ามือกว่าๆ สายโซ่เส้นยาวประมาณสองเมตรยึดเชื่อมตรงด้ามจับเข้าไว้ด้วยกัน ตัวใบมีดที่สะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายบ่งบอกว่ามันทำมาจากแร่เงิน เลือดของเขายังคงติดอยู่ที่ปลาย มันหยดลงพื้นส่งกลิ่นคาวแสบฉุนจนทำให้มังกรแห่งตราบาปรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม อารมณ์อันไม่มั่นคงส่งผลให้มือของเขากลายเป็นกรงเล็บไปด้วย

     

     

    “ทำไม....” ปีเตอร์กระซิบถาม ทั้งต่อตนเองและต่อโชคชะตาอันแสนจะเลือดเย็น รวมไปถึงน้องสาวฝาแฝดของเขาด้วย...

     

     

    ทว่าร็อคแซนด์กลับนึกว่าคำถามนั้นมีไว้ให้ตน

     

     

    “นายเป็นสัตว์ร้ายส่วนฉันเป็นนักล่า ยังต้องมีเหตุผลอะไรอีกละ”

     

     

    นักล่า...เหล่ามนุษย์ผู้ฝึกฝนตนเองให้รับมือกับสัตว์ร้าย เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ก่อตั้งมาเนิ่นนานนับพันปี เด็กทุกคนจะถูกขัดเกลาและหล่อหลอมตั้งแต่แรกเกิดให้ปฏิญาณตนภายใต้กฎอันเคร่งครัดว่าจะปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยการเสาะหาและเข่นฆ่าอสูรทุกตัวที่มีอยู่บนโลกนี้ให้ได้

     

     

    ปีเตอร์พอจะเดาได้ตั้งแต่เห็นอาวุธที่ทำจากแร่เงินแล้ว ทว่าคำยืนยันจากปากของเด็กสาวได้ทำให้ความโกรธขึงปะทุขึ้นมาภายในใจจนเสียการควบคุมมากยิ่งขึ้นไปอีก

     

     

    “ฉันไม่เคย...ทำร้ายใคร...” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างยากลำบาก ลมหายใจหอบกระชั้นไม่ใช่เพราะเจ็บปวดจากการถูกแทง แต่ความย่ำแย่ในขณะนี้เป็นผลมากจากเขายาวๆ ที่กำลังงอกเรียงรายขึ้นมารอบศีรษะ เขาพยายามฝืนไว้แต่ก็ไม่อาจทำได้ การยืนใต้แสงจันทร์กระจ่างทั้งที่อารมณ์แปรปรวนยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ไปกว่าเดิม

     

     

    แต่อย่างน้อยตัวตนจริงๆ ของเขาก็ยังไม่ได้ถูกเปิดโปง อาวุธของของร็อคแซนด์ทำให้ปีเตอร์มั่นใจเช่นนั้น เพราะถ้าเธอรู้ว่าเขาเป็นมังกรคงไม่เตรียมมาแค่มีดเงินไม่กี่เล่มเช่นนี้หรอก มังกรไม่เหมือนสัตว์ร้ายชนิดอื่นที่อ่อนแอลงเพราะแร่เงิน มังกรจะถูกสังหารได้ก็ด้วยมังกรเท่านั้น...

     

     

    “ตอนนี้อาจจะยังแต่ก็อีกไม่นานหรอก” ร็อคแซนด์โต้คำแก้ตัวของเขาอย่างเย็นชา  “เพราะพวกนายทุกตัวมันก็เหมือนกันไปหมด กระหายแต่คาวเลือดและความเจ็บปวด เพราะฉะนั้นพวกฉันจะจัดการนายซะก่อนที่จะไปทำร้ายใครได้”

     

     

    พุ่มไม้รอบด้านขยับไหว ชายหญิงกว่าสิบคนก้าวออกมาโดยถืออาวุธหลากประเภทที่ทำจากแร่เงินมาด้วย คมมีดและจิตสังหารชี้ตรงมายังเขา

     

     

    “ทั้งหมดที่ผ่านมา...เรื่องโกหกหมดเลยสินะ”

     

     

    แผ่นหลังเจ็บแปล๊บเมื่อปีกทั้งสองคู่กำลังจะงอกแทงขึ้นมา ปีเตอร์เพิ่งจะมาสำนึกได้ว่าไม่น่าถามเช่นนั้นออกไปเลยก็ตอนที่ร็อคแซนด์ตอบกลับมา

     

     

    “...ใช่”

     

     

    นิ่งช้า ทว่าซื่อตรงและหนักแน่น เหมือนนิสัยของคนพูดไม่มีผิด นิสัยที่ทำให้เขามอบความรู้สึกให้...

     

     

    ปีเตอร์เปล่งเสียงคำราม ปีกสีทองสองคู่กางทาบทับท้องฟ้าและแสงจันทร์ เหล่านักล่ากระชับอาวุธ  แม้จะตื่นตะลึงต่อภาพที่เห็นแต่ก็ไม่ละทิ้งการป้องกันแม้แต่น้อย และตอนนั้นเองที่เสียงเห่าหอนดังขึ้นประสานกับเสียงคำราม อย่างกึกก้องจนเกือบจะเป็นการขู่ขวัญ

     

     

    เสียงหอนที่ดังขึ้นในระยะประชิดได้เรียกให้สายตาทุกคนยกเว้นก็แต่มังกรต้องสาปที่กำลังกลายร่างหันไปมอง

     

     

    และห่างออกไปหลายสิบเมตร บนกองหินที่ถูกใช้จัดแต่งสวนสาธารณะ หมาป่าขนสีเทายืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายใหญ่โตจนเกือบจะเท่าอาชา ดวงตาสีเขียวหม่นก้มมองเหล่านักล่าพลางแสยะขมเคี้ยว

     

     

    “ไลแคน....” นักล่าคนหนึ่งร้องคราง อีกหลายคนหันอาวุธเข้าหาสัตว์ร้ายตัวใหม่

     

     

    ไลแคนตัวนั้นเห่าตะคอก กระโจนพรวดเดียวลงมาถึงพื้นแล้วถีบตัววิ่งเข้าหาคมแหลมของแร่เงินอย่างไม่เกรงกลัว กระสุนปืนและลูกธนูถูกยิงออกไปเป็นอย่างแรก ไลแคนขนเทาเพียงขยับหลบอย่างง่ายดายก่อนจะกระโดดอีกครั้ง ข้ามผ่านเหล่านักล่าและตรงไปหามังกรต้องสาป

     

     

    “มันมาช่วยเจ้าเด็กนั้น!!” นักล่าอีกคนร้องตะโกนอย่างคาดเดา ร็อคแซนด์ที่อยู่ใกล้ที่สุดจึงปามีดติดโซ่ของตนออกไปเพื่อสกัดกั้น

     

     

    อีกนิดเดียวจะถึงตัวหมาป่าขนเทาอยู่แล้ว ทว่ากลับมีร่างหนึ่งเคลื่อนผ่านมาปัดมีดของเธอทิ้งไปอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงาดำรางๆ เท่านั้น ร็อคแซนด์ไม่มีเวลาจะพิจารณาแม้แต่น้อยว่าเงานั้นคือใครหรืออะไรเพราะมัวแต่มองตามไลแคนวิ่งเข้าไปหาปีเตอร์

     

     

    ทุกคนในที่นั้นนึกเหมือนกันหมดว่าไลแคนขนเทาจะคว้าเด็กหนุ่มขึ้นหลังแล้ววิ่งหนีไป

     

     

    เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องเหนือคาดมากๆ เมื่อสัตว์ร้ายซึ่งมีรูปร่างเหมือนหมาป่าได้วิ่งพุ่งเข้าไปโขกกระแทกศีรษะของตนเข้ากับศีรษะที่มีเขาแหลมงอกขึ้นมาของเด็กหนุ่ม

     

     

    โป้ก!!!!

     

     

    “ไอ้งี่เง่าเอ๊ย!!!!” เหมือนจะยังไม่สาแก่ใจ คำหยาบจึงถูกพ่นตามมาอีกเป็นชุด ทุกคนได้แต่ยืนอึ้ง แม้แต่ปีเตอร์ที่กำลังจะกลายร่างก็ถึงกับชะงักไป กรงเล็บมังกรถูกยกขึ้นมากุบขมับที่กำลังมีเลือดไหลอาบ มันเจ็บยิ่งกว่าแผลที่ถูกแทงเสียอีกแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีเพราะมันช่วยให้เขาคืนสติกลับมาควบคุมตนเองได้อีกครั้ง การกลายร่างหยุดนิ่งลงเพียงครึ่งๆ กลางๆ

     

     

    ดวงตาสีน้ำเงินหันมองและพบเข้ากับหมาป่าขนสีเทาที่มีเลือดไหลซึมออกมาจากหน้าผากเช่นกัน

     

     

    “ดี...” ปีเตอร์ยั้งปากตนเองได้ทันก่อนจะเผลอเรียกชื่อเพื่อนออกไป “ทำไมนายถึง...”

     

     

    “จีพีเอสไงเล่าเจ้าหัวโบราณ!!” ดีแลนตวาดอธิบายลั่นถึงสาเหตุที่ทำให้ตามมาเจอปีเตอร์ได้ ฟังจากน้ำเสียงแล้วถ้าไม่ได้อยู่ในร่างของสัตว์ร้ายละก็ป่านนี้คงหยิบมือถือขึ้นมาปากระแทกหน้ามังกรต้องสาปเป็นของแถมไปแล้วด้วยซ้ำ

     

     

    “และสวนสาธารณะเนี่ยนะ!! สวนสาธารณะ!! เป็นเดทที่เห่ยมาก นายสาปคาถานิทราใส่ฉันแล้วทำฉันเกือบโดนอาจารย์ฆ่าเพียงเพื่อมาเดทในสวนสาธารณะ!!! แถมคู่เดทนายยังกลายเป็นนักล่าและแม่นั่น....โว้ว....เดี๋ยวนะ...นั่นใช่...”

     

     

                  ในตอนท้ายของประโยคดีแลนได้หันไปเห็นร็อคแซนด์พอดี หมาป่าหนุ่มกดเสียงให้เบาลงจนกลายเป็นการกระซิบ เหล่านักล่ายังคงงงงันเหมือนไม่รู้จะรับมือสถานการณ์แปลกๆ ที่ไลแคนตัวหนึ่งโผล่มาเหมือนจะช่วยแต่กลายเป็นกลับซ้ำเติมสัตว์ร้ายอีกตัวอย่างไรดี

     

     

                  “นายเดทกับร็อคแซนด์ ฮันส์แมน” ดวงตาสีใบไม้หม่นเบิกกว้าง ดีแลนยังกระซิบอยู่ก็จริงแต่ปีเตอร์รู้สึกว่าถ้าทำได้อีกฝ่ายคงตะโกนโหวกเหวกอย่างที่เคยทำบ่อยๆ ไปแล้ว “สุดยอดเลยเพื่อน ร้ายมาก ผู้ชายครึ่งโรงเรียนอยากเดทกับเธอจะตายชัก นายไปทำไงถึงได้...แต่เดี๋ยวนะ...นี่แปลว่าเธอเป็นนักล่าแล้วนาย...โห นายมันโคตรจะโง่เลยวะพีท”

     

     

    จากคำชมกลายเป็นคำด่าไปซะงั้น

     

     

    “นามสกุลเธอก็บอกอยู่ชัดๆ ว่าเป็นนักล่าแล้วนายยังจะเจ่อชวนเธอมาเดทอีก นี่มันรับไม่ได้อย่างแรง นายทำฉันหงุดหงิดมากเพื่อน อาจารย์เองก็หงุดหงิดด้วยที่ต้องตื่นมาเจอว่านายโดดหนีไปอีกรอบ เพราะฉะนั้นเลิกทำตัวดราม่าแล้วรีบกลับไปรับการลงโทษได้แล้ว”

     

     

    “อาจารย์...ตื่นแล้วหรอ...” ปีเตอร์ที่เงียบมานานถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นผสมไม่แน่ใจ การถูกล้อมรอบด้วยเหล่านักล่าและถูกเปิดโปงความลับดูกลายจะเรื่องเล็กไปทันตาเมื่อถึงสายตาเหี้ยมเกรียมของคนเป็นอาจารย์ “แต่จะ ย้ายร่าง’ ทีต้องจำศีลอย่างน้อยหนึ่งเดือนไม่ใช่หรอแต่นี่มันเพิ่ง...”

     

     

    “หนึ่งอาทิตย์”

     

     

    คนที่พูดต่อประโยคให้ไม่ใช่ดีแลน แต่เป็นชายหนุ่มซึ่งมีผิวแทนคมเข้มและรูปหน้าตามแบบชาวละตินอเมริกา ร่างสูงสวมชุดหนังสีดำให้ความรู้สึกคล้ายสิงห์นักบิด ในปากคาบซิการ์ม้วนโตที่ไหม้ไปจนเกือบครึ่งม้วนแล้ว เขาก้าวออกมาจากเงามืดที่ดำสนิทไม่แพ้สีของเส้นผมและดวงตาข้างซ้าย ทว่าตาขวานั้นกลับเป็นสีใบไม้หม่น...สีเดียวกับดวงตาของดีแลนแต่ต่างไปที่มีรอยกรงเล็บพาดผ่าน

     

     

    เหล่านักล่าถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันแปลกประหลาดอีกครั้ง ดูเผินๆ ผู้ชายคนนี้ก็เหมือนมนุษย์ทั่วไป ทว่ากลับฝ่าวงล้อมของนักล่ากว่าสิบคนเข้ามายืนข้างสัตว์ร้ายได้โดนที่ไมมีใครรู้สึกตัวแม้แต่น้อย บรรยากาศหนักอึ้งและกดดันที่แผ่กระจายออกมาร่างสูงทำให้ทุกคนในที่นั้นรู้สึกเหมือนกำลังขาดอากาศหายใจ

     

     

    ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมังกรแห่งตราบาป

     

     

    “อาจารย์ริชาร์ด” ปีเตอร์เรียกด้วยเสียงสั่นๆ แม้จะไม่คุ้นหน้าคาตากับ ร่างใหม่’ แต่สายตาเหี้ยมเกรียมที่มองต่ำลงมานั้นเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า วิญญาณ’ ข้างในคือ ริชาร์ด เรมิงตัน ของแท้

     

     

    จ้าวหมาป่าผู้เป็นตำนานของเผ่าพันธุ์ เทพเจ้าแห่งไลแคน และยังเป็นคนที่ฝึกฝนให้เขาควบคุมสัตว์ร้ายภายในตัวมาตั้งแต่เก้าขวบ

     

     

    “ไว้ฉันจะลงโทษแกทีหลัง” ริชาร์ดดึงซิการ์ออกมาแล้วดีดทิ้งไปอีกทาง ดวงตาสีใบไม้หม่นเพียงข้างเดียวเรืองรองในความมืด ร่างสูงหันกลับไปเผชิญหน้ากับเหล่านักล่าทั้งโขยง รอยยิ้มน่าขนลุกเหยียดแสยะ “แต่ตอนนี้คงต้องจัดการกับตัวน่ารำคาญพวกนี้ก่อน”

     

     

     

    ###########

     

     

     

    “มันจำเป็นต้องเป็นแบบนี้ด้วยหรอ” พริมโรสกระซิบถาม ร่างบางซึ่งฝ่าเท้าเปลือยเปล่ายืนชิดติดกับกระจกของอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง ดวงตาสีน้ำเงินทอดมองลงไปเบื้องล่าง ไปยังสวนสาธารณะกลางแสงจันทร์กระจ่างที่นักล่าและสัตว์ร้ายกำลังจะปะทะห้ำหั่นกัน

     

     

    โชคชะตากำหนดสงครามไว้แบบนั้น

     

     

    พริมโรสนั้นยืนอยู่เพียงลำพัง ทว่าที่กระจกกลับปรากฏภาพเงาของร่างสูงใหญ่ซึ่งสวมใส่หน้ากากดวงดาวไว้ยืนอยู่เคียงข้าง น้ำเสียงที่ไม่อาจบ่งบอกได้ว่าคือชายหรือหญิงตอบกลับมาอย่างกำกวมดุจเดิม

     

     

    “กำหนดให้ฉันทรยศครอบครัวด้วยรึเปล่า”

     

     

    ไม่บ่อยนักที่แม่มดนักท่องเวลาจะประชดประชันกลับมาเช่นนี้ แต่เนื่องจากภารกิจในวันนี้แทบจะเป็นการทำร้ายพี่ชายฝาแฝดทางอ้อม  ความหนักอึ้งและขุ่นมัวในหัวใจจึงผลักดันให้อีกหลายอย่างพรั่งพรูออกมาเช่นกัน เธออยากที่จะลงไปช่วย ดึงตัวพี่ชายมากอดแล้วเอ่ยคำขอโทษ เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้เขาต้องเจ็บปวด ไม่ได้อยากให้เขาต้องมาเผชิญกับความยุ่งยากเหมือนเช่นที่เธอเป็น ทว่าเธอไม่มีทางเลือก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่พริมโรสเลือกไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

     

     

    เราเสียใจที่เห็นเจ้าต้องโศกเศร้าพริมโรส แอนน์ ล็อคฮาร์ท แต่นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้’ ร่างซึ่งมีหน้าที่รับคำบัญชาจากโชคชะตากล่าวประโลมทั้งที่น้ำเสียงยังคงนิ่งเรียบไม่สื่ออารมณ์แม้แต่น้อย

     

     

    “พี่เคยพูดไว้ว่าซักวันจะทำลายมันซะฉันจะไม่ได้ต้องฝืนทนอีก” พริมโรสกล่าวเหมือนชวนคุย ดวงตาสีน้ำเงินเบนจากการต่อสู้มายังร่างหลังหน้ากากดวงดาว “ฟังดูโอหังนะว่ามั้ย ทำลายโชคชะตา...มนุษย์ตัวเล็กๆ จะมีปัญญาจะไปเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งจักรวาลได้ยังไงกัน”

     

     

    ความเงียบงันร่วงโรยลงมาอยู่ชั่วอึดใจทั้งที่ภายนอกเต็มไปด้วยเสียงคำรามและเห่าหอน

     

     

    ถ้าเช่นนั้นทั้งเราและเจ้าก็คงมีบาปแห่งความหยิ่งผยองสลักอยู่’ ร่างนั้นกล่าวเสียงเรียบ แต่ช่างน่าแปลกที่พริมโรสรู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่ เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเรากำลังทำกันอยู่ไม่ใช่หรือ ล้มล้างโชคชะตา...

     


    ###########




    Talk : เป็นไงกันมั้งคะ>< ตกใจมั้ยเจอริชาร์ดด้วย 555 แอบลังเลเล็กๆเหมือนกันที่แต่งให้พี่แกโผล่มาแบบนี้ แต่ก็นั้นแหละ...เราว่ามันน่าสนุกดีที่ให้พี่แกกลายมาเป็นอาจารย์สอนวิธีควบคุมการกลายร่างของปีเตอร์ (เฮียคงอารมณ์เสียน่าดู แต่ก็ไม่มีทางเลือก lol)


    ที่จริงตามอายุขัยของไลแคน ริชาร์ดควรต้องตายไปนานแล้ว แต่สภาปกครองที่ก่อตั้งขึ้นมาในภายหลังกลัวว่าความตายของสมมติเทพอย่างริชาร์ดอาจทำให้ศรัทธาของเหล่าไลแคนสั่นคลอนหรืออาจกลายเป็นความตื่นตะหนกจนไม่เชื่อฟังคำสั่งสภาได้ ก็เลยใช้วิธีไปลักพาตัวพ่อมดแม่มดที่เชี่ยวชาญเวทย์วิญญาณมายัดวิญญาณพี่แกใส่ร่างคนอื่นไปเรื่อยๆอย่างที่เห็น


    ถ้ารู้สึกขัดหูขัดตาชอบไม่ชอบยังไงบอกได้นะคะ นี่เป็นเรื่องสั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือแค่แบบร่างของภาคต่อเท่านั้น พล็อตยังหลวมอยู่มาก สามารถแก้ได้อีกเยอะ


    ขอให้สนุกกับการอ่านค่าา :)



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×