ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ คลังเก็บความเพ้อเจ้อ ]

    ลำดับตอนที่ #15 : The Dragon’s Blood : 1 : The Time Traveler

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 538
      16
      22 พ.ย. 58


    The Dragon’s Blood : 1 : The Time Traveler

     




    ###########

     

     

    พริมโรส แอนน์ ล็อคฮาร์ท ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะผู้ใช้มนตราที่ทรงพลังที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัย เวทย์มนตร์ของเธอเป็นรองก็แค่ของพ่อและพี่ชายฝาแฝดนามปีเตอร์เท่านั้น หากทว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พริมโรสพิเศษ...ไม่เลย...สิ่งที่ทำเธอพิเศษเหนือยิ่งกว่าใครก็คือพรสรรค์ ของขวัญจากโชคชะตาที่ในบรรดาแม่มดหมื่นตนจะพบได้เพียงหนึ่งเท่านั้น

     

     

    เพราะในขณะที่ผู้เป็นบิดาได้รับของขวัญเป็นภาพฝันจากอนาคต พริมโรสได้รับของขวัญเป็นอดีต...อดีตที่สามารถย้อนไปไกลแค่ไหนก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา จะเฝ้าดู จะชื่นชน จะเรียนรู้ จะทำอะไรก็ได้ยกเว้นก็แต่การเปลี่ยนแปลงมัน...โชคชะตาย้ำเตือนมาเช่นนั้น

     

     

    และทั้งหมดที่เธอต้องทำก็แค่หลับตา อธิษฐานให้กับเม็ดทรายที่เลื่อนไหล ก่อนจะลืมตาขึ้นมาพบกับยุคสมัยอันน่าพิศวงที่เธอต้องการจะเห็น แน่นอนว่าพริมโรสยังคงมีตัวตน ผู้คนสามารถสัมผัสแตะต้องเธอได้ เธอเข้ารวมงานฉลองของพวกเขา กินอยู่กับพวกเขา เรียนรู้ไปกับพวกเขา ทว่าก็แค่นั้น...แม้จะรู้ล่วงหน้าว่าหมู่บ้านนี้จะถูกโจมตี แม้จะแน่ใจว่าคนๆ นี้จะต้องตาย แม้จะรับรู้ว่าที่แห่งนี้จะต้องล่มสลาย พริมโรสก็ไม่เคยคิดเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขมันแม้แต่น้อย

     

     

    เพียงแค่เฝ้ามองและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรจะเป็น...

     

     

    การเดินทางข้ามเวลาของพริมโรสในช่วงทศวรรษแรกของชีวิตมักจะวนเวียนอยู่รอบตัวของพ่อและแม่เสมอ การ ย้อน’ ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนห้าขวบไปที่งานแต่งงานของพ่อและแม่ ครั้งถัดมาคือตอนเจ็ดขวบย้อนไปเมื่อเกือบร้อยปีก่อนตอนที่พ่อของเธอเพิ่งก่อตั้งบริษัทล็อคฮาร์ทขึ้นมาใหม่ๆ พอแปดขวบย้อนไปช่วงสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งพ่อของเธอออกไปรบในฐานะทหารของอังกฤษพอดี เก้าขวบก็ย้อนไปเจอแม่ที่อายุพอๆ กันแล้วก็นั่งเล่นด้วยกันที่สวนสาธารณะหน้าตาเฉย

     

     

    ทุกๆ ครั้งจะเกิดขึ้นอย่างปุปปับและไม่อาจควบคุมได้

     

     

    จนกระทั่งสิบขวบ...ยามเมื่อประตูแห่งโชคชะตาเปิดออก พริมโรสจึงสามารถควบคุมพลังของตนเองได้อย่างสมบูรณ์

     





    ###########





    “นี่อะไรกันคะ” เด็กหญิงผมสีทองคำเอ่ยถามพลางชี้นิ้วไปยังประตูไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมากลางบ้าน รูปลักษณ์ดูธรรดาสามัญไม่ต่างจากประตูที่พบเห็นได้ทั่วๆ ไป ทว่าบรรยากาศรอบๆ กลับบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด คล้ายหลุดออกมาจากคงอยู่และไม่ได้ตั้งอยู่ตรงนี้จริงๆ

     

     

    พริมโรสในวัยสิบขวบสาวเท้าเข้าใกล้บานประตูอย่างไม่กลัวเกรงในขณะที่ฝาแฝดผู้พี่วิ่งหนีไปหลบอยู่หลังมารดาแล้วเรียบร้อย ดวงตาสีน้ำเงินเจิดจ้าทอดมองอย่างสนอกสนใจ เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าหาโดยสิ่งที่อยู่เบื้องหลังบานประตู โสตสัมผัสแว่วเสียงกระซิบอย่างเชิญชวนและคุ้นเคย ร้องเรียกเป็นชื่อของใครคนอื่นหากแต่เด็กหญิงกลับรู้สึกราวกับว่าคำๆ นั้นหมายถึงตัวเธออย่างน่าประหลาด

     

     

    แต่พอเอื้อมไปหมายจะสัมผัส มือของพริมโรสก็ถูกบิดาคว้าห้ามไว้

     

     

    “มีบางอย่างที่ลูกควรรู้ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูบานนี้” บัลธาซาร์หมุนร่างเล็กให้มองมาที่ตน น้ำเสียงเคร่งเครียดและจริงจังมากเสียจนเด็กหญิงเริ่มรู้สึกใจไม่ดีตามไปด้วย “มันจะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้ที่ได้รับของขวัญจากโชคชะตาเท่านั้น หากย่างเท้าเข้าไปลูกจะได้รับการปลดข้อกำจัดของพรสวรรค์ออกเป็นการตอบแทน แต่ว่า...”

     

     

    “ทุกอย่างมีราคาค่างวดในตัวมันเองเสมอ/ทุกอย่างมีราคาค่างวดในตัวมันเองเสมอ”

     

     

    ประโยคนี้สองพ่อลูกเอ่ยออกมาพร้อมๆ กัน บัลธาซาร์เค้นยิ้มอย่างฝืดเคืองก่อนจะเล่าต่อ

     

     

    “ผู้ใช้มนตราเล่าต่อๆ กันมาว่าพลังที่ได้มาไม่คุ้มกับสิ่งที่ต้องเสียไป ตอนนั้นพ่อจึงเลือกที่จะหันหลังให้มัน...” พ่อมดแห่งคำพยากรณ์จึงมองเห็นถึงอนาคตได้เพียงลางเลาและไม่อาจควบคุมความสามารถของตนได้ ผลจากการปฏิเสธโชคชะตาทำให้บ่อยครั้งของขวัญที่ได้รับมาทำให้เขาต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส หากว่ามันก็ได้ชักนำสิ่งที่ดีที่สุดให้เข้ามาในชีวิตเขาด้วยเช่นกัน

     

     

    “รู้แบบนี้แล้วลูก....”

     

     

    “หนูจะไปค่ะ” พริมโรสตอบแทรกกลับมาอย่างรวดเร็วคล้ายกับว่าไม่ได้ไตร่ตรองแม้แต่น้อย หากแต่ประกายหนักแน่นที่สะท้อนอยู่ในแก้วตาสีน้ำเงินกลมโตนั้นบ่งบอกตรงข้าม เด็กหญิงคิดมาดีแล้วและไม่ว่าใครจะขู่จะปลอบยังไงเธอก็ข้ามไปยังอีกฟากฝั่งให้ได้

     

     

    แม้จะกังวลแค่ไหนแต่บัลธาซาร์ก็ต้องจำใจถอยออกมา พร้อมกันนั้นก็ต้องรั้งห้ามแพทริเซียไว้ด้วยยามเมื่อประตูไม้เปิดออกและเด็กหญิงได้ก้าวหายลับไปภายใน

     




    ###########

     




    หลังบานประตูดูทั้งธรรมดาและแปลกประหลาดกว่าที่พริมโรสคาดเอาไว้มาก ที่ว่าธรรมดาเพราะมันดูเหมือนห้องสมุด มีแต่ชั้นสูงลิบตั้งเรียงรายและอัดแน่นไปด้วยหนังสือมากมาย และที่ว่าไม่ธรรมดาก็เพราะความกว้างขวางที่ทอดยาวไปไกลจรดขอบฟ้าจนไม่อาจคาดเดาถึงจำนวนกระดาษและน้ำหมึกที่ใช้เติมเต็มสถานที่แห่งนี้ได้

     

     

    พื้นด้านล่างเป็นหินอ่อนสีดำเงาวับจนแทบจะสะท้อนเงาของเธอ แต่เนื่องจากด้านบนนั้นเปิดโล่งไม่มีเพดาน ภาพของหมู่ดาวมากมายจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนอยู่ในนั้นแทน ทำให้ดูคล้ายกับว่าชั้นหนังสือมากมายเหล่านี้กำลังล่องลอยอยู่ในอวกาศก็ไม่ปาน

     

     

    เบื้องหน้าพริมโรสคือหนังสือขนาดใหญ่ยักษ์ที่เปิดอ้าไว้ มันสูงท่วมศีรษะของเด็กหญิงไปมากโข กะเอาจากสายตาเธอคิดว่ามันคงสูงกว่าบิดาด้วยซ้ำไป หนังสือเล่มยักษ์ยังคงตั้งเอียงอยู่ได้เพราะมีหนังสือขนาดปกติอีกหลายร้อยหลายพันเล่มคอยหนุนยันอยู่เบื้องหลัง

     

     

    พริมโรสสาวเท้าเข้าไปใกล้ ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงกระซิบอีกครั้ง หน้ากระดาษที่เปิดอยู่นั้นโล่งว่าง หากแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดดูไปหน้าอื่นๆ ก็มีร่างลึกลับก้าวมายืนประชิดเบื้องหลังเสียก่อน ประสาทสัมผัสที่ตื่นตัวด้วยความกลัวผลักดันให้เด็กหญิงดีดตัวหนีอย่างว่องไว ร่างเล็กตั้งท่าสู้พร้อมใช้เวทย์เสกไฟให้ปรากฏขึ้นมาในมือ

     

     

    “ใครน่ะ!!!

     

     

    เธอตะโกนถามแต่กลับได้รับการแตะนิ้วเข้ากับบริเวณที่น่าจะเป็นริมฝีปากเพื่อบอกให้ลดเสียงลง ที่บอกว่าน่าจะเพราะร่างนั้นสวมหน้ากากอยู่ และยังเป็นหน้ากากที่ไม่มีทั้งช่องให้มองเห็นหรือหายใจด้วยซ้ำ ลวดลายบนหน้ากากคือรูปหมู่ดาวที่กำลังเคลื่อนคล้อยไปมาคล้ายกับสิ่งที่ปรากฏอยู่บนฟ้าและสะท้อนมาบนพื้น ร่างกายส่วนที่เหลือซ่อนอยู่เบื้องหลังชุดคลุมสีดำตัวยาว

     

     

    เจ้าน่ะหรือคือผู้ที่เปิดรับต่อโชคชะตา’ ร่างนั้นเปล่งเสียงที่ไม่อาจฟังออกว่าคือหญิงหรือชาย คือเด็กหรือผู้ใหญ่กันแน่ ทว่าดูจากรูปร่างและส่วนสูงเธอคาดเดาว่าเขาคงเป็นผู้ชาย ใบหน้าหลังหน้ากากดวงดาวเอียงคอมองคล้ายกำลังพิจารณาเธออยู่

     

     

    “คุณเป็นใครกันแน่” พริมโรสถามกลับก่อนจะทำให้ลูกไฟสลายไป

     

     

    เราคือทุกสิ่งแต่ก็ไม่ใช่สิ่งใดทั้งสิ้น เราคือผู้ปกป้องแต่บางคนก็บอกว่าเราคือจอมทำลายล้าง ทั้งที่ความจริงแล้วเราเพียงน้อมรับบัญชาและถ่ายทอดมันออกไปก็เท่านั้น ผู้คนเรียกเราด้วยหลากหลายชื่อและหลากหลายความเชื่อ แต่เรานั้นไม่มีชื่อที่แท้จริง เจ้าอยากจะเรียกขานด้วยนามใดก็สุดแท้แต่ความต้องการเถิด

     

     

    เด็กหญิงมีสีหน้างุนงงอย่างไม่ปิดบัง เธอไม่แน่ใจว่าเพราะความเยาว์วัยหรือไม่ที่ทำให้ไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแม้แต่น้อย แต่พริมโรสสังหรณ์ว่าถ้าปีเตอร์ได้เข้ามาด้วยกันแฝดผู้พี่คงโวยวายเสียงดังลั่นอย่างไม่พอใจแล้วรีบเผ่นหนีออกไปจากเรื่องยุ่งยากเหล่านี้แล้วเป็นแน่

     

     

    ทว่าพริมโรสนั้นแตกต่าง...เธอไม่เหมือนปีเตอร์...ไม่เหมือนใครทั้งนั้น...

     

     

    “หนูได้ยินเสียงกระซิบ...เป็นคุณรึเปล่าที่เรียกหนูมาที่นี่”

     

     

    ผู้ที่มอบของขวัญให้ต่างหากที่เรียกเจ้ามา’ ร่างนั้นเดินตรงไปยังหนังสือเล่มยักษ์แล้วผายมือเป็นการเชื้อเชิญ พริมโรสก้าวเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอเขย่งตัวเพื่อที่จะมองดูหน้าหนังสือที่กำลังถูกพลิกเปิดไปมาด้วยตนเองได้ถนัดมากยิ่งขึ้นหากทว่าช่างเสียเปล่า ทุกหน้าถูกเขียนไว้ด้วยอักขระอันแปลกประหลาดที่เธออ่านไม่ออก

     

     

    ไม่นานหลังจากนั้นหน้ากระดาษก็หยุดเคลื่อนไหว มันหยุดค้างอยู่ที่รูปวาดของแม่มดสามตนซึ่งยืนจับมือล้อมเป็นวงกลมรอบวงเวทย์ที่เขียนด้วยอักขระแบบเดียวกันกับในหนังสือ

     

     

    ใบหน้าหลังหน้ากากดวงดาวหันมาหาเด็กหญิง เอื้อยเอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจบ่งบอกอะไรได้ดุจเดิม

     

     

     ‘โชคชะตาต้องการที่จะมอบพลังให้แก่เจ้า การควบคุมอย่างสมบูรณ์โดยไม่ถูกกลืนกินหรือกัดกร่อนเช่นที่บิดาเจ้าเคยเป็น

     

     

    “แลกกับ?” พริมโรสถามอย่างรู้ทัน

     

     

    การน้อมรับบัญชาจากโชคชะตาเช่นกัน

     

     

                  “หมายถึงเป็นแบบคุณ?”

     

     

                  เรานั้นมีเพียงหนึ่งและไม่อาจแทนที่ หากแต่เพราะไม่อาจแทนที่เราจึงไม่อาจไปจากที่นี่ได้ โชคชะตามีเรื่องราวที่จำต้องถูกเติมเต็ม เส้นทางที่ไม่อาจบิดพริ้วหรือถูกรบกวนคือวิถีที่จักรวาลควรจะเป็น และเหล่าผู้ที่อ้าแขนโอบรับต่อพลังจะต้องเป็นผู้ที่ทำหน้าที่นั้นแทน

     

     

                  “หนูไม่...เข้าใจ...” พริมโรสสารภาพไปตามตรง เด็กหญิงขมวดคิ้วเข้าหากัน

     

     

                  ไม่เป็นไรหรอก’ เสียงอันแปลกประหลาดปลอบโยนอย่างทื่อตรงก่อนจะยื่นมือมาหา เพราะเจ้าเองก็ไม่ได้ต้องการจะเข้าใจไม่ใช่หรือ เจ้าไม่ได้กระหายต่อพลังหากแต่ก็ไม่ต้องการให้เสียงเพรียกเหล่านี้ผ่านเลยไป เจ้าสงสัย...แต่ก็เป็นคนละเรื่องกับที่ควรจะสงสัย โชคชะตาได้เตรียมคำตอบไว้ให้เจ้าแล้วพริมโรส แอนน์ ล็อคฮาร์ท อาจไม่ใช่ในวันนี้หรือวันพรุ่ง แต่เจ้าจะได้รับมันแน่ๆ เราให้สัญญา

     

     

                  เด็กหญิงไม่กล่าวคำใดทั้งสิ้นนอกจากการวางมือน้อยๆ ลงบนฝ่ามือใหญ่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเสื้อผ้าชุดดำเช่นกัน

     

     



    ###########

     




    “คุณว่าฉันควรจะพูดอะไรกับพ่อดี” พริมโรสเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ ขณะปีนป่ายข้ามกองทองคำที่สูงท่วมศีรษะอย่างทุลักทุเล การสวมชุดกระโปรงยาวกรุยกรายและไม่สวมรองเท้าทำให้งานของเธอยากเย็นขึ้นอีกหลายระดับ มือบางทัดเส้นผมที่มีสีเดียวกันกับพื้นไว้หลังใบหู ดวงตาสีน้ำเงินเหลือบมองไปยังกระจกฉลุลายบานใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติของมังกร

     

     

    ทว่าแทนที่จะสะท้อนภาพของเด็กสาววัยแรกรุ่น มันกลับสะท้อนภาพของร่างสูงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหน้ากากแห่งดวงดาราแทน

     

     

    แค่เท่าที่จำเป็นก็เพียงพอแล้ว

     

     

    “แล้วมันขนาดไหนกันละ” พริมโรสยกขาขึ้นสูงๆ เพื่อก้าวข้ามดาบประดับอัญมณีเล่มโตที่ตกอยู่บนพื้น “แบบ...หวัดดีค่ะพ่อถึงเวลาตื่นได้แล้วนะ หรือแบบ...สวัสดีค่ะหนูคือลูกสาวของคุณที่มาจากอนาคต ให้ตายเถอะพ่อต้องอาละวาดแน่ๆ ถ้ารู้ว่าต้องรออีกร้อยปีกว่าจะได้เจอแม่”

     

     

    ภาพในกระจกเงาจางหายไปก่อนจะมาปรากฏที่โล่ขนาดใหญ่เบื้องหน้าพริมโรสแทน

     

     

    ถ้าเช่นนั้นเราขอแนะนำให้เจ้าเพิ่มความระมัดระวัง

     

     

    “คุณไม่ช่วยเลยนะคะรู้ตัวมั้ย” เด็กสาวค่อนขอดก่อนจะขยับหมุนโล่ให้หันไปยังจุดหมายของการ ย้อน’ มาในครั้งนี้ โลงศพสีดำหม่นซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางเหรียญทองและความมั่งคั่ง รอยแตกร้าวลากกระจายไปทั่วแต่กระนั้นก็ยังดูแข็งแกร่งเกินกว่าจะผุพังไปตามกาลเวลาได้ง่ายๆ ที่จริงแล้วมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลยด้วยซ้ำแม้ว่าจะผันผ่านมานับพันปีแล้วก็ตาม

     

     

    รวมทั้งร่างที่หลับไหลอยู่ภายในนั้นด้วย

     

     

    เราพูดความจริงนะพริมโรส แอนน์ ล็อคฮาร์ท เราอยากให้เจ้าระวังตัว’ น้ำเสียงอันแปลกประหลาดยังคงฟังดูราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ดุจเดิม หากแต่บริบทของความกังวลและเป็นห่วงเป็นใยที่ส่งมาทำให้เด็กสาวสามารถผลิยิ้มออกมาได้

     

     

    “รู้แล้วค่ะรู้แล้ว ฉันก็แค่บ่นไปงั้นแหละคุณยังไม่ชินอีกหรอ”

     

     

    เธอหันมาไหวไหล่ให้กับภาพสะท้อนในโล่โลหะก่อนพาตนเองเข้าไปใกล้โลงศพ ฝ่าเท้าเปลือยเปล่ารับรู้ถึงความเย็บเฉียบจากเหรียญตราข้างใต้ พาให้ในใจเต้นระรัวด้วยความระทึกมากยิ่งขึ้น มือบางโบกไปในอากาศบังคับให้ฝาโลงอันหนักอึ้งขยับเปิดออกเผยให้เห็นถึงร่างที่หลับไหลอยู่ภายในนั้น...พ่อของพริมโรส

     

     

    บัลธาซาร์...ใบหน้าคมคายของเขาดูไม่ต่างไปจากในปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย ทว่าเส้นผมสีดำที่เห็นตัดสั้นจนชินตาแท้จริงแล้วกลับเคยยาวจรดแผ่นหลังกว้าง รอยแผลเป็นมากมายยังคงปรากฏอยู่ตามกายแกร่ง สองมือวางสอดประสานกันบนอกดูคล้ายกำลังสวดภาวนา ขอให้เมื่อลืมตาตื่นจะได้พบกับเธอผู้เป็นที่รัก

     

     

                  พริมโรสทรุดนั่งลงที่ขอบโลง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ที่เป็นต้นเหตุให้บิดาต้องทนทรมานรอคอยไปอีกกว่าร้อยปี แต่ว่าเธอไม่มีทางเลือก...ยามเมื่อโชคชะตาเปล่งเสียงเธอทำได้แค่อย่างเดียวเท่านั้นคือขานรับ เด็กสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือในสิ่งที่จะเกิดขึ้น

     

     

                  “ขอโทษด้วยนะคะ”

     

     

                  มือบางเริ่มเปล่งแสงสีนวลตา เธอวางมือไว้เหนือใบหน้าของผู้เป็นบิดาก่อนจะขยับลากขึ้นไปทางศีรษะ เปลือกตาเปิดลืมขึ้นตามทิศทางของมือเผยให้เห็นถึงดวงตาสีน้ำเงินเจิดจ้า...และสิ่งที่ตามมานั้น...

     

     

                  ตูม!!!!!

     

     

                  คือเสาเพลิงขนาดใหญ่ที่พวยพุ่งขึ้นสู่ด้านบน แรงอัดมหาศาลทำให้โลงศิลาอันแข็งแกร่งถึงกับทลายเป็นชิ้นๆ พริมโรสกระโจนหนีออกมาได้ทันอย่างฉิวเฉียดแต่ถึงกระนั้นชายชุดอันกรุยกรายก็ยังไหม้ไฟเป็นหย่อมๆ อยู่ดี ท่ามกลางอัคคีอันร้อนระอุ อดีตมังกรต้องสาปยืนอยู่ตรงนั้น จ้องเขม็งมาที่เธออย่างสงสัยระคนกราดเกรี้ยว         

     

     

    เป็นอะไรหรือไม่’ คำถามดังมาจากเงาร่างที่สะท้อนอยู่บนถาดเงินใบใหญ่ที่อยู่ใกล้กัน

     

     

                  “ก็กะไว้อยู่แล้วน่ะเลยหนีทัน” เด็กสาวตอบเรียบๆ กรอกตาขึ้นฟ้าอย่างหน่ายใจก่อนจะบ่นออกมาชุดใหญ่อย่างอดไม่ได้ “ทำไมสมัยก่อนพ่อถึงได้ใจร้อนขนาดนี้นะ คุยกันดีๆ แบบป้าแมรี่แอนน์ไม่ได้รึไง”

     

     

                  นี่คงเป็นนิสัยเดียวที่พริมโรสและปีเตอร์มีเหมือนกัน...เกลียดชังเรื่องยุ่งยาก ทว่าในขณะที่พี่ชายฝาแฝดมีอิสระมากพอที่จะหนีจากความวุ่นวายเหล่านั้นได้ พริมโรสมักถูกบัญชาให้วิ่งเข้าหามันเสมอ

     

     

                  ‘เพราะเจ้าไม่ได้ให้ประโยชน์ใดแก่พ่อมดแห่งคำพยากรณ์เหมือนที่ช่วยให้แม่มดพเนจรได้แก้แค้นน่ะสิ’ ผู้ส่งสานส์แห่งโชคชะตาเอ่ยโต้ตอบพริมโรส

     

     

                  “ฉันไม่ได้อยากช่วยป้าแมรี่แอนน์แก้แค้นซักหน่อย คุณต่างหากที่บอกให้ฉันปลอมตัวไปเป็นพ่อมดแล้วมอบงานวิจัยให้แล้วยังบังคับให้ฉันพาแม่กลับไปศตวรรษที่ห้าอีก” เด็กสาวเบ้หน้าเมื่อนึกถึงงานที่ผ่านๆ มาเพื่อเติมเต็มเรื่องราวตามวิถีแห่งจักรวาล ใบหน้างดงามยิ่งงอง่ำเข้าไปใหญ่เมื่อคู่สนทนาตอบกลับมาว่า

     

     

                  เราไม่ได้บังคับเจ้าเสียหน่อย เราเพียงถ่ายทอดคำบัญชาจากโชคชะตาเท่านั้น

     

     

                  ประโยคที่ได้ยินบ่อยจนชาชินทำเอาพริมโรสกรอกตาอีกรอบ รู้ดีว่าคงไม่มีทางเถียงชนะหรือได้รับคำปลอบใจกลับมาแน่ๆ เธอจึงเปลี่ยนไปบ่นเรื่องอื่นแทน

     

     

                  “ให้ตายเถอะ มีทางไหนให้พ่อสงบลงบ้างมั้ยเนี่ย ไม่อยากสู้ด้วยแล้วนะ”

     

     

    อาจจะไม่จำเป็นก็เป็นได้’ ร่างเบื้องหลังหน้ากากดวงดาวกล่าวออกมาอีกครั้งก่อนจะสลายหายไป ทิ้งให้พริมโรสได้ยืนงงอยู่เพียงลำพัง หากแต่ก็ไม่นานเท่านั้นก่อนร่างเล็กบางจะถูกทาบทับด้วยเงาของร่างสูงใหญ่

     

     

    บัลธาซาร์เคลื่อนย้ายตนเองเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ เหงื่อเย็นๆ ไหลซึมมาตามวงหน้าของเด็กสาว แม้สีหน้าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่ภายในใจมีคาถาเป็นสิบๆ บทที่ถูกเตรียมไว้อย่างเงียบงันเพื่อรับมือแล้ว ดวงตาสีน้ำเงินสองคู่มองสบกันในระยะประชิด คู่หนึ่งแสดงความสงสัย อีกคู่พยายามไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

     

     

    “เจ้าเป็นใครกัน ทำไมถึงได้มีกลิ่นอายเวทย์มนต์เช่นนี้ แล้วใบหน้า...” บัลธาซาร์ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ประโยคหลังเงียบหายไปเพราะเหมือนกับว่าได้คำตอบมาแล้วเพียงแต่ไม่อยากจะเชื่อก็เท่านั้น เห็นดังนั้นเด็กสาวจึงแย้มยิ้ม...ดูอ่อนหวานและคล้ายคลึงกับเธอผู้เป็นที่รักอย่างน่าประหลาด หากแต่ในขณะเดียวกันก็ดูขื่นขมและไม่อาจตีความได้

     

     

    “โชคชะตามักเล่นตลกกับเราเสมอ พ่อว่างั้นมั้ยคะ”

                 




    ###########

     




    “สรุปก็คือเจ้ามีพรสวรรค์สามารถย้อนมาอดีตได้”

     

     

                  คำสรรพนามอันห่างเหินและแข็งกระด้างทำให้พริมโรสรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า แต่เพราะตระหนักได้ดีว่าสำหรับบิดาแล้ว ในช่วงเวลานี้เธอคือคนที่ไม่มีตัวตนและยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมา การที่เขาไม่ลงมือฆ่าเธอทิ้งตั้งแต่แรกลืมตาตื่นก็ถือว่าได้รับความไว้วางใจที่ค่อนข้างมากในระดับหนึ่งแล้ว เด็กสาวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยายามทำใจยอมรับความห่างเหินนี้

     

     

                  “ค่ะ” เธอตอบรับเพียงสั้นๆ เปิดโอกาสให้บัลธาซาร์ได้ซักถามในสิ่งที่สงสัยต่อไป

     

     

                  “ทำไม” คำถามสั้นไม่แพ้กันทว่าต้องใช้คำอธิบายยืดยาวยิ่งนัก ทำไมต้องปลุกเขาขึ้นมา...และพริมโรสไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดทั้งหมดออกไป พ่อของเธอปฏิเสธของขวัญจากโชคชะตา ทุกคนที่ปฏิเสธของขวัญจากโชคชะตาถือเป็นคนนอก และคนนอกไม่มีสิทธิ์ได้รู้ความลับของจักรวาล

     

     

                  “ถ้าพ่อรู้ว่าปีเตอร์เกิดมาเป็นยังไงพ่อจะไม่ถามแบบนี้แน่” พริมโรสจึงพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว ไม่ผิดใช่มั้ยในเมื่อแม่ก็ทำแบบนี้บ่อยๆ

     

     

                  “ปีเตอร์?”

     

     

                  “พี่ชายฝาแฝดของหนู เป็นพ่อมดเหมือนกันแล้วก็เป็นผู้แบกรับตราบาปด้วยแถมยังเรื่องเยอะสุดๆ บอกไว้ก่อนเลยถ้าพ่อไม่รีบสะสมฐานอำนาจและอิทธิพลตั้งแต่ตอนนี้ปีเตอร์จะต้องถูกพวกนักวิทยาศาสตร์จับไปชำแหละไม่ก็ถูกพวกนักล่าเลาะเกล็ดไปจนหมดตัวแน่ๆ”

     

     

                  บัลธาซาร์ทำสีหน้าไม่เข้าใจหนักกว่าเก่า ชายหนุ่มบีบนวดระหว่างสันจมูกแล้วถามอีกรอบ

     

     

                  “นี่ข้ามีลูกทั้งหมดกี่คนกัน”

     

     

                  “สาม แต่เจมี่เป็นคนธรรมดาพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ถึงแม้ว่าโชคชะตาจะกำหนดเส้นทางให้น้องชายผู้ไร้พลังของเธอไว้แล้วก็ตามที

     

     

                  “แล้วแพทริเซีย...แม่ของเจ้า...”

     

     

                  “แม่ยังไม่เกิดต้องหลังจากนี้...อีกพักใหญ่ๆ” ครั้งนี้ที่พริมโรสไม่พูดความจริงไม่ใช่เพราะพูดไม่ได้แต่เพราะไม่อยากพูดต่างหาก หนึ่งร้อยยี่สิบปีช่างเป็นเวลาที่ยาวนานเหลือเกินสำหรับผู้ที่ต้องเฝ้ารอ

     

     

                  บัลธาซาร์นิ่งอึ้ง ดวงตาฉายแววร้าวรานและขื่นขม เขาสูดหายใจลึกเพื่อสงบอารมณ์ก่อนจะตัดสินใจถาม

     

     

    “เจ้าไม่ได้มาเพราะตัวเองสินะ...ใครส่งเจ้ามากัน...”

     

     

                  “ก็พ่อน่ะแหละ” พริมโรสพูดความจริงออกมาในที่สุด บัลธาซาร์ในอนาคตคือคนที่ย้ำเตือนให้เธอมาปลุกเขาให้ได้ด้วยซ้ำ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องถูกตระเตรียมเพื่อสร้างรากฐานอันมั่นให้แก่เหล่าล็อคฮาร์ท โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปีเตอร์ เงินทองและอิทธิพลเป็นสิ่งจำเป็นหากอยากให้พี่ชายฝาแฝดยังมีอายุยืนยาว ทว่าสิ่งที่พ่อของเธอไม่รู้ก็คือ...โชคชะตาก็ต้องการให้เขาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลานี้เช่นกัน

     

     

    ชนวนแห่งสงครามจะอุบัติขึ้นในยุคนี้ สงครามระหว่างมนุษย์และสัตว์ร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ซึ่งจะดำเนินต่อเนื่องไปอีกนับร้อยปี บัลธาซาร์จะเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่หมุนเวียนโชคชะตาเหล่านั้น ชิ้นส่วนทำให้หนังสืออันว่างเปล่าเริ่มต้นที่จะขีดเขียน และเสียงกระซิบเริ่มที่จะกลายเป็นถ้อยตะโกน

     

     

    “แล้วตัวข้าในอนาคตต้องการให้ข้าทำอะไรบ้าง...”

     

     

    พริมโรสไม่อาจขัดขืนบัญชาจากโชคชะตาได้ มันคือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับของขวัญแห่งกาลเวลา

     

     

    “ตามหนูมาสิค่ะ ศตวรรษที่สิบเก้ารอให้พ่อไปยึดครองมันอยู่”

     

    ###########



    Talk : ถ้าเผื่อกำลังสงสัย ชื่อกลางของหนูพริมมาจากชื่อของแมรี่แอนน์น่ะแหละค่ะบัลธาซาร์เป็นคนตั้งให้ ส่วนชื่อพริมโรสนี่ เอาเข้าจริงมันก็ออกแนวเป็นการวนลูปไปมาจนไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนตั้งกันแน่ lol 

    เราคิดมาเสมอว่าอยากจะแต่งภาคต่อที่เป็นรุ่นลูกมังกร ปีเตอร์ก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเองเช่นเดียวกับเจมี่ และพริมโรสจะเป็นคนที่ยึดโยงทุกอย่างเข้าด้วยกันหรือจะพูดในอีกแง่หนึ่งคือค่อยทำให้ทุกอย่างเป็นไปในแบบโชคชะตาอยากให้เป็น ซึ่งทุกเหตุการณ์จะพาไปสู่บทสรุปในท้ายที่สุด แต่สเกลเรื่องมันใหญ่โตอลังการมาก ซึ่งขอสารภาพเลยว่าด้วยฝีมือในขณะนี้ยังไม่สามารถคุมไหวจริงๆ T T ก็เลยเอาแบบเป็น OneShot มาให้ลองอ่านกันก่อน ไว้อ่านพาร์ทของปีเตอร์จบแล้วทุกคนน่าจะเห็นภาพกันมากขึ้นว่าสงครามระหว่างมนุษย์และสัตว์ร้ายที่หนูพริมพูดถึงเป็นไงกันแน่


    ขอให้สนุกกับการอ่านค่าาา : )

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×