ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ คลังเก็บความเพ้อเจ้อ ]

    ลำดับตอนที่ #13 : The Dragon's Heart : Side Story : The Battle for a Little Girl (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 586
      10
      21 ก.ค. 58

    The Dragon's Heart : Side Story : The Battle for a Little Girl (2)


    ###########

                

                  “แล้วตลอดสี่ปีมานี่ เธอไปอยู่ที่ไหนมา”

     

     

                  “ก็คงถูกเจ้าโรคจิตอีกคนหนึ่งจับตัวไปละมั้ง...” เคิร์ทกลับไปคาบบุหรี่ไว้กับริมฝีปากตามเดิม “แถมยังเป็นเจ้าโรคจิตที่มีเงินเป็นถุงเป็นถังอีกต่างหาก”

     

     

    ผู้หมวดหนุ่มเว้นช่วงก่อนจะหยิบกำไลข้อมือขึ้นมาส่งให้อดีตภรรยาพิจารณา มันเป็นเส้นหนังสีน้ำตาลที่ร้อยรัดพันหินสีขนาดเล็กจำนวนนับสิบก้อนเข้าไว้ด้วยกันอย่างเรียบง่ายแต่ก็ดูน่ารักเหมาะแก่การเป็นเครื่องประดับของเด็กสาวอยู่ในที เคิร์ทเคาะปลายนิ้วลงไปยังก้อนหินเหล่านั้นก่อนจะเอ่ยคำอธิบายในแบบที่ไดอาน่าแทบลมจับด้วยนึกไม่ถึงว่าของที่ดูธรรมดาๆจะมีมูลค่ามากมายขาดนี้

     

     

    “นี่น่ะ...เพชรแท้ทั้งนั้น แถมยังเป็นเพชรมีสีที่ยังไม่ได้เจียระไนอีกต่างหาก ราคาอย่างเนาะๆก็ก้อนละเกือบแสนปอนด์เข้าไปแล้ว แต่เจ้านั้นกลับเอามาร้อยอย่างกะเป็นลูกปัดแล้วให้ยัยหนูเกรย์สันใส่ติดตัวไว้ซะได้ ถ้าไม่รวยโคตรๆมันก็ต้องเป็นเจ้าของเหมืองเพชรแน่ๆ”

     

     

    “หรือไม่คนๆนั้นก็อาจจะชอบเธอมากๆก็ได้นะครับถึงได้ให้ของมีค่าขนาดนี้มา” ลูคัสเสนอความคิดเห็นบ้าง แต่กลับได้รับเสียงเหอะอย่างดูแคลนจากผู้หมวดแบทเทิลกลับคืนมา เพราะหลายๆอย่างในตัวเด็กสาวดูขัดแย้งกันเองมากเกินไป เสื้อผ้าและของใช้บ่งบอกว่าเธอได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่กลับมีแผลเป็นมากมายตามตัวแถมยังถูกพบในสภาพปางตายอีกต่างหาก

     

     

    เคิร์มถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าเพราะอะไรมันถึงเป็นเช่นนี้?

     

     

    เพราะไม่เป็นที่ต้องการแล้วงั้นหรือจึงได้ถูกทอดทิ้ง หรือว่าเพราะพยายามจะหนีเลยถูกทำร้าย แต่ถ้าแบบนั้นทำไมต้องพามาปล่อยไว้ในที่ๆคนพลุกพล่านด้วย ทำไมไม่ซ่อนอำพรางศพไว้เสียเลย มีแต่เรื่องน่าสับสนและชวนงุนงงไปเสียทุกอย่าง เคิร์ทขบฟันไปมาจนทำให้ม้วนบุหรี่ในปากหมุนกลิ้ง เขาอยากจุดสูบชะมัดแต่ทว่าก็ต้องอดทนไว้

     

     

    “ผมมีทฤษฏีนะหมวดอยากจะฟังมั้ย” อยู่ๆลูคัสก็ยิ้มแป้นพลางกล่าวราวกับว่ากำลังอ่านความคิดของเขาออก

     

     

    ดวงตาสีน้ำตาลเงยขึ้นจากรูปภาพและข้าวของบนโต๊ะพร้อมริมฝีปากภายใต้หนวดเคราที่เหยียดยิ้มอย่างเย้ยหยัน “คิดอะไรเป็นกับเขาด้วยเรอะ นึกว่าในหัวแกมันจะมีแต่ขี้เลื่อยซะแล้ว”

     

     

    “เคิร์ท...” ไดอาน่าเอ่ยเรียกเพื่อปรามคำพูดอดีตสามี

     

     

    “เอ้าว่ามาสิ...ถ้ามันเข้าท่าฉันก็จะบอกให้เจ้าแดเนียลลองสืบตามแนวทางนี้ดู”

     

     

    ทว่าคนปากเสียไม่สนใจ กลับยังคงพูดต่อไปหน้าตาเฉย

     

     

    ก็จะรู้สึกผิดไปทำไมกันเล่าในเมื่อคนที่ถูกปากเสียใส่ยังยิ้มหน้าระรื่นไม่มีสลดได้อยู่แบบนี้

     

     

    “ผมคิดว่าคนที่จับตัวแพทริเซีย เกรย์สันไปในตอนแรกกับคนที่เธอไปอยู่ด้วยมาตลอดสี่ปีเป็นคนละคนกันครับ!” ลูคัสพูดเสียงดังฟังชัดด้วยท่าทางมั่นใจยิ่ง ดวงตาจับจ้องมายังคู่หูรุ่นเก๋ารอให้อีกฝ่ายเอ่ยคำชมหรือไม่ก็แสดงความคิดในทางบวกเห็นต่อทฤษฏีนี้

     

     

    แต่ทว่า...

     

     

    “แกไปเอาความคิดเพี้ยนๆแบบนี้มาจากไหนกันห๊ะเจ้าลูกเจี๊ยบ”

     

     

    “จากหมวดน่ะแหละครับ” นักสืบหนุ่มย้อนอย่างพาซื่อทำเอาผู้หมวดแบทเทิลนึกอยากหยิบรองเท้าเปื้อนโคลนบนโต๊ะมาตบหน้าให้ซักที ยิ่งไดอาน่าหัวเราะคิกคักราวกับกำลังชอบใจเขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่

     

     

    “ก็หมวดบอกให้ผมหัดสังเกตและวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ผมก็วิเคราะห์แล้วไง และถ้าตัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไป สิ่งที่เหลืออยู่ต่อให้ดูไม่น่าเชื่อมากแค่ไหนแต่มันก็คือความจริง”

     

     

    “นั่นมันคำคมของเชอร์ล็อค โฮล์มไม่ใช่ของฉัน”

     

     

    “ก็คล้ายๆกับแหละครับ” ลูคัสแก้ตัวก่อนจะวกกลับมาเข้าเรื่องได้ในที่สุด “แผลตามตัวแพทริเซีย เกรย์สันเป็นแผลเก่าทั้งนั้น ผมเลยสันนิษฐานว่ามันอาจจะมาจากช่วงที่เธอเพิ่งถูกจับตัวไปใหม่ๆ อาจจะเป็นฝีมือของแก๊งค้ามนุษย์ไม่ก็โจรเรียกค่าไถ่อย่างที่ทางสก็อตแลนยาร์ดคาดไว้แต่แรกก็เป็นได้เรื่องนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ไม่ว่ายังไงก็เถอะ...เธอคงหนีมาได้แล้วก็ได้รับความช่วยเหลือจากใครอีกคน”

     

     

    “...” เคิร์ทไม่พูดอะไรทั้งนั้นแต่การเลิกเคี้ยวก้นกรองบุหรี่แล้วดึงมันออกจากปากเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกว่าเขากำลังตั้งใจฟังอยู่

     

     

    “ใครคนนั้นดูแลให้ความใส่ใจเธอ จนกระทั่งคนที่จับตัวเธอไปตั้งแต่แรกตามมาพบ คนที่ช่วยเธอคงจะถูกฆ่าส่วนเธอก็ถูกทำร้าย แต่บังเอิญมีคนมาพบเธอซะก่อนเธอก็เลยรอด ที่ผมคิดไว้ก็ประมาณนี้แหละครับ”

     

     

    “ฟังดูหยั่งกะหนังสยองขวัญห่วยๆ” เคิร์ทวิจารณ์ แต่ก็ไม่อาจบั่นทอนความมั่นใจของลูคัสได้เลยแม้แต่น้อย “มันก็พอจะอธิบายได้บ้างแต่ช่องโหว่ก็ยังเยอะอยู่ดี ถ้ายัยหนูนี่หนีมาได้แต่แรกทำไมไม่กลับมาหาพ่อแม่ ทำไมถึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากใครที่ไม่รู้จักด้วย”

     

     

    “เธออาจจะอยู่ไกลบ้านมากจนไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนก็ได้นะครับ เพราะพวกค้ามนุษย์ก็ชอบลักตัวเด็กสาวไปขายในที่แปลกๆอยู่แล้ว”

     

     

    ทฤษฏีพอฟังขึ้น แต่เคิร์ทก็ยังไม่เลิกไล่ต้อนคู่หู

     

     

    “ถ้าอยู่ไกลสุดกู่ขนาดนั้นแล้วทำไมยัยหนูเกรย์สันถึงได้มานอนเลือดไหลอยู่ข้างแม่น้ำเทมส์ได้ห๊ะ”

     

     

    “ก็คงถูกคนที่ช่วยไว้พากลับมาส่งบ้านหลังจากที่คิดว่าปลอดภัยแล้วมั้งครับ”

     

     

    “สี่ปีเนี่ยนะ”

     

     

    “ไม่งั้นพวกเขาก็อาจจะชอบพอกันเลยตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเงียบๆจนคนที่จับตัวเธอไปแต่แรกตามมาเจอก็ได้มั้งครับ เลยต้องหนีกลับมาที่บ้านเกิดของเธอ”

     

     

    ผู้หมวดแบทเทิลส่งเสียงแบบดูแคลนในลำคออีกรอบ และคราวนี้มีคำงึมงำประมาณว่า น้ำเน่า กับ พรากผู้เยาว์ ตามมาด้วย แต่ยังไม่ทันจะได้ไล่ต้อนต่อนางพยาบาลคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมแจ้งให้ไดอาน่าฟังว่า แพทริเซีย เกรย์สัน ได้สติแล้ว...

     

     

     “แกกลับไปที่กรมก่อนได้เลย ฉันจะไปสอบปากคำยัยหนูเกรย์สันก่อนกลับซักหน่อย” เคิร์ทเก็บเจ้าบุหรี่ยับๆยู่ๆลงกระเป๋าเสื้อแล้วหันมาสั่งความลูคัส

     

     

    “จะไม่โยนงานให้ผู้หมวดแดเนียลแล้วหรอคร้าบบบ”

     

     

    “เขาเรียกมอบหมายงานเว้ย” เคิร์ทแย้งพร้อมส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่พอใจไปด้วย เมื่อสี่ปีก่อนเขาคือคนที่ดื้อเพ่งขอรับคดีนี้มาทำทั้งที่ตนเองอยู่แผนกฆาตกรรมไม่ใช่แผนกคนหายเพราะนึกว่าเด็กสาวคือเหยื่อคนใหม่ของปีเตอร์แพน ทุกๆอย่างในตัวแพทริเซีย เกรย์สันชนให้คิดไปอย่างยิ่งว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้น เคิร์ทมั่นใจมากๆว่าเด็กสาวจะสามารถช่วยให้เขาจับเจ้าปีศาจตนนั้นได้  แต่มาบัดนี้มันชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่ และเมื่อเด็กสาวไม่สามารถให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้ เคิร์ทจึงไม่คิดเสียเวลาไปกับคดีลักพาตัวอันแปลกประหลาดมากไปกว่านี้อีกแล้ว

     

     

    แต่ถึงกระนั้นทฤษฏีของลูคัสก็กวนใจเขาอยู่ไม่น้อย มันฟังดูบ้าและน้ำเน่าแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเข้าเค้าอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว เคิร์ทก็แค่อยากรู้ความจริง...นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาอยากสอบปากคำแพทริเซีย เกรย์สันอีกซักครั้งก่อนจะปล่อยมือจากคดีนี้อย่างเป็นทางการ

     

     

    “แกน่ะกลับไปแล้วก็รีบๆทำงานเอกสารของคดีเก่าให้เสร็จซะก่อนที่งานใหม่มันจะงอกขึ้นมา”

     

     

    นักสืบหนุ่มร้องครวญเมื่อผู้หมวดแบทเทิลสั่ง หลังจากนั้นเคิร์ทก็หันมาทางไดอาน่า

     

     

    “ส่วนคุณ ผมจะมาสอบปากคำคุณตอนมื้อเที่ยง ห้ามหนีไปไหนด้วย”

     

     

    ไม่รอคำปฏิเสธใดๆทั้งสิ้นร่างสูงซึ่งมีหนวดเครารกครึ้มก็ก้าวออกจากห้องไปทันที ศัลยแพทย์สาวกำลังถอนหายใจให้กับความเอาแต่ใจของอดีตสามีอยู่ในตอนที่มือขวาของนักสืบหนุ่มยื่นมาหาเธอ

     

     

    “สวัสดีครับ ผมว่าเรายังไม่ได้ทักทายกันอย่างเป็นทางการเลย ผมชื่อลูคัสครับ ลูคัส แมคเกรเกอร์ เป็นคู่หูคนใหม่ของหมวดแบทเทิลครับ”

     

     

                  “ไดอาน่าค่ะ ไดอาน่า แฮนเซน” เธอบอกชื่อพร้อมยื่นมือออกไปจับทักทายเช่นกัน “ดูคุณไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่เลยที่คู่หูคุณจีบฉันแบบนั้น” เธอถามอย่างตั้งข้อสังเกตุเพราะเท่าที่ดูแล้วลูคัสน่าจะเป็นคนปากไวพอสมควรทว่ากลับไม่ผิวปากแซวหรือแม้แต่พูดแซะอดีตสามีของเธอแม้แต่น้อย นั้นยอมแปลได้แค่ว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้เรื่องของเธออยู่แล้ว...

     

     

                  “นอกจากเป็นคู่หูแล้วผมยังเป็นเพื่อนดื่มของหมวดด้วยครับ”

     

     

                  นี่แหละเคิร์ท แบทเทิลของแท้ เหล้าเข้าปากทีไรเป็นได้พล่ามทุกที...ไดอาน่าคิดอย่างอ่อนใจ

     

     

                  “งั้นคุณคงจะรู้อยู่แล้วว่าระหว่างฉันกับเขาจบไม่สวยเท่าไหร่”

     

     

                  “ชัดเลยแหละครับ...เย็บสามเข็มที่หางคิ้ว” ลูคัสหัวเราะพลางย้อนนึกไปถึงครั้งล่าสุดที่พวกเขาไปดื่มกันหลังจากปิดคดีฆ่าอำพรางอาจารย์มหาวิทยาลัยได้ เมากี่ทีกี่ทีหมวดก็พูดได้เหมือนเดิมตลอดเลยสิน่า

     

     

                  “นั่นเราแค่ทะเลาะกันค่ะแต่ไม่ได้เกิดขึ้นช่วงที่กำลังหย่ากันหรอก” ไดอาน่าหยิบสำเนาประวัติผู้ป่วยของแพทริเซีย เกรย์สันส่งให้พลางกล่าวอย่างเคร่งเครียด “เขาเคยเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้เขาไล่ล่าปีเตอร์แพนมั้ยคะ”

     

     

                  “ไม่เคยครับ” ลูคัสเก็บรวบรวมทุกอย่างครบแล้ว เขาจึงหยุดมือแล้วหันมาทั้งตัวเพื่อฟังในสิ่งที่อดีตภรรยาของคู่หูกำลังจะเอ่ย

     

     

                  “ฉันคิดว่าในฐานะคู่หูคุณควรจะรู้เรื่องนี้เอาไว้เพราะว่าเหยื่อคนแรกของปีเตอร์แพน...”

     

     

                  “คุณหมายถึง เวนดี้ เทรเวอร์...หมวดเขารู้จักกับเธอเป็นการส่วนตัวหรอครับ”

     

     

    ลูคัสถามกลับทว่าก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่นักหากจะได้รับคำตอบว่าใช่ ตำรวจหลายคนก็เป็นรวมทั้งเขาเองก็ด้วย ศาลเตี้ยรอวันชำระแค้นซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังตราแห่งกฏหมาย ยิ่งเมื่อดูจากความพยายามในการไล่ล่าปีเตอร์แพนมาตลอดลหลายปี ลูคัสก็ยิ่งแน่ใจว่าคู่หูของเขารู้จักกับเหยื่อคนใดคนหนึ่งเป็นการส่วนตัว ที่นึกไม่ถึงก็คือจะเป็นเหยื่อคนแรก แถมเธอคนนั้นยังเป็นสาเหตุให้ฆาตกรรายนี้ถูกเรียกขานเช่นนี้อีกด้วย

     

     

    “ยิ่งกว่ารู้จักซะอีกค่ะ” ดวงตาสีมรกตหลุบลง ความขมขื่นฉายชัด “เวนดี้ เทรเวอร์ เป็นพี่สาวแท้ๆของเคิร์ท”

                 

     ###########

     

                  “แพทริเซีย เกรย์สัน” เคิร์ทเอ่ยเรียกร่างบางที่นอนอยู่บนเตียง เด็กสาวผินใบหน้ามาอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีฟ้าซีดนิ่งเรียบจนให้ความรู้สึกคล้ายกำลังจ้องมองผืนน้ำแข็ง รอบตัวเด็กสาวยุ่งเหยิงไปด้วยสายน้ำเกลือและมอนิเตอร์ต่างๆ “ชื่อของฉันคือผู้หมวดเคิร์ท แบทเทิลจากกรมสก็อตแลนยาร์ด ฉันมีคำถามสองสามข้อที่อยากจะถามซักหน่อย”      

     

     

                  บัตรประจำตัวถูกยกชูขึ้นมาให้ดูตามระเบียบปฏิบัติ เด็กสาวพยักหน้าแสดงการรับรู้ทว่ายังคงเชื่องช้าดุจเดิมและไร้ชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง

     

     

                  “ตลอดสี่ปีมานี่ไปอยู่ที่ไหนมา” เคิร์ทถามอย่างตรงไปตรงมา ไม่คิดเอ่ยแสดงความสงสารหรือปลอบประโลมเป็นการเกริ่นนำแม้แต่น้อย นั่นเพราะในหัวของผู้หมวดหนุ่มไม่เคยสนแม้แต่น้อยว่าเหยื่อจะรู้สึกอย่างไร ทั้งหมดที่เขาต้องการและจะทำให้ได้ก็คือการลากตัวผู้ร้ายออกมาจากเงามืดให้ได้ก็เท่านั้น

     

     

                  ทว่าเด็กสาวกลับนิ่งเงียบ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะคลายออก เคิร์ทจับจ้องกริยาเหล่านั้นพลางรู้สึกว่าข้อสันนิษฐานที่ว่าเธออาจจะอยู่ไกลบ้านมากจนกระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ที่ไหนเริ่มฟังดูเข้าเค้าขึ้นมาอย่างน่าประหลาด      

     

     

    “มีอะไรพอจะเป็นจุดสังเกตได้บ้างมั้ย” เขาพยายามถามให้กว้างมากขึ้นเผื่อว่าเด็กสาวอาจจะตอบได้ “ป้ายบอกทาง ถนน ภูเขา....”

     

     

                  เช่นเคยเด็กสาวไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นนอกจากการมองเหม่อภาพของสายฝนที่ร่วงหล่นอยู่นอกหน้าต่าง เคิร์ทเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อยด้วยรู้สึกเหมือนกำลังถูกเมินอยู่มากกว่าจะเป็นเพราะเธอไม่อาจตอบได้

     

     

                  “ถ้างั้นแล้วคนที่ลักพาตัวละ มันเป็นใคร หน้าตา รูปร่าง..”

     

     

                  “คุณถามเกินสามข้อแล้ว” และแล้วแพทริเซีย เกรย์สันก็เปิดปากพูดทว่าเป็นคำตอบที่เรียกได้ว่าไล่กันทางอ้อมชัดๆทำเอาเคิร์ทหน้าตึงไปไม่น้อยเลยทีเดียว

     

     

                  “ดูเธอไม่ค่อยอยากให้ความมือซักเท่าไหร่เลยนะสาวน้อย”

     

     

                  “....”

     

     

                  “ไม่อยากให้ฉันจับเจ้าหมอนั่นได้รึไง”

     

     

                  “อยากสิ” เด็กสาวหันหน้ามามองเขาช้าๆพร้อมกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบดุจเดิมทว่าเจือความเศร้าหมองมาอย่างชัดเจน “ฉันเองก็อยากเจอเขาอีกซักครั้งเหมือนกัน...แต่ว่า มันคงเป็นไปไม่ได้”

     

     

                  ท่าทีของเด็กสาวดูโหยหาและต้องการอย่างเหลือแสน ไม่ใช่ความโกรธเคืองหรือเคียดแค้นอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีแม้แต่แววตื่นกลัวด้วยซ้ำยามเมื่อพูดถึง เขาคล้ายกับว่าการที่ต้องแยกจากและเผชิญความเดี่ยวดายเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้เธอหวาดกลัวได้ยิ่งกว่า

     

     

    นี่มันอะไรกัน...สต็อกโฮล์มซินโดรมรึไง เคิร์ทคิดอย่างเย้ยหยันทั้งที่ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไม่ต่างจากร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย การหลงรักคนร้ายที่ลักพาตัวเราไปอาจจะฟังดูบ้าแต่ก็ใช่ว่าจะไปไม่ได้เสียทีเดียว มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เอาตัวรอดเก่ง การโอนอ่อนยอมศิโรราบให้ผู้ที่เหนือกว่าก็เป็นหนทางแห่งการอยู่รอดเช่นกัน ความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความภักดี ก่อนจะตามมาด้วยความผูกพันทางอารมณ์มากมายตั้งแต่การแสดงความเห็นอกเห็นใจ การเข้าใจ ไปจนถึงการมอบความรู้สึกให้

     

     

    ยิ่งเด็กสาวหายตัวไปตั้งแต่สิบสี่อันเป็นช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่เปราะบางเป็นอย่างยิ่ง มันก็ไม่ยากเลยที่จะทำให้เกิดเป็นความผูกพันจนกลายเป็นการพูดจาปกป้องคนที่ลักพาตนเองไปเช่นนี้ได้

     

     

    ทว่าเมื่อได้เห็นประกายหนักแน่นปนร้าวรานภายในดวงตาสีฟ้าซีด เคิร์ทก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ว่าทุกคำพูดและการกระทำที่เป็นอยู่นี้ เกิดจากสภาวะทางจิตใจของเหยื่อถูกลักพาตัวไปจริงหรือไม่ หรือว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้นแน่...

     

     

                  “หมอนั่น...ไม่ใช่คนที่ทำให้เธอมีแผลพวกนี้สินะ” ไม่อยากจะยอมรับเลยแต่ว่าลูคัสอาจจะพูดถูก เพราะแบบนี้รึเปล่านะเด็กสาวจึงได้ดูมีท่าทีที่ใจสลายได้มากมายถึงเพียงนี้ “ถ้างั้นแล้วใครเป็นคนจับตัวเธอไป”

     

     

                  “ไม่สำคัญหรอกค่ะ” คราวนี้แพทริเซีย เกรย์สันเอ่ยโต้ตอบ “เธอตายไปแล้ว”

     

     

                  “ เธองั้นหรอ” เขาทวนสรรพนามที่ได้ยินอย่างแปลกใจ “แต่ถึงจะอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าตำรวจมีงานที่ต้องทำอยู่ดีนะสาวน้อย เธอน่าจะให้ความมือแล้วเล่าทุกอย่างมาซะจะดีกว่า”

     

     

                  “พวกคุณคงไม่เชื่อหรอกค่ะ จะไม่มีใครเชื่อฉัน”

     

     

                  เคิร์ทแสร้งลูบท้ายทอยอย่างหน่ายใจกับการที่เด็กสาวบอกว่าจะไม่ยอมเล่าอะไรทั้งสิ้น

     

     

    “ไอ้ฉันก็ส่งกระดาษเปล่าไม่ได้ซะด้วยแฮะ”

     

     

    ปากว่างั้นทั้งที่ความจริงแล้วคดีนี้ได้หลุดออกจากความรับผิดชอบไปนานโขแล้วและเขาไม่จำเป็นต้องทำเอกสารได้ๆทั้งสิ้น  

     

     

    “ถ้ายังไงก็จะโกหกมาก็ได้นะ บอกว่าถูกลักพาตัวไปแล้วเกิดอุบัติเหตุจนความจำเสื่อมก็แล้วกันแล้วก็เพิ่งจะมานึกออกเมื่อเร็วๆนี้ก็เลยมุ่งหน้ากลับบ้าน...พูดไปแบบนั้นแล้วกันนะสาวน้อย ช่องว่างในกระดาษจะได้เต็มๆซะ พ่อแม่ของเธอจะได้สบายใจด้วย”

     

     

    “แม่....พ่อ...” หยาดน้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมา เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในห้อง ในที่สุดเด็กสาวก็แสดงสีหน้าอื่นนอกเหนือไปความนิ่งเรียบที่ซุกซ่อนความเศร้าไว้เสียที

     

     

    “ใช่...พวกเขากำลังเดินทางมาที่นี่”

     

     

    เสมือนผืนน้ำที่กระเพื่อมไหวเมื่อเริ่มต้นแล้วก็ไม่อาจหยุดได้ ตอนแรกก็เป็นแค่หยดน้ำตา ก่อนจะตามมาด้วยการร้องไห้และเสียงสะอื้น แพทริเซีย เกรย์สันกำลังร้องไห้จนตัวโยน แต่ถึงกระนั้นการพูดปลอบใจก็ยังไม่อยู่ในสาระบบของผู้หมวดแบทเทิลแม้แต่น้อย

     

     

    เคิร์ทกระชับเสื้อโค้ทตัวยาวเข้าหากัน จัดปกเสื้อด้วยท่าทีสบายๆ ทำเหมือนไม่เห็นว่าเด็กสาวกำลังร้องไห้อยู่ มันอาจจะดูน่าสงสารก็จริงอยู่ แต่แบบนี้แหละค่อยสมกับเป็นท่าทีของเด็กสาวอายุสิบแปดที่กำลังจะได้กลืนคืนสู่อ้อมอกของพ่อแม่หน่อย ทั้งการเหม่อจ้องสายฝนด้วยแววตาโหยหาและท่าทางที่เหมือนกำลังคร่ำครวญถึงคนที่ลักพาตัวไปเช่นนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนในครอบครัวควรมาเห็นแม้แต่น้อย ไม่ควรเลย....

     

     

    “เสร็จแล้วก็เช็ดน้ำตาซะไม่งั้นพ่อแม่คงร้องตามไปด้วยแน่ๆ”

     

     

    กล่าวทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นและตั้งใจจะเดินหันหลังออกไปอย่างเท่ห์แท้ๆ ทว่าเด็กสาวก็ทำให้เขาต้องเหลียวกลับไปมองอีกจนได้

     

     

    “ขอบคุณค่ะ”

     

     

    ขอบคุณที่ไม่ถามอะไรต่อ และขอบคุณที่ทำให้คิดได้...ดวงตาสีฟ้าซีดส่งผ่านประโยคเหล่านั้นออกมาให้เขา

     

     

    เพราะถ้าที่เด็กสาวพูดมาเป็นความจริงคดีนี้ก็ไม่มีอะไรให้สืบต่ออีกแล้ว ผู้ร้ายตายและเหยื่อตัวน้อยรอดกลับมาได้โดยมีรอยบุบสลายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันอาจเป็นความยุติธรรมที่ดูไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่นักแต่ผู้หมวดแบทเทิลคิดว่านี่ดีที่สุดแล้วสำหรับพ่อแม่ของเด็กสาว การสืบสวนอันยืดเยื้อและไม่อาจหาทางออกได้มีแต่จะตอกย้ำสมาชิกในครอบครัวว่าเคยเผชิญเรื่องเลวร้ายมาเท่านั้น มันไม่ได้ทำให้อะไรง่ายดายหรือดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เคิร์ทรู้ดี

     

     

    และไม่ว่าแพทริเซีย เกรย์สันจะมอบความรู้สึกใดให้บุรุษลึกลับที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้ พ่อแม่ของเธอก็ไม่ควรต้องรับรู้อีกเช่นกัน....

     

     

    เคิร์ทขยับยิ้มบางเบาให้เด็กสาวก่อนจะก้าวออกจากห้องไปจริงๆ สองขาก้าวเดินเป็นจังหวะต่อไปเรื่อยๆจนพ้นจากตัวอาคารโรงพยาบาลในที่สุด ผู้หมวดหนุ่มหรี่ตาสู้แสงอาทิตย์ที่เพิ่งปรากฏพ้นขอบฟ้า ลอนดอนที่เคยเงียบสงบเริ่มกลับมาคึกคักวุ่นวายขึ้นทีละน้อย

     

     

    และดูยุ่งเหยิงไปเลยเสียด้วยซ้ำเมื่อดูจากหน้าตากวนโอ๊ยของคู่หูอ่อนวัยที่ยืนยิ้มอยู่หน้ารถของเขา

     

     

    “แกไม่ได้ฟังที่ฉันสั่งเลยนี่หว่า” เคิร์ทเอ็ดอย่างไม่จริงจังก่อนจะเดินไปที่ฝั่งคนขับ

     

     

    “มีคดีใหม่อีกแล้วครับ” ลูคัสเปิดประตูเข้ามานั่งเช่นกันก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อเปิดดูรายละเอียดของคดีที่เพิ่งถูกส่งมา “ศพอยู่ห่างไปห้าช่วงตึกจากที่นี่ ผู้ชาย อายุสี่สิบห้า พนักงานธนาคาร เสียเลือดเกินขนาดจากแผลถูกแทงที่ท้อง”

     

     

    “ให้ตายเถอะ นี่มันวันอะไรกันวะ” ผู้หมวดแบทเทิลสบถตามมาเป็นชุดใหญ่ “หยั่งงี้ฉันไปกินข้าวเที่ยงกับไดอาน่าไม่ทันแน่ๆ”

     

     

    “พอดีเลยครับ คุณไดอาน่าฝากมาบอกว่าเธอมีคิวผ่าตัดคงไม่ว่างไปกับหมวดหรอก”

     

     

    “นี่แกสะเออะมายุ่งเรื่องเมียชาวบ้านทำไมมิทราบ” ความหงุดหงิดทั้งจากการอดนอนการถูกกวนโทสะทำให้คนขับออกรถแบบกระชาก

     

     

    “อดีตเมียต่างหาก...คุณไดอาน่าฝากย้ำมาน่ะคร้าบบบบ” เห็นถึงสายตาดุๆที่มองมา ลูคัสจึงต้องอ้างชื่อคนพูดขึ้นมาแล้วดึงเข็มขัดมาคาดไว้อย่างแน่นหนาเพื่อปกป้องสวัสดิภาพของตนเองเมื่อสารถียังคงเหยียบคันเร่งให้แรงขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่สนกฏจราจรแม้แต่น้อยทั้งที่ที่เกิดเหตุก็อยู่ห่างไปแค่นี้เอง

     

     

    “แกน่ะ...รู้เรื่องของฉันแล้วสินะ” อยู่เคิร์ทก็ถามขึ้น เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการโต้เถียงในปัจจุบันแต่ก็เกี่ยวกับการที่พวกเขาถ่อสังขารมาโรงพยาบาลเรมิงตันแต่เช้าโดยตรง “ยุ่งไม่เข้าท่าจริงๆ บอกลูกเจี๊ยบอย่างแกไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมาวะ”

     

     

    “ก็จะได้เข้าใจมากขึ้นไงครับ หมวดเองก็รู้เรื่องของผมแล้วนี่ ให้ผมรู้เรื่องของหมวดบ้างจะเป็นไรไป”

     

     

    “ฟังดูน่าขยะแขยงชะมัด” เคิร์ทสบถอีกระรอก ทว่าลูคัสไม่ใส่ใจ คงเพราะเหตุนี้ละมั้งที่ทำให้ชายหนุ่มเป็นคู่หูที่เหมาะสมกับคนปากเสียอย่างผู้หมวดหมาบ้าแห่งสก็อตแลนยาร์ดเป็นที่สุด

     

     

    “เอาน่าๆ สามัคคีช่วยๆกันไว้น่ะดีออกเพราะยังไงเจ้าตัวที่ผมและหมวดอยากจะตกก็เป็นปลาตัวใหญ่ด้วยกันทั้งคู่อยู่แล้วนี่ครับ”

     

     

    ปีเตอร์แพน กับ  นักเชือดร้อยศพ งั้นหรอ...พอพูดออกมาแบบนี้ยิ่งน่าขยะแขยงขึ้นมากว่าเดิมอีกวะ”

     

     

                  “ฟังดูน่าสนุกกว่าเดิมต่างหากละครับ”

     

     

    ########### 


    Talk : จบซักทีกับเรื่องแถม แอบไม่ได้ดั่งใจเล็กน้อย สไตล์นี้แต่งยากมากT T หวังว่าจะพออ่านกับได้โดยไม่ขัดหูขัดตานะคะ 



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×