คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Tips...หุ่นสวย-สุขภาพดี...*/*..3.."เบาหวาน"โรคเสี่ยงอันดับ 1 ของชาวเอเชีย
เผยปี 49 คนเอเชียป่วยเป็นเบาหวาน 194 ล้านคน
ระบุ ไทย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ป่วยเบาหวานเพิ่ม3-5 เท่าในช่วง 30 ปี คาด ปี 68 ยอดพุ่งเป็น 333 ล้านคน แนะต้องเร่งปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต ก่อนลุกลามตามพันธุกรรม
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า บริการสาธารณสุขทั่วเอเชียเสี่ยงประสบปัญหาทางการเงินขนาดหนักเนื่องจากมีผู้ป่วยเบาหวานที่เกิดจากโรคอ้วนมากขึ้นจนน่าเป็นห่วง เช่น ไทย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้น 3-5 เท่า ในช่วง 30 ปี
ผลการศึกษาก่อนที่จะถึงวันเบาหวานโลกในวันที่ 14 พฤศจิกายน ว่า เอเชียมีผู้ป่วยเบาหวาน 194 ล้านคน เมื่อปี 2546 และอาจเพิ่มเป็น 333 ล้านคน ภายในปี 2568 เด็กในเอเชียเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ถึงขั้นระบาด ผลกระทบด้านสุขภาพจากเบาหวานระบาดเสี่ยงทำให้ระบบบริการสาธารณสุขในภูมิภาคประสบปัญหา จำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ไข ขั้นแรกคือต้องปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต
ผลการศึกษาระบุว่า ต้นเหตุที่ทำให้เบาหวานระบาดในเอเชียคืออาหารพลังงานสูงที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ซึ่งมาพร้อมกับการใช้ชีวิตแบบคนเมือง และการมีวิถีชีวิตแบบนั่งอยู่กับที่มากเกินไป เช่น อยู่หน้าจอโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ รายงานยกตัวอย่างว่า สัดส่วนผักในมื้ออาหารของเกาหลีใต้ลดลงจากร้อยละ 97 เมื่อปี 2512 เหลือร้อยละ 79 เมื่อปี 2538 ขณะที่สัดส่วนเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า เด็กวัย 5 ปี ในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.6 เมื่อปี 2495 เป็นร้อยละ 33.2 เมื่อปี 2537
ผลการศึกษาเผยว่า จำนวนผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในสหรัฐเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 8 ของประชากรในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ส่วนจีนมีผู้ใหญ่เป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1 เมื่อปี 2523 เป็นร้อยละ 3.2 เมื่อปี 2539 ขณะที่อินโดนีเซีย เกาหลีใต้และไทยมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้น 3-5 เท่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยเบาหวานในเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 45-64 ปี ส่วนในยุโรปและอเมริกาเหนือส่วนใหญ่เป็นคนอายุ 65 ปี ขึ้นไป ทำให้เกิดความวิตกว่าชาวเอเชียมีพันธุกรรมที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วนและเบาหวานมากกว่าหรือไม่ เพราะพบว่าชาวเอเชียมีสัดส่วนไขมันมากกว่าชาวยุโรปทั้งที่มีอายุ เพศและดัชนีมวลกายเท่ากัน โดยเฉพาะอย่างสตรี และไขมันมักสะสมอยู่รอบเอว
ที่มา
ข้อมูลจาก :
ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th
ความคิดเห็น