ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] The Goat's Howling by Lingbahh

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter Seven

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.3K
      25
      27 ส.ค. 56

    The Goat’s Howling by Lingbahh  

     

     

    Chapter Seven

     

     

     

     

     

    ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นในตลอดสามชั่วโมงถัดมาบนรถของเรามีแต่ท่วงทำนองของดนตรีคลาสสิคที่ช่วยกล่อมเกลาอารมณ์ให้เจือความคุกรุ่นลง  เดรโกขับรถไปสูบบุหรี่ไปโดยใช้ความเร็วตามที่กฏหมายกำหนด ส่วนผมก็ใช้เวลาในการพินิจดูดวงจันทร์เสี้ยวสีเงินที่ห้อยต่องแต่งอยู่เหนือยอดแหลมของป่าสนที่โอบล้อมสองฝั่งถนน บางครั้งมันก็ผลุบหายเข้าไปในกลีบเมฆสีเทาบ้างแต่เดี๋ยวสักพักก็เผยโฉมออกมาอีกครั้งราวกับกำลังยั่วล้อกับดวงดาวที่ส่องแสงวิบวับเหมือนเพชรเม็ดเล็กๆ บนผืนผ้าสีน้ำเงินเข้ม

     

    นานแล้วที่ผมไม่ได้มีเวลาแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์  จากในเมืองที่ต้องมองผ่านตึกสูงเสียดฟ้าและหลอดไฟสีสันแสบตาที่เรียกว่าชีวิตชีวาของเมืองหลวง  ดวงจันทร์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง เช่นเดียวกับชีวิตดีๆ ที่จากผมไปและหลอกล่อให้วิ่งไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง  ทว่าในค่ำคืนนี้ดาวเคราะห์สีเงินกระจ่างตรงหน้ากลับอยู่แค่ปลายจมูก  ส่งรอยยิ้มอ่อนหวานเชิญชวนให้ผมเข้าไปหาราวกับมือที่ยื่นมาแล้วโอบกอดไว้

     

    น่าเสียดายที่รอยยิ้มของมันเป็นแค่เพียงจินตนาการเพ้อฝันของคนอย่างผม ผู้ใกล้จะหลุดจากโลกแห่งความเป็นจริงไปทีละนิดทีละน้อย  สิ่งที่เก็บงำไว้ในใจเหมือนแมลงที่กัดกินความรู้สึกและวิญญาณความเป็นมนุษย์ให้ค่อยๆอ่อนล้าโรยแรงลงไปทุกที

     

    แบบที่แม่เป็น...

     

    ไม่แน่ บางทีผมอาจจะกลายเป็นเหมือนแม่ก็ได้ คิดอย่างนี้มันก็น่ากลัว แต่เราจะหนีจากมันด้วยการแสร้งทำเป็นปิดหู ปิดตา ปิดปากได้หรือยังไง  ผมทำใจไม่ได้หรอก  ไม่ว่าจะยังไง แม่ก็ยังเป็นแม่ของผม  แม้ในทางตรงกันข้าม.... แม่ไม่คิดว่าแม่เป็นแม่ผมก็ตามที ผมโทษแม่ไม่ได้หรอก อย่างน้อยความคิดน่าเศร้านั้นก็ไม่ได้เกิดจากความเกลียดชัง

     

    แม่ยังรักผม จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายที่แม่รู้ตัว  ความทรงจำนี้เหมือนแสงไฟจากปลายไม้ขีดท่ามกลางหลุมดำมืดใต้ผืนดินที่กำลังใช้ชีวิตเหมือนตัวตุ่นอยู่

     

    ช่วงนั้นแม่อาการไม่ดีแล้ว ความทรงจำสับสนเพราะการกระทบกระเทือนจิตใจที่สาหัสเกินไป  ผมเคยได้ยินว่าผู้หญิงที่เสียสามีไปยังเข้มแข็งยืนหยัดได้เพื่อลูก แต่ใครกันจะคิดถึงวันที่จะต้องเสียลูกไป จะเหลืออะไรให้ชีวิตยึดเหนี่ยวอีก  กรณีของแม่ คำว่าเสียศูนย์น่าจะเหมาะที่สุด แม้จะไม่มีใครยืนยันว่า ‘ตาย’ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่า ‘อยู่’ ที่ไหนและจริงหรือไม่ ทำไมไม่กลับบ้าน  มีคำถามร้อยพันตามมา ซึ่งผมยังไม่อยากพูดถึงมันในตอนนี้ ผมจำได้ว่าผมเริ่มนอนไม่ค่อยหลับเพราะกลัวว่าตื่นเช้ามาจะเจอความน่ากลัวที่มากกว่าความจำเลอะๆเลือนๆของแม่

     

    เช้าวันสุดท้ายที่เรายังมีกัน ผมจำได้ว่าแม่หอมแก้มก่อนออกจากบ้าน  ผมยังเช็ดคราบลิปสติกสีพีชที่เลอะแก้มด้วยเกรงว่าเพื่อนจะล้อเลียนว่าเป็นลูกแหง่  จำกลิ่นสดชื่นของมะเขือเทศสดและกลิ่นของซุปแครอทที่ลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่ในห้องครัว เจือจางด้วยกลิ่นของผงซักฟอกจากเครื่องซักผ้าฝาหน้าเก่าๆ ที่ตั้งอยู่นอกระเบียง  หูยังคงได้ยินเสียงก้องให้กลับมากินมื้อเย็นที่บ้าน  แม่จะทำสตูว์ของโปรดไว้ให้  จะชวนคริสตอฟมาด้วยก็ได้แม่ไม่ว่าอะไร แล้วแม่พูดอะไรอีกนะ...พูดไปหัวเราะไป แย่ล่ะสิ ผมจำไม่ได้แล้ว

     

    ผมกลัวว่าวันเวลาที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ จะทำให้ความทรงจำที่ดีดับไปเหมือนเป่าดับไฟที่ปลายไม้ขีด เช่นเดียวกับกลัวว่าจินตนาการและความโหยหาจะทำให้ผมสร้างความฝันขึ้นมาครอบความเป็นจริง

     

    ไม่เอาดีกว่า ผมควรกลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริงโดยไม่เสริมเติมลดทอนใดๆ ให้ใจว้าวุ่นกว่าที่เป็นอยู่ ความจริงก็คือ แม่‘เสียศูนย์’ไปแล้ว  ส่วนคริสตอฟก็...เอ้อ...การร่ำลาของเราไม่เศร้าเท่าไรนัก ผมยังพอทำใจได้เพราะเป็นคนเลือกเองที่จะไม่ให้เขามีเอี่ยวอะไรกับชีวิตมอมๆ ข้างถนนของผม เราแค่นอนกอดกันไว้ทั้งคืนโดยไม่มีอะไรมากไปกว่าการจูบและผมกลับออกมาจากบ้านของเขาในตอนเช้ามืดโดยไม่ปลุกเขา ผ่านไปสี่เดือนแล้วที่ผมไม่เห็นรถสปอร์ตคันหรูมาจอดหน้าอพาร์ทเมนต์  เขาคงจะสบายดี

     

    ความคิดของผมสะดุดลงเมื่อรถของเราเคลื่อนผ่านถนนที่ขนาบสองข้างด้วยป่าสนออกมาเจอห้าแยกที่เงียบเหงาเวิ้งว้าง  คล้ายเป็นชุมทางที่จะเลาะออกไปยังเมืองต่างๆที่อยู่ในละแวกเดียวกันได้  ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางที่ผ่านม่านหมอกสีทึบสู่เมืองลึกลับทั้งนั้น แอสตันมาร์ตินสุดคลาสสิคเลือกตรงไปยังทางที่สว่างที่สุด แสงไฟกระพริบจากป้ายชื่อโมเต็ลที่ติดๆดับๆ ชวนให้นึกถึงฉากซ้ำๆ ของหนังสยองขวัญหลายเรื่องที่ตัวเอกนำตัวเองไปสู่ความตาย 

     

    “เราต้องหาที่พักแถวนี้” เดรโกพูดขึ้นมาเมื่อชะลอรถลงหน้าโมเต็ลแรกที่พบ  ผมมองอาคารชั้นเดียวเตี้ยๆ อย่างบ้านในชนบทแล้วทำหน้าแหย  แน่นอนว่าเดรโกเห็นแต่ก็ไม่วิจารณ์อะไร “จากตรงนี้ไปอัลเท็มไฮม์ต้องขับอีกสามชั่วโมงกว่า  แต่ตอนนี้เครื่องยนต์เริ่มร้อนมากแล้ว ต้องพักก่อน”

     

    ผมพยักหน้า ลังเลที่จะลงจากรถ แต่สายลมหนาวที่พัดมากรีดแก้มบอกผมว่าผมควรเข้าไปด้านในโดยไม่พูดอะไร  ข่มตาหลับให้พ้นๆวันอันยาวนานไปเสียที  ผมเดินตามเขาเข้าไปเช็คอินที่โมเต็ล ซึ่งถูกดูแลโดยไอ้หนุ่มหน้าสิวท่าทางขี้ยาและเบื่อโลกคนหนึ่ง เขารับเงินสดสำหรับหนึ่งคืนไปนับแล้วยัดลงลิ้นชัก  แทบจะโยนกุญแจห้องให้เราด้วยเหตุที่ไปขัดขวางการดูรายการกีฬารีรันที่ออกอากาศในรอบดึก 

     

    “แถวนี้มีร้านอาหารบ้างไหม”

     

    “มีบาร์เบียร์ห่างออกไปห้ากิโล  แต่โมเต็ลของเรามีบริการอาหารรอบดึกด้วย  เมนูอยู่ในห้อง อยากได้อะไรก็โทรมาบอกก็แล้วกัน” หนุ่มหน้าสิวตอบโดยที่ไม่หันมามอง อย่างไรก็ตามมันเป็นข้อเสนอที่ดี  และผมก็หิวจนแทบหมดแรงแล้ว  

     

    “โทรศัพท์ทางไกลที่นี่ใช้งานได้ใช่ไหม” เดรโกถามก่อนที่เราจะเดินออกจากออฟฟิศรูหนู

     

    “ใช่ อยู่ในห้อง ดูเอาเอง” ช่างบริการประทับใจ

     

     

     

    เราสองคนไม่พูดอะไรและเดินเข้าไปในห้องเดียวกันเพียงเพื่อจะพบว่ามันเป็นเตียงคู่ขนาดควีนไซส์  แถมเมื่อเปิดลิ้นชักหัวเตียงขึ้นมา ก็พบกล่องถุงยางอนามัยสำหรับผู้เข้าพักมีถุงอยู่หนึ่งชิ้นด้วย  ผมขมวดคิ้วสงสัยว่าใครกันจะถ่อขับรถมาเพื่อเริงรักกันในโมเต็ลขนาดเท่าแมวดิ้นตายห่างไกลตัวเมืองขนาดนี้   อย่างไรก็ตามเรื่องเตียงดูจะไม่ใช่ปัญหาของเดรโก  เขาไม่ได้สนใจมันด้วยซ้ำ เมื่อเข้ามาในห้องได้ เขาก็ปราดเข้าไปหาโทรศัพท์ของโรงแรม เริ่มจากโทรสั่งของกินที่ออฟฟิศโดยไม่ถามความเห็นผม วางสายแล้วตามด้วยการกดตัวเลขชุดหนึ่งซึ่งเหมือนจะเป็นการต่อพ่วงเข้าชุมสายเสมือน ก่อนที่จะกดเลขอีกชุดหนึ่งสี่หลักคล้ายรหัสผ่าน  ผมมองเขาหนีบหูโทรศัพท์รุ่นเก่าเข้ากับคอ ขณะที่พยายามถอดเสื้อโอเวอร์โค้ตออกไปพร้อมกัน  ผมนั่งเงียบๆ พิจารณาใบหน้าของเขาอย่างตั้งใจ ดวงตาของเพื่อนพี่ชายคนนี้เป็นสีฟ้าเจือเทาที่ดูนิ่งราวกับก้อนน้ำแข็ง  เวลามองอะไรก็ดูเหมือนจะมองด้วยแววตาเหยียดหยามโลกอยู่ตลอดเวลา  จมูกของเขาโด่งเป็นสันได้รูปสวย รับกับรูปหน้าเรียวและคางที่บุ๋มลงไปเล็กน้อยซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่คลั่งไคล้นักหนาเวลาที่เจ้าตัวได้ออกสื่อ หรือแม้เพียงแค่แว่บผ่านกล้องของสถานทีโทรทัศน์ก็เพียงพอที่จะทำให้ใครๆ เลิกสนใจคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นก่อนหน้าได้แล้ว

     

    เดรโกกดชุดตัวเลขอีกหนึ่งชุดความยาวสิบเอ็ดหลัก คงจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ของใครสักคนหนึ่ง  เขานั่งลงที่ขอบเตียงแล้วรอสายในขณะที่สายตาจับจ้องมาทางผม มือข้างหนึ่งปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่คลายความอึดอัด หนึ่งเม็ด สองเม็ด สามเม็ด สาบเสื้อเผยอออกจนเห็นผิวเนื้อสีแทน 

     

    มือนั้นหยุดชะงัก  เอ๊ะ ผมเผลอจ้องจนเขารู้ตัวเหรอ 

     

    “อ้อ กอร์ดี้ นี่ฉันเอง”

     

    ถอนหายใจโล่งอก แล้วผมจึงหันไปหากระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองแก้เก้อแต่เงี่ยหูฟังตลอด “เออ ฉันอยู่ที่ไหน นายไม่ต้องรู้หรอก”   

     

    (....) “เรื่องมือนั่น ผลตรวจจากแล็บออกมาหรือยัง”

     

    ดวงตาคู่สวยแต่คมปลาบเหมือนใบมีดจองมาทางผม  มือข้างหนึ่งคว้าแขนผมไว้ กระชากลงให้นั่งข้างกัน ใกล้พอที่ผมจะได้ยินเสียงปลายสายได้   เสียงของกอร์ดี้ฟังดูเพลียนิดๆ แต่ยังคงพยายามที่จะร่าเริงอยู่

     

    “ไม่มีฐานข้อมูลของเจ้าของมือข้างนั้น ไม่ว่าจะฐานข้อมูลของตำรวจ หรือ ศูนย์ข้อมูลอาชญากรรมแห่งชาติ   ผมเลยลองส่งไปถามอีกที่ ปรากฏว่าไม่มีประวัติอาชญากรรมเช่นกัน  สิ่งที่เราสรุปได้ตอนนี้คือ เจ้าของมือเป็นเพศชาย  อายุราว 35 - 40 ปี กรุ๊ปเลือด A เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 7 วัน  หากคำนวณว่า พัสดุถูกส่งมาจากอัลเท็มไฮม์ใช้เวลาสามวัน วันนี้วันที่ 8 พฤศจิกายน    ถ้าของถูกส่งออกมาวันที่ 5 พฤศจิกายน ดังนั้นเจ้าของมือเสียชีวิตในวันที่ 1 หรือ 2 พฤศจิกายน  และศพถูกเก็บรักษาอย่างดีในห้องที่มีอุณหภูมิต่ำ  อย่างห้องแช่ศพของโรงพยาบาล แต่เมื่อเช็คโรงพยาบาลในเขตพื้นที่อัลเท็มไฮม์และรัฐใกล้เคียงแล้ว มีผู้เสียชีวิตเพศชาย อายุระหว่าง 35 - 40 ปี เพียงสามคน  สองในสามคนนั้นมีเลือดกรุ๊ปโอและบี  ส่วนคนที่สาม เลือดกรุ๊ปเอแต่ถูกไฟคลอกไหม้เกรียมทั้งตัว มืออยู่ครบทั้งสองข้าง  ดังนั้นขอสรุปว่า ณ ตอนนี้เรากำลังมีมือของใครสักคนที่ใช้ชีวิตเหมือนผีอยู่ในสังคม”

     

    เดรโกเหลือบตามองผม สะกิดให้มานั่งใกล้อีก  ผมจึงขยับไปอีกนิดหนึ่งจนด้านข้างของขาแนบสนิทกันและสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่าย 

     

    “แล้วลายนิ้วมือไม่มีอยู่ในประวัติประกันสังคมเหรอ”

     

    “เอ้อ ลืมเรื่องนี้ไปเลยแฮะ”

     

    เดรโกอ้าปากเหมือนอยากจะผรุสวาทแต่ก็ปิดปากลง  ส่ายหัวเซ็ง “งั้นตรวจสอบกับฐานข้อมูลของกองทัพด้วย ถ้าไม่ใช่อาชญากร  ไม่เคยอยู่ในคดีใดๆ เลยก็อาจจะเป็นพลเมืองทั่วไปหรือไม่ก็พวกหลบหนีเข้าเมืองก็ได้ งานพื้นฐานของนักสืบนะกอร์ดี้”

     

    ผมว่าผมเข้าใจแล้วว่าทำไมกอร์ดี้ถึงดูเสียความมั่นใจเสียเหลือเกินเมื่อเขารู้ว่านักสืบคู่หูลาออกกระทันหัน  นักสืบประเภทที่ลืมเช็คลายนิ้วมือกับประกันสังคมนี่ถือว่าบกพร่องขนาดหนัก  หมอนี่ทำงานกับเดรโกรอดโดยไม่ถูกตั๊นหน้าให้ดั้งยุบได้ยังไงไม่เข้าใจเลย 

     

    “แล้วร่องรอยอื่นๆ ของมือ บอกอะไรได้บ้าง”

     

    “ข้อมือถูกตัดตรงช่วงระหว่างกระดูกปลายแขนท่อนนอกกับกระดูกเล็กๆที่ประกอบเข้ากันเป็นกระดูกข้อมือ  พบว่ามีเศษกระดูกที่แตกออกมาจากกระดูกปลายแขนท่อนในตรงส่วนที่เรียกว่าส่วนยื่นสไตลอยด์   ดูจากผิวหนังที่เสียหายแล้วพบว่า แต่ใครก็ตามที่เป็นคนตัดมือไม่ใช่มืออาชีพ มีการกดใบมีดที่คมมากอย่างรุนแรงหนึ่งครึ่งที่ทำให้ตัดได้เกือบทั้งหมด จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อยส่วนที่เหลือออก  จากผลการฉีกขาดของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณข้อมือ มีรอยหยักคล้ายฟันปลา อาจจะเกิดจากใบเลื่อยหรือพวก....อืม....มีดเดินป่า   ความเสียหายของเซลล์ที่พบระบุชัดเจนว่า มือถูกตัดหลังจากที่เจ้าตัวเสียชีวิตไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ศพอาจถูกแช่แข็งหรืออยู่ในที่เย็นที่ช่วยชะลอการเน่าเปื่อยได้ดี เขาอาจจะตายมานานกว่า 7 วันก็ได้ เรื่องนี้ยังระบุไม่ได้ชัดเจนนัก”

     

    เดรโกตั้งใจฟัง เขาคว้ากระดาษโน้ตใกล้หัวเตียงมาแล้วเขียนถามผม

     

    ‘แมทเทียสเลือดกรุ๊ปอะไร’

     

    ผมใจหายวาบ ก่อนที่จะรับปากกามาจรดลงไปกลางแผ่น ....กรุ๊ป A...

     

    ‘คุณคิดว่านี่อาจจะเป็นมือของแมทเทียสเหรอ’

     

    เดรโกส่ายศีรษะ เขาคิดเหมือนผม แมทเทียสมีประวัติในกองทัพและประกันสังคมแน่นอน  ทำงานชุ่ยแค่ไหนก็ต้องพบประวัติของพี่

     

    “บนมือมีรอยแผลเป็นอะไรบ้างไหม ใส่แหวนหรือเปล่า”

     

    กอร์ดี้พลิกกระดาษเสียงดังกรอบแกรบแล้วลดเสียงลงต่ำ

     

    “มีรอยแผลจางๆ เป็นแผลเก่าประเภทมีดบาด ตัดเล็บสั้น ยังไม่รู้ผลว่าเจออะไรในซอกเล็บบ้าง ไม่มีแหวนแต่มีอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่านั้น คุณเดรโกทายสิว่าผมเจออะไร  มือข้างนี้จงใจส่งมาให้คุณชัดๆ นี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้งด้วย”

     

    ผมกระพริบตาปริบๆ สังหรณ์ถึงเรื่องที่จะแย่ลงไปกว่าเก่า

     

    “ตอนที่คุณเห็นมือครั้งแรก  คุณได้แตะต้องมันหรือเปล่า”

     

    “ไม่  ฉันโทรเรียกหน่วยพิสูจน์หลักฐานมาทันที”

     

    กอร์ดี้ถอนหายใจฟังดูกลัดกลุ้ม “บนฝ่ามือมีรอยกรีดจากมีดเป็นอักษรตัวเล็กๆ ลักษณะคล้ายตารางอักษร  ดูจากตาเปล่าแล้วดูไม่ค่อยออกเท่าไร   และแล็ปพิสูจน์หลักฐานก็งานล้นมืออยู่ อาจจะต้องใช้เวลาอีกวันสองวันในการตรวจสอบว่าชุดตัวอักษรที่ว่ามันคืออะไร เดรโก....ผมว่าเรื่องนี้ชักจะเป็นเรื่องใหญ่แล้วนะ สารวัตรเดือดสุดขีดตอนที่รู้ว่าคุณขับรถออกจากเมืองไปแล้วและผมเองก็โดนสวดจนหูดับเลยที่ปล่อยให้เจ้าหนูเอมิลหนีออกไปได้”

     

    “วันนี้มันวันทำงานวันสุดท้ายของฉันและก็ไม่มีใครมาตามสอบพยานด้วย สารวัตรจะคิดยังไงก็เรื่องของเขา ว่าแต่....เอมิลหนีออกไปรึ” ทำเสียงสูงราวกับไม่เชื่อหู เดรโกสวมรอยคนไม่รู้เรื่องรู้ราวได้แนบเนียนอย่างยิ่ง “ก็นายสอบปากคำ แล้วเด็กนั่นหนีไปได้ยังไง”

     

    “น่าจะปีนช่องพัดลมดูดอากาศที่เสียอยู่ในห้องน้ำ  เห็นเด็กนั่นเข้าห้องน้ำนานผิดปกติเลยไปเช็คดู ประตูล็อกจากด้านในแต่ไม่มีคนอยู่แล้ว เราจึงให้คนเข้าไปค้นที่อพาร์ทเมนต์ เห็นเสื้อผ้าอยู่ในตะกร้า แต่ข้าวของส่วนตัวหายไปหลายอย่าง  สงสัยตกใจจนหนีเตลิดไปแล้ว ให้ตายสิ เด็กนั่นต้องรู้มากกว่าที่ตัวเองคิดแน่ๆ อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่เจอมือคนแรก  คุณพอจะเดาออกบ้างไหมว่าเขาอยู่ที่ไหน”

     

    “ไม่ล่ะ” ไม่ล่ะ...นั่งอยู่ข้างๆกันนี่ไง

     

    “อย่างน้อยเขาก็วิ่งมาหาคุณคนแรกหลังเกิดเรื่องนะ เขาอาจจะบอกคุณเป็นนัยๆบ้าง”

     

    “แน่สิ เขาต้องวิ่งมาบอกฉันอยู่แล้ว ก็ฉันใช้เขาลงไปรับพัสดุนี่ เป็นใครก็สติแตก” เดรโกพยายามทำน้ำเสียงให้น่าเชื่อถือ “ลองสอบถามเจ้าหน้าที่โคลตัน หน่วยพิสูจน์หลักฐานดูสิ เผื่อจะรับเจ้าหนูไปเลี้ยงดูเงียบๆ”

     

    พูดออกมาได้! ผมถลึงตาใส่แล้วชกเดรโกแรงๆ จนมีเสียงดังปั้ก

     

    “เห” 

     

    “นายดูเทปจากกล้องวงจรปิดเอาก็ได้ เดี๋ยวจะเข้าใจที่ฉันพูดเอง ว่าแต่ตรวจสอบลายมือบนกล่องหรือยัง”

     

    “เอ้อ ใช่ เกือบลืมเรื่องนี้  เราพบลายนิ้วมือของเอมิลแค่ด้านนอกกล่อง และเมื่อตรวจสอบลายมือบนหน้ากล่องกับลายมือของเอมิลที่เจอในหนังสือเรียนและพวกสมุดจดเทียบกัน  ดูคล้ายกันมากจึงลองนำไปตรวจสอบดู  พบว่าตรงกันกว่า 90% แต่ว่านักวิเคราะห์ลายมือยืนยันว่าเจ้าของลายมือบนกล่องพัสดุไม่ใช่เอมิล แต่เป็นการลอกเลียนลายมือที่มีเทคนิคดี”

     

    “ทำได้ยังไง”

     

    “ปกติมนุษย์เราจะใส่ความเป็นตัวตนลงไปในลายมือ ทำให้เวลาเราลอกเลียนแบบลายมือของคนอื่น เราจะใส่ความเป็นตัวเราไปด้วยเช่น เส้นที่หนักกว่า ความเอียงของตัวอักษร  หรือแม้กระทั่งหางตัวอักษรที่สั้นยาวไม่เท่ากัน  แต่หากเรากลับหัวของลายมือต้นฉบับแล้วเขียน เราจะเห็นเป็นภาพวาด ซึ่งใครก็ตามที่ปลอมแปลงลายมือคนอื่นจนเชี่ยวชาญในระดับหนึ่งแล้ว  เขาจะสามารถบังคับมือให้ลากเส้นตามภาพที่เห็นไปได้โดยไม่ใส่ความเป็นตัวเองลงไป  คุณจะลองทำดูเองก็ได้นะเดรโก  คัดลายมือก่อนนอน”

     

    เห็นได้ชัดว่านักสืบกอร์ดี้ช่างเป็นนักสืบที่ออกนอกเรื่องไถลได้ไกลมากจนแทบจับประเด็นไม่ได้ จนกระทั่งเดรโกเอ่ยเตือน เขาจึงกระแอมขึ้นราวกับลืมตัว

     

    “อ้อ กลับมาที่ลายมือบนกล่องพัสดุ  เป็นลายมือที่จงใจปลอมให้เหมือนลายมือของเอมิล แต่เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่า มีจุดที่แตกต่างกันอย่างน้อยสามจุด คือ อักษร e   r  และเลข 1 กับ 7 เลขหนึ่งเป็นเลขที่ซับซ้อนน้อยที่สุดต่อให้คนที่มีหลายลายมือก็ยังเขียนเลขหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นข้อสันนิษฐานว่า เอมิลเป็นคนไปส่งให้คุณเองจึงตกไป  แต่เกิดคำถามใหม่ขึ้นมาว่าทำไมต้องเป็นลายมือของเอมิล คนปลอมแปลงได้ตัวอย่างลายมือของเอมิลมาจากไหนและจะเกิดความแตกต่างอะไรไหม หากว่าคุณลงไปรับกล่องด้วยตนเอง  ทั้งคุณและเอมิลนั่นแหล่ะที่อาจจะรู้มากกว่าที่คิดว่าตัวเองรู้  คุณว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”

     

    “ฉันว่าจะไปพักสักเดือนสองเดือน ไปไกลๆ พักสมอง”

     

    กอร์ดี้หัวเราะเบา “แล้วการโทรหาผมถามเรื่องคดีกลางดึกนี่มันพักสมองตรงไหนเนี่ย เอาเถอะ  ทางนี้มีงานยุ่งมากอยู่  ถ้าไม่มีการแจ้งคนหายขึ้นมา    ภายในหนึ่งสัปดาห์ เผลอๆสารวัตรอาจให้ปิดคดีว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ไม่งั้นก็ดองไว้ก่อน”

     

    “งั้นเท่านี้ล่ะ ขอบใจมาก แล้วฉันจะติดต่อไปใหม่” เดรโกวางสายเพียงเท่านั้นแล้วหันหน้ามาหาผม ผมเพิ่งตระหนักว่าตัวเองแทบขึ้นไปนั่งบนตักของเขาอยู่แล้วจึงกระถดตัวหนี  ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

     

    “เขาจะตามเราจนเจอไหม”

     

    “ถ้าฉันต้องการให้เขาเจอ เขาจะเจอ ถ้าฉันไม่ต้องการ ไม่มีทาง”

     

    ผมพยักหน้า “งั้นหมดเรื่องวันนี้แล้วใช่ไหม อยากพัก” จงใจมองเตียงคู่แทนการจอง 

     

    เดรโกตอบกลับด้วยการปรายตาไล่ไปมองโซฟา “นั่น ที่นอนนาย”

     

    ผมหันมองตามแล้วขมวดคิ้ว ไม่พอใจ “โซฟาปลวกกินนั่นน่ะนะ ฝันไปเถอะ! นอนคนละฟากของเตียงสิ”

     

    ริมฝีปากฝั่งหนึ่งยกขึ้นเยาะยิ้ม  ร่างกายแผ่รังสีบางอย่างออกมาที่ชวนให้รู้สึกถึงอันตราย เมื่อผสมกับสายตาที่ดูเหมือนเสือดำคอยเขมือบเหยื่อแล้ว ผมชักคิดว่าการร่วมเตียงไม่ใช่ความคิดที่ดี โชคดีที่ของกินมาถึงพอดี เราจึงสงบศึกเรื่องเตียงได้ชั่วคราว ผมกินเร็วกว่าและฉวยโอกาสที่เช็ดเนื้อตัวที่ถูกแมลงเล็กๆ ไต่เล็มมาตลอดทางจนสะอาด แปรงฟันเสร็จก่อนและยึดครองเตียงนอนได้สำเร็จด้วยการปิดสวิตช์ตัวเองได้ทันทีที่หัวถึงหมอน

     

    น่าแปลก...ผมฝันถึงการถูกใครคนหนึ่งกอดและการร่วมรักที่ไม่ถึงจุดหมายปลายทาง  ในมโนภาพนั้นแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความขัดใจและเมื่อลืมตาโพลงขึ้นมาก็พบว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝันแต่ความปรารถนาที่เกิดกับร่างกายของตัวเองที่หลงเหลืออยู่นั้นเป็นความจริง ใบหน้าคมคายชวนมองของอีกฝ่ายยังคงหลับอยู่ข้างๆ แบ่งเตียงออกเป็นสองฝั่งโดยที่ไม่ก้าวล้ำกันแม้สักนิ้วเดียว กระนั้นผมกลับรู้สึกว่าเดรโกข้ามเขตแดนมารุกล้ำความฝันและความปรารถนาเร้นลับของผมด้วยการใช้ไออุ่นของร่างกายเป็นเหยื่อล่อ

     

    ผมมองนาฬิกา ยังเช้าเกินกว่าจะตื่นมาเดินทางต่อ  ผมหลับตาลงแล้วเป็นฝ่ายขยับไปล้ำเส้นแบ่งระหว่างสองคน  นึกเข้าข้างตัวเองว่าการซุกตัวเองเข้าใกล้ร่างอุ่นๆที่มีลมหายใจสม่ำเสมอนั้นมากขึ้นสักสองสามนิ้วก็ไม่ส่งผลแตกต่างอะไรนักหนา  ยังไงความสัมพันธ์ระหว่างเดรโกกับผมก็คงไม่ดีขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่

     

    การผล็อยหลับครั้งที่สอง นำผมไปอยู่ในช่วงชีวิตตอนอายุสิบสี่  ช่วงเวลาที่เดรโกยังมาค้างบ้านเราบ่อยๆ และเป็นคนสอนให้ผมยิงปืนเป็นครั้งแรก  ฝ่ามือใหญ่ที่โอบข้างเอวผม  คอยประคับประคองให้หลังตรง  นิ้วที่คอยเชิดคางของผมขึ้นให้อยู่ในระดับสายตามองตรงไปยังเป้ากระดาษ หรือการลูบหัวผมเบาๆ ยามหยอกล้อ...

     

    นั่นเป็นความทรงจำหรือความฝันกันแน่นะ  หรือว่าที่จริงแล้วผมกำลังคิดถึงแมทเทียสจนใกล้บ้า จนเอาภาพของคนที่อยู่ใกล้มือกว่ามาสวมทับแทน

     

    “มาซุกทำไมเนี่ย....”

     

    เสียงบ่นเป็นความจริงหรือฝันก็ไม่รู้  ที่รู้คือ มีใครบางคนตวัดผ้านวมคลุมไหล่ให้ผมแล้วขยับตัวหนี  คงเหลือที่ว่างระหว่างเราทั้งสองคนในระยะเท่าเดิม  ผมตื่นขึ้นมาอีกรอบเมื่อเขาพลิกตัวหันมาทางผม 

     

    พื้นที่ห่างกันราวห้านิ้วบนเตียงควีนไซส์ของห้องเช่าในโมเต็ลแคบๆนั้นกลับทำให้ผมรู้สึกอยากจะเอาชนะขึ้นมาอย่างประหลาด

     

    สรุปแล้วผมก็ข่มตาหลับไม่ลง ได้แต่มองใบหน้าที่คมดุที่หลับสนิทพร้อมกับลมหายใจที่สม่ำเสมอพลางนึกสงสัยว่าตัวเองพยายามหาใครมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจทดแทนแมทเทียสหรือเปล่า

     

    อะไรบางอย่างในตัวผมยังคงยืนยันว่าคนอย่างเดรโกจะช่วยเหลือ จะยืนเคียงข้างพร้อมประคับประคองไว้ไม่ให้ล้ม เช่นเดียวกับพี่ชายคนเดียวที่หายสาปสูญไป  เพียงแต่ว่าผมจะต้องอดทนกับรูปแบบที่แตกต่างกันให้ถึงที่สุด

     

    “นายจะนอนจ้องหน้าฉันอีกนานไหม”

     

    เสียงนั้นดังมาเข้าหูโดยที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ ผมตัวแข็งที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาและก็ต้องรู้สึกวูบวาบอย่างประหลาดเมื่อเห็นรอยยิ้มจุดที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์แสนกล 

     

    “ใครไปนอนจ้องหน้าคุณ! ผมคิดอะไรเพลินต่างหาก”

     

    ดวงตาคมกริบหรี่ลงราวกับหมาป่าเล็งเหยื่อ “ฉันจะบอกอะไรให้อย่างนะ เอมิล พูดครั้งเดียวและจำไว้ให้ดีๆด้วย”

     

    ผมสบตาแล้วเงี่ยหูฟัง

     

    “ฉันไม่ใช่พี่ชายนาย ไม่เคยเป็นและไม่คิดจะเป็น ดังนั้นอย่ามาหวังว่าฉันจะต้องเอาใจพะเน้าพะนอแบบที่แมทเทียสทำกับนาย  นายจะได้รับสิ่งที่นายควรจะได้รับซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉันและนายไม่มีสิทธิ์ประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมอะไรทั้งนั้น และรวมไปถึง...” น้ำเสียงเย็นชานั้นถือสิทธิ์ว่าตัวเองเป็นฝ่ายเหนือกว่าทุกประการราวกับเป็นพระเจ้ายังไงยังงั้น  ผมรู้สึกเหมือนถูกราดน้ำเย็นจัดใส่หน้าจนสมองชาไปหมด  เราเคยสนิทกันและเดรโกก็เคยเอ็นดูผมเหมือนเป็นน้องแท้ๆ....  นั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ผมเพียงแต่คิดไปเองหรือไง ความทรงจำเลือนรางจนผมต้องแต่งเรื่องขึ้นเองแล้วหรือ 

     

    ผมไม่เข้าใจว่าเหตุอะไรที่ทำให้เดรโกจ้องหาเรื่องผมตลอดเวลาแบบนี้

     

    “รวมไปถึง”

     

    “การเดินทางครั้งนี้....นายติดหนี้ฉันอยู่  ตอนนี้ยังไม่เอาคืน แต่เมื่อไหร่ที่ฉันต้องการอะไร ฉันต้องได้และไม่สนใจด้วยว่าจะใช้วิธีการอะไรเพื่อจะได้มาด้วย  ทั้งหมดนี่เป็นข้อตกลงและฉันถือว่าเราตกลงกันแล้ว”

     

    หา เดี๋ยวเราไปตกลงอะไรกันตอนไหน  ผมอ้าปากค้างจะเถียงก็ไม่ทัน   เมื่อเดรโกลุกขึ้นจากเตียงผมเผลอใช้มือยื้อยุดเขาไว้เพราะถือว่ายังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย “เดี๋ยวสิ!! เราไปตกลงกันตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ”

     

    “ตั้งแต่ตอนที่นายลากฉันเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว  ถอนตัวตอนนี้ก็สายเกินไป”

     

    “ไม่คิดว่าผมจะฟ้องเรื่องคุณฮุบของกลางบ้างหรือไง โคเคนหนึ่งกิโล โทษหนักเอาเรื่องอยู่นะ”

     

    เขายิ้มเยาะ “พิสูจน์ให้ได้สิว่าฉันเก็บมันไว้กับตัว นายเห็นมันครั้งสุดท้ายตอนไหน  การกล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่มีมูลจะเสียใจไปทั้งชีวิตนะ ไอ้หนู”

     

    ผมอึ้ง จริงสิ นับตั้งแต่ออกจากห้องผมก็ไม่เห็นโคเคนห่อนั้นอีก  แม้กระทั่งแอบดูในกระเป๋าเสื้อผ้าของเขาก็ไม่พบอะไร  ตกลงนี่ผมไม่มีอะไรไปงัดข้อกับตำรวจร้ายกาจอย่างเขาได้เลยสักอย่างเดียวเลยเหรอเนี่ย

     

    “ว่าไง จะตกลงหรือเปล่า”

     

    มัดมือชกแบบนี้ผมมีสิทธิ์จะปฏิเสธหรือไง  ผมได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเจ็บแค้น  โคเคนห่อนั้นถูกเก็บรักษาอย่างดีและสงสัยจะมีค่ามากกว่าตัวของผมด้วยซ้ำไป  ผมคว้าหมอนได้ก็ฟาดหน้าเขาเต็มแรงก่อนที่จะเผ่นแผล็วหนีเข้าไปในห้องน้ำ  เปิดฝักบัวให้น้ำที่เย็นจัดแทบจะเป็นน้ำแข็งราดรดหัวให้โล่งคิดหาทางออกได้บ้าง

     

    ทว่าจนแล้วจนรอดผมยังไม่เห็นว่าการพยายามต่อกรกับเดรโกจะมีทางรอดแบบที่ผมชนะใสๆ ได้เลย  สิ่งที่ทำได้มีแต่การตกลงทำสัญญากับปีศาจในคราบผู้รักษากฏหมายก็เท่านั้น

     

     

    TBC 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×