คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : หลักฐาน (1)
Jetaime’s Part
ระหว่างที่ฉันกำลังว้าวุ่น(?)กับจิตใจของตนเอง ซึ่งเหตุเกิดจากคำพูดอันใสซื่อไร้เดียงสาของหมอนั่น ก็ทำให้ฉันหน้าแดงเป็นมะเขือเทศอยู่แบบนี้มาสักพักใหญ่แล้ว...
ระหว่างที่ฉันกำลังหลงประเด็นกับคำพูดพล่อยๆของลอตเต้อยู่ ก็นึกขึ้นได้ ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ...หาเบาะแส!!!
ฉันเดินย้อนทางเดิมกลับเข้าไปในห้องพักของฉัน... ความเป็นส่วนตัวคงพอจะทำให้ฉันคิดอะไรเงียบๆคนเดียวได้ แต่เพียงแค่ก้าวเข้ามาอยู่ในห้องไม่ถึงสามนาที ก็มีมารผจญขัดขวางความต้องการของฉันขึ้นในบัดดล -*-
“ขออนุญาตเข้าไปทำความสะอาดในห้องบรรทมนะเพคะองค์หญิง ไม่ทราบว่าทรงสะดวกอยู่หรือเปล่าเพคะ??” เสียงหวานๆของแม่บ้านคนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทของฉันหลังจากได้ยินเสียงผลักประตูบานใหญ่ดังขึ้น
“เชิญค่ะ” ฉันขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดจึงตอบรับเธอส่งๆไป
“เพคะ” เธอซึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถังไม้ใบใหญ่บรรจุน้ำและไม้กวาดทางมะพร้าว ไม้ปัดฝุ่นที่ทำมาจากขนสัตว์ พร้อมรถเข็นที่บรรจุอุปกรณ์ทำความสะอาดต่างๆ ด้วยร่างอันบอบบางของเธอ ทำให้ดูเหมือนว่าเธอกำลังยกของมากจำนวนซึ่งเกินกว่าที่เธอคนเดียวจะยกไหวได้
“ทำไมมาคนเดียวล่ะคะ ของตั้งเยอะ แถมห้องนี้ก็ใช่ว่าจะเล็กสักหน่อย ถ้ามาสองหรือสามคนน่าจะสะดวกกว่าไม่ใช่หรอคะ??”
“ช่วงนี้คนในวังค่อนข้างยุ่งน่ะค่ะ เพราะต้องจัดเตรียมงานต้อนรับการกลับมาของพระองค์และองชายคาโล”
“ไม่เห็นจะต้องลำบากเลยนี่คะ รบกวนคนในวังเปล่าๆ แทนที่จะได้ไปทำงานอย่างอื่นกัน...”
“ไม่หรอกเพคะ ทุกคนล้วนทำด้วยใจเพื่อพระองค์ทั้งสอง”
“แต่ว่า...”
“งานดำเนินการมาใกล้จะเสร็จแล้วนะเพคะ ทุกคนเมื่อได้รับข่าวจากพระราชสำนักเรื่องการฟื้นของทั้งสองพระองค์ต่างก็ดีใจกันทั้งนั้น ชาวบ้านทั้งหลายนำข้าวของกับอาหารต่างๆมาช่วยเตรียมจัดงานฉลองด้วยกันทั้งหมู่บ้าน เพราะพวกเขาต่างก็รักพระองค์กันนะเพคะ โปรดอย่าได้ปฏิเสธความหวังดีจากผู้คนเหล่านั้นเลย”
“...”
สาวรับใช้คนนี้พูดถูกทุกอย่าง ฉันคงไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจจากคนทั้งเมืองได้หรอก
“เข้าใจแล้ว... ขอโทษด้วยแล้วกันที่ฉันพูดจาไม่คิดถึงทุกๆคนที่ทำเพื่อฉันกับลอต... เอ่อ... เจ้าชายคาโล”
ฉันกลืนน้ำลายลงคอตนเอง เกือบจะหลุดชื่อของลอตเต้ออกมาแล้วเชียว เฮ้อออ เกือบไป -*-
“พระองค์จะขอโทษหม่อมฉันทำไมเพคะ หรือว่าหม่อมฉันทำให้พระคงค์รู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด หากเป็นเช่นนั้น...” สาวใช้ทำหน้าตาเลิ่กลั่กพลางโบกไม้โบกมือไปมา
“เอาเป็นว่า ถือว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน” ฉันรีบตัดบทสนทนาก่อนที่จะมีเรื่องยืดเยื้อชวนปวดหัวไปมากกว่านี้
“เอ่อ... เพคะ” เธอยังคงมองฉันด้วยสายตาสงสัยกับคำพูดที่ฉันเพิ่งพูดไป แต่ก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยไว้ในใจเมื่อฉันส่งสายตาเบื่อหน่ายปนรำคาญไปให้เธอ
สาวใช้ปัดฝุ่นที่หน้าต่างอยู่ที่มุมห้องมุมหนึ่งอยู่เงียบๆ คงเป็นเพราะเธอไม่กล้าที่จะหาเรื่องคุยกับฉันตั้งแต่ฉันส่งสายตาพิฆาต(?)ไปให้เธอ ฉันก็นั่งเงียบๆอยู่บนเตียง แอบรู้สึกผิดเล็กน้อย ที่ทำกิริยาแบบนั้นกับเธอ ด้วยความที่ฉันยังคงมีตำแหน่งเจ้าหญิงรอล่าอยู่ที่เปลือกนอก ทำให้ทุกๆคนต้องหวั่นเกรงกันเป็นเรื่องธรรมดา
พอคิดได้อย่างนั้นแล้ว ฉันจึงพยายามคิดหาเรื่องชวนคุยกับเธอ บรรยากาศในห้องที่กำลังอึมครึมอยู่ตอนนี้จะได้พอลดลงบ้าง ว่าแต่ฉันจะเริ่มคุยจากเรื่องไหนดีล่ะ??
ความคิดสายหนึ่งที่ฉันเกือบลืมไปแล้วแล่นแวบเข้ามาในหัวฉันทันที ตอนนี้สิ่งที่ฉันอยากรู้มากที่สุดก็คือเรื่องอดีตของเจ้าหญิงรอล่านี่นา... ฉันจึงไม่รีรอที่จะถามเธอทันทีเพราะเสียเวลาไร้สาระมามากพอแล้ว...
“นี่... ก่อนที่ฉันจะหมดสติไปสามปีนี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างหรอ??”
“เอ่อ... พระองค์ทรงเป็นที่รักของประชาชนมากเพคะ จะทรงเสด็จประพาสในหมู่บ้านเป็นประจำ จะทรงไปดูแลความสงบสุขเรียบร้อย ดูแลและเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กๆในหมู่บ้าน จะทรงถามสารทุกข์สุขดิบกับพวกชาวบ้านเป็นประจำ ทำให้รับรู้ถึงความเป็นอยู่ของราษฎรเป็นอย่างดี... ทรงไม่ถือตัวหรือรังเกียจคนยากคนจน จะทรงยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา... ว่าแต่อยู่ดีๆทำไมถึงทรงถามขึ้นมาล่ะเพคะ??”
“เปล่าหรอก ก็แค่สงสัยน่ะ เลยถามไปก็เท่านั้น...” ฉันกลบเกลื่อนความจริงด้วยการทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอบสาวใช้ไป “แล้วพอจะมีเรื่องอะไรอีกบ้างมั้ย ฉันอยากรู้อดีตของตัวเองน่ะ”
“หม่อมฉันก็ไม่ค่อยจะได้รับใช้พระองค์อย่างใกล้ชิดสักเท่าไหร่หรอกนะเพคะ เพราะหม่อมฉันเป็นเพียงแม่บ้านแผนกทำความสะอาดเท่านั้น”
“แล้ว... พอจะรู้เรื่องส่วนตัวอะไรของฉันบ้างมั้ย? เรื่องผิดปกติ? ข้าวของเครื่องใช้? คนสนิท? หรืออะไรก็ได้ ช่วยบอกฉันด้วยเถอะ แม้มันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม... ”
“เอ่อ... ถ้าเรื่องส่วนตัวเทาที่หม่อมฉันพอจะทราบล่ะก็ พระองค์ทรงโปรดดอกกุหลาบที่สุดเพคะ จะรับสั่งให้สาวใช้ส่วนพระองค์นำมาปักไว้แจกันไว้ทุกๆเช้าที่โต๊ะตัวนี้” สาวใช้พูดพลางผายมือไปที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเตียงที่ฉันกำลังนั่งอยู่นัก ซึ่งก็มีแจกันแก้วใสปักด้วยดอกกุหลาบสีชมพูสวยอยู่สองสามดอก
“ส่วนเรื่องเครื่องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ไม่มีการเคลื่อนย้ายหรือตกแต่งเพิ่มแต่อย่างใด เพราะพระราชาทรงรับสั่งไว้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ‘ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิมเพื่อรอคอยการกลับมาของพระองค์เสมอ...’ แล้วก็... พระองค์ทรงเคยกำชับหม่อมฉันไว้ว่า... ห้ามยุ่งกับลิ้นชักชั้นล่างสุดเป็นอันขาด...”
“ลิ้นชักชั้นล่างสุด??” ฉันพูดทวนคำออกมา มันจะมีอะไรอยู่ในนั้นกันแน่นะ??
“เพคะ ส่วนเรื่องคนสนิทก็มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น แต่ผู่ที่พระองค์ทรงไว้ใจและสนิทสนมมากที่สุดมีอยู่เพียงสองพระองค์เท่านั้น... ซึ่งก็คือเหล่าพระเชษฐาของพระองค์”
“คนแรกหมายถึงเจ้าชายคาโลใช่มั้ย? แล้วอีกคนล่ะ? ” ฉันยิงคำถามใส่สาวใช้ไม่หยุด
“อีกพระองค์หนึ่งก็คือ... เจ้าชายโจลี่เพคะ พระเชษฐาต่างสายเลือดของพระองค์... แต่หม่อมฉันนึกว่า พระองค์คงพอจะรู้เรื่องคร่าวๆมาจากพระราชาบ้างแล้ว”
“ยัง... ท่านพ่อยังไม่ได้บอกอะไรกับฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
เมื่อได้ฟังสาวใช้พูดแล้วฉันก็รู้สึกฉุนพระราชาขึ้นมาตงิดๆ ความจริงนี่เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆที่เขาควรจะบอกฉันตั้งแต่ตอนที่เราสามคนนั่งทานมื้อกลางวันด้วยกันแล้วด้วยซ้ำไป
“เจ้าชายโจลี่คือลูกติดของราชินีเซียนนา พระสนมของพระราชาเพคะ”
“อ๋อ พอจะเข้าใจบ้างแล้ว แล้วเรื่องลิ้นชั....” ฉันกำลังอ้าปากจะถามต่อ แต่ก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นจากบุคคลที่สามซึ่งไม่ได้รับเชิญแต่อย่างใด
“นี่ๆ ซุ้มดอกไม้แถวๆหน้างานเลี้ยงฉลองขององค์หญิงกับองค์ชายล้มระเนระนาดหมดเลย เธอมาช่วยฉันเก็บกวาดแล้วก็ปักดอกไม่ใหม่หน่อยสิ ดอกไม้ช้ำหมดเลย คงต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ไปตัดดอกไม้ที่เรือนกระจก... ไม่อย่างนั้นคงเสร็จไม่ทันวันฉลองแน่เลย”
สาวใช้อีกคนหนึ่งวิ่งพรวดเปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะและพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เธอคงรีบวิ่งเข้ามาในห้องนี้ขนาดว่าไม่ทันสังเกตเห็นฉันเลยทีเดียว...
“อ๊ะ!! องค์หญิง... ขออภัยที่เสียมารยาทที่เข้าห้องมาโดยพลการนะเพคะ หม่อมฉันไม่รู้จริงๆว่าว่าพระองค์จะประทับอยู่ในห้องด้วย...”
เธอรีบก้มหัวขอโทษขอโพยฉันเป็นการใหญ่ด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่เป็นไรๆ” ฉันบอกกับสาวใช้ที่เพิ่งวิ่งเข้ามาในห้อง และหันหลังกลับไปบอกสาวใช้อีกคนที่ฉันเพิ่งรีดเค้นข้อมูลเธอเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า “เธอเองก็รีบไปเถอะ”
“แต่หม่อมฉันยังทำความสะอาดห้องบรรทมไม่เสร็จเลยนะเพคะ เดี๋ยวค่อย...”
“ฉันไม่ได้รีบร้อนอะไร เอาไว้มาทำวันหลังก็ได้” ฉันยิ้มตอบเธอไป
“ขอบพระทัยเพคะ!!” เธอพูดพลางก้มหัวให้ฉัน ก่อนที่สาวใช้ทั้งสองจะทำความเคารพฉันก่อนที่พวกเธอจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้อง
หลังจากที่พวกสาวใช้ออกไปกันหมดแล้ว ฉันก็เบนสายตาไปทางแจกันแก้วคอสูงที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งมีดอกกุหลาบสีชมพูสดช่อใหญ่ปักอยู่ แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างบานข้างๆกันนั้นทำให้เห็นหยดน้ำเล็กๆที่เกาะอยู่บนกลีบกุหลาบสะท้อนแสงเหมือนเพชรน้ำงามก็ไม่ปาน...
ฉันค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นอย่างช้าๆ และเป้าหมายต่อไปของฉันก็คือ... ลิ้นชักชั้นล่างสุด!!
ฉันหยุดยืนสำรวจสภาพโต๊ะตัวนั้นอยู่สักพัก มันเป็นโต๊ะไม้เก่าแบบโบราณซึ่งเข้ากับโทนสีห้องและเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นๆเป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากแจกันกุหลาบที่วางอยู่บนโต๊ะแล้ว ก็มีเทียนหอมเล่มหนึ่งวางอยู่บนเชิงเทียนและปากกาขนนกพร้อมน้ำหมึกขวดเล็กๆวางอยู่
ฉันค่อยๆย่อตัวลงเพื่อก้มลงไปเปิดลิ้นชักแต่ละชั้นซึ่งมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นบนสุดนั้นมีจดหมายมากมายวางซ้อนกันอยู่อย่างเป็นระเบียบกับของใช้จำพวกเครื่องเขียนต่างๆวางเรียงรายอยู่ ฉันสุ่มเลือกจดหมายมาสองสามฉบับก่อนจะค่อยๆแกะซองจดหมายออกมาอ่าน ก่อนจะพบว่ามันไม่มีร่องรอยการเปิดอ่านเลยสักฉบับเดียว…
‘ ถึงเจ้าหญิงรอล่าของพวกเรา...
ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวจากทางพระราชสำนักถึงการประสบอุบัติเหตุและพระอาการของพระองค์แล้วและรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับข่าวร้ายนี้ หม่อมฉันขอวิงวอนต่อพระเจ้าให้อาการประชวรของพระองค์ทุเลาลงและกลับมาเป็นปกติในเร็ววันด้วยเทอญ’
‘ถึงเจ้าหญิงรอล่า
พวกเราคิดถึงพระองค์มากๆเลยนะ อยากให้พระองค์กลับมาหายเป็นปกติแล้วมาเล่นกับพวกเราเหมือนเดิมอีก อยากให้พระองค์ตื่นมาแล้วเห็นจดหมายฉบับนี้ การเล่นวิ่งไล่จับโดยปราศจากท่านช่างเป็นการเล่นที่น่าเบื่อจริงๆ หายเร็วๆนะครับ’
จดหมายฉบับที่สองที่ฉันเพิ่งอ่านไปนั้นเขียนด้วยลายมือไก่เขี่ยและมีร่องรอยลบแล้วลบอีกอยู่ทั้งแผ่น อีกทั้งยังใช้คำราชาศัพท์ปนสามัญชน จดหมายฉบับนี้น่าจะเป็นจดหมายของพวกเด็กๆในหมู่บ้านที่เจ้าหญิงรอล่าชอบไปเล่นด้วยล่ะมั้ง...
ฉันอ่านจดหมายไปอีกหลายต่อหลายแผ่นพลางยิ้มไป ถึงจะรู้ว่าจดหมายพวกนี้ไม่ได้เขียนถึง ‘เฌอแตม’ แต่ฉันก็รู้สึกดีใจแทนเจ้าหญิงลอร่าที่มีคนรักและเป็นห่วงพระองค์มากขนาดนี้
ฉันอ่านจดหมายอีกหลายต่อหลายฉบับด้วยความเพลิน แล้วก็อดที่จะยิ้มกับตัวเองไม่ได้ ทำให้ฉันพอจะรู้เรื่องหลายๆอย่างเพิ่มขึ้น อย่างเช่นรู้ว่าพระองค์มักจะไปเล่นกับเด็กๆ ทั้งวิ่งเล่น ว่ายน้ำที่บึงใหญ่ในหมู่บ้าน หรือแม้กระทั่งชอบปีนต้นไม้เป็นประจำ อีกทั้งยังเคยไปช่วยคนสวนปลูกต้นไม้อีกต่างหาก และอีกหลายๆอย่างมากมายที่แสดงให้ฉันเห็นว่า... ทรงเป็นคนไม่ถือตัวและเป็นเด็กสาวที่แก่นจริงๆ
ฉันอ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงจดหมายฉบับหนึ่ง ซองจดหมายฉบับนี้ทำจากกระดาษสาสีชมพูอ่อน ซึ่งต่างจากฉบับอื่นๆที่เขียนด้วยกระดาษขาวธรรมดา ฉันไม่รีรอที่จะเปิดจดหมายฉบับนี้และพบว่า... นอกจากแผ่นจดหมายสีชมพูอ่อนแล้ว ยังมีกลีบดอกกุหลาบสีชมพูที่ถูกนำไปอบแห้งมาและผ่านวันเวลาจนกลายเป็นสีน้ำตาลถูกใส่มาด้วย โดยเนื้อความในจดหมายมีเพียง...
‘ขอโทษ'...
แม้เป็นเพียงประโยคสั้นๆ แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกถึงความจริงใจที่ส่งมาถึงพร้อมจดหมายฉบับนี้ เมื่อสังเกตดูดีๆแล้วฉันพบว่าจดหมายฉบับนี้ดูใหม่กว่าฉบับอื่นๆ และคนที่ส่งมาต้องเป็นคนที่รู้จักเจ้าหญิงรอล่าดีเพราะรู้เรื่องดอกกุหลาบสีชมพูที่พระองค์โปรด
ฉันเลือกที่จะเก็บจดหมายฉบับนี้แยกออกมาจากจดหมายอื่นๆและเก็บจดหมายทุกฉบับเข้าที่ตามเดิม ก่อนที่จะเปิดลิ้นชักชั้นที่สองออกมาดู พบว่าเป็นพวกเครื่องประดับจำพวกแหวน กำไล สร้อย ที่ดูเผินๆแล้วคงไม่มีอะไรผิดปกติสำหรับเด็กสาวรักสวยรักงามคนหนึ่ง แต่ฉันก็ยังแอบสงสัยว่า... ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่เก็บเครื่องประดับทุกอย่างปนกันแบบนี้...
ฉันเลือกที่จะเปิดลิ้นชักชั้นต่อไปมากกว่าที่จะนั่งคิดเรื่องจุกจิกเล็กน้อยนี้ ก่อนที่ฉันจะนึกขึ้นได้ว่า... มันถูกล็อคไว้ ด้วยความต้องการของเจ้าหญิงลอร่าเมื่อสามปีก่อนนั่นเอง
ฉันลองเปิดลิ้นชักชั้นก่อนๆดูเพื่อหาว่าอาจจะมีกุญแจถูกเก็บเอาไว้แต่ก็ไม่เจอ ฉันจึงหยิบกิ๊บติดผมจากลิ้นชักชั้นสองขึ้นมาสะเดาะกุญแจดูด้วยความเคยชินในโลกยุคปัจจุบันที่ฉันมา ปรากฏว่ามันไม่ได้ผล... ฉันคิดว่าไม่ใช่จากฉันสะเดาะไม่เป็น...
... แต่ฉันคิดว่ามันคงมีกลไกบางอย่างทำให้ไม่สามารถเปิดได้มากกว่า...
ฉันรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบกลของลิ้นชักชั้นล่างสุดนี้... มันคงจะมีความลับบางอย่างที่สำคัญมากซ่อนอยู่ ความคิดสายหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวฉัน ว่าให้ลองทำลายมันดู แต่ฉันคิดไปคิดมาแล้วมันคงไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าลิ้นชักนี้มีกลไกอะไรบางอย่างอีกที่ฉันไม่รู้ แล้วถ้าเกิดทำลายมันเข้ามันก็อาจจะถูกปิดตายก็ได้...
แม้ความคิดนี้มันค่อนข้างที่จะดูไม่สมเหตุสมผลกับความทันสมัยในยุคนี้ แต่จากการดูสารคดีจำพวกกลไกและกับดักต่างๆตามทางเดินในพีระมิดหรือสิ่งก่อสร้างในสมัยก่อนแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในปราสาทนี้จะมีบ้าง โดยเฉพาะจากการที่พระราชาเคยเล่าให้ฉันกับลอตเต้ฟังว่า มักมีไส้ศึกมาปลงพระชนม์เมื่อสามปีก่อนด้วยแล้ว...
ฉันลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจไปมา พร้อมคิดหากุญแจเปิดลิ้นชักชั้นล่างสุด อย่างน้อยๆฉันก็พอจะรู้บ้างแล้วว่าควรจะเริ่มหาหลักฐานจากตรงไหน... อย่างน้อยมันก็ไม่เสียเปล่า...
ฉันค่อยๆเดินไปที่หน้าต่างบานหนึ่งก่อนที่จะผลักหน้าต่างออกไป สายลมยามเย็นพัดเข้ามาในห้องจากหน้าต่างที่ฉันเพิ่งเปิด เสียงนกบินกลับรังร้องระงม แสงดวงอาทิตย์สีส้มทอประกายทั่วท้องฟ้าที่เตรียมจะหายลงไปในหุบเขาไกลโพ้นลูกหนึ่ง ฉันเหม่อมองบรรยากาศอันสวยงามนี้พลางตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง...
เมื่อไหร่ที่ฉันจะหาหลักฐานได้ เมื่อไหร่ฉันจะได้กลับบ้าน... เจ้าหญิงลอร่าต้องการอะไรหรือถึงให้ฉันต้องมา ณ ที่แห่งนี้ เมื่อไหร่ฉัน... กับลอตเต้จะได้กลับบ้าน...
ภายนอกฉันซึ่งดูเหมือนไม่ค่อยหยี่หระกับการหายตัวมาในอดีตนี้ ฉันซึ่งทำสีหน้าสุขุมเยือกเย็นต่อหน้าลอตเต้เหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยในชีวิตและเราจะได้กลับไปโลกปัจจุบันอย่างแน่นอน
ณ บัดนี้กำแพงความกล้าที่ฉันสร้างขึ้นมาได้หายไปกับความกลัวและหยดน้ำตาที่ไหลรินหมดแล้ว... ความรู้สึกที่แท้จริงที่ปกปิดอยู่ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยมาตลอดทั้งวันกำลังค่อยๆก่อตัวขึ้น
พระเจ้าเล่นตลกอะไรกับฉันหรอ... ถึงต้องให้ฉันตกอยู่ในสภาพแบบนี้...
ความคิดเห็น