ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักต้องห้ามข้ามเวลามาพบเธอ

    ลำดับตอนที่ #6 : ย้อนอดีต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 104
      1
      2 มิ.ย. 56

    “มันจะดูเหลือเชื่อเกินไปมั้ย? นี่เป็นเรื่องจริงนะไม่ใช่เทพนิยายปรัมปรา?!...”

    ”แล้วการที่พวกเราสองคนฟื้นมาอยู่ที่นี่ มีคนเรียกเราว่าเจ้าหญิงเจ้าชาย มีคนมาเรียกเราว่าลูกมันจะหมายถึงอะไรล่ะ ถึงมันยากที่จะเชื่อ แต่ความคิดนี้ถือว่าเป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้แล้วนะ”

     

    “ใช่ มันยากที่จะเชื่อแต่ก็เป็นความทฤษฎีที่น่าเชื่อมากๆ สำหรับตอนนี้ แต่เรายังไม่มีหลักฐานว่าเราจะหลุดมาอีกโลกหนึ่งหรอกนะ”

    “ก็หาสิ”

    “ผมว่ามันคงไม่ง่ายดายขนาดนั้นหรอกนะเฌอแตม” เขาพูดด้วยน้ำปนเสียงตำหนิ 

     “เราก็ต้องพยายามสิ” ใช่... ของแบบนี้มันหากันไม่ได้ง่ายๆ หรอก แต่มันก็เป็นทางเดียวที่พอจะมีวีให้เรากลับไปได้

    “...”

    “...”

    “สรุปคือตอนนี้มีข้อสันนิษฐานอยู่สองอย่างสินะ” ลอตเต้พูดขึ้นมาหลังจากที่เราสองคนต่างเงียบไปสักพัก...

     

    “มีอะไรบ้าง??”

    “เราย้อนอดีตกลับมาหรือไม่ก็ข้ามไปอีกโลกหนึ่ง...”

    “นั่นสินะ เพราะเราสองคนก็คงยังสรุปไม่ได้ว่าเรามาอยู่ที่นี่ด้วยวิธีแบบไหนกัน”

    “แล้วเราจะเริ่มหาหลักฐานจากตรงไหนล่ะ??”

    “เราลองถามพวกสาวใช่ที่นี่ดีมั้ย? อย่างน้อยเราจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนที่เจ้าหญิงลอร่าและเจ้าชายคาโลจะสลบไป”

    “แล้วเขาจะไม่สงสัยหรอว่าเราถามเรื่องแบบนี้ทำไม??”

    “ก็ในเมื่อทุกคนในวังเข้าใจว่าพวกเราสองคนความจำเสื่อม เขาก็ไม่สงสัยหรอก เราก็อ้างไปว่าอยากรู้อดีตของตัวเองก็ได้”

    “งั้นก็ได้ แต่ผมมีบางอย่างอยากจะตกลงกับเธอ”

    “อะไรล่ะ??” ฉันหันหลังกลับมาหาตามคำเรียก

    “ผมคิดว่าไม่ควรให้ใครรู้เรื่องพวกเรามากเกินความจำเป็น ทั้งเรื่องข้ามเวลาของพวกเราหรือแม้แต่กิจวัติประจำวัน...”

    “ไอ้ข้อแรกน่ะพอเข้าใจนะ แต่ข้อหลังนี่ทำไมล่ะ??”

     

    ”การดำรงชีวิตของเรากับของพวกเขาไม่เหมือนกันนะ ทั้งการกินอยู่ การใช้ห้องน้ำ หรือแม้กระทั่งการเดิน การนอน ถ้าพวกแม่บ้านมาเห็นเขาก็คงอดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้พวกเราจะอ้างว่าความจำเสื่อมก็เถอะ...”

     

    “นายนี่รอบคอบจริงๆเลยนะ” ฉันชมแกมประชดเขาไป... ท่าทางเขาจะไม่รู้ตัวแฮะ -*-

    “แน่นอนอยู่แล้ว^^”เขายิ้มยืดอกรับคำชมเหมือนเหมือนว่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดไปนั้นสามารถลบล้างทฤษฎีของไอสไตน์ได้อย่างนั้นแหละ ชิ... บ้ายอชะมัด =__=

    “ย่ะ!!” ฉันอดที่จะจิกกัดเขาเล็กๆ ไม่ได้

    “เอ้อ... แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่ผมจะบอก”

    “อะไรอีกล่ะคะพ่อคนเก่ง” ฉันตอบเสียงสดใสที่แสดงถึงการประชด(รอบที่สอง)อย่างไม่ปิดบัง

    “ผมไม่อยากให้เราเรียกชื่อ ลอตเต้หรือ เฌอแตมที่ใช้ในโลกเดิมของพวกเรากันต่อหน้าคนอื่น ”

    “ข้อนี้ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ แล้วเราจะไปหาข้อมูลกันได้หรือยัง??” ฉันรีบตัดบทพูด

    “โอเคๆ ผมจะไม่ขัดเธอไม่มากกว่านี้แล้วคร้าบบบบบ แม่ทูนหัว”

    “นายเรียกใครแม่ทูนหัวไม่ทราบ!!!” ฉันสะดุ้งตกใจกับคำสรรพนามที่เขาใช้เรียกฉัน

    “แล้วแถวนี้มีใครอีกนอกจากผมกับเธอล่ะ??” เขาช่างตอบคำถามได้กวนเบื้องล่างฉันเหลือเกินนะ

    “แล้วนายรู้มั้ย... คำว่าแม่ทูนหัวน่ะเอาไว้เรียกใคร??!!

    “ก็เอาไว้เรียกผู้หญิงขี้บ่นไง หรือว่าผมเข้าใจอะไรผิด??”

     

    โอ้พระเจ้า!... ท่าทางเขาจะเป็นผู้ชายใสซื่อมากกว่าที่ฉันคิดซะอีกนะเนี่ย ขนาดจะด่าชาวบ้านยังไม่รู้ความหมายที่ถูกต้องของคำด่าเลย ให้ตายเถอะ...

     

    “มันก็ถูกล่ะนะ แต่แค่บางส่วน...”

    “แล้วตกลงมันหมายความว่ายังไงล่ะ??”

    “มันก็หมายถึง...” ฉันจะตอบเขาดีมั้ยเนี่ย???!!!

    “หมายถึงอะไรล่ะ??” เขายังคงทำหน้าใสซื่อไร้เดียงสาอยู่

    “...”

    “ตกลงคำว่าแม่ทูนหัวมันแปลว่าอะไรล่ะ หรือว่าเป็นคำหยาบคายหรอ??” ตาบ้านี่ยังคงคะยั้นคะยอให้ฉันตอบ

    “...”

    “ถ้าผมทำให้เธอโกรธก็ต้องขอโทษด้วยนะ”

    “ไม่ได้โกรธ! ไม่ได้หยาบ! แต่มันแปลว่า... โอ๊ยยยยย ช่างมัน ไม่รู้โว้ย!!!!

    ฉันรีบตัดบทสนทนาแล้วก้มหน้าวิ่งออกไปทันที ป่านนี้หน้าของฉันคงแดงไปถึงหูแล้วแน่ๆ เลย

     

    ก็ แม่ทูนหัวน่ะ... มันเอาไว้ใช้เรียก เมียไงเล่า ตาบ้างี่เง่า!! 

     

     

    Lotte’s Part…

    อยู่ดีๆเฌอแตมก็รีบวิ่งออกไป ผมไปทำอะไรให้เธอโกรธหรือเปล่าเนี่ย ไม่สบายใจแฮะ ก็เพื่อนของผมเขาสอนมาว่า ถ้าเจอผู้หญิงคนไหนขี้บ่นให้เรียกเขาว่า แม่ทูนหัวแล้วเธอจะเลิกบ่น แต่ผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะโกรธผมไปด้วยน่ะสิ ไอ้พวกเพื่อนบ้ามันสอนอะไรผมผิดมาหรือไงเนี่ย!!!!

     

    แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนดีกว่า ผมต้องรีบไปหาทางกลับบ้านให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปง้อเธอละกัน

     

    ผมเดินตามทางในปราสาทไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย จะว่าไปผมก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผมกำลังไปไหนอยู่ ปราสาทนี่มันกว้างเกินไปจริงๆล่ะนะ... แล้วผมควรจะเริ่มถามประวัติของผมจากใครก่อนดีล่ะ??

     

    เหมือนโชคเข้าข้างหรือไม่พระเจ้าก็อ่านใจผมได้ มีผู้ชายวัยหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินสวนผมมา เมื่อเขาเห็นผมก็รีบก้มหัวทำความเคารพพร้อมเรียกชื่อผม(ไม่สิ ต้องพูดว่าเรียกชื่อเจ้าชาย)ออกมา ให้ตายสิ ผมไม่ชินกับการที่คนอื่นต้องมาก้มหัวให้แบบนี้เลย... รู้สึกพิลึกชอบกล

     

    “เจ้าชาย พระองค์ทรงมาทำอะไรแถวนี้พะยะค่ะ??”

    “เอ่อ... ผมมาเดินเล่นที่สวนหลังวังน่ะ แต่กลับไม่ถูก นายพอจะช่วยนำทางผมได้มั้ย??”

    ชายหนุ่มดูแปลกใจกับคำสรรพนามใหม่ที่เขาใช้อยู่ไม่น้อย ก่อนจะพยักหน้าตอบเขา

    “ได้แน่นอนพะย่ะค่ะ เชิญเสด็จทางนี้” ชายหนุ่มผายมือออกเชิญให้เขาเดินตาม

     

     

    ระหว่างในทางเดินที่เงียบสงัด...

     

    ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของชายหนุ่มทั้งสองและเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินเป็นจังหวะ ชายหนุ่มผู้เป็นบ่าวเดินนำพลางทำตัวเงอะงะงุ่มง่าม ก่อนที่เขาจะทำลายความเงียบสงัดนี้...

     

    “เอ่อ... องค์ชายทรงสูญเสียความทรงจำไปหมดเลยหรือพะยะค่ะ”

    “ก็เท่าที่ผมตื่นทา ผมก็จำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ” ผมแปลกใจไม่น้อยที่อยู่ดีๆชายหนุ่มคนนี้ก็โพล่งถามเขาขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว  

    “แม้แต่เรื่องระหว่างเราหรือพะยะค่ะ??...”

    “เรื่องระหว่างเรา??!!” ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่คนรับใช้ธรรมดาๆซะแล้วสิ บางทีเขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็เป็นได้

    “ความสัมพันธ์ระหว่างเราไงพะยะค่ะ...”

    “ความสัมพันธ์!!!” คราวนี้ผมถึงกับหลุดตะโกนออกมา หวังว่าความสัมพันธ์ที่หมอนี่หมายถึงคงไม่ใช่เรื่องแบบนั้นหรอกนะ??

     

    “กระหม่อมหมายถึง ความสนิทชิดเชื้อแบบเพื่อนระหว่างกระหม่อมกับองค์ชายเป็นการส่วนตัวน่ะพะยะค่ะ อ่า... ท่าทางกระหม่อมจะใช้คำศัพท์ผิดไปหน่อย...”

    “ผิดไปมากเลยล่ะ” ผมแย้งขัดขึ้น นึกว่าเจ้าชายคาโลจะมีรสนิยมแบบนี้ซะอีก -*-

    “ขะ... ขออภัยเป็นอย่างสูงหากกระหม่อมทำให้พระองค์ต้องโกรธหรือแค้นเคือง” ชายรับใช้รีบนั่งคุกเข่าต่อหน้าผมอย่างเกรงกลัว

    “เฮ้ย!!! ผมไม่ได้โกรธ แค่... เอ่อ ตกใจนิดหน่อย เอาเป็นว่านายรีบลุกขึ้นเถอะ”

    “ขอบพระทัยที่พระองค์ทรงไม่ถือโกรธกับคำพูดพล่อยๆ ของกระหม่อม”

     

    เรื่องแค่นี้ยังต้องคุกเข่าขอขมา นี่ถ้าเผลอเดินชนเข้าไม่ต้องโดนประหารทั้งโคตรเลยรึไงวะ??

     

    ผมเลือกที่จะเก็บคำพูดประโยคข้างบนนั้นเอาไวในใจ ขี้เกียจมีเรื่องเสวนากับไอ้พวกนี้จริงๆ วันๆ เอาแต่ก้มหัวหงึกๆอยู่นั่นและ

     

    เห็นแล้วรกลูกตาชะมัด!!

    “แล้วว่าแต่... ที่นายพูดถึงความสนิทส่วนตัวของผมกับนายน่ะ แปลว่านายรู้จักผมดีใช่มั้ย? รู้จักผมเมื่อสามปีก่อนอย่างดีใช่มั้ย??!!

     

    ผมรีบถามคำถามที่ค้างคาใจผมอยู่ทันทีพลางใช้มือเขย่าแขนของชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว  

     

    “จะว่ารู้จักก็ใช่พะยะค่ะ... แต่กระหม่อมคงมิกล้าแอบอ้างตัวเองและทำตัวสนิทชิดเชื้อกับพระองค์ในตอนที่พระองสูญเสียความทรงจำหรอกพะยะค่ะ”

     

    โอ๊ยยยยยยยย ไอ้หมอนี่มันพูดจาวกไปวนมากวนส้นผมได้ใจซะจริง ถ้าไม่ติดว่าหมอนี่คือแหล่งข้อมูลชั้นเลิศล่ะก็... ผมคงจะได้ต่อยมันหน้าหงายสักทีสองที... ข้อหาหมั่นไส้!!!

     

    “เอาเป็นว่าถ้านายพอจะรู้เรื่องอดีตของผมอยู่บ้าง... ก็ช่วยเล่าในสิ่งที่นายพอจะรู้ให้ผมฟังหน่อยได้มั้ย??” ผมพยายามกลั้นอารมณ์หงุดหงิดเอาไว้ให้มากที่สุด ก่อนที่สติจะของผมจะกระเจิดกระเจิงไปทำให้ไม่สามารถคุยกับหมอนี่รู้เรื่องได้

     

    ...ก่อนที่ผมจะได้คุยแบบลูกผู้ชายกับหมอนี่สักหมัด...

     

    “ได้พะยะค่ะ หม่อมฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ถวายการรับใช้แด่พระองค์!!” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงกระตือรือร้นพร้อมใบหน้าดีใจอย่างเต็มเปี่ยม...

     

    ... เหมือนหมาได้กระดูกก็ไม่ปาน... ผมอดที่จะแขวะหมอนี่ไม่ได้เลยจริงๆ...

     

    “งั้นพอไปถึงห้องพักของผมแล้ว ช่วยเล่าให้ผมฟังทุกรายละเอียดเลยได้มั้ย... เรื่องของเจ้าชายคาโลเมื่อสามปีก่อน”

    ... ซึ่งมันเป็นเบาะแสแรกที่อาจจะทำให้รู้ถึงสาเหตุการย้อนเวลากลับมาของผมกับเฌอแตมก็เป็นได้

     

    ...และมันอาจจะหาทางกลับสู่โลกปัจจุบันที่พวกผมมา...ผมจะต้องหาทางกลับไปให่ได้...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×