ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    /\/\Y $3CR3T DUl\lG30l\l

    ลำดับตอนที่ #31 : เตรียมส่งนักเขียนหน้าใส 100% แล้วเย้ รอรีไรท์อีกนิสโหน่ย อิอิ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 67
      0
      21 ส.ค. 56




                ยามเช้าที่แสนสดใส ดวงตะวันกำลังจะโผล่พ้นจากขอบฟ้า เหล่านกตัวน้อยทั้งหลายต่างพากันบินไปออกหากิน หญิงสาวคนหนึ่งกำลังขยับเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อปลุกตัวเองขึ้นจากห้วงนิทรารมณ์...

               

    ...ซะเมื่อไหร่...

               

    “อ้ากกก!!  สายแล้ว!!

    ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นหลังจากกดปุ่มเลื่อนนาฬิกาปลุกไปประมาณสิบรอบ หน้าจอโทรศัพท์มือถือของฉันปรากฏเวลาเจ็ดนาฬิกาตรง มันก็ไม่สายหรอกนะถ้าวันนี้เป็นวันปกติ

    แต่วันนี้ดันเป็นวันเปิดเทอมวันแรกน่ะสิ!!!

    นอกจากฉันจะต้องฝ่าฝูงชนมากมายเพื่อดูว่าตัวเองได้อยู่ห้องไหนในปีนี้  ฉันยังต้องไปจองที่นั่งดีๆ รีบไปหาเพื่อนใหม่ ทำความรู้จักกับเพื่อนในห้อง ซื้ออุปกรณ์การเรียน นั่งห่อปกสมุด โอ๊ย! สารพัด!

                ฉันคว้ากระเป๋าวิ่งออกจากบ้านไปหลังจากได้วิ่งผ่านน้ำเป็นที่เรียบร้อย โชคดีที่วันเปิดเทอมยังไม่มีหนังสือให้จัดตารางเรียน ไม่งั้นละก็ หยึย! ไม่อยากคิด...

                สภาพอันน่ารันทดของฉัน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เข็มขัดไม่ได้ใส่ ถุงเท้ารองเท้าใส่เหยียบส้นวิ่งไป ขนมปังคาบไปในปาก คงจะเป็นสิ่งปกติสำหรับคนแถวนี้ไปซะแล้ว  สังเกตได้จากสายตาของเพื่อนบ้าน ที่เคยมองฉันเป็นตัวประหลาดนั้นเบาบางลงไปเยอะ ถ้าเทียบกับวันแรกๆ

                “เฮ้ย!! รอด้วย!” ฉันตะโกนขึ้น เมื่อเห็นรถเมล์สายที่จะต้องนั่งไปโรงเรียนกำลังปิดประตูรถอย่างช้าๆ ถึงจะรู้ว่าตะโกนไปก็ไร้ประโยชน์ก็ตามทีเถอะ! และเมื่อฉันวิ่งถึงป้าย รถก็ปิดประตูลง และแล่นออกจากป้ายไปอย่างรวดเร็ว

                และสุดท้าย ฉันก็ต้องนั่งรอรถเมล์คันต่อไปอีกสิบสองนาที

                แน่นอนว่า ฉันไปถึงโรงเรียนช้าที่สุด

                แต่อย่างน้อย ฉันก็ไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่นเพื่อดูห้องตัวเองล่ะวะ!!!

                ฉันกวาดสายตาไปตามบอร์ดหน้าโรงเรียนเพื่อหารายชื่อ นางสาวแพรไพลิน พิทักษ์สุขสวัสดิ์ ที่ควรจะอยู่ในใบรายชื่อของ ม.6 ห้องอะไรซักอย่าง

                แหงล่ะสิ!! เห็นฉันแบบนี้ แต่ฉันก็สอบได้ท็อปตลอดนะยะ!! ฉันไม่มีทางซ้ำชั้นได้หรอกน่า

                “ฮะ เฮ้ยยย!!” ฉันร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อไล่หาแล้วไล่หาอีก จนแทบจะท่องใบรายชื่อได้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่เห็นชื่อของฉันอยู่ในใบรายชื่อของห้องใดในห้องหนึ่งยันห้องสิบเลยแม้แต่น้อย

                นี่มันหมายความว่ายังง๊ายยยย!

                ฉันลองไล่หาดูทีละชื่ออีกที พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น ส่วนต่อของใบรายชื่อห้องห้าและห้องหกใบรายชื่อห้องห้ามันทับห้องหกเอาไว้เล็กน้อย

                ฉันแหวกใบรายชื่อห้องห้าขึ้นดู และก็พบกับชื่อของฉัน.ในใบรายชื่อห้องหก

                โอ๊ยยย! เจอแล้ว!! แหม่ คนติดประกาศนี่ก็น้า... เล่นซะฉันใจหายใจคว่ำหมด

                แต่จะเสียเวลาด่านานก็ไม่ได้ เพราะตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงสิบเจ็ดนาทีแล้ว ฉันรีบวิ่งแบบติดจรวดไปยังห้องเรียน ก่อนที่จะโดนทำโทษไปมากกว่านี้

                “แฮ่ก...แฮ่ก...ขออนุญาตค่ะ...” ฉันเคาะประตูสองสามครั้งอย่างลวกๆ และเปิดประตูพรวดพราดเข้าไปด้วยความเร่งรีบ

                “หืม? แพรไพลิน เธอไม่ได้ขึ้น ม.6 ไปแล้วเหรอ”

                ฮะ!!! ฉันรีบชะเง้อคอออกไปดูป้ายชื่อห้องเรียน ม.5/4 เฮ้ยยย! นี่มันห้องเรียนเมื่อปีที่แล้ว! โอ้มายก็อด! หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยเจ้าค่ะ!!

                ฉันรีบเดินออกจากห้อง ม.5/4 ด้วยความอับอายอย่างหาที่สุดไม่ได้ พร้อมกับเสียงหัวเราะไล่หลังจากเหล่าเด็ก ม.5 ตามหลังมา

                หนอยแน่ะเจ้าพวกเด็กมอห้า! อย่าให้ถึงทีฉันบ้างละกัน!!!

                นี่แหละชีวิตของฉัน บ้า รั่ว เปิ่น ขี้เซา ไร้ความรับผิดชอบ มีดีแค่ความฉลาดเท่านั้น!

                ระหว่างเดินไป ก่นด่าเด็กมอห้าทับสี่ไป ในที่สุด ฉันก็เดินมาถึงห้อง ม.6/6 อย่างสวัสดิภาพ และแน่นอนว่า ฉันไม่ลืมที่จะเช็คเลขห้องก่อนเปิดประตูเข้าไป

                “ขออนุญาตค่ะ”

    “เธอมาสายไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะ แพรไพลิน” เสียงของอาจารย์ประจำชั้นที่ได้ชื่อว่าโหดที่สุดในโรงเรียน อาจารย์ปุ๊ก ดังขึ้น พร้อมกับสายตาเย็นเฉียบที่ส่งมาทางฉัน

    “ขอโทษค่ะ”

    “อืมๆ ไม่เป็นไร”

    ฉันถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อเห็นคำพูดนี้ออกมาจากปากของอาจารย์สุดเฮี้ยบ แต่ก็ต้องรีบคว้าโอกาสไว้ก่อนที่อาจารย์จะเปลี่ยนใจ ฉันกวาดสายตาไปรอบห้องเพื่อหาที่นั่งว่าง

    โป๊ะเช๊ะ! หลังสุดริมหน้าต่าง ที่นั่งที่ฉันโปรดปรานมากที่สุด

    แต่เอ๊ะ! ที่นั่งข้างๆ ฉันยังว่างอยู่นี่! แหม่ ยังมีคนที่สายกว่าฉันอีกสินะ ฮุฮุฮุ

    เหมือนอาจารย์จะอ่านใจฉันออก เมื่ออาจารย์ปุ๊กได้พูดออกมาว่า

    “ที่นั่งที่ว่างอยู่ของคนที่ติดภารกิจไปสอบดาราศาสตร์โอลิมปิกค่ะ เขาจะมาโรงเรียนในวันพรุ่งนี้...”

    โอเค ฉันสายสุดก็ได้

    และเมื่อฉันหย่อนก้นลงนั่งกับเก้าอี้ เสียงออดหมดคาบก็ดังขึ้นพอดี เรียกว่าช่วยชีวิตนางสาวแพรไพลินไว้ก็ว่าได้ เพราะถ้าหากอาจารย์ปุ๊กยังอยู่ไปอีกนานๆ ไม่แคล้วต้องเปลี่ยนใจมาทำโทษ ชัวร์!

    “เธอชื่ออะไร” หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างหน้าฉันเอ่ยทัก

    “ฉันชื่อลินนะ”

    “ฉันชื่อเฟรย์นะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

    ผู้หญิงตรงหน้าของฉันในตอนนี้จัดได้ว่าสวย! สวยมาก แบบไปเป็นดาวมหาลัยได้สบายๆ ด้วยดวงหน้าเรียว จมูกโด่งเล็กน้อย ปากสีชมพูอ่อน ผิวขาวอมชมพู ยิ่งเวลาเธอยิ้มแล้วเนี่ย เหมือนนางฟ้าลงมาเกิด! โอ๊ย! ผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา

    “อื้ม เช่นกันนะ”

    “เธอนี่โชคดีเป็นบ้าเลยนะรู้ไหม ถ้าอาจารย์ปุ๊กไม่ได้ถูกเลขท้ายสามตัวมาเมื่อวาน เธอคงไม่เหลือแน่”

    อ่อ ที่แท้ก็ถูกหวย ถึงว่า อารมณ์ดีผิดปกติ

    “แล้วก็ เพื่อนเธอฝากไอ้นี่มาให้น่ะ” เฟรย์หยิบหนังสือตั้งใหญ่ออกมาวางไว้บนโต๊ะของฉัน ตอนฉันนั่งรอรถเมล์ และระลึกได้ว่ามาไม่ทันแหงๆ ฉันได้โทรไปบอกยายกัซซี่เพื่อนรักสมัย ม.5 ให้ซื้อหนังสือเรียนไว้ให้ ฉันเปิดดูเพื่อเช็คหนังสือของ ม.6 ว่าครบไหม

    ...แหม่ ไอ้คุณกัซซี่ น่าจะมีเซนส์หน่อยนะว่า ตรูก็ต้องใช้สมุดจดเหมือนกัน...

    “อื้ม ขอบใจมากนะ” ฉันตอบยิ้มๆ ถึงฉันจะไม่มีสมุดจด แต่อย่างน้อยปีนี้ฉันก็มีเพื่อนแล้วล่ะวะ!

     

    นี่มันอะไรกันเนี่ย!!!

    เมื่อเรียนวิชาสุดหิน ยากมหาบรรลัยอย่างวิชาดาราศาสตร์จบ ฉันก็แทบจะร้องไม่เป็นภาษามนุษย์ โชติมงโชติมาตรบ้าบออะไรก็ไม่รู้ มันเป็นเนื้อหาที่ฉันไม่เคยเรียนพิเศษจากสถาบันไหนมาก่อน เพราะไม่มีที่ไหนเปิดสอน อย่างมากก็มีแค่ดาวพุธดาวศุกร์ดาวพลูโต

    ไม่เป็นไร เดี๋ยวเกาะเพื่อนข้างๆ กินก็ได้ อิอิ

    ว่าแต่ เค้าคงจะไม่หวงความรู้หรอกนะ...

    “เลขที่หนึ่ง!!” อาจารย์วิชาดาราศาสตร์ของฉันตะโกนเรียก

    “คะ” ฉันรีบขานตอบกลับอย่างงุนงง

    “ฉันรู้ว่าเธอเรียนรู้เรื่อง ถ้างั้นครูฝากสอนเพื่อนที่ไม่รู้เรื่องด้วยนะ”

    เรียนรู้เรื่อง? โหย หนูเนี่ยนะครู ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เหอะ!

    เกิดมาเป็นเลขที่หนึ่งเป็นอะไรที่กดดันเว่อร์ๆ เลย ก็โรงเรียนนี้ดันเรียงเลขที่ตามคะแนนสอบน่ะสิ แน่นอนว่าคนฉลาดอย่างฉันก็ต้องได้เป็นเลขที่หนึ่งอยู่แล้ว เหล่าอาจารย์ทั้งหลายก็เลยชอบชอบฝากความหวังลมๆ แล้งๆ ไว้กับเลขที่หนึ่ง ทั้งๆ ที่ความฉลาด กับความรับผิดชอบ มันไม่เกี่ยวกันซักนิด!!

    ฉันก็เลยเป็น เลขที่หนึ่งที่แย่ที่สุดในโรงเรียน

    “ค่ะ” ฉันได้แต่ตอบไปแบบนั้น เพื่อให้อาจารย์เลิกส่งสายตาฝากความหวังมาให้ฉันเสียที

    “ฉันกลับบ้านก่อนนะลิน พ่อมารับแล้ว” เฟรย์โบกมือให้ฉัน และเดินออกจากห้องเรียนไป

    อิจฉาคนอื่นจังนะ ที่มีพ่อแม่มารับมาส่งทุกวัน แต่ก็ทำไงได้ล่ะ พ่อของฉันป่วยหนัก ต้องไปรักษาตัวที่อเมริกา โดยมีแม่ตามไปดูแล ทิ้งฉันไว้คนเดียว ฉันต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาถึงสามปีแล้ว แม้ว่านานครั้งแม่จะกลับมาหาฉันบ้าง แต่ชีวิตฉันก็ยังถือได้ว่า ขาดความอบอุ่น เมื่อเทียบกับครอบครัวอื่นๆ

    ฉันต้องเดินกลับบ้านที่ไกลกว่าสองกิโลเมตรทุกวัน เพื่อแวะซื้อของใช้จากตลาดระหว่างทาง มีไม่กี่วันที่แม่ฉันกลับมา ที่จะได้นั่งรถเมล์กลับบ้าน เพราะไม่ต้องแวะซื้อของ

    และในวันนี้ก็เหมือนกัน ฉันแวะเดินเข้าตลาดเพื่อซื้อวัตถุดิบในการทำอาหาร วันนี้ร้านปลาตรงนั้นกำลังลดราคาฉลองวันเกิดเจ้าของร้านอยู่พอดี ฮิฮิ ประหยัดเงินในกระเป๋าไปหลาย!

    “ลดราคาจ้า ปลาราคาถูกๆ สดใหม่เหมือนออกจากบ่อจ้า”

    “ขอปลาสลิดสามตัวค่ะ” ฉันพูดพร้อมกับควักกระเป๋าเงินออกมา

    เหมือนมีลมเย็นๆ พัดผ่านผิวกายของฉัน และหอบเอาสิ่งที่อยู่ในมือของฉันติดไปด้วย กระเป๋าสตางค์ของฉันถูกวิ่งราวไป!

    “ช่วยด้วยค่า!! ผู้ชายคนนั้นฉกกระเป๋าฉันไป!!!” ฉันร้องตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง คนทั้งตลาดหันมามองฉันกับโจรนั่นสลับกันไปมา แต่ก็ไม่มีใครช่วยฉันซักคน อาจจะกลัวมีดในมือของโจรนั่นก็ได้ เงินน่ะฉันไม่หวงหรอก ถือซะว่าทำทานให้หมา แต่กระเป๋านั่นเป็นกระเป๋าที่คุณยายของฉันเย็บให้ก่อนตายน่ะสิ

    โธ่เอ้ย! มันวิ่งไปจนจะสุดแล้วนะ! ไม่มีใครคิดจะช่วยฉันซักคนเลย

    ฉันวิ่งตามมัน แต่เจ้าโจรนั่นทั้งตัวโตกว่า แถมยังเป็นผู้ชาย ฉันก็เลยถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ

    “แฮ่ก...แฮ่ก...”

    แล้วมันก็วิ่งไปถึงรถมอเตอร์ไซค์ของมัน ฉันคงหมดสิทธิ์จะได้กระเป๋าใบนั้นคืนแล้วล่ะ

    ...คุณยายคะ หนูขอโทษ...

     

    ฉันได้แต่กลับบ้านมาร้องไห้ วันนี้เป็นวันที่แย่ซะจริง โชคชะตาไม่เคยเข้าข้างฉันเลยซักครั้ง

    กระจกย่อมมีสองด้าน ก็เหมือนกับชีวิตเราที่มีทั้งด้านดีและไม่ดี

    แต่ฉันคนหนึ่งแหละ ที่พระเจ้าสร้างมาเป็นกระจกแบบห่วงเมอบิอุส

     

    (ห่วงเมอบิอุส คือห่วงที่มีเพียงด้านเดียว ลองเอาแถบกระดาษมาพลิกหนึ่งทีแล้วติดกันด้วยเทปใส แล้วลองใช้ดินสอลากเส้นไปบนกระดาษให้ขนานกับขอบดูสิ!)

     

    กริ๊ง!!

    “งืม...” ฉันคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างหงุดหงิด พร้อมกับมองชื่อคนที่บังอาจโทรมาปลุกฉันคนนี้ได้

    แม่

    แม่โทรมาอะไรตอนนี้เนี่ยยย!!

    “ฮาโหลลล”

    “เสียงลูกดูง่วงๆ นะลูก”

    ก็เออสิแม่! เล่นโทรมาซะเช้าขนาดนี้ ไม่ง่วงก็แย่และ

    แต่ตอนนี้อเมริกาเป็นตอนดึกนี่นา เฮ้อ! ช่างเหอะ

    “แม่ขอโทษนะที่อยู่ดูแลลูกไม่ได้ ลูกคงจะเหนื่อยมากล่ะสินะ อย่าหักโหมร่างกายมากนะลูก วันไหนเหนื่อยๆ โดดเรียนไปบ้างก็ได้นะ”

    “ค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ว่าแต่ แม่โทรมาทำไมหรือคะ”

    “คือว่า เสาร์อาทิตย์นี้แม่คงจะไปหาลูกเหมือนที่บอกไว้ไม่ได้แล้วล่ะ พ่อเราน่ะ อาการหนักมาก ต้องมีคนเฝ้าตลอดเวลา...”

    อาการของพ่อหนักขึ้นอีกแล้ว

    แค่คิด น้ำตาของฉันก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย

    “ลิน ลิน เป็นอะไรไปลูก”

    “อ๋อ...เปล่าค่ะ” ฉันปาดคราบน้ำตาทิ้ง และกลั้นสะอื้นตอบไป แต่ดูเหมือนว่า คนที่เลี้ยงดูอุ้มชูฉันมาตั้งแต่เกิดอย่างคุณแม่จะจับพิรุธจากเสียงฉันได้

    “ไม่ต้องร้องไห้ไปนะลูก เดี๋ยวพ่อก็หาย”

    ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร ฉันก็ไม่เคยโกหกแม่ได้เลยสักครั้ง

    “ค่ะ”

    “แม่ไม่รบกวนแล้วนะลูก เรียนให้สนุกนะ”

    “ค่ะ”

    ฉันยังคงเอาโทรศัพท์แนบหูเอาไว้อย่างนั้น แม้ว่าแม่จะวางสายไปนานแล้วก็ตาม น้ำตาที่กลั้นเอาไว้เมื่อครู่ไหลออกมาเหมือนเขื่อนทลายลง

    ตอนนี้ฉันทำได้เพียงแค่ภาวนา ภาวนาให้พ่อมีชีวิตต่อไปได้อีกนานๆ

    เฮ้ย!! เจ็ดโมงครึ่งแล้วนี่นา ไปโรงเรียนไม่ทันแล้ว น้ำก็ยังไม่ได้อาบ ฟันก็ยังไม่ได้แปรง ของก็ยังไม่ได้จัด อ๊ากกกก!!

    ช่างมัน! น้ำไม่ต้องอาบแล้ว ไปแปรงฟันที่โรงเรียนก็แล้วกัน

    ฉันคว้าแปรงสีฟันกับยาสีฟันเข้ากระเป๋าไป และกระโจนออกจากประตูบ้านไปอย่างรวดเร็ว ในสภาพที่ฉันคิดว่าแย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา กระดุมเสื้อเพิ่งติดไปสองเม็ดครึ่ง กระโปรงยังไม่ได้รูดซิบ

    ทำไงได้ล่ะ ก็มันเป็นเหตุสุดวิสัย!

    โชคดีที่วันนี้ฉันมาทันรถเมล์แบบฉิวเฉียด ฉันเลยมาถึงโรงเรียนทันเวลาพอดี

    เอ่อ... หมายถึงมาทันเวลาเรียนอ่ะนะ ไม่ใช่เวลาเข้าแถว

    ฉันเหวี่ยงกระเป๋าลงกับเก้าอี้ และหย่อนก้นลงไปตามๆ กัน

    “เฮ้อ” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกปนเหน็ดเหนื่อย ฉันเตรียมจะฟุบลงกับโต๊ะซะแล้ว หากไม่มีเสียงของใครคนหนึ่งดังขัดขึ้นมาก่อน

    “นี่เธอ!!!

    ฉันหันควับไปยังต้นเสียง ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ไหนไกล คนที่นั่งข้างๆ ฉันนั่นแหละ

    โอ้ย!!! เมื่อกี้รีบไปหน่อยเลยมองไม่เห็น คนอะไรวะหล่อเว่อร์ๆ

    “อะไร ยัยเอ๋อ จ้องทำไม”

    หูยย!! ปากแบบนี้มันต้องจับมาฟอกสบู่ซักห้ารอบ

    “ทำอย่างกับว่าเกิดมาไม่เคยเห็นมนุษย์โลก”

    สงสัยสบู่จะเอาไม่อยู่แฮะ ราดวิกซอลใส่ปากเลยน่าจะดีกว่า...

    “แล้วเรียกฉันทำไม”

    “เปล่า แค่ดูปฏิกิริยาตอบสนอง” เขาตอบ พร้อมกับยักคิ้วให้หนึ่งที ดูแล้วกวนส้นเป็นบ้า คนแบบนี้เนี่ยนะตัวแทนประเทศ?

    หน้าตาดี สมองดี แต่ปากวอนส้นแบบนี้ก็ไม่เอาด้วยหรอกนะ

    “แทน นี่เนื้อหาที่เรียนไปเมื่อวานนะ ฉันซีร็อกซ์ไว้ให้แล้ว” เฟรย์วางกองกระดาษกองหนึ่งบนโต๊ะของเจ้าหมอนั่น  อ้อ! มันชื่อแทนหรือเนี่ย ชื่อตลกเป็นบ้า!

    “ใคร?”

    “ก็ฉันไง ฉันซีร็อกซ์ไว้ให้นาย”

    “ใครถาม?”

    ฮื่ย!!! ขนาดกับผู้หญิงสวยๆ ยังไม่เว้น ปากน่ายัดรองเท้าใส่จริงๆ

    “นายนี่ตลกดีเหมือนกันนะ” เฟรย์พูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่ของตัวเอง

    นี่ก็แม่พระซะจริ๊ง!! เค้าพูดแบบนั้นยังยิ้มอยู่ได้อีก

    อ๊ะ!! ใช่แล้ว ผู้หญิงแม่พระ ผู้ชายกวนส้น แถมยังหน้าตาดีทั้งคู่

    นี่มัน คู่จิ้นในตำนาน!!!









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×