ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC EXO] Just A Beat (KaiBaek)

    ลำดับตอนที่ #12 : ◆ Just A Beat - Part [10]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.66K
      13
      22 ก.ค. 56







    Just A Beat
    Pairing : Kai x Baekhyun
    ft. LuMin , HunSoo




    *พาร์ทนี้ มันจะรวมมิตรมาก และยาวกว่าพาร์ทอื่นเล็กน้อย 
    มีบททุกคน ออกแนวป่วงๆ (หน่วงบ้างบางบรรทัด) 
    ไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ด้วย
    ขอเชิญอ่านฟิคเวิ่นๆเรื่องนี้ค่ะ ;___;



     

    130722

    .. Part 10 ..




     


    เด็กมัธยมปลายหลายคนเดินสวนกันไปมาในทางเดินของอาคารเรียน เวลาเลิกเรียนที่รอคอยมาถึงเสียที

     

    “แพคฮยอนมึงเอาการบ้านกูไปลอกแล้วไม่คืนเหรอ”

    “เปล่านี่ กูคืนมึงแล้วนะเซฮุน”

    ตอนไหนวะ”

    “ไว้ไปถามคยองซูดูเอา เผื่อเก็บไว้ให้”

     

    ใบหน้าขาวๆยังคงล้วงกระเป๋าทั้งสองข้างแล้วเดินเชิดหน้าเคี้ยวหมากฝรั่งตุ้ยๆไปตามอาคารเรียนพร้อมกับเพื่อนรัก สายตาของเขามองคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป

    กลุ่มเด็กห้องเอที่แสนสมบูรณ์แบบกำลังคุยอะไรกับอาจารย์ผู้หญิงคนหนึ่งที่กับพวกเขาแล้วทำตัวอย่างกับเป็นแม่ แต่พอกับพวกนักเรียนดีเด่นสุดรักแล้วกลับยิ้มแย้มจนหน้าบาน หล่อนเดินออกมาจากคนกลุ่มนั้นแล้ว แต่คนที่แพคฮยอนยังเผลอมองอยู่กลับเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในนั้น

     

    “มึงมองอะไรวะแพคฮยอน”

    “เปล่า....”

    “ถ้าอาเจ๊นั่น ฉันล่ะเบื่อ ..” หนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักยักไหล่ให้เพื่อนที่ตัวเตี้ยกว่าเขา แต่ความเก๋านั้นเจ้าตัวกลับนำโด่งไปแบบไม่ฟังใคร

     

     

    “นี่พวกเธอ ... นั่นอะไรกัน ชายเสื้อทำไมปล่อยออกแบบนั้น มานี่เลยนะ!

    เสียงเอ็ดตะโรของอาจารย์คนนั้นดังมาเข้ามาใกล้พวกเขาแล้ว

     

    “เฮ้ย ..” แพคฮยอนและเซฮุนเดินหนีไม่ทันแล้ว

    “นี่หลายทีแล้วนะพยอนแพคฮยอน โอเซฮุน อย่าคิดว่ามากันแค่นี้แล้วครูจะไม่เห็นนะ บอกหลายหนแล้วนี่ว่าอย่าทำตัวผิดระเบียบ แล้วนั่นอะไร รองเท้า ... ตายๆๆๆ ใครให้เธอใส่รองเท้าแบบนี้มาโรงเรียนกันฮะ ......”

     

    พวกเขาได้แต่ยิ้มแหยๆแล้วก้มหน้าให้เสียงแหลมๆนั้นเทศนาและบอกว่าจะตัดคะแนนความประพฤติเท่าไหร่บ้าง

     

     

     

    ห่างออกไปยังกลุ่มนักเรียนที่อาจารย์เพิ่งเดินจากไป ใบหน้าคมยืนนิ่งมองไปยังภาพของคนทั้งสองที่กำลังถูกกักตัวเอาไว้ เขาไม่ได้แสดงออกว่ามันน่าขันหรือเห็นใจอะไร

    “มองอะไรน่ะจงอิน สองคนนั้น สงสารเค้าเหรอ”

    “สงสารทำไม”

    “งั้นไปกันเถอะ เลิกเรียนแล้วนะ”

    “อืม”

     

     

    ใบหน้าเฉยเมยหันกลับจากภาพนั้นแล้วเดินตามเพื่อนไป เสี้ยวนาทีที่ไม่มีใครเห็นนั้นเขากำลังถอนหายใจออกมาเบาๆ ริมฝีปากเบะลงเล็กน้อยอย่างเบื่อหน่าย นึกถึงคนที่เขาเห็นบ่อยๆเพราะผิดระเบียบประจำก็ต้องยกยิ้มขึ้น

     

    หึ ... ถึงพวกนายจะโง่ที่ไม่รู้จักทำตัวดีๆเพื่อคะแนน แต่ยังดีนะที่ได้ทำอะไรตามใจ ... แต่ก็ไม่เอาไหนอยู่ดีล่ะนะ

     

     

    เฮ้อ .. เบื่อจริง

     

     

     

    เรื่องราวในวันวานที่แสนห่างไกล ไม่มีใครสักคนในนั้นหรอกที่รู้ว่าอนาคตจะมีเรื่องไม่คาดคิดอะไรบ้างเกิดขึ้นกับตัวเอง .. โดยเฉพาะกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้แม้แต่พูดคุยกัน

     

     

     

      

     

     

     

     

    “ดูมันนะเซฮุน ฉันจะทำงานก่อน”

     

    คยองซูพูดแล้วก็หันกลับมาก้มหน้ากับงานบนโต๊ะญี่ปุ่นที่อยู่ข้างกับเตียงนอนในห้อง พวกเขาอยู่ในห้องของเซฮุนที่หอพักไม่ห่างจากมหาวิทยาลัย

     

    แพคฮยอนนั่งขัดขาอยู่บนเตียงข้างกับเซฮุน กระป๋องเบียร์ในมือถูกยกกระกดเข้าปากจนหมด แพคฮยอนโยนมันลงถังมุมห้อง แต่มันกลับกลิ้งลงที่พื้น

    “ห้องกูนะ ดูมึงทำ”

     

    คนทำไม่พูดอะไรนอกจากมองกระป๋องเบียร์ในมือของเพื่อนแทน

    “ทำไม จะเอาเหรอ” เซฮุนถาม

    “ไม่หรอก หมดแล้วก็ช่าง กินๆงั้นแหละ”

    “มาแปลกนะวันนี้ คืนดีกับสุดที่รักแล้วเลยอารมณ์ดีงั้นสิ”

    “เฮ้ย!!! พูดอะไรวะเซฮุน มึงอย่ามามั่ว” แพคฮยอนตะโกนลั่นเมื่อเซฮุนกำลังพูดถึงคิมจงอินด้วยคำแทนที่เขาแสนจะไม่อยากได้ยิน คยองซูตวัดตามองด้วยความตกใจ

    “ตะโกนทำไมวะกูทำงานอยู่”

    “ก็เซฮุนที่รักของมึงปากไม่ดีเองนะคยองซู มาว่ากูก่อน”

    “แพคฮยอน ... มึงพูดเชี่ยไรวะ” เป็นคยองซูบ้างที่ร้องขึ้นมา เขาหันสบตากับแพคฮยอนนิ่งอย่างไม่พอใจ แต่ภายใต้ใบหน้าเอาจริงเอาจังแบบนั้นกลับเห็นสายตาหลอกแหลก

     

    แพคฮยอนถือโอกาสเอาคืนเพื่อนทันที ดวงตาเรียวเล็กหรี่ลงแล้วยิ้ม

    “แน่ะๆๆคยองซู ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง” แพคฮยอนเอ่ยอย่างเหนือกว่าก่อนจะมองหน้าเซฮุนบ้างที่เอาแต่แอบส่งสายตาคาดโทษมาให้

     

    “หุบปากนะแพคฮยอน” เซฮุนและคยองซูเอ่ยพร้อมกันโดยไม่ได้นัด ทั้งสองจ้องหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะเบนออก

     

    แพคฮยอนหัวเราะลั่น

     

    “เออๆๆ ล้อเล่นน่ะ อย่าโกรธกูเลย”

     

    แพคฮยอนถอนหายใจก่อนจะเงียบไป วันนี้เขาไม่ได้มานั่งเมาแบบทุกที พักหลังๆมานี้เพื่อนๆก็ชอบพูดว่าเขาเปลี่ยนไป

    “แพคฮยอน ถามจริงเหอะ มึงมีปัญหาอะไรรึเปล่า ทะเลาะกับคุณน้าอีกเหรอ” เซฮุนรีบถามเพราะห่วงเพื่อนและอยากจะเปลี่ยนเรื่องด้วย

    “รายนั้นก็ทะเลาะกับกูทุกวันล่ะน่ะ”

    “งั้นเป็นอะไร ดูแปลกๆนะพักนี้”

    “เฮ้อ .. ถามพวกมึงนิดนึงได้ป่ะ”

    “ว่า.....”

    “พวกมึงก็เคยมีแฟนมาก่อน ไม่สิ มึงคนเดียวอ่ะเซฮุน” แพคฮยอนพูดเรียบๆ แต่คยองซูที่ได้ยินกลับต้องเบ้ปากอยู่คนเดียว

    “พูดเหมือนมึงไม่เคยมีนะแพคฮยอน .. ทำไมเหรอวะ”

    “กูแค่อยากรู้ว่า การที่เรารู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญกับใครสักคนที่เราอยากให้เค้าเห็นว่าเราสำคัญ .. แบบนั้นมันเรียกว่าไงดีวะ”

    “ถามแปลกๆนะ โง่ป่ะวะ”

    “ไม่รู้สิ กูจริงจังนะ”

    “แล้วเพื่อนหรือคนอื่นล่ะ”

    “ก็ไม่เชิงว่าเพื่อน แต่ก็ไม่ถึงกับคนอื่น”

    “งืม ตกหลุมรักป่ะวะ”

    “.................. มึง ว่าไงนะ”

    “ก็บอกว่าตกหลุมรักไง หมายถึงว่ายิ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่เพื่อนด้วยแล้ว”

    “งั้นเหรอ”

    “เออดิ นี่สมองถูกกระทบกระเทือนป่ะวะ .. ว่าแต่ว่า สวยป่ะล่ะ น่ารักมั้ยๆๆ” เซฮุนทำท่าอยากรู้

    “เอ่อ.....”

    “หรือขี้เหร่”

    “ก็ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงล่ะ”

    “เอ้า .. แล้วมันยังไงล่ะนั่น อีกอย่างกูว่าไม่ใช่เพื่อนแล้วล่ะแพคฮยอน ก็เพื่อนมึงจะมีใครนอกจากพวกกู หรือไอ้พวกไม่เอาไหนที่มึงคบๆอยู่”

     

     

    “มึงนี่ไม่เข้าใจอะไรเลยนะเซฮุน เป็นตุ๊ดซะเปล่า” เป็นคยองซูที่เอ่ยข้ามโต๊ะมาบอกแทน

     

    เซฮุนหันมามองหน้าอีกฝ่ายที่เหมือนจะรู้อะไร คยองซูส่ายหน้าก่อนจะก้มลงทำงานที่ต้องส่งต่อไป เจ้าของห้องขมวดคิ้วแล้วหันกลับมา เขามองสายตาละห้อยของไอ้เพื่อนตัวดีที่ดูจะมีปัญหาที่คิดไม่ตก

    “แพคฮยอน มึงโอเคป่ะวะ มึงเป็นไรวะ มึงไปแอบชอบใครรึเปล่า อกหักตอนไหนอีกวะเนี่ย”

    “.................”

     

    แพคฮยอนตวัดมองเซฮุนอีกครั้งกับท้ายประโยคที่อีกฝ่ายพูด

     

    “ช่างเหอะ เย็นมากแล้วกูกลับก่อนละกัน”

     

    ว่าแล้วก็เดินคอตกออกจากห้องไปท่ามกลางสายตาของเพื่อนทั้งสอง ชายหนุ่มเดินออกมาตามทางเดินของชั้นในหอพักสูง เขาเดินตรงไปยังลิฟต์เก่าๆที่ตรงหัวมุมติดกับบันได แพคฮยอนเอาแต่เหม่อและเพิ่งนึกได้ว่าเขาลืมกระเป๋าไว้ในห้องของเซฮุน

     

    เขาเดินย้อนกลับมาจนสุดทางเดินของชั้น แพคฮยอนเปิดประตูห้องได้นิดหน่อยก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ก่อนออกมาไม่ได้ล็อกห้องให้เพื่อนเลย แต่ยังไม่ได้จะผลักเข้าไปสายตาก็ต้องมองลอดไปเห็นบางอย่าง

     

     

    โต๊ะญี่ปุ่นที่คยองซูนั่งอยู่ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยน จะเพิ่มมาก็แต่เซฮุนที่ลงมานั่งด้วย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้นั่งลงข้างๆหรือตรงข้าม คนตัวสูงกว่ากำลังนั่งสอนการบ้านเพื่อนโดยที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง เซฮุนชันขาข้างหนึ่งเอาไว้โดยตัวแนบชิดติดอยู่กับแผ่นหลังของคยองซู สองแขนวางลงบนโต๊ะกำลังชี้เรื่องงานบนกระดาษไป ใบหน้าขาวๆเอาคางเกยไว้ที่ไหล่เล็กๆนั่นแล้วเอ่ยเสียงแปร่งๆไป

     
     

    แพคฮยอนมองเพื่อนด้วยใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ อะไรคือการที่คยองซูเอาแต่พยักหน้าอยู่กับโต๊ะโดยมีเซฮุนนั่งกอดอยู่ข้างหลังและอธิบายอยู่ข้างหูจนปากจะติดกับแก้มอยู่แล้ว

     
     

    แพคฮยอนหายใจติดขัดเล็กน้อยก่อนจะรีบสะบัดหัวไปมา เขาชอบมองเพื่อนสองคนแบบนี้อยู่ลึกๆแต่ยิ่งนับวันมันยิ่งชวนคิดเกินเลยมากกว่านั้น ช่างเถอะ คงไม่ได้มีอะไรหรอกมั้ง สนิทกันไปรึเปล่านะ

     
     

    “อะแฮ่ม ...”

     
     

    แพคฮยอนกระแอมไอดังๆเรียกให้ทั้งสองคนหันมา คยองซูเลิกคิ้วเล็กน้อยต่างกับเซฮุนที่อึ้งไปก่อนจะรีบผละออกจากคยองซูแล้วลุกขึ้นไปนั่งที่เตียงแทน

     

    “เอ้อ มึง ลืมอะไรเหรอแพคฮยอน” เซฮุนรีบถาม

    “ลืมกระเป๋าน่ะ”

     

     

     

     

     

    หลังจากเอากระเป๋าแล้วแพคฮยอนก็เดินกลับออกมาอย่างรวดเร็ว ในหัวเก็บเอาภาพเพื่อนมาคิดไปต่างๆนานา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เห็นสองคนนั้นแบบนั้น คิดย้อนไปแต่ไหนแต่ไรสองคนนี้ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เซฮุนทำแบบนั้นกับคยองซูยกเว้นแต่กับเขา แต่มาวันนี้ทำไมมันถึงได้สะกิดใจเขาเหลือเกินนะ

     

     

     

     

      

     

     

    เช้าอันสดใสเหมาะแก่การเริ่มวันใหม่ที่ดีกำลังเริ่มต้น

     

    รถสีบลอนด์เงินคันสวยแล่นไปตามทางอย่างไม่รีบร้อนนัก ลู่หานบังคับพวงมาลัยพลางนั่งยิ้มไปตลอดทาง เขากำลังแวะไปส่งแม่ที่บ้านของคุณอา หลังจากนั้นก็จะได้ตรงไปมหาวิทยาลัยกับคนน่ารักที่นั่งอยู่เบาะหน้าข้างกับเขา

     

    “อารมณ์ดีแต่เช้าจริงนะไอ้ลูกคนนี้” เสียงคุณแม่คนสวยที่นั่งไขว่ห้างอยู่เบาะหลังเอ่ยขึ้น หญิงวัยกลางคนจับปอยผมตรงขึ้นเหน็บข้างหูพลางส่ายหน้าให้ลูกชายตัวเอง

    “โถ่แม่ .. ผมก็อารมณ์ดีทุกวันแหละ ไม่เชื่อถามมินซอกดูสิ”

    “ฉันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”

    “เกี่ยวสิ มารับนายไปเรียนด้วยกันฉันก็อารมณ์ดีทุกวันอยู่แล้ว” มินซอกไม่พูดอะไรนอกจากหันหน้างอๆของตัวเองที่เริ่มเปลี่ยนสีออกไปอีกทาง

     

     

    แม่ของลู่หานได้แต่อมยิ้มน้อยๆกับเพื่อนลูกชายที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ

    “อดทนเอานะมินซอก ลู่หานก็แบบนี้แหละ ป้าว่าเลี้ยงมาดีแล้วนะทำไมโตขึ้นมาถึงได้ไม่ค่อยเต็มแบบนี้”

    “ครับคุณป้า ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ”

     

    ลู่หานได้แต่ปล่อยให้คนทั้งสองหัวเราะเขาอย่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

     

    “แม่กับมินซอกเข้าขากันดีตลอด .. นายไม่มาเป็นลูกอีกคนของแม่ฉันเลยล่ะ”

    “....................”

    “ว่าไงครับแม่ อยากได้มินซอกเป็นลูกอีกคนมั้ย”

     

    ลู่หานหัวเราะลั่น เขาดีใจที่ได้ทำให้คนข้างกายต้องหน้าแดงจนพูดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มสบตากับแม่ผ่านกระจกมองหลังที่กำลังทำตาเอ็ดเขาที่ไปแกล้งเพื่อนแบบนั้น ลู่หานอยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาไม่ได้แกล้ง

     

     

     

     

    เมื่อถึงบ้านของของญาติที่ว่านั่นก็คือบ้านของคริสตัลนั่นเอง คนเป็นแม่บอกลาลูกชายแล้วเดินไปยังรั้วใหญ่ ได้ลูกชายมาส่งแทนคนขับรถจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

     

     

     

    “เมื่อกี้ปากเหรอลู่หาน” มินซอกตวัดสายตามาถาม

    “อะไร เรื่องอะไร”

    “ก็เรื่องลูกอีกคนอะไรนั่นไง นายจะหมายความว่ายังไง นอกจากฉันจะไม่ขำแล้ว การล้อเล่นแบบนั้นก็ควรเกรงใจคุณป้าบ้างสิ”

    “ใครบอกว่าฉันล้อเล่นล่ะ”

    “..............”

    “ไว้เรียนจบแล้วจะให้แม่ไปขอนะ”

     

    “ นาย...................”

     

     

    มินซอกหน้าแดงแปร๊ดอย่างปิดไม่มิด เขายกมือขึ้นอยากจะทุบไอ้คนปากไวนี่จริงๆ พูดออกมาได้หน้าไม่อาย แต่ที่แย่กว่าคือเขาอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

     

     

     

     

    ลู่หานยิ้มกริ่มอย่างพอใจก่อนจะตวัดหัวรถออกมาเพื่อตรงไปยังมหาวิทยาลัย แต่แล้วสายตาของเขาต้องสะดุดกับใครสักคนที่ยืนอยู่ข้างกับรถที่จอดห่างออกไปไม่ไกลจึงเหยียบเบรกลงทันที

    “มีอะไร” มินซอกถาม

    “คือ นายเห็นมั้ยคนนั้นน่ะ ที่ฉันเล่าให้ฟัง” เขาชี้มือออกไปยังถนนอีกฝั่งให้เพื่อนดู

    “คนที่ชื่อ เฮนรี่...”

    “อืม”

    “เค้ามาทำอะไรอีกล่ะ มาหาคริสตัลเหรอ”

    “ไหนว่ากลับไปแล้วไง”

    “แล้วนายจะทำยังไง”

    “ก็ไม่ทำไงหรอก .. เราไปกันเหอะ”

    “จะดีเหรอ”

    “ไม่ใช่เรื่องของฉัน ไม่ได้อยากยุ่งเหมือนตั้งแต่แรกนั่นแหละ” ชายหนุ่มทำหน้าจริงจังต่างไปจากทุกที

     

     

    มินซอกรู้ดีว่าภายใต้ความขี้เล่นและไม่แยแสใครนั้นจริงๆแล้วไม่ใช่ว่าไม่คิด ปากบอกว่าไม่แต่ข้างในกลับใส่ใจ

     

     

     

    แล้วเป็นอย่างที่คิด สุดท้ายแล้วร่างสูงโปร่งของลู่หานก็เดินลงมาจากรถแล้วตรงไปหาคนที่ยืนด้มๆมองๆไปทางรั้วใหญ่นั้น

    “โทษนะ นายชื่อเฮนรี่ใช่มั้ย” ลู่หานถามออกไปตามปกติ ก็ครั้งที่แล้วเขาเห็นอีกฝ่ายพูดภาษาเกาหลีได้อย่างดีจึงคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร

     

    ใบหน้าเศร้าๆหันมายิ้มให้เขาเล็กน้อย

    “ใช่แล้ว ฉันชื่อเฮนรี่”

    “ฉันเป็นเพื่อนกับจงอินและคริสตัล อย่าว่างั้นงี้เลยนะ นายมีธุระอะไรกับคริสตัลรึเปล่า แล้วไหนบอกว่าจะกลับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไง” ลู่หานถามเรียบๆ

    “ฉันแค่ เอ่อ .. อยากเจอเค้าอีกครั้งน่ะ เลยเลื่อนกลับเป็นวันนี้”

    “โทษนะ แต่คริสตัลเค้าไม่อยากเจอนายแล้ว อย่าเสียเวลาอีกเลย”

    “แต่ฉัน .. ถึงแม้ว่าจะได้เจอกันตอนเปิดเทอมที่มหาลัย แต่คงเป็นคนอื่นกันไปแล้ว ฉันอยากเจอ อยากบอกก่อนไป....”

     

    ชายหนุ่มพูดไม่ทันจบก็ต้องฝืนยิ้มต่อ ลู่หานมองยิ้มเศร้าๆของเฮนรี่โดยที่เขาเองก็พูดอะไรไม่ออก มินซอกเดิมตามลงมาก่อนจะหยุดลงข้างกับเขาแล้วมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเห็นใจ

     

    “ยังไงคริสตัลก็ไม่มาเจอนายหรอก ฉันว่าอย่ารอเลยนะ เค้ากับจงอินไม่มีทางเลิก.....”

    “ฉันรู้ ฉันรู้ดี .. คนมาทีหลังไม่ได้จะขัดขวางอะไรพวกเขา”

    “................”

    “ถ้าอย่างนั้น นายช่วยอย่างได้มั้ย”

    “อะไร”

     

     

     

     

     

     

    การมีเรียนตอนเช้ามันช่างน่าหงุดหงิดสำหรับพยอนแพคฮยอนเหลือเกิน แต่วันนี้เขากลับไม่ได้สนใจเรื่องนั้นนอกจากเดินเหม่อๆมาตามทาง ในหัวคิดเรื่องนั้นจนไม่มีความสุข แพคฮยอนกำลังตัดสินใจว่าจะไปงานวันเกิดของจงอินดีหรือไม่ เขาไม่อยากไปเพราะไม่อยากเจอสังคมที่ไม่ใช่ตัวเอง ที่สำคัญไม่อยากเจออีกฝ่าย ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว

     

     

    ไม่อยากเป็นเพื่อนแม้แต่นิด

     

     

    “พี่แพคฮยอน!

    เสียงเรียกดังมาจากสนามบาสในโรงยิมที่เขาเดินผ่าน แพคฮยอนหันไปก็พบว่ารุ่นน้องปีหนึ่งกลุ่มเดิมกำลังตะโกนเรียกเขา หนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาตบมือลงที่ไหล่ของเขาแรงๆ

    “เบาๆเว้ย”

    “มาแจมกันหน่อยสิพี่ ไม่เจอนานเลย!!

    “ฉันมีเรียนว่ะ”

    “ดูเวลาสิพี่ นี่ยังเช้าอยู่เลย”

     

    แพคฮยอนอยากบอกว่าไม่มีอารมณ์เท่าไหร่ เขาก้มมองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือก็พบว่ายังเหลืออีกครึ่งชั่วโมงได้ เอาสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง .. อีกอย่าง ได้ออกกำลังหน่อยคงจะดีขึ้น

     

     

     

     

     

    เด็กเอกบริหารหลายคนแทบจะต้องวิ่งแล้วเบียดตัวเองเข้าไปในห้องเลคเชอร์กว้างๆเพราะเลยเวลาเรียนมาได้หลายนาทีแล้ว

     

     

    ทางเดินด้านหนึ่งของตึกมีนักศึกษาชายสองคนที่กำลังก้าวเร็วๆเพื่อไปให้ทันเรียน

    “ให้ตายเหอะ ถ้าไม่ต้องวิ่งเอาจดหมายของหมอนั่นเข้าไปให้ยัยคริสตัลที่บ้านนะ ป่านนี้เราไม่มาสายแบบนี้หรอก” ลู่หานบ่นมาตามทางพร้อมกับมินซอกที่ก้าวฉับๆมาด้วย

    “ทำเป็นบ่นนะ ก็เห็นว่าทุกทีต้องให้ฉันลากมาถึงจะทันเรียน”

    “มินซอกอ่า ก็ฉันเป็นห่วงว่านายจะมาไม่ทันไงเล่า”

                    “เหรอ .. ก็คิดว่าเสียฟอร์มที่ช่วยเฮนรี่ซะอีก”

    “หึ ก็แค่จดหมายบอกลาล่ะมั้ง ถือว่าสงสารอ่ะนะ แล้วนายเห็นมั้ยล่ะหน้ายัยนั่นตอนเราไปหาที่ห้อง อย่างกับคนไร้วิญญาณ ฉันล่ะอยากให้จงอินมันมาเห็นเวลาแฟนมันทำหน้าแบบนั้นจริงๆ”

    “แล้วนายรู้ได้ไงว่าจงอินมันไม่เห็น เค้าสองคนคงคุยกันจนเข้าใจแล้วมากกว่า”

    “อืม นั่นสิเนอะ”

     

     

     

    ด้านทางเดินอีกฝั่งก็เช่นกัน คนหนึ่งก้าวเร็วๆพลางหน้างอเพราะเลยเวลาเรียนมามากแล้ว ส่วนอีกคนที่ก้าวตามหลังก็ได้แต่แก้ตัวให้พ้นผิดด้วยเสียงยืดๆตามสไตล์

    “ไม่เอาน่ะคยองซู นานๆทีมาสายเองนะ”

    “ก็ถ้าเมื่อคืนมึงไม่พาทำข้อนั้นผิด จะได้แก้หมดมั้ยเล่า รู้งี้ทำเองก็ดีหรอก คืนนี้ไม่ค้างกับมึงแล้วด้วย”

    “คยองซูอ่า ..”

    “อย่ามาทำเสียงแบบนี้  รีบๆเข้าเลย ถ้ากูไม่ได้ที่นั่งหน้าๆก็เพราะมึงนะเซฮุน”

     

     

    คนถูกว่าไม่เถียงอะไรนอกจากอ้าปากหาวหวอดๆแล้วก้าวตามไปติดๆ

     

     

     

    ระหว่างที่อาจารย์กำลังสาธยายบางอย่างหลังจากเข้าเนื้อหามาได้หลายนาที คนทั้งสี่เจอกันอยู่หน้าประตูก็รีบเดินหาที่นั่งไปตามระเบียบ พวกเขาเดินขึ้นไปส่วนบนที่พอจะเหลือที่นั่งอยู่ไม่กี่ที่

     

    ลู่หานนั่งลงข้างกับมินซอกก่อนจะเงยหน้ามองอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกับเขา ลู่หานและมินซอกจำได้ว่าคนทั้งสองเป็นเพื่อนของแพคฮยอน เหมือนกับที่เซฮุนและคยองซูจำได้ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนกับจงอินที่พวกเขารู้จัก

    “นั่งด้วยกันสิ มาสายก็หาที่นั่งลำบากแบบนี้ล่ะเนอะ” ลู่หานบอกด้วยความรู้สึกเดียวกัน

    “นั่นสินะ” คยองซูยิ้มให้ก่อนจะดึงให้เซฮุนนั่งลงตามเขา

     

     

    “ได้นั่งสูงๆจนได้มั้ยล่ะเซฮุน ... ว่าแต่แพคฮยอนมันมายังวะ” คยองซูชะเง้อมองไปรอบๆเพื่อหาเพื่อน

    “ไม่รู้ว่ะ ฉันก็มาพร้อมนายนี่ไงเล่า”

     

    ลู่หานที่เพิ่งมองเห็นจงอินตามที่มินซอกชี้ให้ดูว่านั่งอยู่หน้าๆนั้น เมื่อได้ยินที่สองคนข้างๆพูดกันจึงหันมาบอก

    “พวกนายมองหาแพคฮยอนอยู่เหรอ ฉันว่าไม่ต้องหาแล้วล่ะ มานู่นแล้วไง”

     

     

     

     

    ร่างเล็กที่วิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมเป้ที่ห้อยพาดไปข้างหลังนั้นหยุดลงเมื่อเข้ามาในห้องเรียน เขารีบเดินเพื่อจะตรงขึ้นไปหาที่นั่งแต่แล้วก็ถูกมือใครสักคนคว้าเข้าที่แขนเสียก่อน แพคฮยอนก้มมองก็พบว่าเป็นจงอินนั่นเอง อีกฝ่ายนั่งติดด้านนอกสุดพร้อมพยักพเยิดหน้าให้เขาเข้าไปนั่งตรงที่ว่างด้านในซึ่งอีกฝ่ายได้จองเอาไว้

     

     

     

    “นายเห็นอะไรมั้ยลู่หาน” มินซอกถาม

    “เต็มสองตา” ลู่หานทำหน้าเพลียๆ

     

    “ฉันว่า เรื่องเมื่อคืนที่แพคฮยอนมันถามเรา คงไม่ใช่สาวที่ไหนหรอกเซฮุน” คยองซูเอ่ยเบาๆ

    “เฮ้อ..............” เซฮุนถอนหายใจยาวๆแทนคำตอบที่บอกว่าเป็นไปได้

     

     

     

     

    จงอินฟังอาจารย์ไปโดยที่มีแพคฮยอนนั่งอยู่ข้างๆ คนตัวเล็กไม่มีสมาธิเรียนเลย เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะมาจองที่เอาไว้แล้วให้มานั่งด้วยกัน เขาทำทีไม่สนใจแต่แล้วกลายเป็นตัวเองต่างหากที่เอาแต่ประหม่าโดยที่อีกคนไม่ได้คิดอะไรสักนิด

    “นายจองที่ให้ฉันเหรอ”

    “ใช่น่ะสิ ในภาวะแบบนี้นายควรตั้งใจให้มาก เช่นการลองมานั่งหน้าๆแบบนี้”

    “แล้วทำไมนายต้องมานั่งด้วยล่ะ” แพคฮยอนถามเพราะไม่เข้าใจจริงๆ แต่คนถามกลับเงียบไปครู่หนึ่ง

     

    จงอินคิดในใจว่านั่นสินะ แล้วเขาทำไมต้อง ..

     

    “ก็ ฉันต้องบังคับนายไง เดี๋ยวเกิดผลสอบแย่แล้วเพื่อนนายจะหาว่าติวเตอร์อย่างฉันมันไม่ได้เรื่อง เสียชื่อแย่เลยนะแบบนั้นน่ะ”

    “งั้นเหรอ”

                   

    แพคฮยอนยิ้มแห้งๆตามเคย เขาไม่ได้หวังหรอกว่าอีกฝ่ายจะตอบอะไรที่มันดีกว่านี้ เพราะถึงยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

     

    ใจดวงน้อยเต้นๆหยุดๆไม่เคยเป็นจังหวะปกติสักครั้ง แพคฮยอนคิดว่ามันก็ดีแล้วที่จงอินเห็นว่าเขาเป็นเพื่อน ทุกวันนี้ไม่ได้เห็นแค่ด้านเดียวแบบแต่ก่อน จงอินคนแย่ๆในสายตาเขากลับเปิดเผยด้านอื่นๆให้เห็นไม่ว่าจะรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความหวังดีมีน้ำใจ หรือแม้แต่ความอ่อนแอที่เขาก็เคยเห็นมาแล้ว

     

    ... แต่ยิ่งอีกฝ่ายให้ความสนิทสนมแบบเพื่อนมากเท่าไหร่ เขากลับยิ่งวางตัวลำบากมากเท่านั้น

     

    ... แย่จัง

     

     

     

     

    “นี่ไปทำอะไรมา เหงื่อออกเยอะเชียว” จู่ๆเสียงทุ้มก็ถามขึ้นพลางส่งสายตามองไปทั่วร่างนั้น ลำคอขาวชื้นเหงื่อถูกจดจ้องตั้งแต่ท้ายทอยลงมาก่อนจะลามลงไปตามแขน จงอินตวัดมองลึกลงไปในเสื้อของแพคฮยอนที่ติดกระดุมไม่เรียบร้อย

    “มองอะไรของนาย”

    “ก็เหงื่อเต็มตัวซะขนาดนี้”

    “ไปเล่นบาสก่อนมา ถ้านายเหม็นฉันเดี๋ยวไปนั่งที่อื่นก็ได้”

    “บอกรึยังว่าเหม็นเล่า แค่รู้สึกไม่สบายตัวแทนน่ะ .. เอ้านี่”

     

    จงอินหยิบผ้าเช็ดหน้าตัวเองออกมาแล้วซับลงไปที่แก้มขาวๆนั่น แพคฮยอนตกใจกับการกระทำแบบนี้จนลืมขยับหนี นี่การที่ไปออกกำลังมาไม่ได้ช่วยอะไรแล้วยังจะสร้างปัญหาอีก เขาได้แต่มองหน้าอีกคนที่ดูจะใส่ใจกันเกินไปแล้ว จังหวะเดียวกันนั้นจงอินที่หลุบตาลงมาสบกันก็ต้องชะงัก แพคฮยอนใจจะขาดกับสภาพแบบนี้เต็มทีแล้ว

     

    “ทำบ้าอะไรของนายน่ะ!

     

    เขาเผลอตะโกนออกไปเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง เหมือนกับสายตาของเพื่อนทั้งสี่ที่มองอยู่ไกลๆ อาจารย์คนสวยที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลหันมาจ้องพวกเขาทั้งสองทันที

     
     

    “คุณสองคนตรงนั้นน่ะ ทำอะไรกัน!

     

     

    “เปล่าครับ .. ขอโทษครับอาจารย์” จงอินเป็นฝ่ายยืนขึ้นแล้วตอบให้ทุกอย่างจบไป และดูเหมือนเพราะว่าเป็นจงอินที่เครดิตดีในสายตาทุกคน อาจารย์สาวจึงไม่เอาเรื่องอะไรต่อ

     

     

     

     

    “เห็นมั้ยแพคฮยอน นายเป็นบ้าอะไรขึ้นมา” จงอินกระซิบเบาๆ

    “ก็นายทำอะไรน่ะ”

    “ทำอะไร อะไรของนายยังไง ฉันหวังดีให้ยืมผ้าเช็ดหน้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว” จงอินเอ่ยประโยคที่แสนอวดดีในสายตาของแพคฮยอนเหมือนกับทุกที แต่ทุกครั้งที่อีกฝ่ายบอกมามันตรงข้ามกับกระทำแค่ไหนจะรู้บ้างไหมนะ

    “ก็นายไม่เคยทำดีกับฉันแบบนี้ไงเล่า ใครจะไว้ใจได้”

    “บอกแล้วไงว่านายเป็นเพื่อนฉัน ทำดีด้วยแปลกตรงไหน”

    “ ................. นั่นสินะ เราเป็นเพื่อนกันนี่นา”

     

     

    แพคฮยอนเอ่ยเสียงอ่อน เขาเหมือนคนจนมุมอย่างไม่มีทางเลือก ต้องเป็นจริงใช่ไหม .. เป็นก็ได้ เป็นก็เป็น  

     

     

     

    มือหนาของอีกฝ่ายตบลงเบาๆที่ไหล่แล้วเขย่าเบาๆ โดยหารู้ไม่ว่าแรงไม่มากนั้นมันกำลังกระเทือนเข้าไปข้างในของคนที่ได้แต่ฝืนยิ้ม

     

     

    ... กระเทือนหัวใจ จนน้ำตาแทบจะไหล

     

     

     

     

     

     

     


     

     

    เย็นวันนี้จงอินก็ทำหน้าที่เป็นติวเตอร์ให้แพคฮยอนอย่างเคย

     

    “จงอิน จริงๆนายเอาแค่พวกช็อตโน๊ตอะไรของนายมาให้ฉันก็ได้นะ ไม่ต้องเจอกันบ่อยๆแบบนี้ก็ได้”

    “เป็นบ้าอะไรอีกล่ะ ขี้เกียจก็บอกมาตรงๆ”

    “เปล่า ฉันจริงจัง” แพคฮยอนตอบสั้นๆโดยที่สายตานั้นไม่ได้กำลังล้อเล่น จงอินขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

    “นายเป็นอะไร”

    “ก็นายจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไง”

    “ฉันว่าง”

    “ไม่ต้องหรอก”

     

    แพคฮยอนตอบตรงๆ จงอินมองท่าทีของคนที่ดูเหมือนไม่อยากจะเจอหน้าเขา หลายครั้งแล้วนะที่รู้สึกว่าแพคฮยอนเปลี่ยนไป คิดได้แบบนั้นก็กลับรู้สึกแย่ขึ้นมา

     

    “นายไม่อยากเจอหน้าฉันขนาดนั้นเลยเหรอ” ครั้งแรกที่ใบหน้ากวนประสาทจะแสดงความผิดหวังออกมา แพคฮยอนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย

    “เฮ้ย เปล่านะ ไม่ใช่แบบนั้น ฉันแค่หมายถึงว่าเผื่อนายจะได้ทำอย่างอื่นบ้าง แล้วการที่ฉันอ่านช็อตโน๊ตของนายก็จะได้เหมือนที่นายกำลังคิดไง”

    “งั้นเหรอ เอางั้นก็ได้”

     

     

    ทั้งสองเงียบกันไปสักพัก ก่อนจะกลับมาพูดเรื่องในบทเรียนไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ในใจต่างคนต่างคิดไปโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ล่วงรู้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เฮ้อ ............”

     

    แพคฮยอนเดินเอื่อยๆมาตามถนนหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อตรงไปยังสถานที่ทำงานพิเศษของเขา ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว อีกชั่วโมงก็คงได้เวลางาน

     

    เขาเดินก้มหน้าไปเรื่อยๆโดยยังครุ่นคิดไม่ตกกับเรื่องเดิมๆ ไม่ใช่ว่าไม่พยายามจะรู้สึกเหมือนคนเป็นเพื่อนกันทั่วไปหรอกนะ ก็ทุกครั้งเขาก็พยายามมาตลอด แต่มันก็ฝืนไม่ไหว

     

    แพคฮยอนยอมรับแล้วว่าชอบจงอิน ชอบในแบบที่ไม่ใช่เพื่อน ความเป็นจริงที่น่ารังเกียจกำลังถูกเก็บกักเอาไว้และจะไม่มีทางให้ใครได้ล่วงรู้

     

    .. ดีแล้วล่ะ เดี๋ยวก็ห่างกันไปเองนั่นแหละ เดี๋ยวก็ลืมแล้ว

     

    แพคฮยอนรู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อนผ่าว เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าเพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา ยิ่งคิดก็ยิ่งขยะแขยงตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่าหากจะหนีหน้าไม่ยอมเจอกันเลยมันก็ได้อยู่หรอก .. แต่แล้วทำไมอีกใจมันบอกว่าอยากเจอล่ะ ทั้งที่จริงก็อยากเจอหน้า อยากพูดคุย อยากอยู่ใกล้ๆ

     

     

    “ชะ เชี่ย เอ๊ย .. ฮึก ร้องทำไมวะ ....”

     

    แพคฮยอนหยุดเดินแล้วปล่อยให้น้ำตาร่วงลงมากับพื้น เขากำมือแน่นกับความรู้สึกที่ไม่เคยนึกว่าจะเกิดกับตัวเองมาก่อน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ปิ๊นๆๆๆๆ!!!!

     

    เสียงแตรรถดังมาจากด้านหลัง แพคฮยอนตกใจจนต้องผงะแล้วหันไปพบกับรถสปอร์ตคันสีขาวที่พุ่งตรงมาอย่างแรง ดวงตาคู่เรียวเบิกกว้างก่อนจะรีบกระโดดหลบไปอีกทาง

     

    ครืดดดดดดดดดด

     

    ชายหนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ ล้อที่เบรกลงไถเกยขึ้นไปกับขอบฟุตบาทก่อนจะตวัดกลับมาตั้งเป็นแนวตรงได้อย่างปกติ เขาอึ้งไปพลางคิดในใจว่าใครกันนะที่ไม่เอาไหนขนาดนี้ ตำรวจที่ไหนก็ไม่โผล่มาซะด้วย ดูท่าว่าคนขับคงไม่หน้ากระแทกพวงมาลัยตายหรอกนะ

                   

    แพคฮยอนมองไปรอบข้างที่มีคนไม่มากมายเดินอยู่ แต่เขาที่อยู่ใกล้สุดจึงจำเป็นต้องมองลอดเข้าไปในกระจกมืดๆนั่น มันเลื่อนออกเหมือนจะรู้

     

    “นี่คุณ เป็นอะไรมากมั้ย......” แพคฮยอนเอ่ยถามก่อนจะพบว่าคนๆนั้นเป็นคนที่เขารู้จัก

    “โย่ว! .. หวัดดีแพคฮยอน” ใบหน้าหล่อเหลากับผมที่จัดทรงปัดขึ้นนั้นยิ้มกว้างมาให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “คุณชานยอล....”

    “เออสิ บังเอิญจังเลย ว่าแต่เมื่อกี้นายเป็นอะไรรึเปล่า แต่ดูท่านายโอเคนะ”

     

    ... ก็ถ้าหลบไม่ทันคงไม่มายืนแบบนี้หรอก

     

    “ผมไม่..............”

    “ว่าแต่นี่จะไปไหนน่ะ ไปไหนๆๆๆ ไปทำงานเหรอ”

    “ครับ”

     

    แพคฮยอนตอบเสียงเอื่อยๆกับคนที่เอาแต่พูดเองเออเองโดยไม่ฟังอะไร ก็จริงที่เขาไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนแต่ถ้าเกิดโดนชนขึ้นมาจะทำยังไง ทีตอนแก้วบาดที่ผับล่ะทำอย่างกับเขาเสียเลือดเป็นลิตร

     

    “ถ้างั้นไปด้วยกัน ฉันก็กำลังจะไป”

    “จะดีเหรอครับ ผมไปเอง....”

    “ไม่ดีๆๆๆ ไปกับฉันแหละ ขึ้นมาๆๆ” ชานยอลโบกมือเร่งให้แพคฮยอนที่ได้แต่อ้าปากไม่รู้กี่ครั้งแต่พูดอะไรไม่ทันนั้นรีบขึ้นมา คนไม่มีทางเลือกจึงได้แต่แอบทำหน้าเพลียๆแล้วขึ้นรถไปแต่โดยดี

     

     

    ชานยอลตวัดรถคู่ใจพุ่งพรวดไปตามถนนตรงเข้าสู่ใจกลางเมือง แพคฮยอนเกือบจะหน้าทิ่มยังดีที่เขารัดเข็มขัดเอาไว้ทัน

     

    “นายเรียนอยู่ที่นี่เหรอ”

    “ครับ”

     

    แพคฮยอนคิดว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าเป็นที่เดียวกันแต่ก็โล่งอกที่ตอบกลับมาว่าไม่ใช่ ที่ผ่านมาแถวนี้เพราะหลงทาง

     

    “คุณเนี่ยนะหลงทาง”

    “ก็ ไม่เชิงแฮะ แบบว่า .. มันขับเพลินอ่ะ นายเข้าใจป่ะ ขับเพลินน่ะขับเพลิน”

     

    ..  เพลินจนเกือบแดกขอบฟุตบาทเนี่ยนะ เชื่อเลยว่ะ

    “คะ ครับ เข้าใจ”

    “พอดีเลยๆๆ จริงๆก่อนไปช่วยงานอาของฉันที่ผับคืนนี้ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย นายไปกินเป็นเพื่อนหน่อยนะ”

    “โทษนะครับ แต่อีกไม่ถึงชั่วโมงผมต้องเข้างานแล้ว”

    “เฮ้ย .. ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวฉันบอกผู้จัดการให้ รายนั้นใจดีจะตาย ฮ่าฮ่าฮ่า” ชานยอลหัวเราะลั่น แต่แพคฮยอนกลับหัวเราะไม่ออก

     

    นี่จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว ผู้จัดการใจดีตรงไหนกัน จะกินหัวเขาอยู่ทุกวันทำอะไรก็ไม่ถูกใจ ไม่เหมือนกับเด็กหล่อๆที่ทำอะไรก็ดีไปหมด แล้วนี่อะไร ไปกินข้าวเนี่ยนะ กินคนเดียวไม่ได้รึไงวะ แพคฮยอนได้แต่คิดในใจ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ชานยอลพาแพคฮยอนเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในย่านการค้าใจกลางเมืองหลวง รอบข้างเต็มไปด้วยวัยรุ่นและคนทำงานเดินกันขวักไขว่ แต่ร้านที่พวกเขาเดินข้ามากลับดูหรูเสียจนคนที่ถูกลากมานั้นอยากจะเดินกลับออกไปเสียเหลือเกิน

    “เป็นไรไป”

    “ผมว่าเราไปร้านอื่นดีกว่ามั้ย”

    “ทำไมล่ะ อย่าห่วงน่าถึงจะให้มาเป็นเพื่อนแต่ฉันจะเลี้ยงเอง ตามสบายนะ”

    “แต่ผมเกรงใจ”

    ชานยอลไม่ได้ฟังด้วยซ้ำนอกจากเดินตามพนักงานเข้าไปนั่งในร้าน โต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีเก้าอี้เบาะยาวขนาบอยู่สองข้าง แพคฮยอนนั่งลงอีกฝั่งก่อนที่คนตัวสูงกว่ามากจะนั่งตามลงไปที่ฝั่งเดียวกัน

     

    แพคฮยอนหันมามองชานยอลด้วยความแปลกใจ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจอะไรนอกจากรีบดึงเมนูจากพนักงานมาเปิดๆๆๆแล้วสั่งอย่างชำนาญการทันที แพคฮยอนรับเมนูอีกเล่มมาบ้างก่อนจะเปิดดู เขาอึ้งกับราคาอาหารแต่ละอย่างที่แสนจะแพงจนคิดว่าชีวิตนี้จะไม่เข้ามาอีกเลย

    “นายเอาอะไรเพิ่มมั้ยแพคฮยอน” ชานยอลถาม

    “มะ ไม่ดีกว่าครับ”

    “โอเค”

     

    แพคฮยอนมองชานยอลพลางคิดในใจว่าคนรวยเค้าใช้เงินกันเหมือนไม่ได้หามาเองเลยเนอะ ก็แหงล่ะ ยังเรียนอยู่นี่นะ จะว่าไปอีกฝ่ายก็น่าจะอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี ผู้จัดการเคยบอกว่าอยู่ในวัยเรียนเหมือนกัน แต่ดูแล้วเหมือนเป็นผู้ใหญ่ สงสัยเพราะเจ้าตัวชอบใส่ชุดอะไรแบบนี้แล้วไหนจะท่าทางภายนอกอีก แต่ถึงจะดูประหลาดๆหน่อยแต่ชานยอลก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนี่นะ

     

    พูดถึงเรื่องคนรวย

     

    .. หมอนี่อยู่ด้วยแล้วไม่อึดอัดแบบใครบางคนสักนิด เฮอะ

     

    แพคฮยอนเอาแต่คิดจนลืมไปว่าอีกคนทำไมต้องมานั่งข้างเขาด้วย แต่พอจะถามชานยอลก็ดันรับโทรศัพท์เสียก่อน ใบหน้าหล่อๆนั้นยู่ปากทันทีที่กำลังพูด

    “อ่า .. ก็บอกแล้วไงว่าให้ดูทุกบทเลย นายนี่จะโง่ไปไหน เป็นเพื่อนฉันซะเปล่า ...เออๆๆๆ โอเคๆๆ ... งั้นค่อยว่ากัน จบนะจบ.....” ชานยอลกดวางสายแรงๆก่อนจะส่ายหน้าเอือมๆ

     

    “โทษทีแพคฮยอน เพื่อนโทรมาน่ะ ถามเรื่องที่จะสอบเก็บคะแนนว่าจะออกอะไรบ้าง ฉันล่ะเพลีย เกิดมาเก่งก็แบบนี้ล่ะนะ” เสียงทุ้มเอ่ยเป็นจริงเป็นจังก่อนจะคว้าน้ำกีวี่ที่เพิ่งเสิร์ฟขึ้นมาดื่มอึกๆลงไป แพคฮยอนได้แต่ยิ้มให้ทั้งที่ไม่ได้อยากรู้สักนิด  เขากำลังจะถามเรื่องที่นั่งแต่แล้วอีกฝ่ายก็รับโทรศัพท์อีกครั้ง

     

     

    “อะไรอีกล่ะจงแด ก็บอกแล้วไงว่าดูทุกบทเลย เออดิ ... เออ ฮะ ว่าไงนะ ...... เก็บคะแนนอาทิตย์ก่อนฉันไม่ผ่านเหรอ เฮ้ย!” ชานยอลตาโตอย่างตกใจ เขาเผลอหลุดปากประโยคหลังออกมาก่อนจะสบตากับแพคฮยอนพอดี

    “อ่ะๆๆ เออ ไว้คุยกันๆๆ”

     

    แพคฮยอนเห็นท่าทางลนๆกับสิ่งที่ได้ยินก็ได้แต่แอบหัวเราะในใจ แค่เก็บคะแนนยังไม่ผ่านเนี่ยนะ ไหนว่าเก่งไงเล่า คนอะไรขี้โม้ชะมัด ..

     

    “เฮ้อ .. สงสัยอาจารย์ต้องผิดพลาดอะไรซักอย่างแน่ๆ ไว้พรุ่งนี้ฉันต้องไปคุยซะแล้ว” ชานยอลเอ่ยอย่างจริงจัง ดูก็รู้ว่าพยายามจะเก็บกู้อาการหน้าแตกของตัวเองให้ดูได้เรื่องได้ราวอย่างเคย แต่ถึงจะไม่มีเรื่องแบบนี้แพคฮยอนก็ไม่ได้มองว่าเขาได้เรื่องอยู่ดีตั้งแต่แรกแล้ว

    “เหรอครับ”

    “อืม แย่จริงๆ”

     

     

     

     

    “โทษนะคุณชานยอล ทำไมคุณไม่ไปนั่งอีกฝั่งล่ะ”

    “อ้อ .. อ้าวนี่ ฉันเบียดนายเหรอ โทษทีๆ พอดีว่าไม่ชอบหันหน้าออกไปทางประตูร้านน่ะ”

    “แล้วทำไมไม่บอก ผมจะได้ไปนั่งอีกฝั่งแทน” แพคฮยอนไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนที่ดูเหมือนจะง่ายแต่จริงๆแล้วยากนั้นจะแอบเยอะในเรื่องเล็กๆแบบนี้ด้วย ตลกชะมัด

     

    เขาทำท่าจะลุกแต่รอให้อีกคนลุกให้ ชานยอลไม่ขัดอะไรแต่แล้วเมื่ออาหารจานแรกได้ถูกวางลงโดยพนักงานเสิร์ฟเท่านั้นแหละ ชายหนุ่มก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที

     

    “มาแล้ว หิวจะแย่”

    “คุณชานยอล....”

    “เอ้า กินสิกิน น่ากินทั้งนั้นเลย”

     

    แพคฮยอนมองอีกคนด้วยความเพลียใจอย่างเคย และแล้วเขาก็ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้หลุดไปอยู่ในโลกของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ ทำได้แค่กินไปเงียบๆอย่างคนไม่มีอารมณ์เท่าไหร่ น่าแปลก อาหารดีๆแบบนี้ถ้าเป็นแพคฮยอนคนเดิมคงสวาปามเข้าไปอย่างสุดจะเปรม  แต่นี่อะไร

     

    มือบางหมุนส้อมอยู่กับเส้นสปาเกตตี้ยาวๆเหมือนคนไม่อยากอาหาร เขากำลังคิดถึงจงอิน .........

     

     

     

     

    “...............................”

     

     

     

     

     

     

     

    ให้ตายเหอะ โลกกลมอีกแล้วเหรอเนี่ย

     

     

     

     

     

     

    แพคฮยอนนิ่งค้างไปเมื่อสายตาพบเข้ากับคนที่กำลังคิดถึงและไม่นึกว่าจะได้เจอ

     

     

     

    ในโต๊ะมุมหนึ่งที่ห่างออกไปไม่ไกล จงอินนั่งอยู่ข้างกับคริสตัลโดยที่อีกฝั่งจะเป็นลู่หานและมินซอก คนทั้งสี่ทานอาหารกันไปพูดคุยกันไปตามปกติ แพคฮยอนมองจงอินอยู่เงียบๆ รอยยิ้มที่มีให้กับแฟนสาวและเพื่อนๆก็เหมือนกับที่เขาได้รับนั่นแหละ น่าดีใจจะตายไปไม่ใช่เหรอ

     

    จงอินตักอาหารใส่จานให้กับคริสตัลที่กินอย่างเอร็ดอร่อยไม่ได้เอาแต่ห่วงสวยจนน่าอึดอัด แก้มอมชมพูเลอะซอสขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เป็นเหตุให้คนข้างกายต้องหยิบเอาผ้าเช็ดปากค่อยๆเช็ดออกให้อย่างใส่ใจ

     

    จู่ๆแพคฮยอนก็นึกถึงเมื่อเช้านี้ที่อีกฝ่ายเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้เขา ภาพนั้นซ้อนทับเข้ามากระแทกลงที่กลางใจ เขารู้ดีว่าความคิดแบบนี้มันไม่เข้าท่าเลยแต่จะให้ทำยังไง อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นเพื่อนก็มากพอแล้ว แต่นี่ยังมอบความรักให้กับอีกคนมากมายขนาดนี้

     
     

    .. เจ็บไปหมด เจ็บทุกอย่าง

     

     

     

    แพคฮยอนคิดถึงจงอินคนเดิมที่เขารู้จัก คนปากร้ายที่เอาแต่ดูถูกเขา ทำหน้าเชิดๆใส่อย่างไม่คิดจะแยแส เห็นแก่ตัวเองมากกว่าคนอื่นจนน่าหมั่นไส้ .. ขอความรู้สึกแบบนั้นคืนมาได้ไหม คิมจงอินที่แสนดีแบบนี้แพคฮยอนไม่อยากได้เลยสักนิด

     

     

     

     

    “อ้าว ไม่กินล่ะ”

     

    เสียงของชานยอลทำให้แพคฮยอนหลุดออกจากห้วงความคิดและภาพตรงหน้า

    “กะ กินอยู่นี่ครับ”

    “ไม่จริงง่ะ เอ้านี่ กุ้งๆๆๆๆ” ชานยอลตักเอากุ้งตัวใหญ่ๆวางลงไปบนจานของแพคฮยอนเสียหลายตัว ร่างสูงที่สงสัยจะกินลงไปครึ่งกระเพาะแล้วเลยเอาแต่ตักให้เขาอย่างห่วงว่าจะกินไม่ทัน แพคฮยอนเผลอหลุดยิ้มกับท่าทีน่ารำคาญของอีกฝ่ายซึ่งจริงๆแล้วกลับมีน้ำใจแบบที่ไม่ต้องซับซ้อนอะไร

     

     

     

     

     

     

     

    “จงอิน......”

     

    คริสตัลเรียกคนข้างกายที่จู่ๆก็นิ่งไป จงอินมองภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย คนทั้งสามจึงมองตามและก็พบว่าเป็นไปอย่างที่คิดไม่มีผิด

    “แพคฮยอนนี่นา” คริสตัลเอ่ย

    “ให้ตายเหอะอีกแล้วเหรอ เอาแล้วไง ... ” ลู่หานพูดเบาๆก่อนที่มินซอกจะทำตาดุมาให้ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เข้าใจบางอย่างระหว่างกันดี จงอินไม่พูดอะไร ส่วนคริสตัลที่ดูจะอิ่มแล้วก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

     

    “มีความสุขกันจังนะ มากับหมอนี่ได้ไงนะ” จงอินบ่นเบาๆเขาจำได้ว่าผู้ชายคนนี้เคยเจอที่ผับ แล้วอะไรคือการที่ต้องไปนั่งฝั่งเดียวกันทั้งที่มากันสองคน เป็นแฟนกันรึไง

     

    จู่ๆชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะ ลู่หานและมินซอกทำหน้าเหลือเชื่อกับท่าทางของเพื่อนตัวเอง แต่พอหันมาทางคริสตัลเจ้าหล่อนก็เอาแต่นั่งเหม่อออกไปนอกร้านผ่านกระจกบานใส

     

    ทั้งสองส่ายหน้าระอากับท่าทางแปลกๆของเพื่อนแต่ละคน พวกเขามองไปยังอีกคนที่เดินไปที่โต๊ะนั้น ลู่หานทำท่าจะลุกไปตามจงอินเพราะกลัวจะมีเรื่องแต่มินซอกกลับดึงเอาไว้ก่อน

    “อย่าเลยลู่หาน จงอินมันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”

     

     

     

     

     

     

     

    แพคฮยอนที่กำลังบอกชานยอลว่าอาหารจะล้นจานแล้วนั้นหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางตลกๆของอีกฝ่าย แต่แล้วรอยยิ้มก็ต้องหายไปเมื่อใครสักคนนั่งลงตรงข้ามกับพวกเขา

     

    “จงอิน...” แพคฮยอนตกใจเล็กน้อยเพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะมานั่งลงตรงนี้

    “ว่าไงแพคฮยอน” ใบหน้าคมที่ไม่แสดงอาการใดๆมองมา ชานยอลทำตาโตขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ติดตัวเขาอยู่แล้ว

    “เพื่อนแพคฮยอนเหรอ”

    “ครับ ..” จงอินตอบ

     

    แพคฮยอนยิ้มแห้งๆเพราะไม่รู้จะพูดอะไร สายตาจงอินที่มองมานั้นเหมือนไม่พอใจอะไรเขา จงอินปล่อยให้อารมณ์ของตัวเองฉายผ่านสายตาก่อนที่ความเงียบระหว่างกันจะทำให้เขาได้สติจึงต้องยิ้มออกมาแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่

     

    “อ่า ฉันจำได้ๆๆๆ เราเคยเจอกันที่ผับใช่มั้ย ถึงจะมืดไปหน่อยน่ะนะ” ชานยอลพูดก่อนจะจิ้มเอาแตงกวาในจานเข้าปากแล้วเคี้ยวต่อไป จงอินมองคนตรงหน้าด้วยสายตาบางอย่างที่แพคฮยอนดูออกว่าหมายความว่ายังไง

     

    แพคฮยอนส่งสายตาตำหนิมาให้เป็นเชิงว่าอย่ามองชานยอลแบบนั้น จงอินเห็นแบบนั้นก็ยิ่งอยากทำเข้าไปใหญ่ เขาถือโอกาสที่ชานยอลก้มหน้าลงแล้วเบะปากไปให้ แพคฮยอนจิ๊ปากเบาๆอย่างขัดใจเต็มที

    “ทานด้วยกันมั้ย” ชานยอลถามอย่างมีมารยาท แต่ไอ้การที่แตงกวายังเต็มปากอยู่นั้นทำให้จงอินได้แต่แอบยิ้มเยาะในใจ

    “ผมมากับเพื่อนอีกโต๊ะน่ะ เดี๋ยวก็ไปแล้ว”

     

     

    จงอินตอบห้วนๆ เขามองคนตรงหน้าที่นั่งชิดกันกับอีกคน

    “คุณเป็นเพื่อนแพคฮยอนเหรอ”

    “เปล่าหรอก ฉันชื่อชานยอลนะ ส่วนแพคฮยอนทำงานที่ผับของอาฉันน่ะ”

    “เจอกันบ่อยเหรอ”

    “ก็.......” ชานยอลยังไม่ทันตอบแพคฮยอนก็ตัดบทขึ้นทันที

    “นายมีอะไรเหรอจงอิน”

    “มากับฉันซิแพคฮยอน”

     

     

    ชานยอลเลิกคิ้วงงๆกับคนทั้งสองแต่ก็ลุกขึ้นให้แพคฮยอนไปกับจงอินแต่โดยดี ลู่หานและมินซอกที่แอบดูอยู่ก็หันหน้ามองกัน และพอมองคริสตัลก็กลายเป็นว่าอีกฝ่ายหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

     

     

     

     

     

    จงอินดึงแพคฮยอนมายังส่วนโล่งๆบริเวณหน้าห้องน้ำชายโดยที่มือยังไม่ปล่อยจากแขนขาวๆนั่น

    “อะไรของนายเนี่ยจงอิน แล้วไปมองชานยอลเค้าแบบนั้นทำไม ถึงเค้าจะดูแปลกๆหน่อยแต่ก็เป็นคนดีนะ”

    “ปกป้องมันจังนะ ... หมอนั่นใคร”

    “อ่าว ก็เค้าบอกนายแล้วนี่”

    “แต่นายไม่ได้บอกฉัน”

    “ก็อย่างที่เค้าบอกไง เราไม่ใช่เพื่อนกัน”

    “แล้วเป็นอะไร.....”

    “ก็เค้าเป็นหลานเจ้าของผับไงเล่า ถามทำไม”

    “เจอกันบ่อยมั้ย”

    “ก็ไม่บ่อยหรอก  .. โอ๊ยนี่ นายจะถามเอาอะไรกันเล่า” แพคฮยอนขมวดคิ้วกับท่าทางของจงอิน ทำเหมือนกำลังสอบสวนผู้ร้ายยังไงยังงั้น

     

    จงอินปล่อยมือจากแขนของแพคฮยอน ร่างสูงถอนหายใจราวกับว่าไม่มีอะไรต้องห่วง

     

    “นี่ นายเป็นอะไรอ่ะ โกรธอะไรฉันรึเปล่า”

    “เปล่าหรอก แค่ถามเฉยๆ”

     

    คนปากแข็งตอบสั้นๆ ปล่อยให้คนตรงหน้าเอาแต่ขมวดคิ้วต่อไป

     

    คริสตัลที่เดินออกมาจากฝั่งห้องน้ำหญิงพบกับเขาทั้งสองพอดี หญิงสาวตรงเข้ามาหาแฟนหนุ่มก่อนจะเอียงคอมองอีกคนที่ถูกบังเอาไว้

    “หวัดดี แพคฮยอน มากินข้าวเหรอ” คริสตัลยิ้มกว้างมาให้

    “หวัดดี ฉันมากับเจ้านายที่ทำงานน่ะ” แพคฮยอนยิ้มและตอบไปอย่างตรงจุดที่สุด

     

    แพคฮยอนมองมือของคริสตัลที่จับแขนจงอินเอาไว้ เขาสบตากับจงอินเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้คริสตัลแล้วจึงรีบเดินออกไปจากที่ตรงนั้นทันที

     

    “เป็นไรกันอีกรึเปล่าเนี่ย” คริสตัลปล่อยมือออกแล้วหันมาถามจงอินที่ยืนเงียบๆ

    “เปล่าหรอก ไปกันเถอะคริสตัล” จงอินเดินนำออกไป คริสตัลได้แต่มองตามพลางคิดบางอย่างในใจ

     

    เธอไม่ได้แอบดูหรอกนะเมื่อกี้ แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าระหว่างคนทั้งสองมันดูเหมือนมีอะไรบางอย่าง คริสตัลรู้จักจงอินดี นอกจากตัวเธอแล้วก็ไม่เคยเห็นเขาเป็นเดือดเป็นร้อนกับใครเลยสักคน

     

     

     

     

     


     

     

    หลังจากที่ออกมาจากร้านแล้วชานยอลกลับไม่ได้รีบร้อนเพื่อตรงไปที่ผับ เขาเดินช้าๆพลางมองสาวๆอย่างสบายอารมณ์ระหว่างที่ผ่านร้านต่างๆไปตามทาง แพคฮยอนเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำเพราะรู้ดีว่าเร่งอีกฝ่ายไปก็เท่านั้น พอก้มหน้าลงก็มองรอบกายไปเงียบๆ สายตาของเขาสะดุดเข้ากับร้านตุ๊กตาหมีเล็กๆแห่งหนึ่ง

     

    ตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งจ้องหน้าเขาทำให้คิดถึงอะไรบางอย่าง

     

    “เดี๋ยวก่อนคุณชานยอล ...” เขาเรียกคนตัวสูงเอาไว้ก่อนจะวิ่งไปเกาะกระจกที่วางโชว์ตุ๊กตาหมีเอาไว้หลายตัว  ชานยอลเลิกคิ้วพลางเดินตามเข้าไปใกล้ๆ

     

    “เฮ้ .. ตัวนี้น่ารักกว่านะ ดูสิหน้าเหมือนนายเลย” ชานยอลพูดขึ้นทำให้แพคฮยอนต้องหันมามองตุ๊กตาหมีตัวนั้นที่อีกฝ่ายพูดถึง

    “ตรงไหนกัน”

    “ก็ตรงตาไง ดูดิๆๆ ยิ้มกว้างจนไม่เห็นตาเลย ..ฮ่าฮ่าฮ่า”

    “โหย ขำเข้าเหอะ ดูนั่นก่อนๆ .. ตัวนั้นเหมือนคุณเลยนะว่ามั้ย”

    “ไหนๆๆๆ”

    “ก็ตัวนั้นไง เหมือนมากอ่ะ ดูดิ ตัวยาวมากจนเจ้าของร้านต้องจับงอไว้ในตู้กระจก” แพคฮยอนพูดจบก็ระเบิดหัวเราะออกมาบ้าง ยิ่งเห็นหน้าอีกฝ่ายที่เลิ่กลักเสียฟอร์มก็ยิ่งชวนให้หัวเราะไปใหญ่

     

    ชานยอลไม่รู้จะทำอย่างไรจึงหัวเราะตาม แพคฮยอนเห็นอีกฝ่ายหัวเราะแห้งๆแล้วเขาก็ยิ่งหัวเราะตามไปอีก .. นี่เขาบ้าตามไปแล้วงั้นเหรอเนี่ย

     

     

     

     

     

    คริสตัลมองข้าวของต่างๆพลางแวะซื้อบ้างตามประสาผู้หญิงโดยมีจงอินเดินข้างกันไป มินซอกเดินตามหลังมาพร้อมกับลู่หานที่เอาแต่เลียซอฟท์ครีมรสชาเขียวในมือ เขาทั้งสองไม่คิดจะถามอะไรจงอินเกี่ยวกับเรื่องนั้น บางทีตอนนี้ก็ควรจะเฝ้ามองไปเรื่อยๆดีกว่า

     

     

    จงอินยืนรอคริสตัลอยู่หน้าร้านผ้าพันคอที่คนแน่นมากจนล้นออกมา หันกลับมาที่เพื่อนทั้งสองก็เหมือนจะเดินไปต่อคิวซื้อขนมอะไรสักอย่างที่ฝั่งตรงข้ามแล้ว

     

    เขายืนกอดอกพลางนึกถึงคนสองคนในร้านอาหารที่นั่งตักอาหารให้กันแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข จงอินหงุดหงิดขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว

     

     

    ระหว่างที่เอาแต่คิดไปสายตาก็พบเข้ากับบางอย่าง เขาคิดในใจว่าโลกนี้มันช่างกลมอะไรนักหนา ภาพในห้วงความคิดไม่ต่างอะไรกับตอนนี้เลย

     

    จงอินจ้องมองคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าร้านตุ๊กตาซึ่งห่างออกไปไม่กี่ร้าน แพคฮยอนกับคนที่ชื่อชานยอลกำลังหัวเราะให้กันพลางชี้มือชี้ไม้ไปที่ตุ๊กตาหมีผ่านกระจกใส จงอินมองภาพนั้นอยู่พักใหญ่ก่อนที่ทั้งสองจะเดินหายเข้าไปในร้านพร้อมกัน

     
     

     

    ไม่ใช่เพื่อน เจอกันไม่บ่อย แล้วไงล่ะ ....

     

     

     

    “หึ ... ทีกับฉันล่ะหน้าบูดอย่างกับอะไร”

     

     

     






     

     

     

     

    .

    .

    Tbc. Part 11

     

     

     

     

    พาร์ทนี้แอบมาอัพเร็วล่อลวงให้คนอ่านดีใจเล่น *คนเขียนนิสัยไม่ดี =v=

    คือพาร์ทหน้าคงมาตรฐานเดิมอ่ะค่ะ ยุ่งละเกิววววววววววว ชีวิต (เด๋วสัปดาห์ss5นางก็มาบ่นอีหรอบเดิมว่าเหนื่อยค่ะ
    ขอเวลาแป๊บ ....
    *ดูมัน ==) อย่างที่บอกว่ารอจบค่อยอ่านก็ได้นะคะ จริงๆก็ไม่ชอบให้คนอ่านรออ่ะ งือออออออ

     

     

    พาร์ทนี้อย่างที่บอกว่ารวมมิตรหน่อยๆ ป่วงนิดๆ หน่วงน้อยๆ และไม่คืบหน้าอะไรเลย (ก็ชิวๆอ๊ะ~)

    ปาร์คชานยอลออกมาเต็มตัวแล้ว!! (ไบแอสอย่างแรง) แต่บทนางทางด้านคุณภาพไม่มีอะไรเพิ่ม เพิ่มมาแค่จำนวน ....
    #ปาร์คชานยอลร้องไห้ทำไม  #โบกพู่ชานยอลรัวๆๆๆ / รู้นะว่านุ้งชานออกมากระชากอารมณ์ไปขดใหญ่ๆ ^^

     

    พล็อตเรื่องนี้ในตอนแรกเกือบได้ล้มเลิกและพาคนอ่านลงเหวอย่างที่เคยบอกเอาไว้ แต่เคยตั้งใจว่าจะเขียนให้มันอ่านสบายๆ ชิวๆ
    แก้เบื่อไม่ต้องคิดไรมาก สรุปว่าก็เลยไม่ลงประเด็นหนักๆ(ลงเหวดราม่า) เลยพาดื่มด่ำกับบรรยากาศเรื่องนี้ไปก่อน (ยืดเยื้อ) ... ครึครึ

      

    จะมีใครถามมั้ยคะว่าเซฮุนกับคยองซูคืออัลไล???

     

    พาร์ทนี้พระนายแอบดราม่านำน้องน้องตัลกับน้องเฮนแล้วสินะ ... เคยบอกว่าพระเอกจะชัดเจนก่อน

    แต่อ่านๆไปนี่ชัดเจนแค่การกระทำนะ แต่ในใจนี่ไม่อะไรเลยเหรอ ส่วนน้องแพค น้องไม่แสดงอาการแต่น้องรู้ใจตัวเองอ่ะ ชัดเจนป้ะล่า!!!
    จงอินซึนมากเกินคาดค่ะ น้องแพคก็ซึนค่ะ ทั้งสองซึนมันทั้งเรื่องค่ะ .. ทำไมไม่รู้จักชัดเจนแบบพี่ลู่ซะบ้าง ถถถ !!

     

     

     

    พาร์ทหน้างานวันเกิดจงอิน รอเจอกันอีกนะคะทุกคน .. ขอบคุณที่ติดตามฟิค #ใจกระตุก #จอบ ค่ะ ((_ _))







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×