ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กรงขังสิเนหา

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.69K
      8
      8 ก.พ. 58




     

    เสียงดนตรีในจังหวะฟังสบายคุ้นหูทำให้อเกณซึ่งนั่งอยู่ในมุมเงียบๆ คนเดียวขยับนิ้วเคาะไปตามท่วงทำนองนั้น ชายหนุ่มเพียงต้องการปลดปล่อยอารมณ์หลังเลิกงาน นั่งฟังเพลง ดื่มสักแก้วสองแก้วก่อนจะกลับบ้าน จึงไม่โทรศัพท์ชักชวนเพื่อนคนใดมาด้วย แล้วบทสนทนาของนักท่องราตรีกลุ่มหนึ่งซึ่งนั่งห่างไปสองโต๊ะก็ดังเข้าหู

    “สาวเชียร์เบียร์กลุ่มนั้นไอ้บดินทร์มันบอกว่ามันฟาดเกือบหมดแล้ว”

    “เกือบหมดของมันนี่ต้องหารสิบหรือเปล่าวะ”

    แล้วชายหนุ่มทั้งกลุ่มก็ผสมโรงหัวเราะกันครืน

    “เชื่อมันหน่อยเถอะ รูปหล่อพ่อรวย เที่ยวแต่ละทีจ่ายหนัก เปย์ไม่อั้น สาวๆ ขายเหล้าขายเบียร์พวกนั้นวิ่งเข้าชนปังตอไม่เว้นวัน ยอมให้มันฟันครั้งเดียวไม่ต้องเลี้ยงไว้ก็ได้ ขอแค่จ่ายราคาดี”

    “คนนี้ก็ไม่เว้นเหรอ” ชายหนุ่มที่ไม่ค่อยเชื่อคำเล่าของเพื่อนชี้ไปที่หญิงสาวร่างอวบอัดบนรองเท้าส้นสูงแหลมปรี๊ดที่กำลังจะเดินผ่านโต๊ะหนึ่งใกล้ๆ กันนั้น

    อเกณจำเธอได้ หญิงสาวหน้าตาท่าทางสวยเฉี่ยวที่ชื่อจินตนาคนนั้น เขาคิดว่าเธอคงเพิ่งจะเข้างาน เห็นจินตนาแล้วในใจก็ไพล่คิดไปถึงผู้หญิงอีกคน

    “อวบอัดน่าฟัดขนาดนี้คงไม่รอดมือมันหรอก แกไม่ลองเข้าไปสีหน่อยเป็นไง เผื่อฟลุ๊คอาจได้ฟรี” แล้วถ้อยคำดูถูกสารพัดก็พ่นออกมาอีกหลายประโยค

    “นั่นเด็กใหม่ของลูกชายเจ้าของโชว์รูมรถ ข่าวว่ากำลังเริ่มคั่วกัน มึงกล้าไปสีเค้าเหรอ เดี๋ยวโดนลูกปืนอัดปากตายห่า” เพื่อนคนหนึ่งปราม

    “โธ่...ของแบบนี้มันปันกันกินได้โว้ย มึงไม่เคยได้ยินเหรอไงผัวเผลอแล้วเจอกัน”

    “เลิกๆ เขามีเจ้าของแล้วก็อย่าไปยุ่ง ดูคนนี้ดีกว่า น้อง...น้องครับ พี่ต้องการเบียร์” ชายหนุ่มวัยประมาณยี่สิบต้นๆ กวักมือเรียกลนาริน

    “ทั้งสี่แก้วเลยไหมคะ” ลนารินมายืนหยุดหน้าโต๊ะของชายหนุ่มทั้งสี่ หญิงสาวเอ่ยปากถามพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

    “และนอกจากเบียร์น้องขายอะไรมั่งล่ะครับ” ผู้ชายคนที่อยู่ใกล้เธอที่สุดถามคำถามซึ่งสามารถตีความหมายได้สองแบบ แต่คนฟังไม่เก็บมาใส่ใจ ตราบใดที่พวกเขายังแค่ล่วงเกินเธอด้วยคำพูด

    “สี่แก้วนะคะ รอสักครู่ค่ะ” หญิงสาวตัดบท พยายามปิดการขายเพื่อจะได้ไปโต๊ะอื่นต่อ แต่ชายคนนั้นทำท่าไม่พอใจในคำตอบที่ได้รับ เขาคว้าข้อมือเธอแถมยังลูบไล้ฝ่ามือขึ้นมายังเรียวแขนอ่อนอย่างจาบจ้วงหยาบคาย

    “น้องยังไม่ตอบคำถามพี่เลย”

    ลนารินใช้อีกมือที่ว่างปัดมือซึ่งละลาบละล้วงร่ายกายเธอออก โดยพยายามไม่แสดงความรังเกียจออกมาชัดเจนนัก เธอไม่อยากจะมีเรื่องกับลูกค้าทั้งที่เพิ่งเริ่มทำงานยังไม่ครบชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ

    “ถ้าคุณไม่รับสินค้าของบริษัทเรา ดิฉันก็ขอตัวนะคะ” พูดจบพร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเฉยชา แล้วหญิงสาวก็รีบเดินจากไป โดยมีเสียงหัวเราะและถ้อยคำดูหมิ่นไล่หลังตามมาด้วย

    “จะไม่ตกลงราคากันก่อนเหรอน้อง พี่จ่ายหนักนะ”

    “ยังไปว่าเขา...มือบอนปากมอมนักนะมึงไก่ตื่นหมดเลยเห็นไหม” แม้จะเป็นคำห้ามปราม แต่คนฟังไม่ได้รู้สึกดีเลยที่ถูกเรียกว่าไก่

    ลนารินเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์วางสินค้าของตัวเอง หญิงสาวถอนหายใจพยายามปรับอารมณ์ให้หายขุ่นมัว ยังเหลือเวลางานอีกสามชั่วโมงรอเธออยู่ข้างหน้า ในใจของหญิงสาวภาวนาไม่อยากจะเจอลูกค้าแบบโต๊ะเมื่อครู่อีก

    “หน้าบึ้งเชียวไปกินรังแตนที่ไหนมาจ๊ะ” จินตนาที่โฉบกลับมายังเคาน์เตอร์ถามขึ้น

    “เจอลูกค้ามือปลาหมึกอีกแล้วละจินนี่”

    สาวรุ่นพี่เองนั่นแหละที่บอกให้ลนารินเรียกชื่อเล่นเธอได้ตรงๆ จินตนาให้เหตุผลว่าเรียกพี่คนอื่นได้ยินฟังแล้วเธอแก่พิลึก หญิงสาววัยยี่สิบสองขอแก่ประสบการณ์ดีกว่าถูกย้ำว่าแก่ด้วยอายุ

    “มือปลาหมึกแล้วมันจ่ายหนักหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่หนักอยากจับเราฟรีๆ ก็ไม่ต้องไปสนใจมัน”

    “ฟังพูดเข้า จะจ่ายหนักจ่ายเบานางก็ไม่สนหรอก ไม่ใช่หน้าที่!

    “นางเอาเบียร์ไปให้โต๊ะนั้นให้จินนี่หน่อยสิ อยากไปเองใจจะขาด แต่ติดเสี่ยประมุขเค้าเร่งยิกๆ จินนี่ต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวเสี่ยไม่พอใจ อดได้ทิป” หญิงสาวบอกพร้อมกับชี้นิ้วไปยังโต๊ะมุมร้าน “คนนั้น...ที่หล่อๆ หน้าตาดีกว่าผู้ชายคนไหนในร้านนั่นแหละ อ้อ...ขอบอกไว้ก่อน คนนี้จินนี่จองนะ นางอย่ามาแย่งละ”

    “ไม่กล้าแย่งหรอกจ๊ะ แม่สาวมั่น”

    ได้เบียร์แล้วลนารินก็วางใส่ถาดแล้วตรงไปยังโต๊ะเป้าหมาย แต่ครั้นพอไปถึงก็ต้องชะงักไปหลายวินาทีทีเดียว

    เขานั่นเอง...

    “เบียร์ได้แล้วค่ะ” เธอวางเบียร์ลงบนโต๊ะกระจก

    “ถ้าเราไม่ได้ทำอย่างที่เขาว่า ก็อย่าเก็บคำพวกนั้นมาใส่ใจ” เมื่อครู่ตอนที่เธอเดินผ่านเขาไป สีหน้าเธอไม่ดีเลย มาตรว่าความโกรธคงสุมใจแต่ก็ต้องพยายามอดกลั้นไว้

    “ขอบคุณค่ะ” ลนารินโค้งตัวให้เขา ก่อนถอยตัวกลับออกมา กับใบหน้าติดจะคลี่ยิ้มอยู่เมื่อครู่ตอนที่เขาเอ่ยปลอบทำให้ใจของหญิงสาวเต้นในจังหวะที่เปลี่ยนไป

    กลับไปถึงเคาน์เตอร์ในซุ้มเบียร์ของตัวเองแล้วเพื่อนพนักงานคนหนึ่งก็กระซิบบอกว่า “คุณไปป์ให้เด็กมาบอกว่าอยากให้นางเอาเบียร์ไปเสิร์ฟ เน้นย้ำว่านางคนเดียวเท่านั้น”

    “แขกพิเศษของจินนี่ไหงมาเรียกนาง”

    “เอาน่า ไหนๆ จินนี่ก็ยังหนีออกจากโต๊ะเสี่ยประมุขไม่ได้เลย เรามากันสามคน เขาอยากให้นางเอาเบียร์ไปเสิร์ฟก็ทนๆ ไปหน่อยก็แล้วกัน คิดซะว่าทำยอดขาย พี่แอ๋มไม่กล้าเสนอหน้าหรอก” หญิงสาวที่ยังมีความสวย แต่ความสาวเริ่มหดหายยอมรับความเป็นจริงได้ดีว่าความรุ่งโรจน์บนเส้นทางสาวขายเหล้าขายเบียร์กำลังจะจบสิ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    “บอกตามตรงนะพี่แอ๋ม ขายเบียร์ให้เสี่ยประมุขยังง่ายกว่าขายให้นายไปป์นั่น เพราะเสี่ยเค้าคุยง่ายเข้าใจภาษา ได้คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้” สาวสวยอายุน้อยกว่าหลายปีกระซิบตอบ ก่อนจะสวมหน้ากากแห่งความแช่มชื่นเพื่อทำยอดขายให้กับตัวเองและบริษัท หญิงสาวรับถาดเสิร์ฟจากรุ่นพี่แล้วเดินไปยังโต๊ะของพระพาย มองแก้วเบียร์บนถาดแสดงว่าเขามีเพื่อนร่วมดื่มหนึ่งคนเท่านั้น

    “เบียร์ได้แล้วค่ะคุณไปป์” ลนารินวางแก้วเบียร์บนโต๊ะตรงหน้าของพระพาย แล้ววางอีกแก้วให้เพื่อนเขา

    “พอจะมีเวลานั่งคุยกันหน่อยไหมนาง”

    ถ้าบอกว่าไม่มีเวลา...ประโยคเดิมๆ ก็คงออกมาจากปากของเขาอีกว่าเธอเล่นตัว สาวขายเบียร์จึงตอบออกไปว่า “คงได้แป๊บเดียวค่ะคุณไปป์ นางยังต้องเวียนไปโต๊ะอื่นอีก”

    “อาทิตย์หน้าผมจะไปหัวหิน นางอยากไปเที่ยวหรือเปล่า เพื่อนผมเพิ่งรับช่วงดูแลโรงแรมของครอบครัว เราจะจัดปาร์ตี้กันที่ริมหาด” สายตาที่ส่งมาพร้อมคำถามนั้นกรุ้มกริ่มและเร่งรุก

    “นางต้องทำงานค่ะ เต็มทั้งเจ็ดวัน คงจะไปกับพวกคุณไม่ได้ ขอบคุณนะคะที่ชวน”

    “น่าเสียดายจัง ลางานสักหน่อยไม่ได้เหรอไง”

    “ขืนลาไปเที่ยวมีหวังโดนไล่ออก นางยังต้องกินต้องใช้นะคะ” ลนารินปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ส่วนสายตาก็ส่ายแลหาจินตนาไปด้วย

    “ก็อย่าบอกให้ใครรู้สิ ความลับระหว่างเราสองคน” พระพายยื่นมือมาแตะหลังมือของหญิงสาว

    “คงไม่เป็นความลับแล้วละค่ะ เพื่อนคุณไปป์ก็นั่งฟังอยู่ด้วยทั้งคน” เธอแย้ง หัวเราะเล็กน้อย แล้วยกมือที่ชายหนุ่มถือวิสาสะมาจับขึ้นเสยผม “อุ๊ย...นางคงต้องไปแล้วค่ะ มีลูกค้าเรียกแล้ว”

    ลนารินโกหกไปอย่างนั้นแล้วเธอก็รีบผละถอนตัวออกมา ระหว่างทางสวนกับจินตนาก็เลยบอกความลับที่พระพายเพิ่งบอกเธอเมื่อครู่ให้หญิงสาวฟัง

    “คุณไปป์จะชวนไปหัวหิน” หญิงสาวไม่ได้บอกว่าเขาชวนเธอแล้ว เพียงบอกจินตนาว่าเขาจะชวน

    จินตนาพอได้ฟังก็ตาลุกวาว ถ้าชายหนุ่มชวนไปต่างจังหวัด เปอร์เซ็นต์ที่อาจจะค้างคืนก็คงมีสูง สาวเปรี้ยวขยิบตาให้ลนารินหนึ่งครั้งก่อนตรงรี่เข้าไปหาคนที่เธอพยายามหนักหนาให้เขายอมเป็นแขกพิเศษของเธอแบบถาวร

    “คุณไปป์ขา มาแล้วเหรอคะ จินนี่คิดทึ๊งคิดถึง” สาวเจ้าหย่อนบั้นท้ายงามงอนลงข้างตัวเขา แล้วยิ้มหวานให้เพื่อนของพระพายด้วย

    “คิดถึง แต่ก็เห็นเดินร่อนอยู่โต๊ะอื่น ความคิดถึงของจินนี่ทำให้ผมน้อยใจชะมัด”

    “อย่ามาแกล้งปากหวานกับจินนี่หน่อยเลย พอเจอคนอื่นละก็หน้ามือเป็นหลังมือ” มีหรือเธอจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังจ้องลนารินตาเป็นมัน ติดแต่ว่าฝ่ายนั้นไม่ยอมเล่นด้วยง่ายๆ ขนาดเขาเพียรขอเบอร์โทรเธอก็ไม่เคยให้ อย่าว่าแต่พระพายเลย ต่อให้เสี่ยกระเป๋าหนัก หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวยิ่งกว่าเขา ลนารินก็ไม่เคยสนใจ จนบางครั้งตัวเธอเองยังนึกหมั่นไสและดูแคลนว่าฝ่ายนั้นจะต้องดีแตกเข้าสักวัน ถึงวันนั้นเธอจะหัวเราะให้สาแก่ใจ

    “อาทิตย์หน้าจินนี่ว๊างว่าง อยากจะไปเปิดหูเปิดตาซะหน่อย ได้ยินว่าคนแถวนี้จะไปเที่ยวหัวหิน ไม่เห็นชวนกันบ้างเลย น่าน้อยใจ” หญิงสาวกระเง้ากระงอดปั้นปึ่งใส่เขา

    พระพายรู้เลยว่าใครเป็นคนบอกจินตนา “โธ่...ผมก็แค่จะไป ยังเอาแน่นอนไม่ได้ซะหน่อย”

    “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป จินนี่ไปกับคนอื่นก็ได้” หญิงสาวบอก ใช่ว่ามีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่มีสิทธ์เลือก

    “เอาน่า...อย่างอนสิ” พระพายพาดแขนโอบตัวหญิงสาวไว้ ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าใกล้ใบหูเล็กที่อยู่ภายใต้เรือนผมหยักยาวสีน้ำตาลอ่อน “ก่อนจะไปหัวหิน ไปที่อื่นกับผมก่อนไม่ได้เหรอไง”

    หญิงสาวตาพราวระยับหันไปสบตาเขา “นี่ชวนจริงหรือว่าหลอกกันให้ใจสั่นเล่นล่ะคะ”

    พระพายยิ้มยั่ว “คิดเอาเองก็แล้วกัน ถ้าจะไปขึ้นสวรรค์กับผมก็โทรมา” ชายหนุ่มกระซิบเสียงพร่า สอดนามบัตรลงในช่องอกเสื้อที่แหวกออกจนเกือบเห็นสองเต้ากลมกลึงส่งผลให้จินตนารู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งเรือนร่าง หากแต่หญิงสาวกลับผลักอกเขาเบาๆ

    “มั่นใจจริงนะว่าจะพาจินนี่ไปถึงสวรรค์ได้จริง” หญิงสาวฉอเลาะยั่วเย้าแล้วลุกขึ้นเดินผละจากโต๊ะของเขา ในมือถือนามบัตรที่เพิ่งได้ไว้ด้วยความดีใจ

    “เสร็จไปอีกหนึ่งใช่ไหม” เพื่อนที่นั่งเงียบมองสองหนุ่มสาวนัวเนียมาชั่วขณะหนึ่งพูดขึ้นอย่างรู้เท่าทัน

    “ผ่านคืนนี้ไปค่อยนับแต้ม” หลังจบประโยคสองหนุ่มก็หัวเราะผสมโรงขึ้นพร้อมกัน ก่อนเสียงหัวเราะของพระพายและใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มต้องสะดุดลงเมื่อผู้ชายร่างสูง หน้าตา ท่าทางคุ้นตาเป็นที่สุดคนหนึ่งกำลังจะเดินผ่านโต๊ะของเขาไป

    อเกณเพียงใช้สายตาคมกริบปรายมองยังพระพายชั่วแวบ ชายหนุ่มไม่ทัก ไม่ยิ้ม แค่มองก็รับรู้ได้ถึงอาการเกร็งจากแฟนหนุ่มของน้องสาว ก็น่าจะเกร็งอยู่หรอก คนมีชนักติดหลัง เพราะตั้งแต่ที่เข้ามานั่งในร้านเขาเห็นทุกการกระทำของพระพายจนหมด

    เมื่อลับเงาร่างของอเกณ เพื่อนของพระพายก็พูดขึ้นมาว่า “มึงกลัวเหรอ”

    “กลัวห่าอะไร”

    “ก็กลัวที่เขาจะไปบอกน้องสาวเรื่องมึงคั่วสาวขายเบียร์นี่ไง”

    “มันจะบอกหรือไม่บอกก็ช่างหัวมัน กูไม่สนใจ เพราะคนที่คบกับกูคือน้ำพั้นซ์ มันห้ามน้องมันเรื่องนี้ไม่ได้ พี่ชายอย่างมันหงอกับน้องอย่างกับอะไรดี ก็ตั้งแต่ที่มันขับรถพาแม่มันตายโหงนั่นแหละ”

    แม้คืนนี้จะไม่สบอารมณ์อยู่บ้างเมื่อเห็นหน้าอเกณ แต่ก่อนกลับพระพายก็ได้รับโทรศัพท์จากจินตนา ชายหนุ่มยิ้มสมใจ เขาบอกชื่อโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อออกจากร้านแล้วจึงโทรหาหญิงสาวอีกครั้งเพื่อบอกหมายเลขห้องที่จะพาเธอกับเขาท่องไปในสวรรค์ของตัณหาและราคะอย่างเต็มอิ่มในค่ำคืนนี้...

                                                    *****

    วันหยุดนี้อัญนิกานัดสลิลรัตน์มาทานมื้อกลางวัน เพื่อนสนิทที่หลงรักอเกณมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยมาถึงบ้านหลังใหญ่ของสองพี่น้องตั้งแต่ช่วงสาย สลิลรัตน์มีฝีมือทำอาหารจึงอาสาเข้าครัวร่วมกับนางกิ่งแก้ว เธอคิดว่าเสน่ห์ปลายจวักและความเป็นกุลสตรีที่ตัวเองมีจะสามารถมัดใจชายหนุ่มได้ในสักวัน

    “ฝีมือยัยสตางค์เพื่อพี่น้ำหนึ่งเลยนะ ทานเยอะๆ นะคะเดี๋ยวเพื่อนรักของน้ำพั้นซ์เสียใจแย่” อัญนิกาฉอเลาะพี่ชาย พร้อมกับตักแกงเลียงกุ้งใส่ถ้วยแบ่งยื่นวางตรงหน้าเขา

    “ยังทำอาหารเก่งเหมือนเดิมนะครับสตางค์” ชายหนุ่มชม เพราะหลายครั้งหลายหนสลิลรัตน์มักทำอาหารหรือไม่ก็ขนมมาฝากเขากับน้องสาวเสมอๆ ก็นับตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษาจนกระทั่งจบออกมาทำงาน ความสัมพันธ์ของสองสาวก็ยังคงแน่นแฟ้นเหมือนเคยเป็นมา

    “ขอบคุณค่ะพี่น้ำหนึ่ง” หญิงสาวยิ้มเต็มแก้มเมื่อคนที่เธอแอบรักกล่าวชมซึ่งหน้า จะด้วยมารยาทหรือออกมาจากใจเขาเธอก็ยินดีรับทั้งนั้น

    “สตางค์ยังเก่งอีกหลายเรื่องนะคะ น้ำพั้นซ์เห็นหมอนอิงในห้องพี่น้ำหนึ่งนานแล้วไม่ได้เปลี่ยนก็เลยแอบวานให้สตางค์ทำหมอนอิงครบเซต สวยเชียวค่ะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จน้ำพั้นซ์จะเอาให้ดู”

    “แสนรู้ไปซะทุกเรื่องเลยนะเรา” อเกณเย้าน้องสาว อะไรก็ตามที่อัญนิกาบอกว่าดี ถ้าไม่ฝืนใจนักเขาก็ไม่อยากจะขัด

    อัญนิกาทำหน้ายุ่ง “แสนรู้เค้าใช้กับหมาแมวค่ะ ไม่ได้ใช้กับคน”

    “น้ำพั้นซ์เป็นคนกำหนดโทนสีแล้วเราสองคนก็เลือกซื้อผ้าด้วยกัน”

    “น้ำพั้นซ์ก็แค่เลือกผ้าช่วย แต่คนที่ลงมือทำตั้งแต่ร่างลายจนเสร็จเป็นหมอนอิงสวยๆ น่ะ ยัยสตางค์คนเดียวเลย”

    อเกณยิ้มให้สลิลรัตน์ แม้จะเป็นเพียงยิ้มขอบคุณธรรมดาแต่หญิงสาวก็เขินอายจนแก้มขึ้นสีเรื่อแดง ชายหนุ่มหันกลับมาก้มหน้าจัดการกับข้าวที่อยู่ในจาน เขาทำได้เพียงรับและรักษาน้ำใจของเธอไว้ แต่จะให้พัฒนาความสัมพันธ์มากเกินกว่าพี่ชายและน้องสาว เขาแน่ใจว่ามันจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ จะกี่ปีผ่านไปความรู้สึกของเขาก็ยังเหมือนเดิม

    หลังอาหารมื้อเที่ยงทั้งสามคนก็ย้ายไปนั่งคุยกันในห้องพักผ่อนเล็กที่อยู่ติดกับสวนกุหลาบ นอกกระจกใสบานใหญ่ต้นกุหลาบสีชมพูหลากหลายเฉดสีและสายพันธุ์ของผู้เป็นมารดาที่ล่วงลับไปแล้วกำลังอวดดอกผลิบานแข่งกันไปทั้งสวน

    “ไม่ว่าจะมองเมื่อไหร่ สวนกุหลาบบ้านน้ำพั้นซ์ก็ยังสวยไม่เปลี่ยน” สลิลรัตน์พูดขึ้นขณะกำลังดื่มด่ำกับรสและกลิ่นของชาหลังมื้ออาหาร

    “คนที่รักสวนนี้พอๆ กับคุณแม่ก็คือพี่น้ำหนึ่ง น้ำพั้นซ์จะรู้อะไรยังเด็กก็เอาแต่ร้องไห้” ปลายน้ำเสียงที่สดใสอยู่เมื่อครู่เศร้าสร้อย

    “เพราะมีน้ำพั้นซ์ เราสองคนถึงรักษาสวนของคุณแม่ไว้ได้ถึงจะถูก” มารดาเขามีรอยยิ้มเสมอเมื่ออยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ที่เธอรัก แม้บางต้นจะแห้งเหี่ยวล้มตายไปตามกาลเวลา แต่เขาก็พยายามหาสีและลักษณะดอกให้ใกล้เคียงของเดิมที่สุดเท่าที่เขาจดจำได้มาปลูกทดแทน

    ในระหว่างตกอยู่ภวังค์ความคิดของตัวเองอยู่นั้น สาวใช้ก็เข้ามารายงานว่าอาของเขาเดินทางมาถึงแล้ว ลับหลังสาวใช้ไม่นาน ธรรมาก็เดินโปรยยิ้มให้หลานสองคนมาแต่ไกล

    “ยังหนุ่มฟ้อเหมือนเดิมเลยนะคะอาธรรม” อัญนิกาลุกเข้าไปสวมกอดอาคนที่สามก่อนจะจูงมือชายวัยสี่สิบต้นๆ มานั่งร่วมวงสนทนา สลิลรัตน์ยกมือไหว้ธรรมา

    “อามาช้าก็เลยอดกินกับข้าวอร่อยๆ ฝีมือหนูสตางค์เลย”

    “แหม...ไม่ทันมื้อนี้ก็ไม่เป็นไร น้ำพั้นซ์จะดึงยัยสตางค์ให้อยู่ทำกับข้าวเลี้ยงอาธรรมมื้อเย็นด้วยก็ได้นะคะ ดีซะอีก พร้อมหน้าพร้อมตาคนในครอบครัว”

    คนที่ถูกเหมารวมเป็นครอบครัวเดียวกันเพราะคำพูดของเพื่อนสนิทใบหน้าร้อนฉ่า หญิงสาวลอบชำเลืองมองมายังชายหนุ่มที่กุมหัวใจเธอไว้ทั้งหมด น่าเสียดาย เขาไม่หันมาสบตาเพื่อรับรู้ความรู้สึกของเธอเลยสักนิด

    “ไม่เป็นไรหรอก จะกับข้าวฝีมือหนูสตางค์หรือฝีมือแม่กิ่งอาก็กินอร่อยทั้งนั้น คนแก่กินไม่เยอะ แค่พอรู้รส เสียดายฝีมือหนูสตางค์เปล่าๆ”

    “โธ่...อาธรรมก็” อัญนิกาหน้ามุ่ยขยับเข้าไปเกาะแขนคนเป็นอา แถมยังขยิบตาให้สองสามที ธรรมาใช่ว่าไม่เข้าใจว่าหลานสาวอยากจะจับคู่และจัดเวลาให้พี่ชายกับเพื่อนสนิทได้อยู่ใกล้ชิดกันมากขนาดไหน

    “พลาดวันนี้ก็ผลัดไปอาทิตย์หน้าก็ได้ อาจะมาให้ทันมื้อเที่ยง ไม่แน่อาจจะมาค้างตั้งแต่คืนวันศุกร์ แต่มื้อเย็นนี้อาขอตัวพี่ชายเรานะ พอดีว่านัดกันไว้แล้ว”

    คนที่ยังไม่ได้นัดหมายได้ฟังแล้วก็เลยเออออห่อหมกสร้างเรื่องเสริมไปด้วย “พอดีเพื่อนเก่าของธุรกิจเราเขาเพิ่งกลับจากนอก จะไปรำลึกความหลังตามประสาคนเคยคบค้ากันน่ะน้ำพั้นซ์ พี่ก็ลืมบอกน้ำพั้นซ์ไป”

    อัญนิกาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อพี่ชายนัก แต่คนที่ออกปากคือคุณอาธรรมา เธอจะไม่เชื่อเขาได้อย่างไร

    “อาทิตย์หน้าก็ดีค่ะ สตางค์กับน้ำพั้นซ์จะได้เตรียมเมนูที่ถูกใจทั้งพี่น้ำหนึ่งและคุณอาด้วย” สลิลรัตน์หาทางออกเพื่อเป็นการประนีประนอม แม้เธออยากใช้เวลาร่วมกับอเกณมากกว่าการร่วมโต๊ะอาหารมื้อเที่ยง แต่การรุกเขาหนักเกินไปก็รังแต่จะทำให้เขารำคาญและไม่อยากเจอเธออีกเสียเปล่า อีกอย่างเลยธรรมาเป็นญาติผู้ใหญ่ที่สองพี่น้องเคารพรักใคร่และสนิทสนมด้วยที่สุด เธอจึงไม่อาจจะมองข้ามความสำคัญของเขาไปได้

    “ดูนี่ค่ะอาธรรม สวยไหมคะ” อัญนิกาหยิบหมอนอิงใบสวยออกจากถุงกระดาษ

    “น้ำพั้นซ์ทำให้อาเหรอ ขอบใจมากหลานรัก”

    “ของพี่น้ำหนึ่งต่างหาก” หลานสาวรีบแย้ง “สตางค์ทำให้พี่น้ำหนึ่ง”

    “อ้าว...”

    “ถ้าอาธรรมอยากได้ เราแบ่งกันก็ได้นะครับ น้องสตางค์บอกว่าทำมาหลายใบ” อเกณไม่ทันสังเกตเห็นว่าการแบ่งปันของเขาทำให้หญิงสาวเจ้าของหมอนมีสีหน้าสลดลง

    “ไม่เอาๆ สตางค์ทำให้หนึ่ง หนึ่งก็รับไปเถอะ จัดไว้เป็นชุดในห้องจะได้น่ามอง เดี๋ยวถ้าอาจัดห้องใหม่ อาไปหยิบเอาที่ห้างของเราก็ได้ เอ...หรือว่าหลานรักจะทำให้อาสักใบสองใบ” ธรรมาหันมาถามอัญนิกา

    “อาธรรมจะรอเก้อซะเปล่า”

    คนเป็นอาฟังแล้วก็หัวเราะออกมา ร่วมผสมด้วยอเกณจนอัญนิกาต้องค้อนขวับให้หนึ่งหน

    อัญนิกาไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมานั่งทำงานฝีมือหรือฝึกทำอาหาร เธอไม่ใช่กุลสตรีผ้าพับไว้ ที่คบกับสลิลรัตน์ได้นานก็คงเพราะเพื่อนลงให้และยอมเธอเกือบทุกเรื่องเสียมากกว่า และที่สำคัญเลยสลิลรัตน์หวังในตัวอเกณ เธอคิดว่าอัญนิกาที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของพี่ชายจะช่วยเป็นแรงสนับสนุนที่ดีให้กับเธอได้

    เมื่ออาคนละสายเลือดมาถึงบ้านได้เกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว และเขาก็ใช้เวลากับเพื่อนรักของน้องสาวตามที่เธอต้องการไปอย่างเต็มเปี่ยม อเกณก็ขอเวลาส่วนตัวลุกออกจากห้องนั่งเล่นเพื่อพูดคุยกับธรรมา สองหนุ่มวัยห่างกันราวสิบปีเข้าไปที่ห้องทำงานเล็กซึ่งอยู่บนชั้นสองของบ้าน

    “ไม่คิดเปลี่ยนใจย้ายกลับมาอยู่บ้านหรือครับอาธรรม”

    “อยู่คนเดียวจนชินแล้วละ”

    “ชินแน่เหรอ อยู่คนเดียวเหงานะครับอา เมื่อไหร่จะหาอาผู้หญิงมาอยู่เป็นเพื่อนสักคนล่ะครับ” อเกณเย้าหยอกชายหนุ่มที่มีศักดิ์ฐานะเป็นอาของเขา แม้คนละสายเลือด แต่สองอาหลานกลับเข้าอกเข้าใจกันได้ดีมากกว่าคนที่เกิดร่วมบิดาเดียวกัน

    “บอกตัวเองก่อนเถอะ” เจอย้อนศรอเกณก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วตอบออกไปว่า

    “ถ้าอย่างนั้นเราสองคนก็มาเป็นชายโสดของบ้านกมลภูปกรณ์กันเถอะครับ”

    “ถ้าหนึ่งโสดเป็นเพื่อนอาแก่ๆ คนนี้ได้ก็ดีสิ กลัวแต่พูดๆ อยู่นี่ไม่ทันข้ามปีก็พาหลานสะใภ้มาให้อารู้จัก แล้วคนข้างล่างล่ะ ไม่สนใจสักหน่อยเหรอไง”

    อเกณส่ายหน้ารวดเร็ว “อย่างไรก็คงได้แค่น้องสาวละครับ ว่าแต่ว่าคืนนี้เรามีนัดกับใครที่ไหนครับอาธรรม โกหกทั้งอาทั้งหลาน สาวน้อยของเราที่อยู่ข้างล่างรู้เข้า สงสัยเจอบ่นหูชาแน่”

    “ก็อย่าให้รู้สิ เดี๋ยวใกล้ค่ำเราสองคนก็ค่อยออกจากบ้าน ว่างพาคนแก่ไปเมาหน่อยไหม”

    “อายุอย่างอาธรรมนี่นะแก่ ถ้าไม่ติดจะถูกด่าว่าปีนเกลียว ผมเรียกอาว่าพี่ธรรมเลยนะเอ้า” จบประโยคของหลานนอกสายเลือดธรรมาก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

    ต้นตระกูลกมลภูปกรณ์นั้นเกิดจากนางหลิน ซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของชายเชื้อสายจีนซึ่งมีที่ดินผืนใหญ่ทำร้านค้าปลีกกิจการห้องแถว ตอนอายุสิบหกนางหลินแต่งงานกับหลานชายกำพร้าของข้าราชการยากจนคนหนึ่งที่ชื่อธุมา ก่อนตายเจ้าสัวยกกิจการทั้งหมดให้ลูกสาวและลูกเขยดูแล สองสามีภรรยาก่อร่างสร้างตัวและขยับขยายกิจการจนใหญ่โตกลายเป็นห้างขนาดเล็ก นางหลินได้ให้กำเนิดลูกชายคนโตของตระกูลกมลภูปกรณ์ที่ตั้งขึ้นใหม่ เด็กชายมีชื่อว่าธรรศ

    ตอนที่เด็กชายธรรศอายุได้ราวหกเจ็ดขวบ ธุมาก็ได้รับเอาพนักงานในร้านชื่อสายหยุดเป็นเมียคนที่สอง นางหลินไม่ยอมรับสายหยุดเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ก้าวร้าวและชอบระรานนางเมื่ออยู่ลับหลังสามี เพราะสมบัติและกิจการที่สร้างเกินครึ่งมาจากมรดกของนางหลิน ธุมาจึงเช่าบ้านให้เมียรองอยู่ สายหยุดมีลูกหญิงชายอย่างละคน ชื่อธมนันท์และธมกร เพราะความเจ้าชู้และเมา ธุมาปล้ำสาวใช้คนสนิทของนางหลินที่ชื่อกิมม่วย กิมม่วยไม่เหมือนสายหยุด เธอไม่ได้ต้องการที่จะตกเป็นเมียของนายหนุ่ม เพราะนางหลินเอ็นดูเด็กสาวมากจึงยินยอมให้กิมม่วยอยู่ร่วมบ้านและเป็นคนตั้งชื่อลูกชายของกิมม่วยว่าธรรมา

    ธรรมาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ของตระกูลกมลภูปกรณ์ตั้งแต่เกิด ก่อนจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกหลังจากธรรศพี่ชายคนโตเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องบินเมื่อยี่สิบปีก่อน เพื่อกันข้อครหาระหว่างพี่สะใภ้และน้องสามีจากปากและสายตาของสองพี่น้องที่เกิดจากภรรยาคนรองของบิดา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×